วันที่ 29 เมษายน 2024

กอช. จับมือ ธ.ก.ส. ส่งเสริมการออมให้เกษตรกรทั่วประเทศ เพิ่มความมั่นใจออกสมุดเงินออมให้

People Unity News : กอช. ผนึกกำลัง ธ.ก.ส. ส่งเสริมการออมให้ครอบคลุมเกษตรกรทั่วประเทศ  พร้อมเพิ่มความมั่นใจออกสมุดเงินออมให้

19 มี.ค. 2565 ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตดอกเบญจมาศแปลงใหญ่บ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี นายอาคม  เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือการให้บริการหน่วยรับสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ระหว่าง นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยมี นางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ รองปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยาน และ นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

หลังพิธีลงนาม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับการวางแผนออมเงินของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยได้กำหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ มุ่งหวังให้ประชาชนได้มีความมั่นคงในบั้นปลายชีวิตหลังอายุ 60 ปี  พร้อมสร้างวินัยการออมในทุกช่วงวัย ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ซึ่งถือเป็นกองทุนการออมภาคประชาชน เป็นกลไกส่งเสริมการออมของประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบไม่มีสวัสดิการรองรับ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา อสม. พ่อค้าแม่ค้า เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก กอช. ในส่วนของ ธ.ก.ส. เป็นธนาคารที่ให้บริการกับเกษตรกรและประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะในภาคชนบท โดยยังมีการส่งเสริมการออมให้สถานศึกษาในรูปแบบโรงเรียนธนาคารแก่นักเรียน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ได้ร่วมกันผนึกกำลังขับเคลื่อนส่งเสริมการออมให้ประชาชน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ได้มีการตระหนักถึงการวางแผนทางการเงิน เพื่อให้มีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณโดยเฉพาะในวันที่ไม่มีแรงทำงาน จะได้มีเงินออมส่วนนี้ไว้ใช้จ่ายรายเดือน นอกจาก ธ.ก.ส. จะเป็นหน่วยรับสมัคร และส่งเงินออมของสมาชิกให้ กอช. แล้ว ธ.ก.ส. ยังพร้อมเป็นหน่วยให้บริการออกสมุดเงินออม (Passbook) ให้แก่สมาชิก กอช. เพื่อใช้ในการตรวจสอบยอดเงินออมของตนเอง ยอดเงินที่รัฐบาลจ่ายสมทบ รวมถึงผลประโยชน์เพิ่มจากการเงินออมสะสมและเงินสมทบจากรัฐ  เพื่อให้สมาชิกมีความเชื่อมั่นในการออม นอกจากนี้สมาชิกยังสามารถดูความเคลื่อนไหวของเงินออม กอช. ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน “กอช.” ได้ด้วย โดยความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันส่งเสริมให้ คนไทยได้รู้จักออมเงินกับ กอช. อีกทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยให้ดีขึ้น โดยไม่เป็นภาระของลูกหลานในยามชรา

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสร้างหลักประกันที่มั่นคงในวัยเกษียณให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เริ่มต้นตั้งแต่วัยเรียนอายุ 15 ปี จนเข้าสู่วัยทำงานถึงอายุ 60 ปี ออมขั้นต่ำเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐตามช่วงอายุสูงสุด 100% หรือ ไม่เกิน 1,200 บาท ต่อปี สมาชิกจะได้รับเงินสมทบจากรัฐในเดือนถัดไป การส่งเงินออมสะสมกับ กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกปี สมาชิกสามารถส่งเงินออมได้ตามกำลัง สามารถส่งเงินออมตั้งแต่อายุยังน้อย จำนวนเงินไม่มาก จะได้มีบำนาญใช้ตลอดชีพ

ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนส่งเสริมการออม พร้อมให้บริการสมาชิก กอช. ด้วยดีมาตลอด อีกทั้งเป็นหนึ่งในหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบัน กอช. มีจำนวนสมาชิกประมาณ 2,467,437 คน กองทุนมีมูลค่าสินทรัพย์ ทั้งสิ้น 10,832.34 ล้านบาท มีสมาชิก กอช. เป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรสูงสุด คิดเป็น 46%  ช่วงอายุสมาชิกที่มีการออมสูงสุด ในช่วงอายุ 31 – 50 ปี คิดเป็น 42%  มีสมาชิก กอช. ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 44% อยู่พื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 117,336 คน เงินออมรวม 208,441,199.76 บาท  (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565) และในครั้งนี้ทาง ธ.ก.ส. ได้เพิ่มการให้บริการแก่สมาชิก กอช. ในการเป็นหน่วยให้บริการออกสมุดเงินออม (Passbook) ตามความต้องการของสมาชิกได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยสมาชิกจะสมัครหรือส่งเงินออมกับ กอช. ที่ไหน ก็สามารถขอรับสมุดเงินออม กอช. ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ซึ่งทาง ธ.ก.ส. ได้อำนวยความสะดวกในการพิมพ์รายการเคลื่อนไหวทางบัญชีให้กับสมาชิก ทั้งเงินออมสะสม เงินสมทบจากรัฐ ผลประโยชน์ของเงินออมสะสมและเงินสมทบจากรัฐ

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้เล็งเห็นความสำคัญของการออม เพื่อสวัสดิภาพของประชาชนในด้านการวางแผนทางการเงิน โดยที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้เป็นหน่วยให้บริการ ทั้งการรับสมัครสมาชิก กอช.และ ส่งเงินออมสะสม  โดยมีบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (Direct Debit) รายเดือน ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ธ.ก.ส. ได้ให้บริการสมาชิก กอช. จำนวน 1,112,703 คน เป็นเงินจำนวนกว่า 2,645 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565) โดยในปีนี้ ธ.ก.ส. ได้ร่วมมือกับ กอช. ยกระดับการให้บริการ  ด้วยการออกสมุดเงินออมและบริการพิมพ์รายการเคลื่อนไหวในบัญชีแก่สมาชิก กอช. ที่ต้องการทราบจำนวนเงินสมทบของตัวเอง เงินสมทบจากรัฐบาล และผลประโยชน์เพิ่มจากการออมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความอุ่นใจในการสะสมเงินออมมากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปเป็นข้อมูลเพื่อวางแผนการเงินของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเปิดให้บริการออกสมุดเงินออมสะสม กอช. (Passbook) เพียงสมาชิกแสดงบัตรประจำตัวประชาชนติดต่อขอเข้ารับสมุดออมเงิน กอช. ได้ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ ธ.ก.ส. 1,020 สาขาทั่วประเทศ

Advertising

ครม.ต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้แรงงานกัมพูชา-ลาว-เมียนมาที่ครบวาระปี 65 ออกไปอีก 2 ปี

{"source_sid":"FAF6640E-14D6-4273-BD06-96F95C3DDE5C_1591179127186","subsource":"done_button","uid":"FAF6640E-14D6-4273-BD06-96F95C3DDE5C_1591179127182","source":"other","origin":"gallery"}

People Unity News : ครม. ไฟเขียว ต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้แรงงาน “กัมพูชา – ลาว – เมียนมา” ที่ครบวาระจ้างงาน 4 ปีในปี 65 ออกไปอีก 2 ปี

17 มีนาคม 2565 ที่ประชุม ครม. (15 มี.ค. 65) มีมติเห็นชอบให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ที่เข้ามาทำงานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการจ้างงาน (Agreement) ในปี 61 และมีวาระการจ้างงานครบ 4 ปีในปีนี้ (1 ม.ค. 65 – 31 ธ.ค. 65) นั้น

สามารถดำเนินการขออนุญาตทำงานหรือขอต่ออายุใบทำงาน และขอรับการตรวจอนุญาตให้อยู่เป็นการชั่วคราวต่อไปได้อีก “ไม่เกิน 2 ปี” โดยไม่ต้องเดินทางกลับออกไป

มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศไทย สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ รวมทั้งเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น

ปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU จำนวน 106,580 คน แบ่งเป็นสัญชาติกัมพูชา 26,840 คน ลาว 25,504 คน และเมียนมา 54,236 คน โดยทางการของประเทศกัมพูชา ลาวและเมียนมา ได้มีหนังสือเห็นชอบกับมาตรการดังกล่าวแล้ว

Advertising

ประยุทธ์ เตรียมเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ท่าอากาศยานเบตง จันทร์ที่ 14 มี.ค.นี้

People Unity News : ประยุทธ์ เตรียมเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ท่าอากาศยานเบตง จันทร์ที่ 14 มี.ค.นี้

12 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเป็นประธานเปิด “เที่ยวบินปฐมฤกษ์  ท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา” วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ณ อาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานเบตง ตำบลยะรม อำเภอเบตง จังหวัดยะลา

นายธนกรกล่าวว่า สนามบินเบตง เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2560 แล้วเสร็จเมื่อปี 2562 อาคารที่พักผู้โดยสาร มีพื้นที่ประมาณ 7,000 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วนได้ประมาณ 300 คนต่อชั่วโมง และรองรับผู้โดยสารได้ 876,000 คนต่อปี ทางวิ่งหรือรันเวย์มีขนาดความยาว 1,800 เมตร รองรับได้เฉพาะอากาศยานขนาดเล็ก เช่น เครื่องบินแบบใบพัด ATR 70-80 ที่นั่ง สำหรับเส้นทางบินและการขึ้นลงของอากาศยาน จะอยู่ในน่านฟ้าของประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีล้ำเข้าไปในน่านฟ้าของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ปัญหาการเดินทางสู่อำเภอเบตงที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชันไม่สะดวกต่อการเดินทางให้สัญจรไปมาได้สะดวก ปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่

“สนามบินเบตง จังหวัดยะลา เริ่มหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2558 ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเห็นชอบในหลักการให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง ระยะเวลาดำเนินโครงการ 3 ปี (2559 – 2561) เพื่อจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของอําเภอเบตงของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีมุ่งหวังให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะส่งผลในเรื่องความมั่นคงในพื้นที่ด้วย อีกทั้งสามารถสร้างความร่วมมือระหว่างการพาณิชย์ในระดับประเทศและต่างประเทศ และยังส่งเสริมการรองรับตลาดการท่องเที่ยว การพาณิชย์ เพื่อการลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น โดยเฉพาะรัฐปีนัง เคดาร์ เปรัค ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดน รวมทั้งเพื่อเป็นการพัฒนาสภาพสังคม จิตวิทยา การเมือง การปกครองของ ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งเพื่อสนองนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและนโยบายเปิดการค้าเสรีอาเซียนของรัฐบาล” นายธนกร กล่าว

Advertising

ก.คลังเผยยอดใช้จ่ายการบริโภค 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อ มีผู้ใช้สิทธิ 40.72 ล้านราย วงเงิน 53,889.99 ลบ.

People Unity News : ก.คลังเผยยอดใช้จ่ายการบริโภคผ่าน 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อ มีผู้ใช้สิทธิรวม 40.72 ล้านราย ยอดใช้จ่ายรวม 53,889.99 ล้านบาท

4 มี.ค. 2565 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศปี 2565 ซึ่งประกอบด้วย โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 4 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษระยะที่ 2 และโครงการคนละครึ่งระยะที่ 4 พบว่า จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 3 มีนาคม 2565 ณ เวลา 23.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 40.72 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวมทั้งหมด 53,889.99 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้

  1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 13.28 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 4,116.12 ล้านบาท
  2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 1.21 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 352.97 ล้านบาท
  3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มเดิมฯ) จำนวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 48,384.0 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มใหม่ฯ) จำนวน 7.7 แสนราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 1,036.9 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิทั้งหมดจำนวน 26.23 ล้านราย และยอดการใช้จ่ายรวม49,420.9 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 25,104.7 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 24,316.2 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 20,417.0 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 8,553.9 ล้านบาท ร้านOTOP 2,213.6 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 17,279.6 ล้านบาท ร้านบริการ 867.7 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 89.1 ล้านบาท โดยมีประชาชนที่ได้รับสิทธิทั้งหมด 26.38 ล้านราย ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ ที่กดยืนยันสิทธิและมีการใช้สิทธิโครงการฯ ระยะที่ 4 แล้ว จำนวน 25.46 ล้านราย จากจำนวนผู้ใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 26.35 ล้านราย สำหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วจำนวน 1.35 ล้านราย โดยเป็นผู้ประกอบการรายใหม่  2.58 หมื่นราย

สำหรับข้อมูลการใช้จ่ายสะสมผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีการใช้จ่ายสะสม 1,424.7 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 737.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย  687.4 ล้านบาท และในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มมีจำนวน 9.23 หมื่นราย

ทั้ง 3 โครงการดังกล่าวข้างต้น ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ารายใหม่ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ผ่าน www.คนละครึ่http://xn--72c.com/ หรือติดต่อเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่หรือสาขาธนาคารกรุงไทยฯ ได้อย่างต่อเนื่องจนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัคร

Advertising

ครม. ไฟเขียว 2 มาตรการภาษี ดึงต่างชาติศักยภาพสูงเข้าประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

People Unity News : ครม. ไฟเขียว 2 มาตรการภาษี ดึงต่างชาติศักยภาพสูงเข้าประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

23 ก.พ. 2565 ที่ประชุม ครม. เมื่อวาน (22 ก.พ. 65) อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร โดยเป็นมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงทางด้านเศรษฐกิจ/ความรู้ความเชี่ยวชาญสู่ประเทศไทย กระตุ้นการบริโภค การลงทุน และขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศเพิ่มขึ้น ดังนี้

1.การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับชาวต่างชาติผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (LTR Visa) 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ และกลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย

2.การลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือ 17% สำหรับผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี หากจบการศึกษาปริญญาโทขึ้นไป และมีประสบการณ์ทำงาน 5 ปีในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

Advertising

ประยุทธ์ พอใจเศรษฐกิจไทยปี 64 เติบโต 1.6% สูงกว่าคาด

People Unity News : ประยุทธ์ พอใจเศรษฐกิจไทยปี 2564 เติบโต 1.6% สูงกว่าคาด ย้ำเดินหน้าฟื้นฟูประเทศในภาคท่องเที่ยว เร่งการลงทุนภาครัฐ ผลักดันการส่งออก ดูแลปัญหาหนี้สินครัวเรือน พร้อมจำกัดวงการแพร่ระบาดโควิด-19

22 ก.พ. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4/64 และทั้งปี 2564 จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ว่าทั้งปี 2564 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 1.6% ซึ่งสูงกว่าที่ สศช. ได้ประมาณการไว้ 1.2%

ทั้งนี้ การเติบโตในหลายส่วนก็เป็นผลจากมาตรการต่างๆของรัฐบาล เช่น การบริโภคของประชาชนที่ดีขึ้นจากที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยา แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย การบริโภคและลงทุนของรัฐที่เติบโตจากการเร่งรัดการเบิกจ่าย ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจากการทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวภายใต้มาตรการที่ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการดูแลประชาชนทั้งด้านการป้องกันและรักษาจากโรคโควิด-19

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีพอใจกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเผชิญกับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงเช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลก โดยรัฐบาลได้พยายามทุกวิถีทางอย่างเต็มที่ในการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

สำหรับปี 2565 ที่สภาพัฒน์ได้ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายด้านแต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าในปี 2565 นี้รัฐบาลจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของโควิด-19 ควบคู่ไปกับการดูแลการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด

โดยรัฐบาลจะรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวมาได้แล้วตั้งแต่ปลายปี 2564 ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายในครัวเรือน ที่จะมีการดูแลกลไกต่างๆ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาสินค้าและค่าครองชีพของประชาชน แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนให้ต่อเนื่อง  ฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว เร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐทั้งส่วนของรายจ่ายประจำและการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่การลงทุนเอกชนจะดำเนินนโยบายสนับสนุนทั้งการฟื้นตัวและลงทุนของนักลงทุนไทย และการดึงดูดลงทุนของต่างชาติ ตลอดจนการขับเคลื่อนการส่งออกที่ปีนี้จะยังคงได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายกระทรวงการคลังและ สศช. ในการเฝ้าติดตามประเด็นความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกที่อาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยต่างๆ  เช่น กรณีที่เกิดไวรัสกลายพันธุ์  นโยบายเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารประเทศต่างๆ ที่เริ่มปรับตัวตามแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วโลก ตลอดจนความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดในบางพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลมีนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป

Advertising

ประยุทธ์ หารือ หอการค้าร่วมต่างประเทศ แสวงหาความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน

People Unity News : ประยุทธ์ หารือ หอการค้าร่วมต่างประเทศ ยืนยันพร้อมร่วมมือทุกมิติ มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ Upskill – Reskill

วันนี้ (17 ก.พ. 65) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ นายสแตนลีย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ เพื่อหารือด้านความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และแก้ไขปัญหาที่ยังเป็นอุปสรรคระหว่างกันจากสถานการณ์โควิด-19

ด้านประธาน JFCCT ขอบคุณรัฐบาลสำหรับการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนทางการค้าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และแสดงความเชื่อมั่นนโยบายการเปิดประเทศของไทย และพร้อมสนับสนุนการพัฒนาทักษะของทรัพยากรบุคคล (Upskill – Reskill) ผ่านการอบรม และใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ ซึ่งจะถ่ายทอด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล ซึ่งไทยกำหนดให้ “ประเทศไทย 4.0” เป็นแนวนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นโยบายสีเขียว BCG Model และการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี 2565 และให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการดำเนินธุรกิจของ ภาคเอกชนบนพื้นฐานของ ESG จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนได้

Advertising

ออมสิน ผลักดันปี 65 ปีแห่งการแก้หนี้สินภาคครัวเรือน วาระแห่งชาติตามนโยบายรัฐ

People Unity News : ออมสิน ผลักดัน ปี 65 ปีแห่งการแก้หนี้สินภาคครัวเรือน วาระแห่งชาติตามนโยบายรัฐ

15 ก.พ. 65 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เร่งดำเนินการแก้ไขหนี้สินให้กับประชาชน ให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขหนี้สินภาคครัวเรือน ธนาคารออมสินตระหนักถึงสภาพปัญหาที่ลูกหนี้หรือประชาชนต้องเผชิญกับความยากลำบากที่เกิดขึ้น  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ต้องขาดรายได้ ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารจึงได้ออกมาตรการ “ชะลอการดำเนินการทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs” จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เพื่อช่วยไม่ให้ลูกหนี้ต้องกังวลเรื่องคดีความ และขับเคลื่อนนโยบายรัฐในการช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้ มาตรการชะลอหรือผ่อนปรนการดำเนินการทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโควิด 19 ครั้งนี้ จัดทำขึ้นเพื่อช่วยลดภาระลูกหนี้ที่กลายเป็น NPLs ก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ประกอบด้วยสินเชื่อ 4 ประเภท ได้แก่ สินเชื่อบุคคล-รายย่อย สินเชื่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย สินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา และ สินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยธนาคารจะชะลอการฟ้องคดีต่อศาลไว้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ซึ่งรวมถึงลูกหนี้ที่มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นศาล และมีการผ่อนชำระดีมาอย่างต่อเนื่อง แต่มาเริ่มค้างชำระในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 – 31 ธันวาคม 2564 ธนาคารจะชะลอการดำเนินการทางกฎหมาย โดยชะลอไม่ฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์ ไม่ขายทอดตลาด และไม่ฟ้องล้มละลาย แล้วแต่กรณีตามสถานะของลูกหนี้แต่ละราย

อนึ่ง ในปี 2564 มีลูกหนี้ที่เป็น NPLs ที่ได้รับประโยชน์ หรือความช่วยเหลือจากมาตรการชะลอการดำเนินการทางกฎหมายจำนวนมาก และปัจจุบันลูกหนี้ดังกล่าวมีสถานะปกติแล้ว ดังนั้น ธนาคารจึงขอแนะนำให้ลูกหนี้ที่ประสบปัญหา โปรดติดต่อธนาคารออมสินสาขาเจ้าของบัญชีเงินกู้ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2565 นี้.  https://www.gsb.or.th/news/gsbpr3-65/

Advertising

รัฐบาลเปิดแผนโครงการรถไฟ “ไทย-ลาว-จีน” รองรับการเดินทางและขนส่งระหว่างประเทศ

People Unity News : รัฐบาลเปิดแผนโครงการรถไฟ “ไทย – ลาว – จีน” รองรับการเดินทางและขนส่งระหว่างประเทศ

14 ก.พ. 65 จากโครงการรถไฟลาว – จีน ที่เริ่มเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา รัฐบาลพร้อมเดินหน้าเชื่อมโยงโครงข่ายทางรถไฟไทย ลาว และจีน เพื่อรองรับการเดินทางและขนส่งระหว่างประเทศ ด้วยแผนดำเนินการเชื่อมโยงรถไฟระหว่าง 3 ประเทศ ดังนี้

✔️แผนการก่อสร้างของ รฟท.

🚝โครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา มีระยะทาง 250 กิโลเมตร มีสถานีทั้งหมด 6 สถานี ประกอบด้วย สถานีกลางบางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา  ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดให้บริการ ปี 2569

🚝โครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 นครราชสีมา – หนองคาย เป็นส่วนต่อขยายของโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 รวมระยะทางโดยประมาณ 356 กิโลเมตร มีสถานีทั้งหมด 5 สถานี ได้แก่ บัวใหญ่ บ้านไผ่ ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำรายงาน EIA คาดว่าจะเปิดให้บริการ 2571

🚝โครงการรถไฟทางคู่ช่วงขอนแก่น – หนองคาย มีระยะทางโดยประมาณ 167 กิโลเมตร มีสถานีทั้งหมด 15 สถานี ปัจจุบันอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในเดือน ก.พ. 2565

✔️การบริหารจัดการใช้ทางรถไฟและการใช้สะพาน

🚝เพิ่มขบวนรถขาไป 7 ขบวนและขากลับ 7 ขบวน รวม 14 ขบวน รองรับขบวนละ 25 แคร่ โดยกรมทางหลวงทำการทดสอบการรับน้ำหนักรถไฟ ในระดับ U-20 เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของสะพานต่อไป

🚝ก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ใกล้กับสะพานเดิมที่มีอยู่แล้ว ห่างประมาณ 30 เมตร ที่มีทั้งทางรถไฟขนาดมาตรฐาน และทางขนาด 1 เมตร ปัจจุบันได้ข้อตกลงว่าฝ่ายไทยและลาวจะร่วมลงทุนค่าใช้จ่ายร่วมกันในอาณาเขตของแต่ละฝ่าย (อยู่ระหว่างหาข้อสรุปของผู้รับผิดชอบด้านการออกแบบ)

✔️ การพัฒนาย่านขนถ่ายสินค้า

พื้นที่ด่านศุลกากรหนองคายคาดว่ามีความสามารถในการรองรับรถบรรทุกได้สูงสุด 650 คันต่อวัน แนวทางพัฒนาย่านขนถ่ายสินค้าของฝั่งไทย – ลาว ที่ใช้ขนส่งสินค้าข้ามแดนผ่านทางรถไฟช่วงหนองคาย – เวียงจันทน์ แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ

ระยะเร่งด่วน : การพัฒนาย่านสถานีหนองคายเป็นพื้นที่เปลี่ยนถ่ายสินค้า

ระยะยาว : การพัฒนาพื้นที่นาทาเพื่อเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าและย่านกองเก็บตู้สินค้า (เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าในอนาคต)

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้จัดการประชุมสร้างความเข้าใจร่วมกับภาคเอกชนต่อการดำเนินการเชื่อมโยงทางรถไฟระหว่างไทย ลาว และจีน เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างรอบด้าน จึงจำเป็นต้องมีการรับฟังความเห็นของภาคเอกชน เพื่อเป็น Team Thailand ร่วมกับภาครัฐของไทย ในการจัดทำแผนเชื่อมโยงระหว่างสามประเทศทั้ง ไทย ลาว และจีนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย

Advertising

รัฐบาลชวนสายเที่ยว-บริษัททัวร์ ร่วมโครงการทัวร์เที่ยวไทย เผยเหลือสิทธิ์กว่า 168,000 สิทธิ์

People Unity News : รัฐบาลเชิญชวนสายเที่ยว-บริษัททัวร์ ร่วมโครงการทัวร์เที่ยวไทย เผยเหลือสิทธิ์กว่า 168,000 สิทธิ์ นายกรัฐมนตรีกำชับปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคเข้มงวด

11 ก.พ. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาโครงการทัวร์เที่ยวไทยจากเดิมสิ้นสุดเดือน ก.พ. 2565 ไปสิ้นสุด พ.ค. 2565 ขณะนี้ระบบได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนซื้อรายการนำเที่ยว บริษัทนำเที่ยวรายเดิมเริ่มส่งรายการนำเที่ยว และบริษัทนำเที่ยวรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้แล้ว จึงขอเชิญชวนทั้งประชาชนที่สนใจ และผู้ประกอบการนำเที่ยวเข้าร่วมโครงการ

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถดำเนินการขอรับสิทธิตามโครงการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ โดยสามารถตรวจสอบแพ็คเกจท่องเที่ยวของบริษัทนำเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย ซึ่งมีการจัดแบ่งกลุ่มให้เลือก 3 กลุ่ม  ประกอบด้วยกลุ่ม silver เป็นแพ็คเกจทัวร์ราคาถูก กลุ่ม Gold แพ็คเกจทัวร์ราคาปานกลาง และกลุ่ม Platinum แพ็คเกจทัวร์ราคาสูง

ขณะที่ผู้ประกอบการนำเที่ยวรายเดิมสามารถยื่นรายการนำเที่ยวส่วนผู้ประกอบการรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและศึกษารายละเอียดขั้นตอนและหลักเกณฑ์ตามโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย  ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.พ. 2565 เหลือสิทธิตามโครงการกว่า 168,000 สิทธิ จากที่รัฐบาลให้สิทธิ 2 แสนสิทธิ

สำหรับสิทธิตามโครงการนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนลดค่าแพ็คเกจท่องเที่ยวในประเทศให้ประชาชนผู้ร่วมโครงการ 40% แต่ไม่เกิน 5,000 บาท/สิทธิ โดยให้ 1 สิทธิต่อคน  รวมทั้งหมด 2 แสนสิทธิ  โดยผู้จะเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป และจะไม่สามารถใช้แพ็คเกจท่องเที่ยวของโครงการทัวร์เที่ยวไทยในช่วงเวลาเดียวกับการเข้าพักโรงแรม/ที่พักของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ได้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม  ได้กำชับว่าเนื่องจากขณะยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงขอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้มงวดในเรื่องของการกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ และกำกับให้ผู้ประกอบการนำเที่ยวดูแลนักท่องเที่ยวตามมาตรการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด

Advertising

Verified by ExactMetrics