วันที่ 31 กรกฎาคม 2025

นายกฯ เปิดงาน OTOP MIDYEAR 2025 ย้ำรัฐบาลหนุนเต็มที่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มิถุนายน 2568 นายกฯ เปิดงาน OTOP MIDYEAR 2025 เผยผูกพันตั้งแต่เริ่ม ชี้เป็นนโยบายทำประชาชนอยู่ดีกินดี ย้ำรัฐบาลพร้อมหนุนเต็มที่ ด้าน “อนุทิน” อวย “ทักษิณ” ต้นคิด OTOP บอกนายกฯ มาเปิดงาน ผู้ประกอบการมีกำลังใจ-หายเหนื่อย “เซ็งลี้ฮ้อ” แน่นอน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดงาน OTOP MIDYEAR 2025 ภายใต้แนวคิด “OTOP ทันโลก ทันสมัย เศรษฐกิจไทยยั่งยืน” โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) คณะรัฐมนตรี, นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน คณะทูตานุทูต ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน คณะทำงานโครงการผ้าไทยใสให้สนุก ผู้ประกอบการ OTOP ร่วมในพิธี

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และนำคณะผู้บริหารระดับสูงเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวบนเวทีช่วงหนึ่งว่า ไม่มีนายกรัฐมนตรีมาเปิดงาน OTOP มาหลายปีแล้ว ซึ่งการปรากฏตัวของนายกรัฐมนตรีในวันนี้ (9 มิ.ย.) ทำให้คนจัดงานที่ทุ่มเทมีกำลังใจ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง และมีความภาคภูมิใจในการจัดงาน

นายอนุทิน กล่าวว่า คนที่ให้กำเนิดงาน OTOP ก็คือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุณพ่อของนายกรัฐมนตรี และ ตนเองได้เดินในงาน ได้ยินหลายคนบอกว่านายกรัฐมนตรี จะมางานนี้ “ปีนี้เซ็งลี้ฮ้อแน่นอน”

โดยกระทรวงมหาดไทย ตั้งเป้า OTOP สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท ช่วย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ให้เติบโตเข้มแข็งเชื่อมโยงเศรษฐกิจระดับภูมิภาค

นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานว่า ขอบคุณนายอนุทิน ที่บอกว่าดีใจที่ตนเองมาเปิดงาน ซึ่งตนก็ดีใจมาก และยังจำได้ตั้งแต่แรกว่านโยบาย OTOP มาอย่างไร มีความคิดเริ่มต้นแบบไหนนับ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ 24 ปีที่แล้ว ที่ค่อนข้างจะผูกพันส่วนตัวกับตัวเอง เพราะเห็นตั้งแต่เริ่มจริง ๆ และวันนี้ที่ผู้ประกอบการมากมาย มีความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม การมาร่วมเปิดงานในวันนี้ มามีส่วนร่วมที่สำคัญในวันนี้ เห็นแล้วก็รู้สึกดีใจที่นโยบายนี้ทำให้พี่น้องมีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นรัฐบาล คือการให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องดีขึ้น เศรษฐกิจที่ดี ต้องเริ่มจากรากฐานที่แข็งแรง และแน่นอนว่าศิลปะ ซอฟพาวเวอร์ คือรากฐานที่สำคัญของคนไทย ประเทศไทยมีเสน่ห์ มีซอฟพาวเวอร์ที่แข็งแรงมาก วัฒนธรรมที่เข้มแข็งมาก ไปไหนมาไหนต่างชาติก็ชื่นชอบในวัฒนธรรมของเรา เป็นสิ่งที่เรานำเสนอต่างชาติมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นสิ่งที่เราทุกคนภูมิใจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลดูแลนโยบายต่าง ๆ อยากสนับสนุนโครงการ OTOP เพิ่มเติมเข้าไป นโยบายที่สามารถไปถึงพี่น้องทุกจังหวัดจริง ๆ แล้วทำให้พี่น้องได้ใช้ความสามารถ และความถนัดของตัวเองมาประกอบอาชีพ เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก อย่างที่นายอนุทิน ตั้งเป้าหมายไว้ ก็อยากให้ถึงเป้าหมายอย่างง่ายดาย แบบไม่ต้องลุ้น ขอให้ทุกคนขายได้ดีๆ ขอส่งกำลังใจ แม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกของเราจะค่อนข้างท้าทาย แต่ตนเองมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า วันนี้รัฐมนตรีมากันหลายท่าน มีคณะทูตมาด้วยช่วยกัน โปรโมตงานนี้ ดังนั้น ใครอยากมาดูของไทย สนับสนุนผู้ประกอบการไทย ก็ขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่านว่าเรามีงานนี้

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขอเชิญชวนทุกท่านอีกครั้งให้มาเที่ยวงาน OTOP มาจากทุกภูมิภาคที่เป็นฝีมือของคนไทยของเรา มีทั้งอาหาร แฟชั่น มาที่นี่หนึ่งจุดต้องมีสิ่งที่ตัวเองชอบ และเอ็นจอยอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิหรรศการ กิจกรรม และการจำหน่ายสินค้าของหน่วยงานภาคี อาทิ โซนกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โซนบริษัทประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด โซนศิลปิน OTOP ที่นำเสนอผลงานที่มีอัตลักษณ์บ่งบอกถึงภูมิปัญญาอันทรงคุณค่า โขนผ้าไทยใส่ให้สนุก , โขน OTOP Fist Lady, โซนนิทรรศการเส้นไหมและเส้นใยธรรมชาติ, โซนการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP ระดับ 3-5 ดาว

สำหรับงาน OTOP Midyear 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-15 มิ.ย. 68 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ก เมืองทองธานี สามารถเดินทางด้วยรถไฟรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบการเดินรถเข้าภายในบริเวณสถานีชาเลนเจอร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

Advertisement

 

 

กระทรวงมหาดไทย เชิญชวนคนไทย ชม ช้อป ชิม งาน OTOP Midyear 2025

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 มิถุนายน 2568 มท. เชิญชวนคนไทยร่วมชม ช้อป ชิม เช็คอิน สุดยอดมหกรรมโอทอปยิ่งใหญ่กลางปี กับงาน OTOP Midyear 2025 ทันโลก ทันสมัย เศรษฐกิจไทยยั่งยืน 7-15 มิ.ย.68 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มท.ตั้งเป้าสร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย มีนโยบายสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและยกระดับการท่องเที่ยวชุมชน เกิดการใช้จ่ายในประเทศ โดยมีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นหน่วยงานหลักขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะและศักยภาพของผู้ประกอบการ OTOP ควบคู่การส่งเสริมช่องทางการตลาด

โดยระหว่างวันที่ 7-15 มิ.ย. 68 นี้ ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน กำหนดจัดงานมหกรรม OTOP Midyear 2025 ภายใต้แนวคิด “OTOP ทันโลก ทันสมัย เศรษฐกิจไทยยั่งยืน” โดยใช้พื้นที่จัดงานมากกว่า 60,000 ตารางเมตร ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ด้วยการรวบรวมผลิตภัณฑ์ OTOP 3-5 ดาว กว่า 2,000 บูธ  ในโซนต่างๆ ได้แก่ โซน “พลิกโฉม OTOP ไทยสู่โลกออนไลน์ และ Modern Trade” – อัปเดตเทรนด์ค้าขายยุคดิจิทัล

โซน “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” – แฟชั่นผ้าไทยใส่ได้ทุกวัน, โซน “OTOP ชวนชิม” – รวมของอร่อยทั่วไทยไว้ในที่เดียว, โซน “Health & Spa” – สมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพและความผ่อนคลาย, โซน “ผ้าและเครื่องแต่งกาย” – ดีไซน์ร่วมสมัยจากชุมชน

โซน “อาหาร” – ของกินของฝากพื้นบ้านคุณภาพ, โซน “เครื่องดื่ม” – สดชื่นด้วยน้ำสมุนไพร ชา กาแฟพื้นถิ่น, โซน “ของใช้ ของตกแต่ง และของที่ระลึก” – สินค้าหัตถกรรมดีไซน์โดน, โซน “สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร” – ยาดม ยาหม่อง น้ำมันนวดจากภูมิปัญญาไทย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในงานยังมีไฮไลต์สำคัญ คือ โซนศิลปิน OTOP จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากศิลปิน OTOP กว่า 40 ราย และ โซนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โซนผ้าไทยใส่ให้สนุก และ Frst Lady จัดแสดงผ้าที่มีอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ดีไซน์ทันสมัย เหมาะกับทุกรุ่น ทุกเพศ ทุกวัย

ดังนี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมจับจ่ายใช้สอย ในงาน OTOP Midyear 2025 วันที่ 7-15 มิ.ย. 68 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพคเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งในครั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถเลือกเดินทางได้สะดวกผ่านรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบการเดินรถเข้าไป%ภายในบริเวณสถานี Challenger โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย

“กระทรวงมหาดไทย ตั้งเป้าหมายว่างานนี้จะสามารถสร้างรายได้ให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงกลางปี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโต เข้มแข็ง และเชื่อมโยงไปยังเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งถือเป็นนโยบายที่สำคัญ ที่นายอนุทิน” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

“กรุงเทพฯ” อันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุด “ทำงานทางไกล-ค่าใช้จ่ายต่ำ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 พฤษภาคม 2568 รองโฆษกรัฐบาล เผยเว็บไซต์ New York Post จัดอันดับกรุงเทพฯ อันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับทำงานทางไกล-ค่าใช้จ่ายต่ำ อินเทอร์เน็ตเร็ว วิวสวย ครบจบในเมืองเดียว

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลจากเว็บไซต์ New York Post จากสหรัฐอเมริกา จัดอันดับให้แต่ละเมืองได้รับคะแนนเต็ม 100 โดยกรุงเทพฯ ประเทศไทย คว้าอันดับ 1 ไปครอง ด้วยคะแนน 69.98 จากจุดเด่นเรื่องอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และไลฟ์สไตล์ราคาย่อมเยา เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ วัดวาอารามอันวิจิตร อาหารรสเลิศ และชีวิตริมถนนที่คึกคักของกรุงเทพฯ คือเสน่ห์ที่ดึงดูดใจสำหรับผู้ที่ต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า เมืองหลวงของไทยเปี่ยมไปด้วยพลังและชีวิตชีวา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัลที่ต้องการใช้ชีวิตในเมือง ซึ่งผสมผสานความทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างลงตัว ข้อมูลจากเว็บไซต์ New York Post จากสหรัฐอเมริกา รายงานว่าการทำงานทางไกล กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนใฝ่ฝันมากขึ้น หลังจากผ่านช่วงโควิดมาเกือบ 5 ปี

ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญจาก QR Code Generator ได้จัดทำดัชนีจัดอันดับเมืองน่าอยู่สำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล โดยพิจารณาจากความเร็วอินเทอร์เน็ต ค่าครองชีพ การเข้าถึงวีซ่าทำงานระยะไกล และปัจจัยอื่นๆ โดยกรุงเทพฯ ประเทศไทย คว้าอันดับ 1 ไปครองด้วยคะแนน 69.98 คะแนนเต็ม 100 คะแนน จากจุดเด่นเรื่องอินเทอร์เน็ตที่เร็ว และไลฟ์สไตล์ราคาย่อมเยา ส่วนอันดับ 2 บูคาเรสต์ เมืองหลวงของโรมาเนีย ด้วยคะแนน 65.62 เมืองในยุโรปตะวันออกแห่งนี้โดดเด่นด้านการเข้าถึงวีซ่าทำงานทางไกลได้ง่ายที่สุดตามการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ

“รัฐบาลเดินหน้ายกระดับการท่องเที่ยวไทย ด้วยการขยายฟรีวีซ่าเป็น 93 ประเทศ/ดินแดน พำนักได้ไม่เกิน 60 วัน พร้อมออกวีซ่าใหม่ “Destination Thailand Visa (DTV)” สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการเที่ยวไทย ควบคู่กับทำงานทางไกลหรือทำกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและการแพทย์ เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่ และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยทั้งปี” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

“เที่ยวคนละครึ่ง” มาแน่! “สรวงศ์” จ่อชง ครม. ก่อนเริ่มใช้ 1 ก.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 พฤษภาคม 2568 “สรวงศ์” เผย โครงการเที่ยวคนละครึ่งเตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เร็ว ๆ นี้ ก่อนเริ่มใช้ 1 ก.ค.68 ขณะที่นายกฯ กำชับให้ดูแลภาพลักษณ์ ความปลอดภัย และความสะอาดให้กับนักท่องเที่ยว

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงภายหลังร่วมประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 2/2568 ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ว่า ได้รายงานความคืบหน้าของทุกกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ที่ต้องทำงานบูรณาการร่วมกัน เพราะมีเรื่องของภาพลักษณ์ ความปลอดภัย ความสะอาด ความสะดวกสบาย ให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ช่วงโลซีซั่น โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายในหลายด้าน ทั้ง การทำให้นักท่องเที่ยวมีความสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงความปลอดภัย และมีงบที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท มาช่วยสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนลดลง แต่รายได้เข้าประเทศยังสูงขึ้น ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่มาจากทางไกล ทั้ง ตลาดยุโรป ตลาดอเมริกา เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นายสรวงศ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้ติดตามงานของเมืองหลัก และเมืองรอง ที่ของบกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ขอไป ทั้งโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือ การนำตลาดจีนกลับมาพร้อมกับตลาดที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งโครงการเที่ยวคนละครึ่ง จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ ในเรื่องงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ทำแพลตฟอร์มที่จะให้ผู้ประกอบการ และคนไทยทุกคนที่สนใจได้ลงทะเบียนควบคู่กันไป น่าจะใช้ได้ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ 2 – 3 ประเด็น ว่า ในครึ่งปีหลังจากนี้ไป นักท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเดินทางไปจุดใดของประเทศไทย ต้องมีความปลอดภัย ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของความสะอาด ทั้ง สุขา ที่จอดรถ การอำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัยใหม่ใหม่สมัยใหม่ เช่น ระบบ AI ซึ่งตำรวจท่องเที่ยว หรือตำรวจท้องที่ และหน่วยงานอื่น ๆ จะประสานบูรณาการกัน เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวในทุกจุด จะต้องดูและเรื่องความสะอาด เพราะได้รับการร้องเรียนมา ว่า มีหลายจุดไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุง เนื่องจากคนไปเที่ยวมีหลากหลายวัย นายกรัฐมนตรีจึงกำชับว่า แม้นักท่องเที่ยวจะลดลง แต่รายได้ยังสูงขึ้น ดังนั้น ครึ่งปีหลังจะมีกิจกรรมที่หลากหลาย

Advertisement

ย้ำไทยเป็นจุดหมายนักท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลขอบคุณนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์สุดคึกคักสี่เดือนครึ่งตลาดโต รายได้ทะลุกว่า 6 แสนล้านบาท ย้ำไทยเป็นจุดหมายนักท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งผลักดันการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีการเดินทางไกล พบว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ นักท่องเที่ยวจาก ยุโรป รัสเซีย รัฐบาลจึงเร่งเดินหน้าเร่งขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวคุณภาพซึ่งมีการใช้จ่ายสูง อาทิ กลุ่ม Health & Wellness กลุ่มท่องเที่ยวทางเรือ Yacht กลุ่ม Sport and Entertainment เพื่อยกระดับคุณภาพของรายได้จากการท่องเที่ยว และฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

“สถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุดของประเทศไทย (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 14 พฤษภาคม 2568) เทียบช่วงเดียวกันของปี 2567 พบว่า ไทยมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวสะสม 1.034 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.73%) โดยแบ่งออกเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 13.12 ล้านคน สร้างรายได้ 621,069 ล้านบาท (รายได้เพิ่มขึ้น 3.13%) และนักท่องเที่ยวชาวไทย ท่องเที่ยวภายในประเทศรวม 76.95 ล้านคน สร้างรายได้ 413,877 ล้านบาท (รายได้เพิ่มขึ้น 2.15%)”

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาไกลเพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่ม โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 5.02 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 17.28%) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน รายได้จากตลาดกลุ่มนี้ สามารถ สร้างรายได้ 3.19 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20.43%) จากปีก่อน“ นางสาว ศศิกานต์ ระบุ

“รัฐบาลเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้านการคมนาคม เพื่อยกระดับการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งนี้ การเติบโตของตลาดระยะไกลชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวของประเทศไทย และขอยืนยันถึงความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพบริการ ความปลอดภัย และศักยภาพของคนไทยทุกภาคส่วน ที่จะร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นพลังสำคัญของประเทศต่อไป“ นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

สินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก สร้างรายได้ต่อเนื่อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 พฤษภาคม 2568 สินค้าเกษตรไทยยังได้รับความนิยม สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่อง ส่งออกในตลาดโลกและอาเซียน ปี 2568 (ม.ค. – มี.ค.) มูลค่าการส่งออกพุ่งกว่าแสนล้านบาท

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรของไทยในตลาดโลก พบว่า ประเทศไทยยังคงสามารถรักษาศักยภาพทางการค้าและการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรกับตลาดโลกสูงถึงกว่า2.5 ล้านบาท โดยแยกเป็น มูลค่าส่งออก จำนวน 1,801,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 137,822 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.28 สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการขยายตลาด และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรของไทยในตลาดอาเซียน 9 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม สินค้าเกษตรของไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ไทยมีมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรไปยังตลาดอาเซียนจำนวน 410,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 3.60

สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ของปี 2567 ได้แก่ 1.ข้าว มูลค่า 46,065 ล้านบาท 2.น้ำตาลที่ได้จากอ้อยหรือหัวบีตอื่น ๆ มูลค่า 38,211 ล้านบาท 3.น้ำ รวมถึงน้ำแร่และน้ำอัดลมที่เติมน้ำตาลหรือสารทำให้หวานอื่น ๆ หรือที่ปรุงกลิ่นรส มูลค่า 27,577 ล้านบาท 4.น้ำตาลดิบที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 22,434 ล้านบาท และ 5.เครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มูลค่า 19,022 ล้านบาท ส่วนตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย มีมูลค่าการส่งออก 77,321 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.82 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน 2.อินโดนีเซีย มีมูลค่าการส่งออก 68,428 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.66 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน และ 3.กัมพูชา มีมูลค่าการส่งออก 62,826 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.29 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า สำหรับในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 สถานการณ์การค้าสินค้าเกษตร และยางพาราธรรมชาติของไทยในตลาดอาเซียน มีมูลค่าการค้ารวมเท่ากับ 160,067 ล้านบาท จำแนกเป็น มูลค่าส่งออก 100,491 ล้านบาท มูลค่านำเข้า 59,576 ล้านบาท ไทยยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 40,915 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.น้ำตาลดิบที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 11,656 ล้านบาท 2.น้ำตาลที่ได้จากอ้อยหรือหัวบีตอื่น ๆ มูลค่า 9,910 ล้านบาท 3.น้ำ รวมถึงน้ำแร่และน้ำอัดลมที่เติมน้ำตาลหรือสารทำให้หวานอื่น ๆ หรือที่ปรุงกลิ่นรส มูลค่า 6,355 ล้านบาท 4.เครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มูลค่า 4,785 ล้านบาท และ 5.อาหารปรุงแต่งอื่น ๆ มูลค่า 4,309 ล้านบาท

นอกจากนี้ ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย มีมูลค่าการส่งออก 17,442 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.34 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน 2.อินโดนีเซีย มีมูลค่าการส่งออก 16,435 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.35 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน และ 3.กัมพูชา มีมูลค่าการส่งออก 16,237 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.16 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในอาเซียน

“ภาพรวมทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดเกษตรโลก โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศ ทั้งในแง่ของมูลค่าการส่งออก ความหลากหลายของสินค้า และการได้เปรียบดุลการค้า ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาและผลักดันภาคเกษตรของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

นายกฯ ชวนอุดหนุนผลไม้ไทย เล็งจัด Thai Fruits Festival

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 พฤษภาคม 2568 “นายกฯ แพทองธาร” ชวนประชาชนอุดหนุนผลไม้ไทย เตรียมจัดกิจกรรม Thai Fruits Festival กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เร่งเจรจา FTA ดันการส่งออกนำผลไม้ไทยร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ ขยายตลาดสร้างโอกาสให้เกษตรกร

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์คลิปวิดีโอผ่าน TikTok ชื่อบัญชี ingshin21 เชิญชวนประชาชนอุดหนุนและรับประทานผลไม้ไทย โดยกล่าวว่า “เป็นคลิปแรกที่มาอยากมาขายของเป็นแม่ค้าหนึ่งวัน ผลไม้ไทยมีเยอะมากที่อร่อย พร้อมนำผลไม้ที่จัดใส่จาน ทั้ง มังคุด เงาะ ทุเรียน รวมถึงข้าวเหนียวมะม่วง แล้วจะมาเชิญชวนให้ พี่น้องคนไทยทุกคนให้ทานผลไม้ไทย และสองปีที่แล้ว ข้าวเหนียวมะม่วงของเราดังไปทั่วโลก ซึ่งมะม่วงของเราอร่อยจริงๆ ไปเจอที่เมืองนอกแพง แต่ที่เมืองไทยราคาดี เพราะฉะนั้นอดอุดหนุนผลไม้ไทยกันหน่อยนะคะ อร่อยด้วยราคาดีด้วย ไม่อย่างนั้นเวลาไปอยู่เมืองนอกนานๆ ซื้อที่เมืองนอกแพง ตอนนี้เมืองไทย มะม่วงราคาดีมากผลไม้ทุกอย่างก็ราคาดี และอากาศปีนี้ดีทำให้ผลไม้ค่อนข้างหวาน หาซื้อได้ง่าย ดังนั้นขอให้อุดหนุนผลไม้ไทยกันเยอะๆ”

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังระบุข้อความ ด้วยว่า “สวัสดีค่ะ ทุกคน หน้าผลไม้แล้วค่ะ ปีนี้ผลไม้ไทยผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากปีที่ผ่านมา เพราะจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในช่วงติดดอก เลยเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะช่วยกันส่งเสริมผลไม้ไทย ให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นค่ะ”

ปีนี้รัฐบาลเตรียมจัดกิจกรรม Thai Fruits Festival กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ หลายอย่างค่ะ เช่น การประกวดเมนูอาหารจากผลไม้ ช่องทางการขายออนไลน์ การนำผลไม้ไทยไปใช้ในกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึงการสนับสนุนการแปรรูปอย่างมีคุณภาพ

ในต่างประเทศ เราก็เร่งเจรจา FTA เพื่อผลักดันการส่งออก พร้อมนำผลไม้ไทยไปร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ ขยายตลาดและสร้างโอกาสให้เกษตรกร ผลไม้ไทยมีคุณภาพดี มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก หากเราได้ร่วมมือกันสนับสนุน ขอเชิญชวนทุกท่านนะคะ ร่วมกันอุดหนุนผลไม้ไทยในฤดูกาลนี้ เป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่เราทุกคนสามารถช่วยกันสนับสนุนเกษตรกรไทยได้ค่ะ

Advertisement

 

รัฐบาลเดินหน้าจับหนัก “ทัวร์เถื่อน-ไกด์เถื่อน” ทั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลเดินหน้าจับหนัก “ทัวร์เถื่อน-ไกด์เถื่อน” ทั่วประเทศ ย้ำโทษหนัก ปรับสูงสุด 5 แสน จำคุก 2 ปี พร้อมตั้งศูนย์เฉพาะกิจลุยตรวจเข้มทุกพื้นที่

วันนี้ (10 พฤษภาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง” (ศปต.) เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาทัวร์นอมินีและมัคคุเทศก์เถื่อนอย่างจริงจัง โดยเน้นการตรวจสอบบริษัทนำเที่ยวและการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัยของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงมีนาคม 2568 ได้มีการสุ่มตรวจสถานประกอบการของบริษัทนำเที่ยวจำนวน 940 ราย และมัคคุเทศก์ 338 ราย พบการกระทำความผิดของบริษัทนำเที่ยว ได้แก่ การประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต การไม่แสดงใบอนุญาต และการไม่ทำประกันให้นักท่องเที่ยว ส่วนความผิดของมัคคุเทศก์ ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีใบอนุญาต และการไม่แสดงใบสั่งงาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ไม่มีใบอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ปฏิบัติหน้าที่มัคคุเทศก์โดยไม่มีใบอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยในการโฆษณาขายทัวร์ไม่ว่าช่องทางใด ต้องแสดงเลขที่ใบอนุญาต ชื่อ และที่ตั้งให้นักท่องเที่ยวทราบ และต้องใช้มัคคุเทศก์ที่มีใบอนุญาตถูกต้องเท่านั้น

“รัฐบาลขอยืนยันความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยการดำเนินการอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องในการปราบปรามทัวร์เถื่อนและมัคคุเทศก์เถื่อน ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีโลก จึงขอความร่วมมือประชาชน หากพบเบาะแสเกี่ยวกับบริษัทนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ที่กระทำผิด สามารถแจ้งผ่านช่องทางเฟซบุ๊กเพจกรมการท่องเที่ยว หรืออีเมล tgtcenter@tourism.go.th และ DOT-TGIS@tourism.go.th” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

รองโฆษกรัฐบาล เผยประชาชนชื่นชมนโยบายลดราคาค่าไฟ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 พฤษภาคม 2568 รองโฆษกรัฐบาล เผยประชาชนชื่นชมนโยบายลดราคาค่าไฟ ด้าน “พีระพันธุ์” เดินหน้าปฏิรูปพลังงานสร้างเสถียรภาพระยะยาว

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณเสียงตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศที่ชื่นชมนโยบายลดค่าไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากการทำงานอย่างบูรณาการของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่สามารถผลักดันให้ค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ลดลงเหลือเพียง 3.98 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เคยกำหนดไว้ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย

โดยผลสำเร็จครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน โดยไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินแม้แต่บาทเดียว อันเป็นผลจากการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเชิงระบบ เช่น การลดค่า Ft การทบทวนสัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) ที่สร้างภาระให้รัฐเกินความจำเป็น ตลอดจนการเจรจาปรับลดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอัตราที่เหมาะสมกับต้นทุนปัจจุบัน

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยังเห็นชอบกำหนดเพดานค่าไฟในช่วงปลายปี 2568 ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย พร้อมมอบหมายให้ กกพ. กฟผ. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนการดำเนินงานต่อไปโดยไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจภาพรวม ทั้งยังสนับสนุนการเร่งปฏิรูปกฎหมายพลังงานและโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

“รัฐบาลขอยืนยันเจตนารมณ์ในการเดินหน้าปฏิรูปพลังงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบพลังงานที่เป็นธรรม โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานในราคาที่เหมาะสม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

มติ กพช. ตรึงค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค.68 ไม่เกิน 3.99 บาท/หน่วย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 พฤษภาคม 2568 มติ กพช. ตรึงค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค.68 ไม่เกิน 3.99 บาท/หน่วย ด้าน “พิชัย” ย้ำรัฐบาลพยายามยืนราคานี้ให้ได้จนถึงสิ้นปี

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบนโยบายและแนวทางกำหนดอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2568 ที่อัตราไม่เกินหน่วยละ 3.99 บาทต่อหน่วย เว้นแต่มีการเปลี่ยนแปลงราคาต้นทุนพลังงานอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งนี้จะไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับปี 2566-2573 ในส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. มีมติตรึงราคาค่าไฟ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยจะยืนไปจนถึงสิ้นปีนี้ หากไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่สำคัญรัฐบาลก็จะยืนให้ได้ด้วยตัวของรัฐบาลเอง

Advertisement

Verified by ExactMetrics