วันที่ 16 กันยายน 2025

กต.แจงทูต 68 ปท. ย้ำ “กัมพูชา” ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา-อธิปไตยไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กรกฎาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันจุดยืนต่อคณะทูตจาก 68 ประเทศ “กัมพูชา” ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ละเมิดอธิปไตยไทย พร้อมยื่นประท้วงต่อประชาคมโลก เพื่อให้กัมพูชารับผิดชอบเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยังไม่ถึงขั้นเรียกฑูตกลับประเทศ

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวหลังบรรยายสรุปแก่เอกอัครราชทูต หรือผู้แทน รวมถึงผู้ช่วยทูตทหาร จำนวน 93 คนจาก 68 ประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และแถลงผลการบรรยายสรุปโดยมีนางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก. พลเอกศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) และนางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ

นายนิกรเดช กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการบรรยายในวันนี้เพื่อบรรยายสรุปให้แก่คณะทูต ในเรื่องกำลังพลของกองทัพบก 3 นาย ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะลาดตระเวนที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี โดยกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ศบ.ทก.ได้แถลงข้อเท็จจริง เน้นย้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย

โดยภาพรวมการบรรยายสรุปวันนี้ เป็น 5 ประเด็น ประกอบด้วย

1.ยืนยันการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วัตถุระเบิดที่พบไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของฝ่ายไทย เป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า เป็นทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา และถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง

2.รัฐบาลไทยได้มีแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถือเป็นการละเมิดอธิปไตย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาว่าอย่างชัดเจน

3.จากหลักฐานทั้งหมดที่ได้มีการรวบรวม และตรวจสอบอย่างรอบคอบ รัดกุม จากฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศได้มอบหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการให้ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อประท้วงกัมพูชาว่า ได้ทำการละเมิดอธิปไตยของไทย ไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาว่า และขอให้ฝ่ายกัมพูชาตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงความรับผิดชอบ เยียวยาผู้เสียหาย รวมทั้งขอให้เก็บกู้ทุ่นระเบิดตามที่เคยได้ตกลงกันไว้

4.กระทรวงการต่างประเทศ โดยเอกอัครราชทูตผู้แทนประจำสหประชาชาติ นครเจนีวา ได้มีหนังสือถึงเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำการประชุมรัฐภาคี ว่าด้วยการลดอาวุธ โดยการประชุมพันธอนุสัญญาว่าด้วยรัฐภาคีตามอนุสัญญาออตตาวา ที่มีเนื้อหาเช่นเดียวกับการประท้วงกัมพูชา ว่าเนื่องด้วยการที่ไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญา ที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ จึงต้องปฏิบัติตามพันธกรณี ในการรายงานเหตุการณ์การละเมิดพันธกรณีของกัมพูชาตามมาตรา 1 ของอนุสัญญา และย้ำว่าไทยต้องการใช้กลไกรัฐภาคีกับกัมพูชาดำรงไว้เพื่ออนุสัญญาออตตาวา ในฐานะรัฐภาคี โดยไทยต้องการใช้การหารือทวิภาคีกับกัมพูชา

5.ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเน้นย้ำจุดยืนของไทย ที่ยึดถือหลักปฏิบัติสากลกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายสหประชาชาติพันธกรณีของประเทศไทยและในขณะเดียวกันไทยยังคงพร้อมที่จะพูดคุยหาทางออกกับฝ่ายกัมพูชา ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่

นายนิกรเดช ยังกล่าวตามที่ให้การแถลงข่าวไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตนเองได้บอกกับสื่อมวลชนว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้เดินทางไปที่นครนิวยอร์ก เพื่อไปร่วมการประชุม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่อยู่ระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมหารือแห่งการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นิวยอร์ก ได้พบผู้แทนระดับสูงต่างประเทศ และจะใช้โอกาสนี้ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะหลักการของไทยที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและเจรจาผ่านกรอบทวิภาคี

ซึ่งล่าสุดวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของปากีสถาน ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และได้พบกับรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมของปานามา ซึ่งจะเป็นประธานคนต่อไป ซึ่งทั้งสองคนเห็นพ้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาของไทย ว่าเราจะใช้กลไกทวิภาคี และหากมีการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาก็จะต้องแก้ไข

เมื่อถามถึงประเด็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วผลกระทบต่อการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการทุนระเบิดแห่งชาติ หรือ T-Mac มากน้อยแค่ไหน นายนิกรเดช ยืนยันว่าไม่กระทบ เพราะยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการปฏิบัติต่อเนื่องบริเวณชายแดนฝั่งไทยมาโดยตลอด เนื่องจากเราไม่เคยมีกลไกที่มีความร่วมมือกับกัมพูชาอย่างเป็นทางการ อย่างเช่น เรื่องทุ่นระเบิดเป็นโปรเจ็คโมเดลที่ได้ทดลอง ดังนั้นตนเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ย่อมทำให้เกิดความตื่นตัวในฝั่งไทย

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของอนุสัญญาออตตาว่านั้น นายนิกรเดช กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เป็นรัฐภาคีทำหน้าที่อย่างถี่ถ้วนสมบูรณ์มาโดยตลอดเช่นกัน และสิ่งที่เราทำวันนี้ คือ การยื่นจดหมายก็เป็นไปตามมาตราที่ 1 ของอนุสัญญา ที่รัฐภาคีจำเป็นต้องรายงานหากพบเจอทุ่นระเบิดก็ต้องรายงานสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ประเทศไทยได้ยื่นสถิติของการมีทุ่นระเบิดในครอบครองทั้งหมด ยืนยันให้เห็นการเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบ ในฐานะรัฐภาคี ยังมีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างสูงสุด

เมื่อถามว่าสถานการณ์ทางแนวชายแดนดูรุนแรง และเกิดการยั่วยุบ่อยครั้งสถานการณ์แบบนี้ จะทำให้กระทรวงการต่างประเทศ ต้องพิจารณามาตรการตอบโต้เข้มข้นกว่าการประท้วงเป็นเอกสารหรือไม่ เช่น เรียกทูตกลับมา หรือส่งทูตกัมพูชากลับไป นายนิกรเดช ยืนยันว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น ในขั้นตอนนี้ได้มีการถาม-ตอบในที่บรรยายเช่นกัน เนื่องจากเราย้ำตลอดว่าเราต้องการแก้ไขปัญหาผ่านช่องทางทวิภาคีและเอกอัครราชทูต เป็นกลไกสำคัญ ที่จะเปิดช่องให้มีการหารือทวิภาคี ดังนั้นฝ่ายไทยยังไม่ได้มีการพิจารณาไปถึงจุดนั้น

Advertisement

ศบ.ทก. เผยภาพรวมชายแดนไทย-กัมพูชา ยังสงบเรียบร้อย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 กรกฎาคม 2568 ศบ.ทก. ชี้ภาพรวม 2-3 วัน ชายแดนไทย-กัมพูชา สงบเรียบร้อย เผยอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์จุดผ่านแดนท่าเรือตามแนวชายแดน หลังกัมพูชาจะไม่อนุญาตให้ขนส่งสินค้าจากไทยทุกประเภท

ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)โดยนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก.ด้านความมั่นคง

พล.ร.ต. สุรสันต์ ระบุว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ขอบคุณประชาชนทุกคนที่อดทน อดกลั้น และเสียสละ แสดงพลังความสามัคคี ทุกภาคส่วนเป็นทีมไทยแลนด์ในการสนับสนุนหน่วยงาน พลังของพี่น้องประชาชนในการช่วยเหลือ ถือเป็นพลังที่สำคัญและเป็นกำลังใจให้กับทุกฝ่าย เช่น การซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และเครื่องอุปโภคบริโภค

และขอเน้นย้ำว่าหลักการของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังยึดหลักการรอบคอบ รอบด้าน ใช้สติ ใช้แนวทางสันติ และที่ผ่านมาการดำเนินการของ ศบ.ทก. จะรับนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านจากมติสมช. และ ศบ.ทก.จะสั่งการไปยังกองทัพ และหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อจะสั่งการในพื้นที่ต่อไป ซึ่งห้วงเวลาที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณที่สถานการณ์อาจจะคลี่คลายไปในทางที่ดี

ทั้งนี้ พล.ร.ต. สุรสันต์ ระบุอีกว่า กองกำลังสุรนารีเดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.ศรีสะเกษ ถือเป็นแนวทางที่ดีที่หน่วยงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมยังสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการตามแนวชายแดนให้กับประชาชนด้วย

ขณะเดียวกัน นางมาระตี ระบุว่า มิติด้านการต่างประเทศที่มีการพูดคุยกันในการประชุมวันนี้ จากการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ ได้รับรายงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคงเกี่ยวกับสถานการณ์การควบคุมด่านจุดต่าง ๆ ภาพรวม 2-3 วันที่ผ่านมา ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สงบ ขอย้ำว่าการเพิ่มความเข้มข้นของจุดผ่านแดนในขณะนี้ เป็นมาตรการที่หน่วยงานในพื้นที่พิจารณาอย่างรอบคอบ โปร่งใส ตามนโยบายที่ได้รับการมอบหมาย โดยคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ไทยพร้อมปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความมั่นคงและความจำเป็นในแต่ละพื้นที่ต่อไป ทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนจะมีการสื่อสารไปยังประชาชนให้ทราบอย่างโปร่งใส

และจากการรายงานข่าวจากสื่อต่าง ๆ ในพื้นที่จะมีการอนุโลมให้กลุ่มบุคคลผ่านแดนตามปกติ ทั้งผู้ป่วย ที่จำเป็นต้องรักษาพยาบาลในฝั่งไทย รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่มีความจำเป็น ที่จะต้องข้ามมาฝั่งไทย เพื่อจับจ่ายใช้สอย

ขณะเดียวกัน ได้รับรายงานจากหน่วยงานในพื้นที่เกี่ยวกับการจับกุมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติมากขึ้น โดยการจับกุมที่อยู่ในระดับไม่มากนัก แต่เชื่อว่าจากการเพิ่มมาตรการส่วนนี้อาจจะเห็นกิจกรรมในเรื่องนี้มากขึ้น เกี่ยวกับมาตรการควบคุมผ่านแดน โดยขอย้ำว่าฝ่ายไทยดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์เป็นปัญหาระดับภูมิภาคที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนของทุกประเทศในภูมิภาค ย้ำว่าไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้และขอความร่วมมือจากทุกประเทศในภูมิภาค เพื่อร่วมกันแก้ไข จัดการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ให้หมดไป

นอกจากนี้ในเรื่องของการเยียวยาประชาชน มีการรายงานข่าวว่าฝ่ายกัมพูชาจะไม่อนุญาตให้ขนส่งสินค้าจากไทยทุกประเภทตามจุดผ่านแดนต่าง ๆ รวมถึงจุดผ่านแดนท่าเรือตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ในชั้นนี้ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างติดตามมาตรการดังกล่าวอยู่เพื่อประเมินในอนาคตว่าผลกระทบที่จะมีต่อประชาชนทั้งสองประเทศมีอะไรบ้าง ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว โดยไทยขอยืนยันว่ามาตรการลักษณะนี้เป็นการขยายปัญหาออกไปโดยไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลักและเป็นการสวนทางความพยายามของฝ่ายไทยที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาความตึงเครียดของรัฐบาลทั้งสองรัฐบาล มีผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยรัฐบาลไทยมองว่าสถานการณ์ความตึงเครียดเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลไม่ใช่ปัญหาของประชาชน

และขอยืนยันว่าฝ่ายไทยพร้อมเสมอที่จะเจรจากับฝ่ายกัมพูชาในทุกกรอบการเจรจาระดับทวิภาคี พร้อมทุกเมื่อด้วยความจริงใจ สุจริตใจ โดยยึดหลักการความเคารพซึ่งกันและกันอันเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและที่เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ นางมาระตี ระบุอีกว่า ขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชนให้ระมัดระวังการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้ตรวจทานหรือขยายเนื้อหาข่าวปลอมที่อาจมีผลระดมในขณะนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นประเด็นขัดแย้งเพิ่มเติมระหว่างประชาชนส่วนข้อมูลข่าวสารของทางการไทยขอยืนยันว่าเรามีการตรวจสอบและประสานงาน ก่อนกรองอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนและจะเผยแพร่ตามช่องทางต่าง ๆอย่างโปร่งใส

Advertisement

“บิ๊กเล็ก” แจง ชายแดนไทย-กัมพูชา มีสัญญาณบวก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายค้านประเดิมกระทู้ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน “บิ๊กเล็ก” เผยสถานการณ์ไทย-กัมพูชา มีสัญญาณบวก ผู้นำระดับสูงของกัมพูชายอมพูดคุยเจรจา GBC พร้อมแจงมาตรการกดดัน 2 จาก 4 ขั้นตอน หลัง “ฮุน เซน” โพสต์โซเชียล ยอมรับลำบากใจจัดการสถานการณ์ เหตุสังคมมีความเห็น 2 ฝ่าย

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัด นอร์มะทาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานในที่ประชุม ในระเบียบวาระ กระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงแทน

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤตไทยกัมพูชาที่เกิดขึ้นตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องการคือรัฐบาลที่เข้มแข็งไม่อ่อนแอขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการบริหารสถานการณ์อย่างมีวุฒิภาวะรอบคอบได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านให้ความเกรงอกเกรงใจรัฐบาลไทย ซึ่งการที่รัฐบาลจะดำเนิน มาตรการต่างๆอย่างเข้มแข็งและเหมาะสม ก็มีหลายมาตรการที่สามารถทำได้เช่นมาตรการทางการทหาร มาตรการทางเศรษฐกิจ หรือมาตรการที่พุ่งเป้าไปยังผู้มีอิทธิพลของผู้นำกัมพูชา สถานการณ์คลิปหลุดล้วนเกิดขึ้นจากการบริหารที่ผิดพลาดที่ผู้นำประเทศใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างครอบครัวจนนำมาสู่วิกฤตครั้งนี้ที่คลี่คลายได้อย่างยากยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรี เคยมีการสื่อสารต่อสื่อมวลชนว่ามาตรการทางเศรษฐกิจที่ในบางกรณีหรือหลายกรณีนั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างต้องใช้ไปเพื่อสร้างแรงกดดัน เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของกำลังทหารและการใช้กับอาวุธที่ใช้ปฏิบัติการในระยะไกลของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมาตรการอื่นๆสามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นมาตรการทางเศรษฐกิจ หากสถานการณ์ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2568 เป็นต้นมามีรายงานข่าวที่สอดคล้องกันทั้ง 2 ประเทศ ว่ากัมพูชาได้ปรับกำลังถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทแล้วแต่เราก็ทราบดีว่าในขณะนี้เรื่องของการควบคุมด่านชายแดนที่รัฐมนตรีใช้คำว่าเปิดด่านแบบจำกัดเวลาเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ ที่ด้านหนึ่งเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพแตกด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อประชาชนภายในวงกว้างเช่นเดียวกัน

คำถามแรกที่อยากจะถาม รัฐบาลต้องแสดงความเข้มแข็ง พวกเราไม่ได้เห็นต่างในเรื่องการใช้มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ใช้อย่างไรให้เหมาะสมและแสดงออกว่ารัฐบาล ยังรอบคอบมีวุฒิภาวะไม่ดำเนินมาตรการที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินความจำเป็น ดังนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามหน้าข่าวอาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงจึงอยาก ทราบข้อเท็จจริงจากรัฐมนตรีในวันนี้ แล้วอยากจะสอบถามว่าณ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างไทย -กัมพูชาตามแนวชายแดนยังมีความตึงเครียดมีความกดดันทางด้านการทหารที่กัมพูชาดำเนินการอยู่ใช่หรือไม่ หากมี มีอย่างไร

ด้าน พล.อ.ณัฐพล ขอชี้แจงภาพรวมว่าวันที่ 8 มิถุนายน กัมพูชาได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังกลับจากจุดที่เผชิญหน้ากันอยู่หลายครั้งที่เราพยายามจะเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เพราะมีกำลังเข้ามาเผชิญหน้าอยู่ระยะใกล้ ถ้ามีการเริ่มใช้อาวุธจะมีความตึงเครียดเหตุการณ์อาจจะบานปลายได้ แม้กำลังที่ เผชิญหน้าจะถอนกลับไปแล้วแต่กำลังส่วนที่เหลือที่มีจำนวนมากมีทั้งอาวุธหนักทั้งรถถังและปืนใหญ่ยังเป็นกำลังและรอบ 2 ที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ยังมีความเสี่ยงที่วันใดวันหนึ่งเกิดความไม่เข้าใจกันแล้วอาจทำให้สถานการณ์บานปลายถึงขั้นใช้อาวุธหนัก

ตนเองมีประสบการณ์ตอนเขาพระวิหารในครั้งนั้นอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายมีนั้นยังไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนี้ ถ้างั้นรัฐบาลมีความห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน จึงมีแนวทางในการดำเนินการคลี่คลายความตึงเครียดในบริเวณชายแดน โดยศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย -กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่ทำงานภายใต้สภาความมั่นคงแห่งชาติเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ได้กำหนดแนวทางการทำงานได้ไว้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานสันติวิธี และการยึดถือศักดิ์ศรีแห่งความเป็นรัฐของทั้งสองฝ่าย มุ่งเน้นเจรจาแบบทวิภาคีกับกัมพูชาเพื่อคลี่คลายอย่างสันติ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย ด้านการใช้อาวุธและบานปลายในแง่ของความเดือดร้อนของประชาชน

ทั้งนี้ ศบ.ทก. และรัฐบาลหนักใจ เพราะว่าสังคมมี2 กระแส คือ ประชาชนตามจังหวัดแนวชายแดนเรียกร้องรัฐบาลยุติสถานการณ์โดยเร็ว เพราะประชาชนเดือดร้อน ทั้งในแง่ความปลอดภัยและเศรษฐกิจ แต่ประชาชนพี่น้องส่วนกลางที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลอ่อนข้อ อยากให้ใช้มาตรการที่เข้มแข็ง ดังนั้นการตัดสินใจแต่ละเรื่องจะต้องรอบคอบและใช้น้ำหนักให้ดี

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่ารัฐบาลตระหนักถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน อาจมีการชี้นำจากฝ่ายการเมืองหรือผู้นำบางคน แต่สิ่งที่ไทยต้องรักษาให้มั่นคือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชน2 ประเทศ ซึ่งทุกคนตระหนักดีว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเกิดมาจากส่วนบุคคลดังนั้นไม่ควรนำความตึงเครียดขยายไปสู่ประชาชนทั่วไป

“ประชาชนไม่ควรมาเป็นเหยื่อการเมืองระดับรัฐ ขอเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่ต้องดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชน2 ฝ่าย” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่าเราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการควบคุมที่เข้มงวดบริเวณชายแดนเนื่องจากมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ทางกัมพูชามีการสั่งกำลังเคลื่อนย้ายเข้ามาพื้นที่ชายแดน และไทยจำเป็นต้องเสริมกำลังในระดับที่เหมาะสมเพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคง ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวของไทยอยู่ในกรอบสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการประทะโดยเด็ดขาดหากกัมพูชาไม่รุกล้ำ อธิปไตยด้วยการติดอาวุธ

ส่วนการควบคุมชายแดนรัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมว่าด้วยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC รวมถึงประเทศพันธมิตรในการปราบปรามกระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกรมเมอร์ มีข้อมูลว่าแฝงตัวอยู่บริเวณแล้วชายแดนไทย-กัมพูชาจำนวนมาก จึงต้องตรวจสอบควบคุมการเข้าออกในบริเวณชายแดนอย่างเข้มข้น

ยืนยันทุกมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการ ศบ.ทก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งหวังให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณแนวชายแดนกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด ทางด้าน “ความมั่นคง-เศรษฐกิจสังคม-จิตวิทยา” และยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด

พล.อ.ณัฐพล ยังชี้แจงเรื่องอำนาจของกองทัพ ว่าเป็นเรื่องที่ลำบากใจ เนื่องจากส่วนตัวนั้นเป็นรัฐบาลฝ่ายการเมืองแต่ยังมียศทำให้ถูกมองว่าเป็นทหาร ซึ่งก่อนที่ถูกมอบหมายให้รับหน้าที่ในตำแหน่งนี้ ผู้ใหญ่มองว่าเป็นทหารแล้วมาเป็นรัฐบาลมีข้อดีที่ว่าเวลาอยู่ในรัฐบาลก็เป็นการเมือง แต่กลับกองทัพก็เป็นทหาร แต่ผลที่ที่ผ่านมายังไม่ได้เป็นไปตามที่คิด

“ปรากฏว่าเวลาที่ผมกลับไปอยู่กองทัพทุกคนก็มองว่าผมเป็นรัฐบาล เวลาผมอยู่ในรัฐบาล เค้าก็มองว่าผมเป็นกองทัพ เพราะฉะนั้นขอกราบเรียนท่านประธานว่าปัจจุบันผมทำงาน เวลาผมเป็นรัฐบาลผมก็ทำงานเป็นรัฐบาล ว่าที่ผ่านมาดำเนินการโดยรัฐบาลโดยตนเองเป็นผอ.ศบ.ทก.” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวถึงข้อห่วงใยว่ากองทัพมีอำนาจ นั้น ว่ารัฐบาลกำหนดนโยบายให้ทุกส่วนราชการปฏิบัติและใช้อำนาจ สมช. โดยมีรองนายกรัฐมนตรี อำนวยการเพื่อให้ทุกหน่วยงานดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายเดียวกัน และกองทัพเป็นหนึ่งในหลายหน่วยงานที่ปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาล สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนเป็นภาวะฉุกเฉินเชิงความมั่นคง ซึ่งฝ่ายกัมพูชามีระบบสั่งการแบบรวมศูนย์ ผู้นำสามารถสั่งการแนวหน้าตามแนวชายแดนได้ทันที ขณะที่ไทยหากยังใช้สายบังคับบัญชา ตั้งแต่รัฐบาล สมช. และกองทัพ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ จึงขอความเห็นใจในการบริหารสถานการณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องในการใช้กำลังทหาร ซึ่งการใช้อำนาจกองทัพเป็นมาตรการเฉพาะหน้าภายใต้กำกับ ศบ.ทก. มีการประชุมทุกขั้นตอนไม่ได้ปล่อยให้กองทัพมีอิสระ

ทั้งนี้ รัฐบาลมองเรื่องปัญหาความมั่นคงที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และ เศรษฐกิจ ที่ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งปัจจุบันนี้เริ่มมีสัญญาณบวกว่า ผู้นำระดับสูงของกัมพูชาเริ่มมีการพูดคุย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยยอมคุย แต่2-3 วันนี้ เริ่มมีการพูดคุยเรื่องบทบาททวิภาคี GBC แต่สถานการณ์ในโซเชียลระหว่างสองประเทศยังทำให้เกิดเงื่อนไขการเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ

พร้อมกันนี้ยังชี้แจงว่ากลไกทวิภาคียังมี JBC ที่เป็นการเจรจาระหว่างแม่ทัพของไทยและกัมพูชา และ GBC ที่มีการเจรจาระหว่างรัฐกับรัฐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ที่ครอบคลุมตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา ส่วน RBC เป็นกลไกระหว่างกองทัพภาค หรือผู้บัญชาการภาคของฝั่งกัมพูชา-ไทย เช่น การเจรจาในกองทัพภาคที่1 หรือกองทัพภาคที่ 2

นายณัฐพงษ์ ถามครั้งที่2 ว่า วัตถุประสงค์และข้อเท็จจริงขณะนี้ที่รัฐบาลยังคงมาตรการควบคุมด่านมีไว้เพื่ออะไร เพราะเห็นว่าหากใช้อย่างไม่เหมาะสมจะกลายเป็นความตึงเครียดที่ทำให้การบริหารสถานการณ์เดินไปด้วยความยากลำบาก และความคืบหน้าการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงดำเนินคดีสังหารฝ่ายค้านกัมพูชาในไทย และทราบมาว่ากองทัพมีการประสานไปยัง คณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐประจำประเทศไทยหรือ จัสแมกซ์ไทย เพื่อขอกำลังบำรุงเครื่องกระสุนเพื่อรองรับต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น แต่ทราบว่าเรื่องนี้ถูกคว่ำลงเนื่องจากฝ่ายการเมืองปัดตกคำขอ จึงขอฟังเหตุผลเรื่องนี้เพราะเกรงใจต่อประเทศมหาอำนาจอื่น

พลเอกณัฐพล ยอมรับในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำงานกับฝ่ายค้านและเห็นว่าฝ่ายค้านมองผลประโยชน์ของประชาชน เช่นข้อแนะนำของ สส.รังสิมันต์ โรม พร้อมชี้แจงว่าจากจากความกดดันในช่วงแรกที่อังเคิลโพสต์ มาตลอดทำให้รู้สึกว่าเราอาจใช้ความกดดันที่ตึงเครียด โดยไทยมีมาตรการ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนจนถึงปัจจุบัน คือ มาตรการควบคุมจุดผ่านแดน 4 ขั้นตอน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ขั้นที่2 คือ 1.จำกัดการผ่านแดน 2.การจำกัดวันและเวลาในการเข้าออกจุดผ่านแดน 3. ปิดจุดผ่านแดนบางจุด 4. ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน ซึ่งไม่ได้กดดันอะไรมาก อย่างจุดผ่านแดนช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ฝั่งไทยเปิด แต่ฝั่งกัมพูชาปิด ยืนยันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ภาพจัดฉาก หรือด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว หรือจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลมจังหวัดจันทบุรี

“ขอทุกคนเปิดเข้าใจว่าไทยเปิดจุดผ่านแดนเพียงแต่ใช้มาตรการจำกัดสองขั้นตอนเท่านั้น เลยมีความรู้สึกว่ากดดันมาก เป็นความรู้สึกที่ทางฝ่ายผู้นำกัมพูชาโพสต์มา ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นสถานการณ์ความตึงเครียดอะไรต่างๆ การโพสต์ต่างๆเข้าใจว่าท่านผู้นำกัมพูชาอยู่ที่พนมเปญ คงได้รับการบอกเล่าอาจจะคลาดเคลื่อน แต่ข้อเท็จจริงไปตามที่กราบเรียน” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พร้อมชี้แจงความมุ่งหมายในการกดดัน คือไม่ได้กดดันด้านเศรษฐกิจแต่กดดันด้านกระบวนการอาชญากรรมชายแดนเป็นไปตามความร่วมมือกับ UNODC ในการปราบสแกรมเมอร์ ซึ่งตั้งแต่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมาพบว่าสถิติลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ประชาชนตามแนวชายแดนจะได้รับความเดือดร้อน และในฐานะเป็นรัฐบาลและรู้สึกเจ็บปวด ที่เหตุใดต้องดึงประชาชนมาเกี่ยว จึงขอให้เข้าใจว่าการบริหารสถานการณ์เป็นไปด้วยความยากมากเพราะสังคมมี 2 ฝ่าย แต่ฟังข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นข้อมูลที่สะเทือนใจเมื่อเด็กนักเรียนนั่งเรียนต้องระวังฟังเสียงไซเรนว่าจะดังขึ้นเมื่อไหร่ นี่คือสิ่งที่ ศบ.ทก. จะระมัดระวังไม่ทำให้เหตุการณ์บานปลาย เพราะมีความเสียหายเกิดทั้งต่อกองทัพและประชาชน และยืนยันว่ารัฐบาลเร่งรัดและพยายามทำให้การโน้มน้าวเชิญชวนกัมพูชามาเข้าสู่บรรยากาศการเจรจาแบบทวิภาคี ส่วนการคลี่คลายคดีลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ส่วนเรื่องการประสานจัสแม็กซ์นั้น เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ตนเป็นเลขาธิการ สมช. มาก่อน ความมั่นคงยึดถือนโยบายสมดุลย์เป็นหลัก ในการสร้างสมดุลย์ระหว่างประเทศมหาอำนาจทุกประเทศ ระมัดระวังไม่ให้ไทยไปผูกพันธ์กับประเทศใดประเทศนึง ไม่ได้เป็นการยั่วยุหรือแสดงกำลัง เป็นเพียงความร่วมมือทางการทหาร

“การที่ทางกองทัพพูดคุยกับจัสแมกซ์ ทำไมฝ่ายการเมืองถึงยับยั้ง เพราะฝ่ายการเมืองมองในเรื่องนโยบายระหว่างประเทศ การรักษาสมดุลย์ ขอบคุณที่ถามเรื่องนี้มันเป็นประเด็นสำคัญที่ย้ำว่ากองทัพไม่สามารถดำเนินการได้ตามลำพัง กองทัพต้องทำตามนโยบายรัฐบาล เพราะหากดึงอีกประเทศเข้ามาอาจทำให้เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ได้ ซึ่งเป็นแนวทางตามด้านความมั่นคง“ พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พร้อมย้ำว่า หากยิ่งชี้แจง ก็ยิ่งเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยกองทัพและฝ่ายความมั่นคงจะต้องใช้ฝีมือมากขึ้น การไม่ขอชี้แจง ก็จะทำให้ประชาชนไม่เกิดความเข้าใจ หรือฝ่ายนิติบัญญัติไม่เข้าใจ ดังนั้นวันนี้พยามชี้แจงให้ได้มากที่สุด

ส่วนที่วิจารณ์ว่ารัฐบาลเสียรู้จากกรณีคลิปเสียง พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า ขณะนี้มีกระบวนการให้ใช้การเจรจาผ่านการประชุมคณะกรรมการเรื่องเขตแดน GBC หากทำสำเร็จ จะหารือใน 2 เรื่องคือ การเคลื่อนย้ายกำลังกลับที่ตั้งปกติ เลี่ยงความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และยกเลิกมาตรการควบคุมตามแนวชายแดน ซึ่งมีรายละเอียดที่ไม่ลงตัวเพราะต่างฝ่ายยังระแวงจากโซเชียล

“การตอบโต้ผ่านโซเชียลกับอังเคิล นั้นไม่ได้ทำแบบทางการ และหากตอบโต้กันไปมาจะทำให้เป็นปัญหาได้ เมื่ออังเคิลบอกว่าไทยผิดฝ่ายเดียว กัมพูชาไม่ผิด จึงใช้การตอบโต้แบบชี้แจงข้อเท็จจริง นำภาพให้ดู ไม่ใช่โต้กันไปกันมา ซึ่งไม่สามารถยุติการตึงเครียดที่เกิดขึ้นได้ รัฐบาลโดย ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก กำลังดำเนินการ ขณะที่มาตรการทางการทูตรัฐบาลได้ทำผ่านกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงการทูตทางทหาร เรื่องนโยบายสมดุล” พล.อ.ณัฐพล ชี้แจง

Advertisement

ทบ. ยันเขมรย้ายหมุด “ตาเมือนธม” Google Map ไม่มีผลทาง กม.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กรกฎาคม 2568 ทบ. ยันเขมรย้ายหมุด “ปราสาทตาเมือนธม” ใน Google Map ไม่มีผลทางกฎหมาย ทั้งระดับในประเทศและระหว่างประเทศ ไม่ต้องกลัวฟ้องศาลโลก

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กรณีสื่อสังคมออนไลน์ พบการย้ายหมุด และแนวเส้นสมมติฐานเขตแดนบริเวณปราสาทตาเมือนธม ในแอปพลิเคชัน Google Map จากฝั่งประเทศไทยไปอยู่ยังฝั่งกัมพูชา และกังวลว่าเป็นการสร้างหลักฐานเท็จ เพื่อนำไปอ้างอิงฟ้องสื่อต่างชาติ และศาลโลก รวมทั้งทำให้ประชาชนบางส่วนเข้าใจผิดว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในดินแดนกัมพูชา และประเทศไทยต้องการรุกรานดินแดนกัมพูชา และยึดปราสาทตาเมือนธมนั้น

การกำหนดสถานที่ และเส้นเขตแดนในแอปพลิเคชัน Google Earth และ Google Map ทางบริษัทได้ใช้ข้อมูลจากภาคเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการประชาชนทั่วไปใช้ประโยชน์เพื่อการเดินทาง ซึ่งในหลายจุดจะพบเห็นความคลาดเคลื่อนจากสถานที่จริงอยู่บ้าง โดยเฉพาะเส้นสมมติเขตแดน และที่สำคัญข้อมูลของแอปพลิเคชั่นดังกล่าว จะไม่มีผลทางด้านกฎหมายทั้งในระดับในประเทศและในระดับระหว่างประเทศ

โดยในส่วนที่มีข้อมูลที่ผิดพลาดในแอปพลิเคชันนั้น ผู้ใช้งานสามารถรายงานไปยังบริษัท เพื่อขอให้แก้ไขข้อมูลได้

ทั้งนี้ขอยืนยันอย่างชัดเจนว่า ฝ่ายไทยใช้อำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม มาโดยตลอด ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยึดโยงกับหลักฐานภูมิศาสตร์ และการบริหารพื้นที่ โดยหน่วยงานราชการไทยอย่างต่อเนื่อง

Advertisement

 

ไร้เงาตัวแทนกัมพูชา นายกฯ เปิดประชุมนานาชาติหน่วยยามฝั่งอาเซียน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มิถุนายน 2568 ไร้เงาตัวแทนกัมพูชา นายกฯ เปิดการประชุมนานาชาติหน่วยยามฝั่งอาเซียน ชมสาธิตวิธีการช่วยอากาศยานประสบภัยในทะเล

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี และกล่าวเปิดการประชุมนานาชาติหน่วยยามฝั่งอาเชียน (ASEAN Coast Guard Forum 2025: ACF 2025) และการฝึกค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยในทะเล และการแพทย์ฉุกเฉินในทะเล ที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน 2568 เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย มั่นคง มั่งคั่ง ในอาเซียน ณ โรงแรมฮิลตัน พัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมีพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือให้การต้อนรับ

โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศผู้สังเกตการณ์ และพันธมิตรสำคัญที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้สู่เมืองพัทยา และแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในพิธีเปิดเวทีความร่วมมืออันสำคัญของภูมิภาค ซึ่งเป็นเวทีที่หน่วยรักษาความปลอดภัยชายฝั่ง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศสมาชิกอาเซียน ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนมุมมอง และเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อยกระดับความมั่นคงทางทะเลร่วมกัน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความสำคัญของความมั่นคง และความปลอดภัยทางทะเล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาค เนื่องจากท้องทะเลไม่เพียงเป็นเส้นทางการค้าสำคัญ และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ประเทศสมาชิกต้องร่วมกันปกป้องจากภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ การลักลอบ การค้ายาเสพติด การประมงผิดกฎหมาย และการค้ามนุษย์

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมผู้ร่วมจัดงานที่ทุ่มเทดำเนินการประชุมจนสำเร็จ โดยเฉพาะการเปิดเวทีให้หน่วยงานทางทะเลจากประเทศอาเซียน อาทิ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความร่วมมืออย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังรู้สึกยินดีที่ผู้เข้าร่วมจะได้ร่วมกิจกรรมหลากหลาย ซึ่งออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างกรอบความร่วมมือ และปฏิบัติการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ตลอดจนมีส่วนช่วยสนับสนุนเป้าหมายระยะยาว ในการเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลในภูมิภาค

จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้รับฟังบรรยายการปฎิบัติงานของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล หรือ ศรชล. ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะรับชมการสาธิตขั้นตอนวิธีการการช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยในทะเล และการแพทย์ฉุกเฉินในทะเล ที่สาธิตอยู่ใกล้ชายหาดจอมเทียน บริเวณระเบียงโรงแรม

ทั้งนี้เป็นที่สังเกตว่า การประชุมดังกล่าว มีชาติสมาชิกอาเซียนส่งตัวแทนจากกองทัพเรือ เข้าร่วมเกือบครบทุกประเทศ ขาดเพียงประเทศกัมพูชา ที่ไม่ได้มาร่วมงาน

อย่างไรก็ตาม การประชุมหน่วยยามฝั่งในกลุ่มประเทศอาเซียน จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของประเทศในอาเซียน มีผู้แทนหน่วยรักษาความปลอดภัยชายฝั่ง และหน่วยบังคับใช้กฎหมายทางทะเลจากประเทศสมาชิก และประเทศสังเกตการณ์อาเซียนเข้าร่วม รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC ซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุนการจัดการประชุมฯ รวมผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ทั้งหมดประมาณ 50 คนโดยในปีนี้ศรชล.เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACF 2025 ตามมติที่ประชุม ACF 2023 ซึ่งอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2566 โดยฟิลิปปินส์ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACF 2024 เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา

Advertisement

“ประเสริฐ” โต้ รมต.โทรคมนาคมกัมพูชา ชี้ชัด กัมพูชาศูนย์กลางอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มิถุนายน 2568 “ประเสริฐ” โต้ รัฐมนตรีโทรคมนาคมกัมพูชา ชี้ชัด กัมพูชาศูนย์กลางอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปัด ไม่เกี่ยวกับไทย นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้าประเทศ เตรียมขอความร่วมมือนานาชาติตอบโต้กัมพูชา

นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายเจีย วันเดธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์ และโทรคมนาคมแห่งกัมพูชา ตอบโต้ไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซนเตอร์ ว่า เป็นการแก้ต่างของกัมพูชา เพราะรายงานของความมั่นคง ฝ่ายต่างประเทศยืนยันชัดเจนว่าศูนย์กลางอาชญากรรมอยู่ที่กัมพูชา และ รายงานข่าวความมั่นคงของไทยก็ชี้ชัดว่าศูนย์ปฎิบัติการณ์แก๊งคอลเซนเตอร์ อยู่ในกัมพูชา และย้ายไปที่ปอยเปต

เมื่อถามว่าประเด็นที่นายเจีย กล่าวอ้าง เพราะไทยไปกล่าวอ้างในลักษณะนี้ทำให้นักท่องเที่ยวจีน เข้ามาท่องเที่ยวในภูมิภาคลดลง นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่จริง เป็นข้อกล่าวหาที่ปราศจากเหตุผล เพราะไทยเป็นประธานปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ในระดับอาเซียน และที่นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้าประเทศกัมพูชา เป็นเพราะนักท่องเที่ยวจีนคุยกันเอง ไม่ได้เกี่ยวกับไทย

ส่วนไทยจะตอบโต้อย่างไรกับข้อกล่าวหาของรัฐมนตรีไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งกัมพูชา นายประเสริฐ กล่าวว่า คงจะต้องหาความร่วมมือกับประเทศอื่นๆในการปราบปราม เพราะข้อเท็จจริงก็ปรากฎชัดว่าปอยเปตและเมืองสำคัญของกัมพูชาเป็นแหล่งของคอลเซนเตอร์ใช้เป็นฐาน เพราะสังเกตุจากการเข้มงวดด่านชายแดนต้นเดือนมิถุนายน การใช้โซเชียลแพลตฟอร์มต่างๆลดลงเป็นจำนวนมาก คนเข้าออกด่านลดลง ส่งผลในสถิติอาชญากรรมลดลงไปด้วย

ส่วนที่วันนี้ มีการปล่อยข่าวไทยจะเปิดด่านชายแดนวันที่ 24-25 มิถุนายนนี้ นั้น นายประเสริฐ ไม่ขอแสดงความเห็นเพราะเป็นอำนาจฝ่ายความมั่นคง และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะสถานการณ์ตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงจับตาตลอด ส่วนที่นักพนันและคนที่ไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ กระทรวงดีอีเอสได้รับมอบหมายให้ดูเรื่องบัญชีม้า หากมีการกดเงิน หรือเอาเงินออกในรูปแบบอื่นเป็นจำนวนมากจะตรวจสอบได้ทันที และยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมามีการกดเงินที่ด่านชายแดน สระแก้วมากกว่าในจุดอื่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตามบัญชีมาแล้ว และแก๊งคอลเซนเตอร์ในตอนนี้ใช้รูปแบบเดิมคือหลอกให้กดเงินสดออกแทนการโอนเงิน

Advertisement

นายกฯ สั่ง 7 มาตรการ รับมือผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 มิถุนายน 2568 นายกฯ ระบุสถานการณ์อิหร่าน-อิสราเอล ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมสั่งการ 7 มาตรการ รับมือผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา ในทุกด้าน ยันรัฐบาลไม่มีนโยบายตอบโต้ การเปิด-ปิดด่านชายแดน เพื่อหวังผลทางการเมือง

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆระหว่างประเทศจากสถานการณ์ความขัดแย้งของอิหร่านและอิสราเอล มีผลที่จะขยายวงกว้างออกไปและส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจการเมือง สังคม และยังไม่มีกรอบระยะเวลาที่แน่นอนว่าจะจบเมื่อไหร่ ส่งผลต่อการเจรจาของหลายๆประเทศต่อนโยบาย รวมถึงการเจรจาภาษีทางการค้ากับสหรัฐฯ ด้วย จากเดิมที่กำหนดไว้ต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งทางฝ่ายไทยได้เริ่มเจรจาแล้วหนึ่งรอบ กับคณะทำงานของสหรัฐฯ ซึ่งจากนี้จะมีการแถลงเพิ่มเติม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมมนาคม การท่องเที่ยว ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีทุกคนร่วมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมหามาตรการรองรับ เพื่อจะให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด และขอยืนยันอีกครั้งว่าสถานการณ์เช่นนี้เสถียรภาพของรัฐบาลและความสามัคคีของคนในชาตินั้นสำคัญมาก จึงขอให้คณะรัฐมนตรีทุกคนทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจและแก้ไขปัญหาอย่างทันการ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ ด้านแรกคือ เรื่องของภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามประเทศ ซึ่งตามรายงานของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการและขอย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้มีนโยบายในการตอบโต้ การเปิดปิดด่านชายแดนเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน และประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยได้เตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนบริเวณชายแดนไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าเกษตร โดยได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่าจะสามารถทำได้อย่างไรบ้าง ซึ่งมีมาตรการรองรับไว้อยู่แล้ว จากภาคเอกชนและภาครัฐด้วย

ด้านของความมั่นคงและพลังงานกระทรวงพลังงานกำหนดมาตรการการรับมือ สำหรับพลังงานสำรองและมาตรการช่วยเหลือประชาชนในหากมีภาวะการขาดแคลน รวมถึงราคาพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งต้องหามาตรการไว้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจการเงินและปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจนในการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจในทุกระดับโดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าของประเทศ

ส่วนเรื่องของราคาพืชผล ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตร เร่งหามาตรการแก้ไขเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของราคาข้าวที่ต้องเร่งสนับสนุนและมีมาตรการเยียวยาเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็วและเรื่องของการลักลอบนำเข้าสินค้าเถื่อนของจากประเทศเพื่อนบ้านที่จะส่งผลกระทบให้ราคาพืชผลเกษตรบ้านเรานั้นตกต่ำ

ขณะที่ปัญหายาเสพติดให้กระทรวงกลาโหม บูรณาการการทำงานระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บัญชาการตำรวจทุกจังหวัด กำหนดมาตรการให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นและต่อเนื่องจากมาตรการซีลสต็อปเซฟ (Seal Stop Safe)

ส่วนการท่องเที่ยว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเน้นย้ำมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวด้วย

ค่าแรงขั้นต่ำให้กระทรวงแรงงาน เร่งนำมาตรการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาพิจารณาเร่งด่วน เพื่อให้ทันการขึ้นค่าแรงในในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้

Advertisement

ผลโพลส่วนใหญ่หนุนสันติวิธี แก้ปัญหาไทย–กัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มิถุนายน 2568 ผลโพล ชี้ประชาชนส่วนใหญ่หนุนสันติวิธี 67.9% ต้องการเห็นการเจรจาแก้ปัญหาไทย–กัมพูชา พร้อมเห็นด้วยกับแนวทางรัฐบาล 55% ที่เน้นนโยบายสันติวิธี

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดยนอร์ทกรุงเทพโพล เรื่อง “ความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา” พบว่า ประชาชน 68.1% ทราบข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เป็นอย่างดีและติดตามข่าวสม่ำเสมอ

ขณะเดียวกัน ได้สอบถามผู้สำรวจถึงแนวทางแก้ไขความขัดแย้งว่า ควรดำเนินการเช่นไรมากที่สุด ซึ่งประชาชนผู้ให้สำรวจลงความเห็นว่า เน้นเจรจาด้วยสันติวิธี 67.9% ทำสงคราม 25.4% และไม่มีความเห็น 6.7%

ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงความเห็นต่อการดำเนินนโยบายโดยใช้แนวทางสันติวิธีของนายกรัฐมนตรี พบว่ามีประชาชนเห็นด้วย 55% โดยมองว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสม

“ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความห่วงใยและการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อสถานการณ์ระหว่างประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ยึดหลักสันติวิธี ทั้งนี้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของประเทศและธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยของประเทศอย่างมั่นคง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

นายกฯ ลั่นไทยมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้ใครข่มขู่ ซัดกัมพูชาเล่นนอกกรอบข้อตกลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 มิถุนายน 2568 “แพทองธาร” นายกฯ ลั่นไทยมีศักดิ์ศรี-เข้มแข็ง ไม่ยอมให้ใครข่มขู่ กลั่นแกล้ง ซัดกัมพูชาเล่นสงครามข่าวสารนอกกรอบข้อตกลง ลั่นใครไม่เคารพกติกาจะไม่ถูกยอมรับจากทั่วโลก พร้อมตั้ง “บิ๊กเล็ก” หัวหน้าทีมเฉพาะกิจ ย้ำไม่รับเขตอำนาจศาลโลก ยอมรับสื่อสารออกสู่สาธารณะน้อย เพราะเคารพกรอบทวิภาคี เผยส่งข้อความถึง “ฮุน มาเนต” ดึงประชุม RBG จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเรียกหน่วยงานความมั่นคงเข้าประชุมที่บ้านพิษณุโลก เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดยระบุว่าที่ประชุมวันนี้ได้มีการพูดถึงการประชุม JBC เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นผลสำเร็จที่ได้มีการพูดคุยกันและได้ยอมรับกรอบ ส่วนรายละเอียดเป็นไปตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้แถลงการณ์ไปแล้ว

นอกจากนี้ที่ประชุมวันนี้ยังมีการพูดคุยกันในทุกระดับ ตั้งแต่หน้างาน มาจนถึงนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดคุยติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์ซึ่งเป็นทีมไทยแลนด์ หลังจากนี้จะให้พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้นำทีม ติดตามข้อมูลข่าวสารและดำเนินการทั้งหมด

ส่วนเรื่อง ICJ หรือศาลโลก ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ตอนนี้เราได้มีการตั้งทีมทำงานเช่นกัน เพื่อดูว่าเราจะปกป้องและตั้งรับอย่างไร และหาข้อมูลว่าเราจะสามารถปกป้องประเทศได้อย่างไร หรือตอบโต้อย่างไรได้บ้าง ซึ่งจะต้องมีกรอบในการทำงานนี้ โดยขณะนี้เรากำลังศึกษาในเรื่องข้อกฎหมาย รวมถึงประวัติศาสตร์ ยืนยันมีข้อมูลไว้ครบหมดแล้ว นี่เป็นความคืบหน้าของการประชุมในวันนี้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ออกมาประกาศเตรียมปิดทุกด่านพนมแดน หากไทยยังไม่ยกเลิกมาตรการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้ปิดด่าน เพียงแต่เรากำหนดเวลาเปิด-ปิด ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อมีการปะทะเกิดขึ้น ทางไทยได้ทราบจากเพจกลาโหมกัมพูชา ซึ่งได้มีการตกลงกันแล้ว และหลังมีการตกลงกันว่าจะปรับกำลังที่ประชุม สมช.ในวันนั้นก็ได้มอบอำนาจให้กองทัพประเมินสถานการณ์ว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เข้ากับสถานการณ์ แต่หลังคุยกัน เพจกลาโหมกัมพูชาได้ออกมาบอกว่าจะไม่มีการถอยกำลัง เราจึงกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน ซึ่งทางกัมพูชาก็มีการกำหนดเวลาเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างกำหนดเวลา และตนอยากบอกว่าได้มีการพูดคุยกันมาตั้งแต่ 28 พฤษภาคม กับพลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีการตกลงเป็นความเห็นร่วมกันว่าเราต้องการสันติภาพ ให้เกิดขึ้นระหว่างสอง ประเทศ ไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่ต้องการรักษาชีวิตประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อของทหารด้วย นี่คือสิ่งที่เห็นตรงกัน ซึ่งคุยกันมาเรื่อยๆและตนก็พยายามคุยในกรอบ ของทวิภาคี นั่นคือกรอบการคุยระหว่างประเทศ ที่ทุกประเทศเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกัน เราต้องมีกรอบความเข้าใจที่ตรงกัน เพื่อให้เป็นไปตามกลไกระหว่างประเทศ แต่การคุยกันหลังไมค์ก็มีแน่นอน แต่สิ่งที่สื่อสารออกมาผ่านโซเชียลมีเดียที่นอกกรอบอยู่เรื่อยๆ เป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นมืออาชีพ ทำให้เกิดความวุ่นวาย ทั้ลสิ่งที่คุยหลังไมค์และคุยอย่างเป็นทางการ ตนคิดว่าการสื่อสารแบบนี้ทำให้เกิดผลลบกับทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งข้อความที่ทางกัมพูชาได้โพสต์ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งไทยและกัมพูชา การที่จะประกาศถึงการปิดด่านหรือเรื่องใดๆ ทำให้เกิดผลกระทบต่อประะชาชนทั้ง 2 ประเทศ เรามีความห่วงใยทั้งเรื่องการค้าขาย การส่งผักผลไม้ หากมีการปิดด่านจะกระทบทั้งหมดอยู่แล้ว เราจึงไม่ได้ปิดด่าน แค่ปรับเวลา และตนได้แจ้งทางกัมพูชาแล้วว่าตนจะมีประชุมในวันนี้ก่อนเพื่อรายงานผลว่าเราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

และวันนี้ตนได้ส่งข้อความถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อเสนอในจัดประชุม RBC เป็นการประชุมระดับกองทัพทั้ง 2 ประเทศ เพื่อพูดคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ ซึ่งตนได้เห็นข้อความที่ทางกัมพูชาโพสต์ในเฟซบุ๊คแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ

เมื่อถามว่าจากปฏิกริยาหลังการประชุม JBC ที่ผ่านมา เหมือนกำลังใช้ทวิภาคีในการแก้ปัญหา ขณะที่กัมพูชากลับแสดงท่าทีไม่จริงใจที่จะคุยแบบทวิภาคี นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม JBC เราประชุมด้วยกันทั้งคู่ ถือว่ายอมรับกรอบของ JBC เราคุยร่วมกัน ต้องการสันติภาพร่วมกัน จะทำอย่างไรได้บ้างสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น ตนมองว่า JBC ไม่มีปัญหาอะไร เป็นไปตามแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ในเนื้อความได้มีการชี้แจงทุกอย่างแล้ว ไม่ได้ติดขัดว่าจะพลิกล็อค

เมื่อถามว่าดูเหมือนทางกัมพูชากำลังเล่นสงครามด้านข่าวสาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการสื่อสารแบบนี้ ไม่ได้เกิดผลดีกับทั้ง 2 ประเทศ การปล่อยข่าว หรือข่าวที่ออกมาในหลายๆครั้ง ก็เคยมีการตกลงกันแล้ว ว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าวออกมา เพราะเราต้องคุยกันก่อนว่าจะเอาอย่างไร เพราะคนที่อยู่หน้างานกับคนที่รับฟังข่าวสารเป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นแล้ว เราทำอะไร ตัดสินใจอะไร หรือให้สัมภาษณ์อะไรออกไป ต้องเห็นใจคนหน้างานด้วยว่าตรงนั้นเป็นอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นบ้าง และการที่เรากำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านในตอนแรก เพราะพบว่ามีการติดตั้งอาวุธระยะไกล มีอาวุธหนักที่เริ่มออกมาเยอะขึ้น เพราะมีประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นจำนวนมากทั้ง 2 ประเทศ การที่เอาอาวุธขนาดใหญ่ออกมาแบบนั้น หากเราไม่กำหนดเวลาแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา อาจเกิดความเสียหายได้

ส่วนจะทำอย่างไรให้โลกรู้ว่าไทยพยายามใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจา นายกรัฐมนตรี ทุกอย่างมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งการประชุม JBC หรือสิ่งที่ตนเสนอไปในตอนนี้ จะเป็นระดับ GBC หรือ RBC ก็ได้ ขอให้มาคุยกันแบบมีการบันทึก ไม่ใช่แค่คุยกันแล้วแยกย้าย แต่การพูดคุยทั้งหมดถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร โลกสามารถรับรู้ได้ว่าเราพูดคุยอะไรกันบ้าง และในช่วงบ่ายวันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญทูตทั้งหมดในประเทศไทย เข้ามารับฟังการชี้แจง และก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีการเชิญทูตกัมพูชา 2คน เข้ามาพูดคุยว่าเราต้องการทำอย่างไร รัฐบาลเคลื่อนไหวมาตลอด

“แต่สิ่งที่เราอาจจะทำน้อยกว่าเขา คือการสื่อสารออกสู่สาธารณะ เพราะเราเคารพในการเจรจาระหว่างประเทศ เราเคารพกรอบของทวิภาคี เราเคารพ เราให้เกียรติทั้ง 2 ประเทศ ว่าสิ่งที่คุย ควรเป็นสิ่งที่เป็นทางการ และอยู่ในกรอบของทวิภาคี นั่นคือสิ่งที่เมื่อทุกประเทศมีการติดต่อสื่อสารกัน ต้องยึดกรอบของทวิภาคีเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้ามีการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการเกิดขึ้นตลอดเวลาอย่างมากมาย เราก็ต้องบอกว่าจุดยืนของเราไม่เคยยั่วยุ หรือพูดเพื่อให้เกิดการปะทะใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ“ นายกรัฐมนตรี ระบุ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีถ้าอยู่ตรงนี้ และเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงบริเวณชายแดน นั่นแปลว่าตนต้องรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากตนต้องตกลงในการปะทะก็แปลว่าต้องมีการคุยกับทหาร ว่าพร้อมหรือไม่ เราอยู่ในสถานะไหน เขาอยู่ในสถานะไหน ไม่ใช่พอมีเรื่องแล้วจะจุดให้ไฟติดได้เลย นี่คือกรอบที่เราต้องยึด แต่แน่นอนว่าการปล่อยข่าวหรือข้อมูลที่ไม่เป็นทางการออกมา และส่งผลกระทบ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อทั้ง 2 ประเทศ

ส่วนจะทำอย่างไรในเมื่อกัมพูชายังใช้สงครามข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องชี้แจง คนไทย ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีและกองทัพ ที่ประชุมในทุกวันนี้เห็นตรงกันในทุกส่วน กองทัพก็คิดเหมือนรัฐบาลว่าต้องปกป้องอธิปไตยของเราไว้ แต่ทำอย่างไร ให้ยืดระยะเวลาการปะทะ การเสียเลือดเนื้อออกไป แต่ยังคงรักษาอธิปไตยไว้ได้ นี่คือเสียงที่ตรงกันของรัฐบาลและกองทัพ

“ใครจะปล่อยว่าข่าวว่า โห ตีกัน ยืนยันว่าไม่เคยตีกัน ตอนนี้ทั้งกองทัพ และรัฐบาล เห็นตรงกันว่าจะทำอย่างไร ดิฉันก็ให้เกียรติกองทัพเสมอ เพราะเป็นคนหน้างานและรู้เรื่องอาวุธทุกอย่าง ดิฉันคุยหลังไมค์อย่างไรก็เช็คกับกองทัพทุกครั้ง ว่าจะเดินอย่างไรแล้วจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ นี่คือสิ่งที่ทำเสมอกองทัพก็เช่นกัน ได้ปรึกษากับรัฐบาลตลอดว่าอะไรทำได้ หรือไม่ได้ ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลกับกองทัพ ไม่เคยมีปัญหาและขอให้ทุกคนช่วยกันซัพพอร์ตกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียสกัน เพราะวันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเอง เรารักษาอธิปไตยของเราไว้ เราพูดในข้อความที่ตรงกัน และสามารถพูดได้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่น”

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง ว่า “เราจะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ใส่ร้าย หรือขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน เราก็เป็นประเทศที่แข็งแรงเช่นกัน จุดนี้จะทำให้ทุกคนรู้ว่าถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก”

Advertisement

 

กต. ย้ำไทยใช้กลไกทวิภาคี ยึดประโยชน์ประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 มิถุนายน 2568 โฆษก กต. ย้ำไทยมุ่งมั่นใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหาความขัดแย้ง วางแนวทาง 3 เรื่องหลักเจรจา JBC ยึดประโยชน์ของประเทศและคนไทยเป็นที่ตั้ง

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงประจำสัปดาห์ ว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ฝ่ายไทยได้จัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) (ฝ่ายไทย) ครั้งที่ 2 (สืบต่อจากการประชุมฯ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568) เพื่อเตรียมการสำหรับการเข้าร่วมการประชุม JBC ซึ่งรัฐมนตรีฯ ได้แถลงข่าวในเรื่องนี้แล้ว

ก่อนจะมีการประชุมฯ รัฐมนตรีฯ ได้มอบนโยบายในการเจรจา โดยย้ำแนวทาง 3 เรื่องที่จะเป็นหลักการสำหรับทีมงานของฝ่ายไทย ดังนี้

1.การลดความตึงเครียดและทำให้ประชาชนในพื้นที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ

2.การทำให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องของเส้นเขตแดน ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

3.การยืนหยัดที่จะปกป้องอธิปไตยของไทย โดยไม่ยอมให้ไทยเสียดินแดนโดยเด็ดขาด

ขอย้ำว่า ฝ่ายไทยมุ่งมั่นที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งซึ่งเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุด และเป็นที่ยอมรับตามธรรมเนียมปฏิบัติสากลที่เมื่อสองประเทศมีความเห็นไม่ตรงกัน นานาประเทศก็จะสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคี และความตกลงที่ทั้งสองประเทศมีอยู่แล้วในการแก้ไขปัญหา เพราะเป็นวิธีหาทางออกระหว่างผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง

โดยกลไกทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่

1.คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)

2.คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) และ

3.คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC)

ซึ่งไทยจะใช้ทั้ง 3 กลไกนี้ ควบคู่กันไปในการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา

นอกจากนี้ ไทยและกัมพูชายังมีความตกลงระหว่างกันคือ บันทึกความเข้าใจ หรือ Memorandum of Understanding (MoU) ปี 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกซึ่งเป็นสนธิสัญญา ซึ่งหมายความว่า สองฝ่ายได้เจรจาตกลงกันแล้ว จึงมีผลบังคับทางกฎหมายกับทั้งสองฝ่ายที่ต้องปฏิบัติตาม

กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เป็นกลไกที่เป็นผลลัพธ์สำคัญของ MOU 2543 ที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามร่วมกัน และจะมีการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 โดยกลไกดังกล่าว คือ กลไกทวิภาคีหลักในการเจรจาประเด็นทางเทคนิคและข้อกฎหมายด้านเขตแดนกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อให้เกิดการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างกัน จึงถือได้ว่าเป็นเวทีหารือเรื่องเขตแดนไทยกับกัมพูชาโดยเฉพาะ

ดังนั้น JBC จึงมีองค์ประกอบคณะที่ประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศและความเชี่ยวชาญทางเทคนิคด้านเขตแดน และมีการประชุมมาแล้วทั้งหมด 10 ครั้ง ครั้งล่าสุด จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2555 และจะมีการประชุมครั้งต่อไปในอีก 2 วันข้างหน้านี้ ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งปีนี้เป็นโอกาสครบรอบ 25 ปีของ MOU

หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญของ MOU 2543 คือ การอำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล และให้ทั้งสองฝ่ายงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน โดยขณะนี้ การดำเนินการของ JBC ภายใต้ MOU ดังกล่าว ยังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ทราบ ซ่อมแซม และจัดทำหลักเขตแดน 73 หลัก และยังมีภารกิจอีกมากรออยู่ข้างหน้า

คณะกรรมาธิการฯ ฝ่ายไทยได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานที่มีความรู้ความสามารถอย่างมาก โดยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เป็นประธาน ซึ่งเป็นอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดน ขณะที่กรรมธิการทรงคุณวุฒิคนอื่น มีทั้งมาจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กองทัพไทย และหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเข้าร่วมการประชุม JBC ในครั้งนี้ด้วย ในส่วนของกัมพูชา มีประธานคณะกรรมาธิการฯ คือ นายฬำ เจีย (Lam Chea) รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดน หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งกัมพูชา

สำหรับความตั้งใจของฝ่ายกัมพูชาที่จะใช้กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(International Court of Justice: ICJ) ประเทศไทยประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งทั่วโลกมีอีก 118 ประเทศ รวมประเทศไทยอีก 1 ประเทศ เป็น 119 ประเทศ (จากประเทศสมาชิก UN ทั้งหมด 193 ประเทศ) ที่ไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ นั่นคือมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศสมาชิก UN ที่ไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ จึงขอย้ำว่า ไทยจะยึดมั่นแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรกกับกัมพูชา

คณะผู้แทนไทยที่จะเดินทางไปประชุมกับฝ่ายกัมพูชาครั้งนี้ หรือไม่ว่าจะครั้งไหนหรือกลไกทวิภาคีใด ผู้แทนไทยพร้อมจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ด้วยความรู้ความสามารถที่มีอยู่

กระทรวงการต่างประเทศยืนยันในหลักการการทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ และยึดผลประโยชน์ของประเทศและคนไทยเป็นที่ตั้ง โดยจะรายงานความคืบหน้าและผลการประชุม JBC ให้ทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและเพื่อเป็นโอกาสไขข้อสงสัยเกี่ยวกับกระแสข่าวต่าง ๆ ที่เผยแพร่อย่างกว้างขวางในโซเซียลมีเดียในขณะนี้ เพื่อให้ช่วยกันเผยแพร่ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics