วันที่ 7 พฤษภาคม 2025

ครม.อนุมัติ 445 ล้านให้ ตร.ซื้อกล้องบันทึกภาพ-เสียง

People Unity News : 21 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.อนุมัติ 445 ล้านบาทให้ ตร.จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียง นายกฯ ย้ำจัดหาโปร่งใส ตรวจสอบได้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติ  444.81 ล้านบาทให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ดำเนินโครงการ จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยจะจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงจำนวน  48,568 ชุด แบ่งเป็น 3 รายการ ได้แก่  1.กล้องบันทึกภาพและเสียงชนิดติดบนตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ  จำนวน 37,624  ชุด งบประมาณ  338.62 ล้านบาท  สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 กลุ่มสายงาน ได้แก่ สายงานป้องกันปราบปรามและสายงานจราจร  จำนวน 16,945 ชุด  และสายงานสืบสวนสอบสวน จำนวน 20,679 ชุดซึ่งได้รับการจัดสรรเป็นครั้งแรก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า 2.กล้องบันทึกภาพและเสียงแบบมือถือ พร้อมอุปกรณ์เพื่อใช้ในห้องสอบสวนและห้องควบคุม จำนวน 9,366  ชุด งบประมาณ 93.57 ล้านบาท สำหรับสถานีตำรวจทั่วประเทศ จำนวน 1,484 สถานี และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 77 หน่วยงาน 3.กล้องบันทึกภาพและเสียงชนิดติดตั้งภายในรถยนต์ จำนวน 1,578 ชุด  งบประมาณ  12.62  ล้านบาท สำหรับติดตั้งในรถยนต์ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค 1-9

“พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ ( 22 ก.พ.) บัญญัติให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องบันทึกภาพและเสียงผู้ต้องหาตั้งแต่เริ่มควบคุมตัว ผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จึงเป็นความจำเป็นต้องจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปฏิบัติการทุกนายใช้ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยเร่งด่วนและทันที” นายอนุชา กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมย้ำเรื่องการจัดหาด้วยความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้  และไม่ให้ผลประโยชน์ตกแก่บุคคลใด สำหรับหน่วยงานที่มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เช่น  กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ให้เร่งจัดลำดับความจำเป็นด้วย

Advertisement

กรุงไทย-สปสช. แจกถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิด ผ่านแอปฯ เป๋าตัง

People Unity News : 20 กุมภาพันธ์ 2566 ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ สปสช. มอบสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กับโครงการ “เลิฟปัง รักปลอดภัย” เพิ่มช่องทางให้บริการถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิด แก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 13 ปีขึ้นไป) กดรับสิทธิรับถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิดฟรีผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯ เป๋าตัง เริ่มแล้ววันนี้

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า สปสช. บรรจุ “บริการถุงยางอนามัยและยาเม็ดคุมกำเนิด” เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาทิ โรคซิฟิลิส โรคมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี หนองใน หนองในเทียม และเอดส์ เป็นต้น

เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า และเพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) รับถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดได้ง่ายขึ้น นอกจากไปขอรับที่หน่วยบริการแล้ว ยังเพิ่มความสะดวกสามารถขอรับผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ โดยเป็นความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยที่ให้บริการสิทธิสุขภาพดีป้องกันโรค ในเมนูกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯ เป๋าตัง ไม่เพียงแต่ดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองให้เข้าถึงบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิด แต่ยังรวมถึงบริการคุมกำเนิดด้วยวิธีต่างๆ ด้วย เช่น การใส่ห่วงอนามัย ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นต้น

“ที่ผ่านมา สปสช.มีความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขอรับชุดตรวจ ATK ผ่านแอปฯ เป๋าตัง การจองคิวเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในช่วงของการรณรงค์คือ พฤษภาคม-สิงหาคมของทุกปี รวมถึงบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในด้านต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของ สปสช.ได้ง่ายขึ้น” เลขาธิการ สปสช.กล่าว

นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อยกระดับชีวิตคนไทยในทุกมิติ ให้ความสำคัญกับระบบสาธารณสุขของประเทศ ตามแผนงานด้านการรักษาพยาบาลและสุขภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 Ecosystems หลักของธนาคาร โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางให้แก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 13 ปีขึ้นไป) สามารถจองสิทธิรับถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดได้สะดวกยิ่งขึ้น ผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปฯ เป๋าตัง โดยเลือกทำรายการ “สิทธิสุขภาพดีป้องกันโรค” บนกระเป๋าสุขภาพ ระบบจะเปิดให้เลือกถุงยางอนามัยหรือยาคุมกำเนิดและเลือกหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลระบบบัตรทองที่พร้อมเปิดให้บริการแล้วกว่า 400 หน่วยบริการทั่วประเทศเพื่อติดต่อรับสิทธิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดอย่างทั่วถึงและเพียงพอทุกพื้นที่ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในกลุ่มวัยรุ่น

ธนาคารสนับสนุนโครงการส่งเสริมสุขภาพของ สปสช.มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาระบบ Krungthai Digital Health Platform เชื่อมต่อระบบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และเป็นช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคพื้นฐาน ตามระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของภาครัฐ ผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่คนไทยคุ้นเคยในปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิสามารถใช้บริการเช็กสิทธิ นัดหมาย พร้อมยืนยันตัวตนผู้มารับบริการด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัยผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปฯ เป๋าตัง ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ผ่านมาธนาคารร่วมกับ สปสช. เปิดบริการลงทะเบียนคัดกรองเพื่อรับชุดตรวจ ATK ให้กับประชาชนจำนวน 6.9 ล้านชุด ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเปิดบริการการจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเพื่อดูแลประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง รวมถึงลงทะเบียนขอรับสิทธิบริการด้านคุมกำเนิด ผ่านกระเป๋าสุขภาพ ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลของภาครัฐที่มอบให้คนไทยดูแลสุขภาพของตนเองตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุอย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย ยังมีแผนต่อยอดพัฒนาความร่วมมือกับ สปสช.ให้บริการการดูแลสุขภาพประชาชนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และขยายการบริการสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผ่านกระเป๋าสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถกดรับสิทธิและเลือกหน่วยบริการหรือเช็กรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ กระเป๋าสุขภาพ ในแอปฯ เป๋าตัง หรือเช็กรายชื่อสถานพยาบาลได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/page/hospital สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สายด่วน สปสช. 1330 ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2566

Advertisement

รัฐบาลออกประกาศ ‘เด็กนักเรียนท้อง ต้องได้เรียนต่อไป’

People Unity News : 19 กุมภาพันธ์ 2566 รองโฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลออกประกาศ “เด็กท้องต้องได้เรียน” แม่วัยรุ่นต้องได้โอกาสทางการศึกษา

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ราชกิจจานุเบกษา (18 กุมภาพันธ์ 2566) ได้เผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 โดยมีความว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ 7 แห่งกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษา และการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2561 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

ข้อ 7 สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา ตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น ทั้งนี้ ในท้ายกฎกระทรวง ได้ระบุเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงเอาไว้ด้วยว่า… ปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ถูกสถานศึกษาให้ย้ายสถานศึกษาโดยมิได้สมัครใจสมควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินการของสถานศึกษาเพื่อเป็นการคุ้มครองวัยรุ่นซึ่งตั้งครรภ์ขณะที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาให้มีสิทธิได้รับการศึกษาในสถานศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่องตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้

นางสาวรัชดา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเยาวชนซึ่งจะเป็นอนาคตชาติ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่กระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงให้สถานศึกษาทุกระดับที่มีเด็กตั้งครรภ์ ต้องไม่ให้เด็กออกจากสถานศึกษา โดยต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมและต่อเนื่อง แต่ยังคงมีบุคลากรทางการศึกษารวมถึงผู้ปกครองอีกเป็นจำนวนมากที่เข้าใจผิดว่า การให้เด็กตั้งครรภ์เรียนร่วมกับเด็กทั่วไป เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ แต่ผลการศึกษาในต่างประเทศพิสูจน์แล้วว่า เด็กคนอื่น ๆ จะเกิดความตื่นตัวมากขึ้นในการดูแลป้องกันตนเองไม่ให้ตั้งครรภ์ ขณะเดียวกันจะเกิดความรู้สึกเห็นใจเพื่อนที่กำลังท้อง และให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีในขณะที่เรียนร่วมกัน

ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของครูผู้สอนเป็นเรื่องสำคัญมาก ครูต้องมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ต้องไม่ปฏิบัติใด ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันประคับประคองเด็กให้ได้เรียนต่อเนื่องโดยไร้ความกังวล

Advertisement

รัฐบาลตั้งเป้าขยายรถเมล์ไฟฟ้า 1,850 คัน ใน 45 เส้นทาง

People Unity News : 18 กุมภาพันธ์ 2566 โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเร่งอำนวยความสะดวกให้ประชาชน พร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ก.คมนาคม เปิดเส้นทางบริการรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่ม 2 สายใน กทม. ตั้งเป้าในปี 2566 ขยายรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 1,850 คัน ใน 45 เส้นทาง

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการเปิดให้บริการเดินรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่ม 2 สาย ได้แก่ สาย 38 มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาย 48 มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา-ท่าช้าง ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ภายใต้แนวคิด “Thai Smile Change For The Better” เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า อำนวยความสะดวกให้ประชาชนพร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปี 2565 ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือจัดสรรให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชนกว่า 1,250 คัน ใน 77 เส้นทาง เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน และในปี 2566 กระทรวงคมนาคมได้ตั้งเป้าหมายให้มีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้บริการประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 1,850 คัน เพื่อขยายผลบริการรถโดยสารสาธารณะที่มีคุณภาพ โดยภาคเอกชนมีการพัฒนาคุณภาพบริการรถโดยสารเอกชนจากรถที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ในอีก 45 เส้นทาง ตั้งเป้าภายในปี 2566 จะมีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้บริการถึง 3,100 คัน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายเพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ประหยัด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ได้ดำเนินการปฏิรูปเส้นทางเดินรถให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก โดยเน้นการเชื่อมต่อกับทางเดินในรูปแบบอื่นอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงปรับปรุง แก้ไข กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนให้เอกชนเริ่มใช้รถโดยสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างความรู้กับภาคเอกชนในการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการให้บริการขนส่งสาธารณะที่ดี และขอความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะที่ราคาประหยัด และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนอีกด้วย นอกจากนี้ ทางบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ได้จัดทำรูปแบบการชำระค่าโดยสารราคาพิเศษผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตร HOP CARD) เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมและขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่มุ้งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ พัฒนาบริการที่ดีแก่ประชาชน และให้ความสำคัญต่อนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารสาธารณะเพื่อให้บริการประชาชน และสนับสนุนให้ผู้คนที่เดินทางมาใช้บริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ปลอดภัย ในราคาที่ประหยัด และช่วยการแก้ปัญหามลพิษ PM 2.5 รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และการจราจรของกรุงเทพฯ ” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

นายกฯ ปลื้ม รร.ทศพรวิทยา คว้ารางวัลระดับประเทศ-ระดับโลก

People Unity News : 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ชื่นชมนักเรียน รร.ทศพรวิทยา จ.บุรีรัมย์ รับรางวัลระดับประเทศ-ระดับโลก นำความภาคภูมิใจและชื่อเสียงสู่ประเทศชาติ ย้ำพัฒนาศักยภาพตนเอง สอดคล้องการพัฒนาประเทศ ทันต่อสถานการณ์โลก

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะนักเรียน พร้อมผู้บริหารและครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ซึ่งได้รับรางวัลจากการเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันระดับประเทศและระดับโลก นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่นักเรียนที่ได้รับรางวัล ตลอดจนคณะผู้บริหาร ครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา รวมทั้งเพื่อเป็นแบบอย่าง สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนอื่น ๆ ในการพัฒนาศักยภาพอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ในการที่จะนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศในอนาคตต่อไปด้วย

นายกรัฐมนตรี   ได้ชมการแสดงโชว์ของทีม Awesome Juniors เต้น Hip Hop Dance จำนวน 9 คน   พร้อมกล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีกับนักเรียน ผู้บริหาร และครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา กับความสำเร็จที่เกิดขึ้นซึ่งมาจากความเพียรพยายามของทุกคน ในการร่วมกันดำเนินการอย่างมุ่งมั่นเข้มแข็ง จนเกิดเป็นผลสำเร็จนำความภาคภูมิใจและชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งความสามารถและการแสดงดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศอีกทางหนึ่ง โดยขอเป็นกำลังใจในการดำเนินกิจกรรมที่สร้างสรรคทั้งในระยะที่ผ่านมาและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และขอให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในระดับโลกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ต่อไป

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงการฝึกซ้อมและการออกแบบท่าเต้นต่างๆ ด้วยความสนใจ โดยแนะให้นำท่าเต้นต่างๆ ไปปรับใช้สำหรับเป็นท่าเต้นในการออกกำลังกายได้ด้วย รวมทั้งได้สอบถามถึงการศึกษาเล่าเรียนของเด็กนักเรียน โดยย้ำว่านอกจากการฝึกซ้อมและพัฒนาในกิจกรรมที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวดังกล่าวแล้ว ต้องมีการศึกษาเล่าเรียนที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงให้เรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาศักยภาพตนเองในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องให้ทันต่อสถานการณ์โลก เพื่อเติบโตไปจะได้มีอาชีพและอนาคตที่มั่นคง มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว พ่อแม่ ตลอดจนเพื่อเป็นกำลังที่สำคัญในการร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวในนามรัฐบาลขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ความสำคัญในการร่วมกันพัฒนามาตรฐานด้านต่างๆ ของการศึกษาของโรงเรียนเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เด็กนักเรียนทำกิจกรรมที่เป็นการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และดีงาม จนได้รับรางวัลนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยเป็นผลสำเร็จตามเป้าหมาย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบพระหลวงปู่ทวดให้กับคณะนักเรียน คณะผู้บริหาร และครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมอวยพรให้ทุกคนเดินทางปลอดภัยและประสบความสำเร็จทุกประการ

สำหรับรางวัลของนักเรียนโรงเรียนทศพรวิทยาที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันระดับประเทศและระดับโลก มีดังนี้ 1. เหรียญรางวัลชนะเลิศ (แชมป์โลก) การแข่งขัน World Hip Hop Dance Championship 2018 2019 และ 2022 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (3 ปีช้อน) 2. ถ้วยรางวัลชนะเลิศ (แชมป์โลก) การแข่งขัน All Generation Championship WORLD FINAL in SEOUL SUPERKIDZ 2018 2021 – 2022 KOREA AEROBIC (3 ปีช้อน) 3.รับรางวัลพระราชทานจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ถ้วยรางวัลชนะเลิศ การแข่งขัน TO BE NUMBER ONE TEEN DANCERAISE THAILAND CHAMPIONSHIP 2019 – 2022 รุ่น Pre Teenage (อายุ 10-14 ปี) ทีม Thossaporn Thunder (4 ปีซ้อน) และ 4. ถ้วยรางวัลชนะเลิศ รายการ Doraemon Singing & Dancing Contest 2018 ได้รับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

Advertisement

กรุงเทพฯ ติด Top3 เมืองท่องเที่ยวช่วงวาเลนไทน์

People Unity News : 16 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ปลื้ม Agoda เผยกรุงเทพฯ ติด Top 3 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ พร้อมทั้งแต่งบทกวีถึงกรุงเทพฯ

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดี Agoda แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลกสำหรับการท่องเที่ยว เปิดเผยข้อมูลจากการค้นหาที่พักบนแพลตฟอร์มในช่วง 14 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกรุงเทพมหานคร ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 2 ของเมืองยอดนิยม ที่ได้รับการค้นหามากที่สุดในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ซึ่งโตเกียว กรุงเทพฯ และสิงคโปร์ เป็นเมืองยอดนิยม 3 อันดับแรก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลที่ Agoda ได้นำมาจัดอันดับในครั้งนี้ มาจากการอ้างอิงข้อมูลจากการค้นหาที่พักบนแพลตฟอร์มของ Agoda นอกจากนี้ ทาง Agoda ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์ โดยการนำข้อมูลจัดอันดับการค้นหาที่พักบนแพตฟอร์ม ผสานเข้ากับ เทคโนโลยีแชทบอท ChatGPT แต่งเป็นบทกวีออกมาเพื่อมอบเป็นของขวัญแก่นักเดินทาง ซึ่งในบทกวีของแต่ละอันดับ ได้ดึงจุดเด่น ของความเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่ละเมืองขึ้นมา สำหรับ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ChatGPT ได้ชูจุดเด่นโดยการแต่งบทกวีว่า “จากผัดไทยสู่ต้มยำกุ้ง รสชาติอาหารเมืองกรุง (เทพฯ) นั้นอร่อยเหลือเชื่อ” ซึ่งจากบทกวีนี้ สะท้อนความโด่งดังของกรุงเทพฯ และประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวัฒนธรรมอาหาร

“นายกฯ ชื่นชมและขอบคุณการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้พัฒนาภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

ระวังตกเป็นเหยื่อหลอกรักออนไลน์

People Unity News : 13 กุมภาพันธ์ 2566 รัฐบาลส่งความห่วงใย วาเลนไทน์นี้มีความรักที่ปลอดภัยไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์ คู่รักใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก เป็นวาระสำคัญที่ประชาชนทุกกลุ่มทุกวัยจะส่งมอบความรักและความปรารถดีแก่กัน แต่เนื่องจากปัจจุบันได้มีภัยในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะมิจฉาชีพที่แอบแฝงในโลกออนไลน์ ซึ่งจำนวนมากใช้ความรักหรือความอ่อนไหวของเป้าหมาย หลอกลวงทั้งประสงค์ต่อทรัพย์และอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย รัฐบาลจึงขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังภัยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงวันแห่งความรักนี้

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงสถิติอาชญากรรมออนไลน์ประจำเดือน มกราคม 2566 จากศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ พบว่ามีคดีเกี่ยวกับการหลอกให้รักยังสูงถึง 403 คดี โดยแบ่งเป็นคดีประเภทหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน จำนวน 168 เรื่อง และคดีหลอกลวงให้รักแล้วลงทุน จำนวน 235 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 190 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ภัยออนไลน์เกี่ยวกับความรักหรือ Romance Scams จะเป็นการใช้เทคนิคทางจิตวิทยาพัฒนาความสัมพันธ์กับเป้าหมายสร้างความเชื่อใจระหว่างบุคคล แล้วทำการหลอกลวงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น  หลอกให้รักแล้วโอนเงิน หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน หลอกให้รักแล้วกดลิงก์/ดาวน์โหลดแอปรีโมท ควบคุมสมาร์ทโฟนและทำการดูดเงินในบัญชี หรือหลอกให้รักแล้วแบล็คเมล์ ด้วยการชวนทำกิจกรรมทางเพศผ่านทางออนไลน์ แล้วนำภาพหรือวิดีโอมาขู่เรียกค่าไถ่ หรือบีบบังคับให้กระทำการอื่นๆ

ทั้งนี้ หากประชาชนมีความสงสัยหรือกำลังเกรงว่าตนเองอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สามารถปรึกษาได้ที่ สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 หากเป็นผู้เสียหายประสงค์จะแจ้งความ สามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com และสามารถติดตามรูปแบบการประชาสัมพันธ์กลโกงต่างๆที่ pctpr.police.go.th

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในเทศกาลวันแห่งความรักยังเป็นโอกาสที่คู่รักใช้เป็นช่วงเวลาในการแสดงออกถึงความรักในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ ในส่วนนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้มีข้อแนะนำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการป้องกันโรคที่มาจากเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเอชไอวี หรือโรคอื่นๆ เช่น ซิฟิลิส โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคแผลริมอ่อน โรคกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง และโรคเริม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม โรคต่างๆ ดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีข้อแนะนำว่าถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องมีใบอนุญาตหรือใบรับแจ้งรายการละเอียดในการผลิตหรือนำเข้า ดังนั้น ขณะเลือกซื้อประชาชนควรเลือกซื้อถุงยางอนามัยที่มีเลขใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์หรือใบรับแจ้งรายการละเอียด ซึ่งรับรองจาก อย. สังเกตดูวันที่ผลิต วันหมดอายุก่อนซื้อ และมีการใช้ตามคู่มือแนะนำของผลิตภัณฑ์ เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพและให้ถุงยางอนามัยคงประสิทธิภาพสูงสุด

Advertisement

ครม.เข้มแก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด ขออนุญาตมีอาวุธปืนต้องมีใบรับรองแพทย์ ตรวจสุขภาพจิต

People Unity News : 7 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.รับทราบ 4 มาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด โชว์ผลงานจับผู้ต้องหากระทำผิดอาวุธปืน-ระเบิดได้ 2.7 หมื่นราย กวาดล้างยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด อายัดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด 11 ล้านบาท

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการสำคัญแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ให้กระทรวงยุติธรรมรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดในภาพรวมเสนอต่อครม.ภายใน 90 วัน

“สรุปผลการดำเนินการตามมาตรการฯ รวม 4 ประการ ดังนี้ 1. มาตรการเกี่ยวกับอาวุธปืน  1.1 การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน เช่น เพิ่มเติมเอกสารใบรับรองแพทย์ ออกหนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือนายจ้าง และตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออนุญาต นั้น กระทรวงมหาดไทยได้หารือกับกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดของผู้ยื่นขอใบอนุญาต และได้ศึกษาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 เพื่อเพิ่มอำนาจให้นายทะเบียนท้องที่ออกคำสั่งให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดและตรวจสอบประวัติอาชญากรและการรับรองความประพฤติของผู้ขออนุญาตทุกราย” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 1.2 กำชับนายทะเบียนท้องที่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นคำขออนุญาตทั้งก่อนและหลังการออกใบอนุญาตและซักซ้อมแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวภายในเขตจังหวัด 1.3 เชื่อมโยงฐานข้อมูล โดยกระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติสิทธิให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ส่วนกลาง) สามารถเข้าระบบเพื่อตรวจดูข้อมูลทะเบียนอาวุธปืน และอยู่ระหว่างหารือด้านเทคนิคการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 1.4 กระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นในระบบกฎหมายกลางเพื่อจัดการอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาต

“1.5 การป้องกันและปราบปรามในเชิงรุก ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน และสืบสวน ปราบปราม ตรวจค้นแหล่งค้า/ผลิตอาวุธปืนผิดกฎหมาย ทั้งนี้ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและวัตถุระเบิด (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2565) รวม 29,464 คดี ผู้ต้องหา 27,637 ราย 1.6 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการมาตรการทางดิจิทัล เช่น การป้องกันการค้าอาวุธปืนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสมในการปิดกั้นแพลตฟอร์มหากมีข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันเกี่ยวเนื่องกับอาวุธปืนและยาเสพติด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 2. มาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 2.1 การควบคุมสารเคมีที่นำไปใช้ผลิตยาเสพติด เช่น ระงับการส่งออก และชะลอการนำเข้าวัตถุอันตรายบางรายการชั่วคราว ยึดและอายัดวัตถุอันตราย ที่ใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด โดยอายัดสารโซเดียมไซยาไนด์ 220 ตัน หากนำไปใช้ในกระบวนการผลิตสารตั้งต้นจะสามารถนำไปใช้ในการผลิตยาบ้า 4,840 ล้านเม็ด 2.2 การทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดและยึดอายัดทรัพย์สิน เช่น ดำเนินการสืบสวนและขยายผลเพื่อทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดโดยได้จัดทำรายงานข่าวสารยาเสพติดของเครือข่าย 739 ฉบับและรายงานเป้าหมายบุคคลในเครือข่าย 1,098 คน และสามารถอายัดทรัพย์สิน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 11,280 ล้านบาท (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565)

“2.3 การติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติด สามารถดำเนินการเร่งรัดติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติดได้ 88หมายจับ โดยกระทรวงกลาโหมได้เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้า-ส่งออกบริเวณชายแดน ทำให้สกัดกั้นจับกุมยาเสพติด ได้แก่ ยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด เฮโรอีน 11 กิโลกรัม ยาไอซ์ 586,956.75 กรัม และยาอี 15,000 เม็ด (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 26 ธันวาคม 2565) และได้ปราบปรามยาเสพติดโดยในเดือนพฤศจิกายน 2565 สามารถจับกุม/ตรวจยึดยาเสพติด ผู้ต้องหา 18 คน ยาบ้า 11.93 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 435.1 กิโลกรัม และเคตามีน 9.9 กิโลกรัม”  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 2.4 การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกันในการบูรณาการฐานข้อมูลผู้เสพ ผู้ติด ผู้มีอาการทางจิตเวช โดยจัดตั้งฐานข้อมูลด้านยาเสพติดที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ Re X-ray ผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิตเวช 158,333 ราย โดยผู้ใช้ ผู้เสพ เข้าสู่กระบวนการบำบัด 106,937 ราย ผู้มีอาการทางจิตเวชที่มีสาเหตุจากยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัด 25,586 ราย (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 20 ธันวาคม 2565)

“2.5 การตรวจสอบและติดตามข้อร้องเรียนของประชาชน มีการดำเนินการต่อข้อร้องเรียนของประชาชนผ่านสายด่วน 1386 มีการรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 5,016 เรื่อง ดำเนินการแล้ว 2,256 เรื่อง และดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นและจับกุมนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ 330 หมู่บ้าน/ชุมชน (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565) 3. มาตรการด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด มีระบบบูรณาการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย 30 จังหวัดในพื้นที่ต้นแบบเพื่อลดอัตราการกลับมาเสพซ้ำและไม่ก่อความรุนแรง และเร่งรัดสำรวจศูนย์คัดกรองให้ครอบคลุมทุกตำบล โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนศูนย์คัดกรองแล้ว จำนวน 9,473 แห่ง รวมถึงเร่งรัดประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัวแล้ว 659 ชุมชน  และจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชน 439 แห่ง รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานของสถานฟื้นฟูผู้ติดยา และยื่นขึ้นทะเบียนศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดถึงระดับตำบล” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 4. มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต เช่น จัดทำแนวปฏิบัติในการขอรับการตรวจประเมินปัญหาสุขภาพจิตสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดทุกโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปให้ครอบคลุม 65 จังหวัด ใน 12 เขตสุขภาพ 97 แห่ง จัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชนให้ครบทุกแห่ง โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแล้ว 1,080 แห่ง และสนับสนุนให้สภาเด็กและเยาวชนเป็นกลไกอบรมเพื่อป้องกันยาเสพติดใน 603 กิจกรรม จำนวน 37,620 คนทั่วประเทศ

Advertisement

“ประยุทธ์” สั่งขยายผลต่อแก๊งพนันออนไลน์ “มาเก๊า 888”

People Unity News : 4 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ รับทราบผลการจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ “มาเก๊า 888” กำชับทุกหน่วยงานขยายผลต่อเนื่องตามหลักกฎหมายอย่างจริงจัง รอบคอบ และโปร่งใส

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในกรณีการเข้าจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ “มาเก๊า 888” พร้อมกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายผลต่อเนื่อง ตามข้อร้องเรียนและเบาะแสต่างๆ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ ชุดปฏิบัติการพิเศษคอมมานโด ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้น 8 จุดทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยพบสถานที่แห่งหนึ่งจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เว็บพนันออนไลน์ใช้รวบรวมโพยพนันบอล หวย รวมถึงข้อมูลของลูกค้า และเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศการโฆษณาหรือชักชวนโดยตรง หรือทางอ้อมให้ผู้อื่น เข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ร่วมกันฟอกเงิน” และออกหมายจับแล้ว 13 หมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเน้นย้ำว่า มีหลักฐานเพียงพอที่สามารถจะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง โดยหลังจากนี้จะได้เข้าทำการตรวจค้นสถานที่อื่น ๆ ที่คาดว่าจะเป็นสถานที่ฟอกเงิน และจะทำการตรวจยึดทรัพย์สินตามแนวทางปฏิบัติต่อไป

“นายกรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินงานดังกล่าว และได้สั่งการให้เข้มงวดกับการดำเนินการ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการขยายผลต่อเนื่องในทุกประเด็นที่เป็นข้อร้องเรียนและเบาะแสต่าง ๆ ที่ได้รับจากประชาชน ให้ยึดหลักตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างจริงจัง รอบคอบ และโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

นายกฯ สั่ง ตร.เข้มกฎหมายจราจร หลังพบสถิติอุบัติเหตุสูง

People Unity News : 4 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ห่วงใยผู้ใช้รถใช้ถนน หลังข้อมูลเดือน ม.ค. ยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนยังเพิ่มขึ้น กำชับ ตร.บังคับใช้มาตรการตามกฎหมาย

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมการขนส่งทางบกได้เริ่มใช้ระบบตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 66 เป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ให้ความสนใจติดตามข้อมูลเกี่ยวกับดำเนินการตามมาตรการและผลต่อสถานการณ์อุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างใกล้ชิดอย่างไรก็ตาม ข้อมูลผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนในเดือน ม.ค. 66 ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้นายกรัฐมนตรีห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกวดขัน บังคับใช้มาตรการทั้งส่วนของการตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างวินัยจราจรให้เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังห่วงใยกรณีของอุบัติเหตุที่เกิดจากงานก่อสร้างบนท้องถนน จึงขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการก่อสร้างทั้งส่วนของกรมทางหลวง ทางหลวงชนบท หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่ควบคุมการก่อสร้างในสายทางย่อย ให้กำกับติดตามการทำงานของผู้รับเหมาให้มีการจัดสัญญาณแจ้งเตือนประชาชน หรือมีมาตรการป้องกันอุบัติเหตุให้รัดกุมด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1-31 ม.ค.66 ได้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั้งสิ้น 1,408 ราย เพิ่มขึ้นจาก 1,302 ราย ในช่วงเดียวกันของปี 65 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.14 ขณะที่จำนวนผู้บาดเจ็บอยู่ที่ 70,044 คน ลดลงจาก 80,178 คน ในปี 65 หรือลดลงร้อยละ 12.63 ซึ่งจากผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมดนี้เป็นผู้ประสบภัยจากจักรยานยนต์ถึงร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มาจากรถยนต์

ทางด้านกรมการขนส่งทางบก รายงานข้อมูลการดำเนินการตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.เป็นต้นมา พบว่าจนถึงวันที่ 30 ม.ค.66 มีผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรและถูกตัดแต้มสะสม 11,531 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ถูกตัด 1 คะแนน ซึ่งเป็นกลุ่มความผิด เช่น ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ขับรถเร็วเกินกำหนด ขับรถบนทางเท้า ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ไม่หลบรถฉุกเฉิน เป็นต้น

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า จากผู้ถูกตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ทั้งหมดข้างต้นเป็นผู้มีคะแนนคงเหลือจากคะแนนเต็ม 12 คะแนน สรุปได้ดังนี้ เหลือ 11 คะแนน จำนวน 9,717 คน เหลือ 10 คะแนน 1,718 คน เหลือ 9 คะแนน 71 คน เหลือ 8 คะแนน 14 คน เหลือ 7,6,5 และ 2 คะแนน อย่างละ 1 คน และเหลือ 1 คะแนน 7 คน

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้เตรียมความพร้อมสำหรับผู้ที่กระทำผิดแล้วโดนตัดแต้มใบขับขี่ให้สามารถเข้าอบรบเพื่อขอคืนแต้ม ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ช่วยสร้างพฤติกรรมการขับรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย ลดพฤติกรรมเสี่ยงสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย ลดอุบัติเหตุและการสูญเสียในภาพรวมลง

Advertisement

Verified by ExactMetrics