วันที่ 14 กันยายน 2025

เตรียมเสนอกฎหมายนิรโทษกรรรมทุกสี

People Unity News : 9 พฤศจิกายน 2565 “หมอระวี” เตรียมเสนอกฎหมายนิรโทษกรรรมทุกสี  ยกเว้นโทษใน 3 คดี  “ทุจริต-คดีอาญารุนแรง-ม.112” เตรียมประสาน “นายกฯ – พรรคร่วมรัฐบาล” ผลักดันเข้าสู่สภาฯ

นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่   กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาได้ไปหารือกับหลายฝ่าย เพื่อหาทางสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ยุติความแตกแยกทางความคิดในบ้านเมืองช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา พร้อมยกร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วชื่อว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน  มีวัตถุประสงค์ให้คนในชาติกลับสู่ความสงบสุขสามัคคีกัน โดยสาระสำคัญร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คือ การนิรโทษกรรมแก่ประชาชนทุกกลุ่มที่ได้กระทำผิดจากการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565  ครอบคลุมตั้งแต่การใช้วาจา การโฆษณาต่อต้านรัฐบาล  การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐในการชุมนุม  การประท้วงที่กระทบต่อสิทธิของบุคคลอื่นที่เป็นเหตุสืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง จะไม่ถือเป็นความผิดทางอาญาและแพ่ง ให้พ้นจากการกระทำผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

นพ.ระวี กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ จะไม่ครอบคลุมถึงความผิด 3 กรณี  ได้แก่ 1.การทุจริตคอร์รัปชัน 2.ความผิดทางอาญาที่รุนแรง  เช่น การยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หรือบุคคลอื่น 3.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 112   ไม่อยู่ในข่ายได้รับนิรโทษกรรม  หากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้   ถ้าคดีใดยังไม่ถูกฟ้องต่อศาลหรืออยู่ระหว่างสอบสวน ถือว่าให้ระงับการสอบสวน หรือยุติการส่งฟ้องต่อศาล   หากถูกฟ้องต่อศาลแล้วให้ถอนฟ้อง  หรือถ้าคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล  ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี  และกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษบุคคลใดไปแล้ว ให้ถือว่า บุคคลนั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด หากใครอยู่ระหว่างการรับโทษให้การลงโทษนั้นสิ้นสุด และได้รับการปล่อยตัว

“ร่างกฎหมายฉบับนี้ เพิ่งยกร่างเสร็จเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน  2565 ขณะนี้จะนำไปประสาน ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบผลักดันเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร จะพยายามผลักดันเข้าสู่สภาฯให้เร็วที่สุด ให้พิจารณาเสร็จทันก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯนี้  โดยใช้เวลาพิจารณาในชั้น กมธ.ไม่นาน แค่ 2-3 สัปดาห์ก็ส่งให้สภาลงมติวาระ 2-3  ได้ เพราะจะมีเนื้อหาแค่ 7 มาตราเท่านั้น มั่นใจจะได้รับความเห็นชอบจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะตอนยกร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ไปหารือกับแกนนำทุกกลุ่ม ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง  กปปส. แม้จะไม่ได้เห็นชอบด้วยทุกคน แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นชอบด้วย” นพ.ระวี  กล่าว

Advertisement

เดือนรอมฎอน 2566 นายกฯ อวยพรพี่น้องชาวมุสลิมปฏิบัติศาสนกิจบรรลุผลสำเร็จ

People Unity News : 23 มีนาคม 2566 เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 22 มีนาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวผ่านบันทึกวีดิทัศน์ เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำปี พ.ศ. 2566 (ฮ.ศ. 1444) ออกอากาศทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก ไทยคู่ฟ้า และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย มีข้อความถึงพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่รัก ว่า

ในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1444 อันเป็นเดือนศักดิ์สิทธิ์และเป็นห้วงเวลาสำคัญทางศาสนาอิสลาม ขอส่งความรัก ความระลึกถึง และความปรารถนาดี มายังพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศและพี่น้องชาวมุสลิมทั่วโลก และขอแสดงความยินดีต่อพี่น้องชาวมุสลิมทุกท่านที่จะได้ร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจอันประเสริฐยิ่งอย่างสมบูรณ์ตามหลักศาสนาอีกครั้ง ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง เพื่อชำระขัดเกลาร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ ยึดมั่นในการทำคุณงามความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน และยังเป็นห้วงเวลาที่จะได้น้อมจิตรำลึกถึงพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นการส่งกำลังศรัทธาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า นำมาซึ่งความรักและประโยชน์สุขต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศ

พร้อมระบุในช่วงท้ายว่า “ในโอกาสอันเป็นสิริมงคลนี้ ขออวยพรให้พี่น้องทุกท่านได้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ บรรลุผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ที่ตั้งมั่นไว้ทุกประการ และขออานุภาพแห่งองค์อัลลอฮ์ที่พี่น้องมุสลิมทุกท่านเคารพนับถือ ได้โปรดประทานความเมตตา ความสุขสวัสดีปลอดภัย และความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจ รวมทั้งจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ดำรงตนเป็นคนดีของสังคมและมีความอารีต่อสาธารณะ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสรรค์สร้างให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าและมั่นคงสืบไป”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำนักจุฬาราชมนตรี ออกประกาศ เรื่อง กำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1444 ระบุว่า ตามที่ได้ประกาศให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศดูดวงจันทร์ เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1444 ในวันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลาหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้านั้น ปรากฏว่า มีผู้เห็นดวงจันทร์ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า วันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1444 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2566

 Advertisement

“บิ๊กป้อม” เดินหน้าปรองดอง มุ่งเข้าถึงประชาชน

People unity news online : เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป. ณ ห้องยุทธนาธิการ ในศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งที่ประชุมรับทราบการทำงานของคณะกรรมการฯ ว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย การทำงานมีความก้าวหน้า ขณะที่คณะอนุกรรมการต่างๆก็เตรียมพร้อม ส่วนที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิก็เห็นด้วยแนวทางการทำงานว่าเดินหน้ามาอย่างถูกทางแล้ว ยืนยันว่า ต้องดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเป็นตัวตั้งในการทำงาน ซึ่งเวลานี้ กำลังรับฟังความเห็นประชาชนไปแล้วตามจังหวัดต่างๆ ประมาณ 2 หมื่นคน ทั้งนี้ ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิแนะนำให้พยายามเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด โดยประชาชนทุกคนต้องรับรู้ถึงข้อตกลง และสัญญาประชาคม

ส่วนที่กลุ่ม กปปส.เสนอว่า ให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า เรื่องปฏิรูปก็ดำเนินการตามกระบวนการปฏิรูป แต่รัฐบาลจำเป็นต้องยึดตามโรดแมปที่ได้วางไว้ ใครจะมาเปลี่ยนแปลงไม่ได้

ส่วนลักษณะสัญญาประชาชนจะเป็นอย่างไร ขอให้สื่อรอการทำงานก่อน ขณะนี้ยังอยู่ต้นทาง ยังไม่ปลายทาง ส่วนจะรับฟังความเห็นเสร็จสิ้นทันเดือนเมษายนหรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า กำหนดไว้ว่าภายในเดือนมิถุนายนต้องเสร็จสิ้น พร้อมเดินหน้าประชาสัมพันธ์ต่อไป เพราะถือมีความสำคัญ

People unity news online : post 21 มีนาคม 2560 เวลา 22.23 น.

“ปณิธาน” ชี้ “ประชามติแยกดินแดน” เป็นบทเรียนสำคัญของภาครัฐ

People Unity News : 13 มิถุนายน 2566 “ปณิธาน” ระบุ กรณีขบวนการ นศ.แห่งชาติทำประชามติแยกดินแดน เป็นบทเรียนสำคัญของทุกหน่วยงานรัฐ ต้องเร่งสร้างความเข้าใจ หาต้นเหตุของแนวคิด ชี้การแสดงออกขัดหลักจริยธรรมงานวิจัยทางวิชาการ ทำให้ถูกตีความผิด กม. กระทบความมั่นคง

นายปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีขบวนการนักศึกษาแห่งชาติจังหวัดชายแดนใต้ จัดกิจกรรมเสวนาและจัดทำกระดาษให้ลงประชามติ แยกตัวเป็นเอกราช ว่า ประเด็นทางกฎหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาว่าเป็นการกระทำผิดกฏหมายหรือไม่ ทั้งในระดับพื้นที่ กอ.รมน. ภาค4 ส่วนหน้า สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งต้องดูเรื่องการขัดกับกฎหมาย โดยเฉพาะขัดรัฐธรรมนูญ รวมถึงต้องดูว่ามีประเด็นทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่

“เท่าที่ทราบเบื้องต้นมีกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงคงต้องตรวจสอบว่ามีความยึดโยงกับการกระทำผิดกฏหมายหรือไม่ และเรื่องนี้ต้องดูเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะการปกป้องเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และเรื่องทางวิชาการที่ต้องแยกแยะให้ดี หากเป็นการทำแบบจำลองงานวิจัยที่ผ่านมาก็เคยทำมาหลายครั้ง ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือยึดโยงทางการเมืองในที่สาธารณะ ในรูปแบบของการแสดงพลัง การแสดงจุดยืนทางการเมือง” นายปณิธาน กล่าว

นายปณิธาน กล่าวว่า ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของเอกราชอธิปไตย แต่เป็นเรื่องของการกำหนดวิถี การกำหนดใจตนเอง การกำหนดลักษณะพหุวัฒนธรรม ซึ่งหลายประเทศก็มี ทั้งสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ที่ให้คนท้องถิ่นกำหนดวิถีของตนเอง โดยไม่ขัดกับหลักกฏหมายของประเทศ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยก็มีแนวนโยบาย มีข้อเสนอและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติไปแล้ว ให้ใช้นโยบายพหุวัฒนธรรมเพื่อท้องถิ่นกำหนดวิถีของตนเองได้ โดยสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดวิถีทางการเมือง การปกครอง ทางวัฒนธรรมทางศาสนา ดังนั้น ต้องพิจารณาว่ากลุ่มของขบวนการนักศึกษามีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงอย่างไร  ถ้าดูเพียงคำแถลงการณ์ที่ออกมาอย่างเดียว อาจทำให้หลายคนวิตกกังวล จึงต้องไปดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

“ในภาพรวมการประกาศเอกราช การพยายามลงประชามติเพื่อแยกตนเองออกไปตั้งเป็นรัฐใหม่ การใช้ศัพท์เหล่านี้ขัดกับหลักกฏหมายชัดเจนอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง สุดท้ายคงต้องหาทางพูดคุยกันว่าแนวทางที่ถูกต้องจะเป็นอย่างไร การให้เสรีภาพส่วนหนึ่ง การปฏิบัติตามกฏหมายเป็นอีกส่วนหนึ่ง และต้องดูเรื่องความปะทุความแตกแยกเพิ่มขึ้น เพราะมีหลายกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ อาจต้องควบคุมตรงนั้น ไม่ให้บานปลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมาย การเมือง เรื่องท้องถิ่น เหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน” นายปณิธาน กล่าว

นายปณิธาน กล่าวว่า กรณีนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญมากสำหรับทุกฝ่ายหน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานทางปกครอง ฝ่ายมหาวิทยาลัย อาจารย์ และนักศึกษาต้องทำงานร่วมกันมากกว่านี้ เพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งมีข้อสังเกตมานานเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวลักษณะนี้ ที่อาจทำให้สถานการณ์ผกผัน ตึงเครียดทั้งที่ไม่ควรจะเป็น เรามีนโยบายเรื่องพหุสังคมที่ดีอยู่แล้ว มีท้องถิ่นที่สนับสนุนที่ดีอยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำว่าหากทำในเชิงวิชาการถือว่าไม่ผิดใช่หรือไม่ เพียงแต่เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอาจเกิดข้อถูกเถียงในสังคมเป็นวงกว้าง นายปณิธาน  กล่าวว่า ในเชิงวิชาการเมื่อสำรวจความคิดเห็น จะปกป้องคนที่ให้สัมภาษณ์ โดยไม่เปิดเผยเอกลักษณ์อัตลักษณ์ของบุคคล ซึ่งเป็นข้อบังคับในการทำวิจัย ทางวิชาการอย่างเข้มงวด เพราะบางเรื่องหากเปิดออกไปสู่สาธารณะ อาจถูกตีความว่าผิดกฎหมาย กระทบกับความมั่นคง งานวิชาการจะไม่ทำลักษณะนี้ เพราะจะปกป้องคนที่มาแถลงการณ์ จะไม่ประกาศแบบนั้น

“งานวิชาการยังมีข้อบังคับอีกมาก ไม่ใช่จะบอกว่าเป็นงานวิชาการแล้วจะทำได้ อันนั้นเป็นความคลาดเคลื่อน  ไม่ใช่ว่ามหาวิทยาลัยจัด  มีอาจารย์นั่งอยู่หนึ่งคน เชิญฝ่ายการเมือง และปล่อยให้ประกาศอะไรที่หมิ่นเหม่ทางวิชาการ เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะมีข้อกำหนดเรื่องจริยธรรมของการทำงานวิชาการ ที่ทุกคนต้องเซ็นรับทราบไว้ก่อน ก่อนจะถามประเด็นละเอียดอ่อนแบบนี้ และที่ผ่านมาทำไปแล้วหลายโครงการ ซึ่งไม่เคยมีปัญหา เพราะอยู่ในกรอบข้อบังคับเชิงจริยธรรมที่ต้องปกป้องอัตลักษณ์บุคคล” นายปณิธาน กล่าว

เมื่อถามย้ำว่า รัฐควรเร่งกระบวนการสร้างความเข้าใจหรือไม่ นายปณิธาน กล่าวว่า หน่วยงานในภาครัฐต้องเร่งทำความเข้าใจ เพราะครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับ อาจารย์ คณะ และมหาวิทยาลัยที่จัดงานสัมมนาในครั้งนี้ ต้องพูดคุยถึงกรอบการจัดงาน หากระมัดระวังและทำตามกรอบคงไม่เลยเถิดไปถึงการลงประชามติ และนำออกสู่สังคมออนไลน์ งานวิชาการมีความละเอียดอ่อน จะไม่ถ่ายทอดหรือใช้สื่อแบบนี้ ซึ่งต้องไปดูกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยและใครเป็นผู้รับผิดชอบ

ส่วนแนวโน้มของกลุ่มเยาวชนหรือบุคคลในพื้นที่จะเป็นอย่างไร นายปณิธาน กล่าวว่า ตนกำลังทำงานวิจัยที่สำรวจความคิดเห็นของเยาวชนคนรุ่นใหม่ และคนในพื้นที่ต่อความรุนแรงแบบสุดโต่ง ซึ่งได้รับความสนับสนุนงบประมาณจากสำนักการวิจัยแห่งชาติ ซึ่งความรุนแรงแบบสุดโต่งมีหลายรูปแบบในเชิงวัฒนธรรม เชิงครอบครัว เชิงการเมืองและเชิงศาสนา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยกับบุคคลจำนวนมาก

“การแบ่งแยกดินแดนเป็นความสุดโต่งด้านหนึ่ง ผมกำลังลงลึกกับงานวิจัยเรื่องนี้มากขึ้น โดยประเมินการพูดคุย การกำหนดใจตัวเอง ซึ่งเป็นความคิดที่พูดกันมากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงข้อกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ จึงทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่าแนวความคิดแบบนี้พัฒนาอย่างไร เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร เพราะโดยทั่วไปในต่างประเทศมีสองแบบ คือต้องการแยกประเทศตั้งเป็นรัฐเอกราช จับอาวุธต่อสู้บางพื้นที่ หรือเป็นเรื่องของชนเผ่าที่อยากกำหนดวิถีของตนเอง ไม่เกี่ยวกับการแยกรัฐ แยกประเทศ เพราะผิดกฏหมายของประเทศนั้น ของเราก็มีข้อสงสัยว่าการเคลื่อนไหวเป็นแบบไหน ความคิดต้นตอเหล่านี้มาจากไหน คงต้องไปถามบุคคลที่สอนและทำเวิร์คช็อปว่าคิดเห็นอย่างไร” นายปณิธาน กล่าว

Advertisement

“เศรษฐา” ยันไม่ล้มพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 กุมภาพันธ์ 2567 เบตง – “เศรษฐา” ยืนยันไม่ล้มการพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้ หลังครบ 11 ปี จากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่พามาเที่ยวเพื่อสร้างโอกาส และย้ำว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับ จชต. เผยนัดกับนายกฯ มาเลเซียมาเที่ยวด้วยกัน แต่ติดภารกิจ หวังพบกันปีหน้า

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่วันนี้ครบรอบ 11 ปี การพูดคุยสันติภาพ ที่เริ่มต้นจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีการลงนามในข้อตกลงทั่วไประหว่างคณะพูดคุยเพื่อสันติภาพของไทยกับขบวนการบีอาร์เอ็นเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2566 จนมีการเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการพูดคุยต่อเนื่องจนถึงรัฐบาล นายเศรษฐา ที่คณะพูดคุยเพื่อสันติสุข ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการสันติสุข JCPP กับขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งจะมีการหาข้อสรุปในการหยุดยิง การปรึกษาหารือสาธารณะ และการแสวงหาทางออกทางการเมือง โดยตั้งเป้าให้มีการหยุดยิงภายในปี 2567

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าการพูดคุยเพื่อสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังดำเนินการตลอด แต่การลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ มีความตั้งใจที่จะพูดเรื่องโอกาส และอนาคตที่ดีที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยืนยันว่า การพูดคุยไม่ล่ม ส่วนจะมีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉินหรือไม่ เป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงจะพิจารณา

“มาวันนี้ไม่อยากพูดเรื่องความไม่มั่นคง อยากพูดเรื่องโอกาสและศักยภาพ อยากให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่า พี่น้องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ได้รับความเท่าเทียมกับเรา ที่ผ่านมารัฐบาลมีงบประมาณมาที่นี่มากใส่เงินไปแล้ว ไม่สำเร็จเท่าการใส่ใจ”

นายเศรษฐา เปิดเผยด้วยว่า การลงพื้นที่มาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 3 วัน 2 คืน มีความประทับใจมาก และดีใจที่เป็นนายกรัฐมนตรีในรอบ 10 ปีที่มานอนค้างคืน ถือเป็นการแสดงเจตจำนงว่ารัฐบาลชุดนี้จะนำความเสมอภาค ความเท่าเทียมและโอกาสมาที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขอให้ไว้วางใจรัฐบาลนี้ ซึ่งอีกไม่นานจะเริ่มเข้าเดือนรอมฎอนแล้ว ก็จะถือศีลอด อดทน อดกลั้นไปด้วยกัน รัฐบาลจะเชื่อมประชาชนกับประชาชนทั่วประเทศ มาให้ความสำคัญกับโอกาสกับพี่น้องใน จชต. ส่วนความมั่นคงที่ผ่านมา 1 ปี ฝ่ายความมั่นคงก็ทำงานมาด้วยดี ความรุนแรงลดลงไปเยอะมาก จึงอยากเห็นทุกคนมีเงินในกระเป๋าด้วย เชื่อว่า ถ้าเศรษฐกิจดี การศึกษาดี ทุกคนได้รับสิทธิที่เท่ากัน ความสงบสุขก็เกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยด้วยว่า เดิมได้นัดหมายกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มาเที่ยวด้วยกันที่ อ.เบตง จ.ยะลา แต่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ติดภารกิจที่ออสเตรเลีย มีการหารือทวิภาคกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งมีการส่งภาพถ่ายมายืนยันว่าไม่ได้เบี้ยว และหวังว่าในปีหน้าจะมาเที่ยวด้วยกัน ซึ่งมาเลเซียก็มีความตั้งใจดีที่จะช่วยแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยซึ่งประชาชนสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม​

Advertisement

นายกฯ ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พรุ่งนี้ 16 ม.ค. เร่งพัฒนาพื้นที่ทุกมิติ ต้องเท่าเทียมทุกจังหวัดของประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 มกราคม 2568 นายกฯ ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พฤหัสบดี 16 ม.ค.นี้ เร่งพัฒนาพื้นที่ทุกมิติยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องชายแดนภาคใต้ ทั้ง สาธารณสุข การคมนาคม การศึกษา ต้องเท่าเทียมทุกจังหวัดของประเทศ

วันนี้ (15 มกราคม 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี) ในวันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคมนี้ โดยนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อพบปะนักศึกษาและผู้ปกครอง ที่เข้าร่วม “มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีแห่งความยุติธรรม” ณ ลานพิกุล มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พร้อมติดตามความคืบหน้าการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และโครงการรถไฟทางคู่หาดใหญ่ – สุไหงโก-ลก ที่ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพื่อพบปะผู้นำศาสนาและนักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ  จากนั้น จะเดินทางต่อไปยังท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เพื่อพบปะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมประมงจังหวัดปัตตานี พร้อมทั้ง จะติดตามความคืบหน้างานโครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำชายฝั่งทะเลที่ร่องน้ำปัตตานี และจุดจอดพักเรือจังหวัดปัตตานี และโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการ (Soft Loan)ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดปัตตานี อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

“สำหรับการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งการคมนาคม ขนส่ง รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อสร้างความมั่นคงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในพื้นที่” นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

แห่ให้กำลังใจทหารฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 มิถุนายน 2568 หยุดยาว นักท่องเที่ยวแห่ให้กำลังใจทหารฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม พร้อมมอบสิ่งของ เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงวันหยุดยาวสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (31 พ.ค.-3 มิ.ย.) นักท่องเที่ยวชาวไทย ทยอยเดินทางขึ้นมาท่องเที่ยวบนปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กันอย่างคึกคัก ซึ่งการเดินทางมาในครั้งนี้ ต่างไปจากครั้งก่อนๆ ที่ขึ้นมาแล้วเดินชมปราสาทก่อนเข้าไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับนำสิ่งของ เครื่องใช้ ข้าวสารอาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง และน้ำดื่ม มามอบให้กับทหารกองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี ที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม พร้อมถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก เพื่อเป็นกำลังใจกับทหารผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธมเป็นหนึ่งในสามปราสาท ที่อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ขอมติจากรัฐสภากัมพูชายื่นต่อศาลโลกเพื่อให้ตัดสินว่าทั้งสามปราสาทนี้เป็นของประเทศไทยหรือของกัมพูชา

Advertisement

นายกฯ มอบรางวัล “ค่าของแผ่นดิน” แนะทำดี ไม่ทำให้ขัดแย้ง

People Unity News : 7 กรกฎาคม 2566 นายกฯ มอบรางวัลประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565 ระบุให้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ทำความดีให้คนอื่น และไม่ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565 ว่า วันนี้เป็นการมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณของผู้ทำความดี ในโครงการที่เรียกว่า ค่าแห่งแผ่นดิน โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ประชาชน ผู้ประกอบการ และภาคธุรกิจ

“อย่างที่บอกว่า แผ่นดินผืนนี้เป็นของคนไทยทุกคน ถึงเวลาเราต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ก็คือทำให้คนบนแผ่นดินนั้น มีความเจริญเติบโต มีความพอเพียง มีอาชีพ มีรายได้ที่เหมาะสม ซึ่งได้ทำหลายโครงการด้วยกัน และโครงการนี้เป็นโครงการที่ไม่ได้ใช้งบประมาณอะไรต่างๆ เป็นการช่วยกันทำ ตามหลักการที่ตนเคยบอกอยู่เสมอ คือ เราต้องมีการเผื่อแผ่และแบ่งปัน ในเรื่องของการทำความดีให้คนอื่น นั่นคือสิ่งที่สำคัญ ที่จะตอบกลับมาเป็นกุศลให้ตัวเองและครอบครัวมีความสุข ความเจริญ ไม่ไปอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้ง และไม่ไปทำให้ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะพูดจะทำอะไรก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะทำ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

นายกฯขอให้ประชาชนช่วยกันแสดงความคิดเห็นต่อโครงการ “ไทยนิยมยั่งยืน”

People unity news online : นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนช่วยกันแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการ “ไทยนิยมยั่งยืน” ระบุรัฐบาลต้องการให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลได้เปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการ “ไทยนิยมยั่งยืน” เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่าต้องการอะไร มีความเดือดร้อนอย่างไรบ้าง ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลในการจัดทำฐานข้อมูล Big Data ของรัฐบาล จึงขอให้ประชาชนช่วยกันแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ โดยรัฐบาลจะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อไป

สำหรับการลงพื้นที่ตามโครงการ “ไทยนิยมยั่งยืน” จะมีการลงพื้นที่เพื่อดูความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงสร้างความเข้าใจ เน้นสร้างการรับรู้ รับทราบปัญหา รวมถึงความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยตรง รวมทั้งนำข้อมูลที่รัฐบาลดำเนินการตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาไปแนะนำเพื่อให้พื้นที่เกิดความเข้มแข็งตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยการดำเนินโครงการต้องมีความโปร่งใสในการจัดทำงบประมาณ รับฟังมติของคนส่วนใหญ่ผ่านการทำประชาคม หากพบมีการทุจริตโดยเฉพาะจากส่วนราชการต้องลงโทษ ขอให้ประชาชนช่วยกันรักษาสิทธิ์ ช่วยกันตรวจสอบ ซึ่งรัฐบาลจะไม่ยอมให้ส่วนราชการเข้าไปมีผลประโยชน์จากโครงการนี้โดยเด็ดขาด และขอให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเพื่อเป็นการทำความดีร่วมกัน เพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

People unity news online : post 20 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 18.00 น.

รมว.กลาโหม รับเสียใจคดีตากใบ ย้ำให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม บูรณาการทุกภาคส่วน ลดความรุนแรงในพื้นที่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 ตุลาคม 2567 รองนรม./รมว.กห.เสียใจกับคดีตากใบพร้อมย้ำให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมและบูรณาการทุกภาคส่วน ลดความรุนแรงในพื้นที่

พลตรี ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 67 ช่วงเที่ยงที่ผ่านมาว่า ตามที่มีกระทู้ถามสดจากนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถาม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนรม./รมว.กห. ถึงการดำเนินคดีกับผู้ทีเกี่ยวข้องเหตุการณ์ตากใบซึ่งจะหมดอายุความในวันที่ 25 ต.ค.67นั้น ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว รองนรม./รมว.กห. ได้ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าท่านเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและจากการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวมีรายละเอียด ที่ต้องพิจารณาหลากหลายมิติทั้งการลำเลียงคนและการจัดระเบียบผู้ชุมนุม ซึ่งไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อความสูญเสีย จากสถานการณ์ในขณะนั้นมีความสับสนอลหม่านต่อการปฏิบัติเพราะมีผู้ชุมนุมเป็นจำนวนมาก หากไม่มีการแยกย้ายอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตทรัพย์สินผู้ชุมนุมในภาพรวมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ได้มีการเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียโดยผู้เสียชีวิตได้รับเงินจำนวน 7 ล้านบาทเศษและผู้ได้รับบาดเจ็บจะได้รับเงินลดหลั่นกันลงไป ซึ่งได้ดำเนินการแล้วในรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต นรม./ รมว.กห.

ต่อเรื่องดังกล่าวการดำเนินการเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมดที่ยังหาตัวไม่พบให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการ ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาที่ยังไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะต้องนำตัวเข้ามาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมต่อไป

สำหรับกรณีเหตุการณ์ตากใบ ที่ผ่านได้มีการถอดบทเรียนและนำมาปรับใช้เป็นวิธีการปฏิบัติไม่ใช่อารมณ์ในการแก้ไข ควรใช้บทเรียนในการสร้างสรรค์แก้ไขปัญหา ต้องใช้สติไม่ใช้อารมณ์ มาทำลายกันด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ควรนำบทเรียนมาปรับวิธีการทำงานให้กับพี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินกับประชาชนในพื้นที่ 3 จว.ชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา (อ.จะนะ อ.นาทวี อ.เทพา และอ.สะบ้าย้อย) ทั้งการปรับวิธีคิดและวิธีการต่าง ๆ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก และการสนับสนุนให้ลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วยการเจรจาอย่างสันติวิธี

ที่ผ่านมา อาจมีบางกลุ่มได้นำประเด็นดังกล่าวมาสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งมากกว่าที่จะช่วย กันแก้ไข เพื่อสร้างความแตกแยกและโจมตีรัฐบาลจนทำให้ประชาชนในพื้นที่สับสนจากความเป็นจริง โดยที่ผ่านมารัฐบาลพยายามปรับวิธีการนำไปสู่สันติสุข อย่างไรก็ตามยังคงมีปัญหาที่เกิดขึ้นอันเกิดจากความหลากหลายมิติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ปัจจุบันในพื้นที่ 3 จว.ชายแดนใต้ และ 4 อำเภอของสงคราม (อ.จะนะ อ.นาทวี อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย) พยายามลดความรุนแรงจะการก่อเหตุ โดยมีการบูรณาการการทำงานของทุกส่วนราชการทั้ง กอ.รมน., ศอ.บต. , เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและหน่วยงานราชการในพื้นที่ร่วมกันหาทางออกและทำงานอย่างประสานสอดคล้อง โดยจะนำบทเรียนจากเหตุการณ์ตากใบมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สร้างสันติสุขให้กลับมา และทำให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวและเขตเศรษฐกิจในการสร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ดีขึ้นตามลำดับ

Advertisement

 

Verified by ExactMetrics