วันที่ 9 พฤษภาคม 2024

ครม. อนุมัติงบกลาง 1,334 ล้านบาทให้ สธ.แก้ปัญหาโรคโควิด  และจัดซื้อยา “โมลนูพิราเวียร์”

People Unity News : ครม. อนุมัติงบกลาง 1,334 ล้านบาท แก้ปัญหาโรคโควิด  จัดซื้อยา “โมลนูพิราเวียร์” สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน

ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 9 พ.ย.64 อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 1,334.945 ล้านบาท ประกอบด้วย 4 หน่วยงาน

1.สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 528,400,000 บาท

2.กรมการแพทย์ จำนวน 500,000,000 บาท สำหรับจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์

3.กรมควบคุมโรค จำนวน 58,165,000 บาท

4.กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จำนวน 248,380,000 บาท

พร้อมรับทราบโครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระยะการระบาดระลอก เม.ย. 64 โดยมุ่งสร้างความเชื่อมั่น ความมั่นคงด้านสุขภาพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเสริมสร้างสังคมวัฒนธรรม ให้ประชากรในประเทศ – บุคลากรด่านหน้า ได้รับการดูแล ป้องกัน และรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็ว

Advertising

ประยุทธ์ ห่วงการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ ย้ำไม่ว่าคนภาคไหนก็คนไทยเหมือนกัน  

People Unity News : โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ห่วงการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ ย้ำไม่ว่าคนภาคไหนก็คนไทยเหมือนกัน รัฐบาลดูแลทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม ขอคนไทยสามัคคีอย่าขัดแย้งสร้างความแตกแยกในสังคม

9 พ.ย. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยกรณีการเปิดแสดงความคิดเห็นใน club house กล่าวถึงคนภาคอีสานในด้านลบ จนผู้คนในสังคมส่วนหนึ่งถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์การแบ่งแยกกลุ่มคน ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียที่มีลักษณะก่อให้เกิดการโต้แย้ง แบ่งแยกคนในสังคมได้ ทั้งนี้ ประเทศไทยประกอบด้วยพื้นที่ทุกภาคของแผ่นดินไทยและคนไทยทุกคนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลยึดหลักบริหารราชการแผ่นดิน โดยมุ่งสร้างความรัก ความสามัคคี ความเข้มแข็งให้กับคนไทยทุกภาค เพราะไม่ว่าจะเป็นคนภาคไหนก็เป็นคนไทยเหมือนกันและรัฐบาลนี้มีหน้าที่ดูแลประชาชนในทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียมกัน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้ดำรงตำแหน่งกว่า 7 ปี ก็ได้ลงพื้นที่ทั่วทุกภาคของประเทศซึ่งทุกครั้งที่ลงพื้นที่ได้พูดคุยกับคนทุกภาคซึ่งทุกคนยืนยันรักประเทศและจะร่วมกับรัฐบาลในการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อนำความเจริญมาสู่ภูมิภาคและพื้นที่ของตนเอง และไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ กลาง อีสาน ตะวันออก ตะวันตกและใต้ ต่างมีความหลากหลายของธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์  จึงอยากให้ทุกฝ่ายเปิดใจและให้เคารพซึ่งกันและกัน  ทั้งนี้ ขอเตือนผู้จงใจไม่ว่าจะฝ่ายไหนกลุ่มไหน หากตั้งใจใช้โซเซียลเป็นเครื่องมือสร้างความวุ่นวายในสังคมโดยเป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จ บิดเบือนใส่ร้าย และสร้างความเสียหายให้กับประชาชน มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาทด้วย

“ท่านนายกรัฐมนตรียังฝากถึงผู้ใช้โซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ให้ใช้สื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะอย่างเข้าอกเข้าใจกัน เห็นใจซึ่งกันและกัน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง หรือการแตกแยกในสังคม ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเดินหน้าเข้าสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาโควิด-19” นายธนกร กล่าว

Advertising

กรมสุขภาพจิต ใช้หลัก 3As โน้มน้าวใจประชาชนให้เชื่อมั่นเข้ารับวัคซีนโควิด-19

People Unity News : กรมสุขภาพจิต ใช้หลัก 3As โน้มน้าวใจประชาชนให้เชื่อมั่นเข้ารับวัคซีนโควิด-19

7 พ.ย.64 กรมสุขภาพจิต ห่วงประชาชนที่ลังเลฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือที่เรียกว่า Vaccine Hesitancy ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เป็น 1 ใน 10 ภัยคุกคามระดับโลกทางสาธารณสุข โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ,ผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป หากติดเชื้อเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิต

สำหรับแนวทางการจัดการเพื่อให้ประชาชนยอมรับวัคซีนในกลุ่มที่มีความลังเล ต้องใช้การสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจโดยใช้หลัก 3As : Ask Affirm Advice

1.ถามเป็น ใช้คำถามปลายเปิดว่ารู้สึกกังวลหรือเป็นห่วงเรื่องอะไร

2.ชมเป็น นำคำตอบมาชื่นชม เช่น การเป็นห่วงสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ดี

3.แนะเป็น ให้คำแนะนำตรงกับสิ่งที่เป็นห่วง เช่น กลัวอาการข้างเคียงรุนแรง แนะนำว่า มีการดูแลหลังฉีดวัคซีน และผู้ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่พบอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อความลังเลใจลดลงแล้ว ควรรีบให้วัคซีนโดยเร็วที่สุด

ส่วนกลุ่มที่มีการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ให้พยายามสอบถามและรับฟังข้อมูล จากนั้นอาจส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ให้ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต โทร. 1323

Advertising

โฆษก รบ.เผย ประยุทธ์ มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตนเอง

People Unity News : โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่าน “โครงการบ้านล้านหลัง ธอส.” เผยมีผู้ลงทะเบียนแล้ว 60,752 ราย วงเงินยื่น 72,902 ล้านบาท เชิญชวนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนขอสินเชื่อเพื่อโอกาสมีบ้านเป็นของตนเอง

27 ตุลาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐบาล มีความมุ่งมั่นที่ต้องการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ได้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ราคาไม่แพง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ผู้ที่เริ่มต้นทำงานเพื่อสร้างครอบครัว และผู้สูงอายุ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ก.ย.64 มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดำเนินการโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ หรือ โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 โดยปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการอีกจำนวน 20,000 ล้านบาท และปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่เหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าของผลการดำเนินงานโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ล่าสุด ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2564 ได้มีผู้ลงทะเบียนกับ ธอส. แล้วจำนวน 60,752 ราย วงเงินยื่นกู้ 72,902 ล้านบาท และได้ยื่นกู้สะสมจำนวน 2,479 ราย ซึ่ง ธอส. ได้มีการอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 1,845 ราย คิดเป็นมูลค่า 1,509 ล้านบาท โดย ธอส. กำลังเร่งพิจารณาตามขั้นตอนเพื่อการอนุมัติสินเชื่อให้กับประชาชนผู้ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขของโครงการฯ ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังได้กำกับให้ ธอส. พิจารณาการอนุมัติสินเชื่อด้วยความละเอียดรอบคอบ เหมาะสม โดยคำนึงถึงการให้สินเชื่อแก่ผู้กู้ที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยมาก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อสร้างโอกาสและสนับสนุนประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยได้มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึง  จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการขอสินเชื่อ ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เพื่อโอกาสในการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองตั้งแต่บัดนี้ เพื่อให้สามารถทำนิติกรรมได้ภายในวันที่ 30 ธ.ค.66 หรือก่อนเต็มกรอบวงเงินของโครงการ

“โครงการบ้านล้านหลังระยะที่ 2 เป็นการดำเนินการสานต่อความสำเร็จของโครงการบ้านล้านหลังระยะแรก ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรีที่มีความมุ่งมั่นช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อย ให้ประชาชนได้มีบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ที่มุ่งเน้นสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าว จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ทำให้ประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้สามารถมีบ้านเป็นของตนเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

สำหรับรายละเอียดสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ที่สำคัญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 1.99% ต่อปี ให้กู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาซื้อ-ขายไม่เกิน 1,200,000 บาท ทั้งบ้านใหม่ บ้านมือสอง และทรัพย์ NPA ของ ธอส. เงินงวดคงที่นานถึง 84 งวดแรก ฟรีค่าธรรมเนียม 4 ประเภท คือ 1. ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้) 2. ค่าประเมินราคาหลักประกัน (1,900-2,300 บาท) 3. ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท ต่อราย) และ 4. ค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง (1% ของวงเงินจำนอง) ระยะเวลาผ่อนไม่น้อยกว่า 7 ปี และผ่อนสูงสุดไม่เกิน 40 ปี อายุผู้กู้รวมกับระยะเวลาที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ยกเว้น ข้าราชการตุลาการ อัยการ หรืออื่นๆ ที่มีอายุเกษียณมากกว่า 60 ปี อายุผู้กู้เมื่อรวมกับระยะเวลาที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 75 ปี

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจและผู้ที่มีคุณสมบัติและต้องการขอสินเชื่อ สามารถรับรหัสเข้าร่วมโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ได้ เพียงดาวน์โหลด Mobile Application : GHB ALL และกดลงทะเบียนเพื่อรับรหัสเข้าร่วมโครงการ 9 ตัวทาง GHB Buddy บน Application Line (ตัวอักษร 3 ตัว และตัวเลข 6 ตัว) เพื่อนำมาแสดงในการยื่นขอสินเชื่อ และทำนิติกรรมได้ภายในวันที่ 30 ธ.ค.66 หรือ ก่อนเต็มกรอบวงเงินของโครงการ ทั้งนี้ เงื่อนไขอื่นๆเป็นไปตามที่ ธอส. กำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ www.ghbank.co.th

Advertising

อนามัยโพล สำรวจพบคนไทยร้อยละ 94 กังวลกับการเปิดประเทศ

People Unity News : อนามัยโพล สำรวจพบคนไทยร้อยละ 94 กังวลกับการเปิดประเทศ

25 ต.ค.64 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ภายหลังที่ ศบค. มีคำสั่งเปิดประเทศเริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้ จากผลการสำรวจของกรมอนามัยระหว่างวันที่ 14-20 ตุลาคม 2564 เกี่ยวกับความคิดเห็นต่อประเด็น เปิดประเทศ พบคนไทยร้อยละ 94 มีความกังวลกับการเปิดประเทศ โดยมีความเชื่อมั่นต่อการควบคุมป้องกันโรคร้อยละ 28 ในขณะที่ร้อยละ 72 มีความคิดเห็นว่าควรเพิ่มมาตรการที่จะทำให้เชื่อมั่นว่า หากเปิดประเทศแล้วจะปลอดภัยด้วยการเร่งฉีดวัคซีนให้ทุกคนทั่วประเทศครบตามเกณฑ์ครอบคลุมทุกจังหวัด ร้อยละ 70 ขึ้นไป ให้มีการคุมเข้มการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดนร้อยละ 60 และมีการกำกับ ติดตาม การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคของสถานประกอบการและประชาชนอย่างเคร่งครัดร้อยละ 55

สำหรับสถานประกอบกิจการต่างๆ ขอให้เพิ่มความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยให้พนักงานทุกคนที่ใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยว ควรได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่ราชการกำหนด หรือตรวจ ATK ทุก 7-14 วัน มีการคัดกรองพนักงานด้วย “ไทยเซฟไทย” ทุกวัน หากพบว่ามีอุณหภูมิเกินกว่าที่กำหนดและมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อให้ตรวจด้วย ATK ทันที

สำหรับมาตรการด้านความปลอดภัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม ให้ประเมินตนเองตามหลักเกณฑ์ของ Thai Stop COVID Plus ทุกเดือน และติดใบรับรอง Certificate ในบริเวณที่ผู้รับบริการและที่เจ้าหน้าที่สามารถสแกน QR Code เพื่อตรวจสอบได้ รวมทั้งต้องผ่านเกณฑ์การประเมิน SHA Plus ที่เน้นการระบายอากาศที่ดี เพียงพอ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ควบคุม จำนวนพนักงานและลูกค้า 1 คน ต่อ 4 ตารางเมตร และทำความสะอาดจุดเสี่ยงที่มีการสัมผัสร่วม โดยเพิ่มความถี่ เมื่อมีผู้รับบริการมากขึ้น อย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวไทยต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด

Advertising

กองทัพบก ตั้งจุดบริการประชาชนหน้าค่ายทหาร อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทาง

People Unity News : กองทัพบก ตั้งจุดบริการประชาชนหน้าค่ายทหาร อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางช่วงวันหยุดยาว

22 ตุลาคม 2564 พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบก มอบค่ายทหารที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางหลัก ที่ประชาชนใช้สัญจรเป็นจำนวนมากในหลายจังหวัด ตั้งจุดบริการประชาชนหน้าค่ายทหาร “พักคน พักรถ หน้าค่าย” รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ที่เดินทางในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ทั้งสถานที่พักรถ พักคน บริการน้ำดื่ม แนะนำเส้นทาง รับแจ้งเหตุด่วน ชุดแพทย์จากโรงพยาบาลค่ายเตรียมการปฐมพยาบาล แจกแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย ให้คำแนะนำการป้องกันโควิด-19 มีเจ้าหน้าที่ทหารจิตอาสา สารวัตรทหาร คอยดูแลประชาชนให้ใช้เส้นทางได้อย่างปลอดภัย

พร้อมทั้งจัดตู้ปันสุขไว้บริการให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิค-19 ด้วย อาทิ จุดบริการประชาชน บนถนนสายเอเซีย ช่วงจังหวัดนครสวรรค์ หน้าค่ายจิระประวัติ โดยมณฑลทหารบกที่ 31 บริการผู้สัญจรขึ้นล่องภาคเหนือ จุดบริการบริเวณลานอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ (หน้าค่ายกาวิละ) จังหวัดเชียงใหม่ โดยมณฑลทหารบกที่ 33

Advertising

“ประยุทธ์” ห่วงใยสถานการณ์โควิด 4 จ.ชายแดนใต้ ยังพบยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม

People Unity News : ประยุทธ์ ห่วงใยสถานการณ์โควิด-19 4 จ.ชายแดนใต้ ยังพบยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม วอนประชาชนแม้อยู่ภายในครอบครัว ต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข Universal Prevention อย่างเคร่งครัด

18 ต.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นด้วยความห่วงใย ย้ำประชาชนทุกคนรวมถึงผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ยึดหลักปฏิบัติตนตามการป้องกันการติดเชื้อโควิด19 ส่วนบุคคล แบบครอบจักรวาล (Universal Prevention)  อย่างเคร่งครัด งดการรวมกลุ่มหรือจัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น แม้อยู่บ้าน ก็ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า หมั่นล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างกันภายในครอบครัว เพื่อลดการติด/แพร่เชื้อภายในครอบครัวด้วย นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือกิจการร้านค้า ตลาด ชุมชนต่างๆ ยกระดับความปลอดภัยกิจการ/กิจกรรม ตามมาตรการ “โควิดฟรีเซตติ้ง” (COVID Free setting) ด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังสั่งการเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ คุมเข้มสถานบริการ ผับ คาราโอเกะ ที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ  หากพบแอบเปิดให้บริการหรือจำหน่ายสุรา จะถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

“นายกรัฐมนตรียังเร่งให้มีการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 และชุดตรวจเร็ว ATK  เวชภัณท์และยา พร้อมแต่งตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สั่งการให้ตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศบค.ส่วนหน้า ขณะนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศบค.ส่วนหน้า จะบูรณาการทำงานกับคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด เพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการควบคุมให้เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมทั้งการล็อคดาวน์พื้นที่บางส่วน เพื่อเร่งควบคุมการแพร่ระบาดโดยเร็ว” นายธนกร กล่าว

Advertising

ธอส.รับนโยบายนายกรัฐมนตรีช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ลงพื้นที่แจกถุงยังชีพ จ.อยุธยา

People Unity News : ธอส. รับนโยบายนายกรัฐมนตรี เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ลงพื้นที่แจกถุงยังชีพในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ณ วัดสะตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 300 ชุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน พร้อมให้คำปรึกษาแนวทางช่วยเหลือผ่าน 7 มาตรการ ตาม “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2564”

14 ตุลาคม 2564 นายยุทธนา หยิมการุณ ประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้รัฐมนตรี รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกันลงพื้นที่ประสบอุทกภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วนนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สังกัดกระทรวงการคลัง ได้ติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด พร้อมกับให้ความช่วยเหลือลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องผ่าน “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2564”  และในวันนี้ (14 ตุลาคม 2564) ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานของธนาคาร นำโดย นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. จึงได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ จำนวน 300 ชุด ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ บริเวณวัดสะตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และยังได้รับฟังความต้องการของประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย รวมถึงให้คำแนะนำแนวทางความช่วยเหลือของธนาคารทั้ง 7 มาตรการตาม “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2564” กรอบวงเงินรวมของโครงการ 100 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งการลดดอกเบี้ย ให้กู้เพิ่ม/กู้ใหม่อัตราดอกเบี้ยต่ำ มาตรการประนอมหนี้ ปลอดหนี้ และพิจารณาสินไหมเร่งด่วนให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้รับทราบ โดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารเปิดจุดบริการพิเศษเพื่อรับคำขอเข้ามาตรการและให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่ง ธอส. ยืนยันว่าพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงปัจจุบัน ธอส. ได้ส่งมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัยมาแล้วกว่า 3,000 ชุด ให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างภาคกลาง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวม 13 จังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

Advertising

กรมอนามัย จัด ATK 250,000 ชุด ผ่านศูนย์อนามัย กระจายสู่ผู้ประกอบกิจการด้านอาหาร

People Unity News : กรมอนามัย จัด ATK 250,000 ชุด ผ่านศูนย์อนามัย กระจายสู่ผู้ประกอบกิจการด้านอาหาร

6 ต.ค.2564 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ตามที่ ศบค. ได้ผ่อนคลายสถานประกอบกิจการต่างๆนั้น แต่เนื่องจากยังอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 จึงคงต้องปฏิบัติภายใต้มาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการขอความร่วมมือพ่อค้าแม่ค้า ผู้ขาย พนักงานบริการในร้านอาหาร และพนักงานส่งอาหาร ได้คัดกรองความเสี่ยงด้วยชุดตรวจ ATK ทุก 7 วัน

ขณะนี้ กรมอนามัยได้สนับสนุนชุดตรวจ ATK จำนวน 250,000 ชุด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ผู้ประกอบกิจการร้านอาหารทั่วประเทศผ่านศูนย์อนามัย ได้แก่ ตลาด 157,452 ชุด ร้านอาหาร 68,596 ชุด แผงลอย 18,876 ชุด และเดลิเวอรี 5,076 ชุด

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ในการตรวจ ATK แต่ละสถานประกอบการขอให้ปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ ตลาด ต้องเป็นตลาดค้าส่งและตลาดขนาดใหญ่ ที่มีการแพร่ระบาด และมีความเสี่ยงสูง ให้สุ่มตรวจผู้ที่มีความเสี่ยงสูงร้อยละ 10 ผู้มีประวัติพบผู้ติดเชื้อ ผู้ใกล้ชิดหรือสัมผัสผู้ป่วย และผู้ที่มีลักษณะการพักอาศัยที่มีจำนวนคนมากพักรวมกัน หรือมีความเสี่ยง ซึ่งหน่วยบริการสามารถปรับจำนวนได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ , ร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านที่ซื้อวัตถุดิบจากตลาดที่มีประวัติพบผู้ติดเชื้อ ร้านที่พบผู้ติดเชื้อ และ/หรือร้านที่พนักงานยังไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 , แผงลอย เน้นที่มีการซื้อวัตถุดิบจากตลาดที่มีประวัติพบผู้ติดเชื้อหรือมีการสุ่มตรวจ ATK มีการจำหน่ายอาหารในบริเวณเขตพื้นที่ได้รับอนุญาตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือมีปัจจัยเสี่ยงบุคคลในครอบครัวหรือคนใกล้ชิดเป็นโควิด-19 หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 และเดลิเวอรี่ ต้องเป็นพนักงานที่ปฏิบัติงานในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน มีปัจจัยเสี่ยงบุคคลในครอบครัวหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคโควิด-19 และอยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19

ทั้งนี้ ขอให้สถานประกอบกิจการด้านอาหาร คุมเข้มในการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) ควบคู่กันไป เพื่อป้องกันการติดและแพร่เชื้อโควิด-19 ด้วยหลักปฏิบัติ 10 ข้อสำคัญ

Advertising

กยศ.เพิ่มวงเงินให้กู้เป็น 40,000 ล้าน รองรับนักเรียน-นักศึกษากู้ 700,000 ราย

People Unity News : กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ขยายกรอบการให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 โดยเพิ่มวงเงินให้กู้ยืมเป็น 40,000 ล้านบาท เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษา จำนวน 700,000 ราย พร้อมขยายเวลายื่นขอกู้ยืมเงินภาคเรียนที่ 1/2564 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีผู้ประสงค์จะขอกู้ยืมเพื่อการศึกษามากขึ้น คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบในการขยายกรอบวงเงินการให้กู้ยืมแก่นักเรียน นักศึกษาผู้ประสงค์ขอกู้ยืมในปีการศึกษา 2564 จากเดิมที่กองทุนได้กำหนดกรอบการให้กู้ยืมไว้ จำนวน 38,587 ล้านบาท สำหรับผู้กู้ยืม จำนวน 623,891 ราย โดยได้เพิ่มกรอบวงเงินเป็น 40,000 ล้านบาท สำหรับผู้กู้ยืม จำนวน 700,000 ราย เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่างๆ ให้กับนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครองที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงขอให้ผู้ปกครองไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายในการศึกษาของบุตรหลาน ทั้งนี้ กองทุนขอยืนยันว่ากองทุนมีเงินให้กู้ยืมเพียงพอสำหรับนักเรียน นักศึกษาได้มีโอกาสได้เรียนต่ออย่างแน่นอน ซึ่งในปีนี้กองทุนได้รับชำระหนี้ประมาณ 32,000 ล้านบาท โดยจะนำเงินที่ได้รับจากการรับชำระหนี้มาหมุนเวียนให้กับผู้กู้ยืมโดยไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด

โดยขณะนี้ กองทุนได้ขยายเวลายื่นขอกู้ยืมเงินภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 นักเรียน นักศึกษาสามารถยื่นกู้ยืมผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยแอปพลิเคชัน กยศ. Connect หรือทาง www.studentloan.or.th โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกันในการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ ซึ่งกองทุนได้เปิดระบบ DSL ให้ผู้กู้ยืมและสถานศึกษาได้เริ่มดำเนินการกู้ยืมในปีการศึกษา 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นมา ขณะนี้มีผู้ประสงค์ขอกู้ยืม จำนวน 616,834 ราย ซึ่งกองทุนได้อนุมัติการกู้ยืมเงินไปแล้ว 584,077 ราย ซึ่งเป็นปีแรกที่กองทุนได้เปิดให้มีการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาครบทั้ง 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ 2) นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ 3) นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และ 4) นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศในระดับปริญญาโท หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่โทร 0 2016 4888 หรือไลน์บัญชีทางการ กยศ.” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าว

Advertising

Verified by ExactMetrics