วันที่ 2 กรกฎาคม 2025

กระทรวงวัฒนธรรมพร้อมอัญเชิญ พระเขี้ยวแก้ว จากจีนประดิษฐานในไทย 4 ธ.ค.67

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤศจิกายน 2567 รมว. “สุดาวรรณ” เผย วธ.ร่วมสำนักนายกรัฐมนตรีเตรียมพร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากจีนมาประดิษฐานในไทย วันที่ 4 ธ.ค.67-14 ก.พ.68 เดินหน้าสร้างอาคารมณฑป ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 24 ขบวน ผู้เข้าร่วมกว่า 2,700 คน จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ กิจกรรมทางพุทธศาสนาในโอกาสวันสำคัญของไทย – จีน เชิญชวนพุทธศาสนิกชนเข้ากราบสักการะ ณ ท้องสนามหลวง

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เห็นชอบร่วมกันให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปีพ.ศ.2568 โดยเปิดให้ประชาชนสักการะระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 รวมเป็นเวลา 73 วัน ณ ท้องสนามหลวง และจะอัญเชิญกลับสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นั้น ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ได้รับมอบหมายจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารมณฑป การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)และจัดกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การออกแบบและจัดสร้างอาคารมณฑปสำหรับใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทย – จีน ขณะนี้วธ.อยู่ระหว่างดำเนินการในเรื่องนี้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ วธ.ร่วมกับหน่วยงานต่างๆจัดขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 มายังลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ หลังจากนั้นจัดริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ไปยังท้องสนามหลวง จำนวน 24 ขบวน ผู้เข้าร่วมเดินริ้วขบวนจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักพระราชวัง กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร โรงเรียนจิตอาสา 904 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย สมาคมอุปรากรจีนแห่งประเทศไทย ผู้แทน 5 ศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดูและซิกข์ พุทธศาสนิกชนและกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวนทั้งหมดกว่า 2,700 คน ได้แก่ 1. ขบวนป้ายนำขบวน 2.ขบวนโคมไทย – จีน 3.ขบวนบายศรีภาคเหนือ 4. ขบวนบายศรีภาคใต้ 5. ขบวนแตรวง 6.ขบวนบายศรีภาคกลาง 7.ขบวนบายศรีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8.ขบวนการแสดงอุปรากรจีน 9.ขบวนการแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ 10. ขบวนการแสดงคณะผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย 11. ขบวนวงดุริยางค์ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 12. ขบวนธงชาติไทย 13. ขบวนธงชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน 14. ขบวนธงธรรมจักร 15. ขบวนธงฉัพพรรณรังสี 16.ขบวนโคมบัว 17. ริ้วขบวนอิสริยยศอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 18.ขบวนรถพระพุทธรูป 19. ขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 20. ขบวนรถเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 21. ขบวนคณะผู้บริหารและข้าราชการ กระทรวงวัฒนธรรม 22. ขบวนศาสนิกสัมพันธ์ 5 ศาสนา 23. ขบวนพุทธศาสนิกชนและ 24. ขบวน“จิตอาสา”

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันวธ.จะจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสสำคัญในห้วงระยะเวลาการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ณ ท้องสนามหลวง ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์รับพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาถึงประเทศไทย วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ณ ท้องสนามหลวง กิจกรรมทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 วันที่ 1 มกราคม 2568 ณ ท้องสนามหลวงกิจกรรมเนื่องในวันตรุษจีน วันที่ 29 มกราคม 2568 ณ ท้องสนามหลวง กิจกรรมเนื่องในวันมาฆบูชา วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ท้องสนามหลวง และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ส่งพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) กลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ท้องสนามหลวง และห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6

วธ.ได้ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานต่างๆดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในไทย โอกาสในครั้งนี้จะช่วยสานต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยกับจีนให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้นผ่านความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมที่ผ่านมารัฐบาลทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างและต่อยอดความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ ภาพยนตร์ จิตรกรรม ประติมากรรม มรดกภูมิปัญญาและพระพุทธศาสนา ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนในประเทศไทยเข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

Advertisement

ด่วน ศปช.เตือน เตรียมรับมือฝนตกหนัก 9 จังหวัดภาคใต้ 20-26 พ.ย.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤศจิกายน 2567 ทำเนียบ – ผอ.ศปช. ย้ำทุกหน่วยเตรียมรับมือผลกระทบจากฝนตกหนักใน 9 จังหวัดภาคใต้ 20-26 พ.ย.นี้ ส่วนเงินเยียวยาน้ำท่วมถึงมือประชาชนแล้วกว่า 257,000 ครัวเรือน เป็นเงิน 2,321 ล้านบาท

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนประชาชนเตรียมรับมือล่วงหน้า หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานวันที่ 20-24 พ.ย.67 ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ที่จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ต้องเฝ้าระวังฝนสะสม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 19/2567 แจ้งเตือนอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และเสี่ยงน้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังในภาคใต้ วันที่ 20 – 26 พ.ย.นี้ ที่พื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ปัตตานี ทุกอำเภอของจ.ยะลา และนราธิวาส พร้อมเฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน-ล้นตลิ่ง และท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณแม่น้ำสายหลักและลำสาขา ส่วนพายุ “หม่านหยี่” (MAN-YI) กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ศูนย์กลางอยู่ทะเลจีนใต้ตอนบน และจะอ่อนกำลังลง วันที่ 20-22 พ.ย.นี้ ย้ำไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย

“สัปดาห์นี้ ภาคเหนือฝนน้อยลง อุณหภูมิลดลงจากมวลอากาศเย็นระลอกใหม่ปกคลุม แต่ภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 67 ต้องรับมือฝนตกหนัก ผอ.ศปช. กำชับทุกหน่วย วางแผนการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำ ไม่ให้เกิดผลกระทบท้ายน้ำ เร่งระบาย-พร่องน้ำรองรับฝนที่คาดว่าจะตกหนัก โดยที่เขื่อนบางลาง จ.ยะลา ถือว่าบริหารจัดการได้ดี ทั้งนี้ หน่วยงานต่างๆ ได้เตรียมบุคลากร เครื่องจักร เครื่องมือ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ลอกท่อระบายน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ที่สำคัญต้องประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบล่วงหน้า แนะติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด” น.ส.ศศิกานต์ กล่าว

สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ตามมติ ครม. วันที่ 17 กันยายน 2567 และ 8 ตุลาคม 2567 ยังดำเนินการต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้ ปภ. ได้ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินโอนเงินผ่าน PromptPay ให้ผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ 9,000 บาท แล้ว 26 ครั้ง เงินถึงมือผู้ประสบภัยแล้ว 257,914 ครัวเรือน เป็นเงินรวม 2,321,174,000 บาท

Advertisement

เช้านี้ กทม. ค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน 54 พื้นที่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 พฤศจิกายน 2567 กรุงเทพฯ เช้านี้ พบว่าค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 54 พื้นที่ แนะสวมกากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร

ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร

13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) : ตรวจวัดได้ 31-52.2 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม 🟠 เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 54 พื้นที่

1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 52.2 มคก./ลบ.ม.

2.เขตบางนา บริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้าบิ๊กซี บางนา : มีค่าเท่ากับ 52.0 มคก./ลบ.ม.

3.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 48.5 มคก./ลบ.ม.

4.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 48.2 มคก./ลบ.ม.

5.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 47.4 มคก./ลบ.ม.

6.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 47.4 มคก./ลบ.ม.

7.เขตราษฎร์บูรณะ ภายในสำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ : มีค่าเท่ากับ 47.2 มคก./ลบ.ม.

8.เขตสาทร สี่แยกหน้าสำนักงานเขตสาทร ซอย ถนนเซนต์หลุยส์ : มีค่าเท่ากับ 47.0 มคก./ลบ.ม.

9.เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ : มีค่าเท่ากับ 46.5 มคก./ลบ.ม.

10.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน : มีค่าเท่ากับ 46.3 มคก./ลบ.ม.

ข้อแนะนำสุขภาพ

คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ประชาชนทั่วไป : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร

จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก

ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา

ประชาชนกลุ่มเสี่ยง : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร

เลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์

ดัชนีคุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานคร : ส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ🟠

ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง (คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยา) ในช่วงวันที่ 13 – 20 พ.ย. 67 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ “ไม่ดี-อ่อน” ขณะที่ชั้นบรรยากาศใกล้ผิวเริ่มมีลักษณะปิด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และคาดการณ์วันนี้ เมฆบางส่วนกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย

จากการตรวจสอบข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม จากหน่วยงาน NASA ไม่พบจุดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกบริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานคร

สำนักสิ่งแวดล้อมได้ประสานแจ้งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มความเข้มงวดการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง เพื่อเป็นการบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพอนามัยของประชาชน และขอเชิญชวนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน โดยช่วยกันปรับเปลี่ยน พฤติกรรมและลดกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นละออง เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ “5 วิธีลดฝุ่น คุณก็ทําได้” 1.หมั่นทําความสะอาดบ้านด้วยวิธีเช็ดฝุ่น 2.งดเผาขยะ งดจุดธูป 3.ปลูกต้นไม้ช่วยดูดซับมลพิษดักจับฝุ่นละออง 4.เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และ 5.ดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถ ตรวจสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดํา เกินมาตรฐาน

Advertisement

แบงก์รัฐ หน่วยงานรัฐ โดน “โจรออนไลน์” ปล่อยข่าวปลอมเพียบ ขออย่าเชื่อ-แชร์ หวั่นสูญเงิน-ข้อมูลส่วนบุคคล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 พฤศจิกายน 2567 ดีอี เตือน กลโกง “โจรออนไลน์” ปล่อยข่าวปลอม “ธ.ก.ส. เปิดลงทะเบียนสินเชื่อ ผ่านบัญชี TikTok baac.thailand5” ขออย่าเชื่อ-แชร์ หวั่นสูญเงิน-ข้อมูลส่วนบุคคล

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมที่เกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์รายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “ธ.ก.ส. เปิดลงทะเบียนสินเชื่อ ผ่านบัญชี TikTok baac.thailand5” รองลงมาคือเรื่อง “ป.ป.ท. เปิดให้ลงทะเบียนคุ้มครองสิทธิเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ ผ่านเพจ สำนักงานรัฐภาคที่ 2” โดยขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวั่นสร้างความวิตกกังวล ความสับสน ความเข้าใจผิด และส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 1-7 พฤศจิกายน 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 854,009 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 579 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 564 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 11 ข้อความ และช่องทาง Facebook จำนวน 4 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 229 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 79 เรื่อง โดยในจำนวนนี้เป็นข่าวปลอมเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง ธ.ก.ส. เปิดลงทะเบียนสินเชื่อ ผ่านบัญชี TikTok baac.thailand5

อันดับที่ 2 : เรื่อง ป.ป.ท. เปิดให้ลงทะเบียนคุ้มครองสิทธิเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ ผ่านเพจ สำนักงานรัฐภาคที่ 2

อันดับที่ 3 : เรื่อง ธ.ก.ส. เปิดบัญชีไลน์ Admin BAAC Thailand

อันดับที่ 4 : เรื่อง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพิ่มช่องทางการติดต่อ ไอดีไลน์ pea1143

อันดับที่ 5 : เรื่อง ธนาคารออมสินเปิดเพจเฟซบุ๊ก สินเชื่อ ฉุกเฉิน

อันดับที่ 6 : เรื่อง ปปง. เปิดลงทะเบียนคุ้มครองสิทธิ เพื่อเฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหาย ผ่านเพจ Notify the public

อันดับที่ 7 : เรื่อง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เปิดเพจ News releases for the economy and society รับให้คำปรึกษาออนไลน์

อันดับที่ 8 : เรื่อง กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดให้ประชาชนยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์คืนผ่านเพจ เพื่อพี่น้องไทย

อันดับที่ 9 : เรื่อง สมัครกรุงไทยใจป้ำ สินเชื่อเพื่อเดอะแบก อนุมัติไวใน 1 วัน ดอกเบี้ย 5.50-11%

อันดับที่ 10 : เรื่อง CIB ร่วมกับเพจศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เปิดช่องทางให้ประชาชนติดต่อขอรับเงินคืนจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐ สถาบันการเงินของรัฐ โดยเฉพาะโครงการสินเชื่อ และโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาผู้เสียหายจากคดีอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความวิตกกังวล และอาจทำให้ประชาชน ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคลได้ ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนทั่วประเทศเป็นวงกว้าง หากมีการแชร์ส่งต่อกันไปในสังคม” นายเวทางค์ กล่าว

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “ธ.ก.ส. เปิดลงทะเบียนสินเชื่อ ผ่านบัญชี Tiktok baac.thailand5” กระทรวงดีอี ได้ประสานงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงการคลัง พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งเป็นการแอบอ้างโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากธนาคารไม่มีการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวแก่ลูกค้า ผ่านช่องทางออนไลน์ใดๆทั้งสิ้น และบัญชี TikTok ที่ใช้ชื่อว่า baac.thailand5 ไม่ใช่ช่องทางการติดต่อหรือเกี่ยวข้องกับ ธ.ก.ส. จึงขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารจาก ธ.ก.ส. สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.baac.or.th หรือโทร. 0-2555-0555

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน ส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

สามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

|  Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

Advertisement

ภาคใต้ฝนหนัก

People Unity News : 10 พฤศจิกายน 2567 กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นในตอนเช้า เตือนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง พร้อมอัปเดตเส้นทางพายุ “หยินซิ่ง”

กรมอุตุนิยมวิทยาเผยบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้ตอนบน ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “หยินซิ่ง” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ตอนใต้ของเกาะไหหลำ ประเทศจีน และชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในช่วงวันที่ 11-12 พ.ย. 67 คาดว่าพายุนี้จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันดังกล่าวไว้ด้วย

Advertisement

กระทรวงดีอี เตือน ข่าว “ธนาคารกรุงไทย เปิดลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รอบใหม่” เป็นข่าวปลอม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงดีอี เตือน ข่าวปลอม “ธนาคารกรุงไทย เปิดลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รอบใหม่” ขออย่าเชื่อ-แชร์ หวั่นสูญเงิน-ข้อมูลส่วนบุคคล

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “ธนาคารกรุงไทย เปิดลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รอบใหม่” รองลงมาคือเรื่อง “ธนาคารกรุงไทย ส่งเอกสารแจ้งตรวจพบความผิดปกติแอปพลิเคชัน Krung NEXT” โดยขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวั่นสร้างความวิตกกังวล ความสับสน ความเข้าใจผิด และส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 1-7 พฤศจิกายน 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 854,009 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 579 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 564 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 11 ข้อความ และช่องทาง Facebook จำนวน 4 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 229 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 79 เรื่อง

ทั้งนี้ กระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 97 เรื่อง

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 66 เรื่อง

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 25 เรื่อง

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 14 เรื่อง

กลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 27 เรื่อง

นายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับหน่วยงานรัฐ และนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และสิทธิประกันสังคม ทั้งในเรื่องการเปิดสินเชื่อ และเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ สร้างความเข้าใจผิด สร้างความวิตกกังวล และอาจสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคลได้ โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง ธนาคารกรุงไทย เปิดลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รอบใหม่

อันดับที่ 2 : เรื่อง ธนาคารกรุงไทย ส่งเอกสารแจ้งตรวจพบความผิดปกติแอปพลิเคชัน Krung NEXT

อันดับที่ 3 : เรื่อง ผู้ประกันตนสามารถกู้เงินประกันสังคมได้ ผ่านเพจ Carroll Reyes

อันดับที่ 4 : เรื่อง ตำรายาแก้โรคมะเร็งหายใน 6 วัน

อันดับที่ 5 : เรื่อง โรงพยาบาลเอกชน 70 แห่ง เตรียมถอนตัวจากการเป็นคู่สัญญากับประกันสังคม เนื่องจากอัตราการจ่ายปัจจุบันไม่สะท้อนต้นทุน ทำให้ขาดทุน

อันดับที่ 6 : เรื่อง จะเกิดทอร์นาโด ระดับ 4 ในพื้นที่ แปดริ้ว กรุงเทพ และปริมณฑล

อันดับที่ 7 : เรื่อง สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ออกเอกสารวงในบอกเลขก่อนวันออกรางวัล

อันดับที่ 8 : เรื่อง คลิกลิงก์ เพื่อแก้ไขแอปฯ ทางรัฐค้างอยู่ขั้นตอนที่ 3 และ 4

อันดับที่ 9 : เรื่อง ไปรษณีย์ไทยส่งอีเมลแจ้งให้อัปเดตข้อมูลการเรียกเก็บเงิน เพื่อขอจัดส่งพัสดุใหม่

อันดับที่ 10 : เรื่อง จำหน่ายบัตรราคาพิเศษพร้อมการเดินทางไม่จำกัดบนระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทในกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบเป็นเวลา 6 เดือน

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐและโครงการของรัฐถึง 8 อันดับ ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความวิตกกังวล สำหรับข่าวที่เกี่ยวข้องกับโครงการรัฐ โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐ สิทธิประกันสังคม และข่าวเกี่ยวกับโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต อาจทำให้ประชาชน ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคลได้ ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนทั่วประเทศเป็นวงกว้าง หากมีการแชร์ส่งต่อกันไปในสังคม” นายเวทางค์ กล่าว

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “ธนาคารกรุงไทย เปิดลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รอบใหม่” ซึ่งกระทรวงดีอี ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับธนาคารกรุงไทย กระทรวงการคลัง พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยธนาคารไม่ได้เปิดลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ตแต่อย่างใด เป็นการกระทำของมิจฉาชีพที่แอบอ้างถึงธนาคารกรุงไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อสร้างความสับสนแก่ประชาชน ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนควรระมัดระวังในการกรอกข้อมูลและไม่ควรกดลิงก์แปลก น่าสงสัยที่ส่งโดยไม่ทราบที่มาชัดเจน สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถรับข้อมูลข่าวสารจากธนาคารกรุงไทย ได้ที่ www.krungthai.com หรือติดต่อ Krungthai Contact Center 02-111-1111 หรือแจ้งผ่าน Facebook : Krungthai Care

ด้านข่าวปลอม อันดับ 2 “ธนาคารกรุงไทย ส่งเอกสารแจ้งตรวจพบความผิดปกติแอปพลิเคชัน Krung NEXT” โดยกระทรวงดีอี ได้ประสานงานร่วมกับธนาคารกรุงไทย กระทรวงการคลัง พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของมิจฉาชีพที่แอบอ้างถึงธนาคารกรุงไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมที่ไม่ได้ออกโดยธนาคารกรุงไทยแต่อย่างใด จึงขอเตือนประชาชนควรระมัดระวังในการกรอกข้อมูลและไม่ควรกดลิงก์แปลก น่าสงสัยที่ส่งโดยไม่ทราบที่มาชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน ส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

สามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

|  Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

Advertisement

อีสาน-เหนือ-กลาง-ตอ.ลมแรง ไทยตอนบนอุณหภูมิลด 1-2 องศาฯ มีฝนฟ้าคะนอง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 พฤศจิกายน 2567 กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาฯ กับมีลมแรงในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ลมแรง และมีฝนฟ้าคะนอง 10%

กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก

ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาเคลื่อนเข้าปกคลุมด้านตะวันตกของภาคเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกัน และระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ในขณะที่มีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทย มีคลื่นสูง 1-2 เมตร ทะเลอันดามัน มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีลมแรง และมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส

Advertisement

ศปช. เตือนภาคใต้ 11 จังหวัด เฝ้าระวังอันตรายฝนตกหนักช่วง 2-8 พ.ย นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 พฤศจิกายน 2567 ศปช. เตือนภาคใต้ 11 จังหวัด เฝ้าระวังอันตรายฝนตกหนักช่วง 2-8 พ.ย นี้

วันนี้ (2 พ.ย. 67) เวลา 10.30 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. เปิดเผยว่า ศปช. เตือนประชาชนพื้นที่ภาคใต้ช่วงวันที่ 2 – 8 พ.ย. 67 ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ใน 11 จังหวัดภาคใต้  ได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ อำเภอทับสะแก บางสะพาน และบางสะพานน้อย จ.ชุมพร อำเภอเมืองชุมพร สวี ทุ่งตะโก หลังสวน และพะโต๊ะ  จ.ระนอง อำเภอเมืองระนอง กระบุรี ละอุ่น กะเปอร์ และสุขสำราญ  จ.สุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี กาญจนดิษฐ์ พนม บ้านนาสาร บ้านนาเดิม พุนพิน เคียนซา พระแสง ดอนสัก และเกาะสมุย จ.พังงา อำเภอตะกั่วป่า และกะปง  จ.ภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต กะทู้ และถลาง จ.กระบี่ อำเภอเมืองกระบี่ เหนือคลอง และคลองท่อม  จ.ตรัง อำเภอเมืองตรัง ย่านตาขาว ห้วยยอด นาโยง และวังวิเศษ จ.นครศรีธรรมราช อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ปากพนัง เฉลิมพระเกียรติ พระพรหม ร่อนพิบูลย์ จุฬาภรณ์ ขนอม ทุ่งสง สิชล นบพิตำ ท่าศาลา พรหมคีรี ลานสกา เชียรใหญ่ ชะอวด และหัวไทร   จ.พัทลุง อำเภอเมืองพัทลุง และควนขนุน จ.สงขลา อำเภอเมืองสงขลา กระแสสินธุ์ ระโนด นาทวี สิงหนคร หาดใหญ่ และรัตภูมิ

นอกจากนี้ ยังต้องเฝ้าระวังน้ำในอ่างเก็บน้ำพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำรัชชประภา  และอ่างเก็บน้ำบางลาง นอกจากนี้ยังมีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กอีก 7 แห่ง อาทิ  อ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้น  อ่างเก็บน้ำบางกำปรัด  อ่างเก็บน้ำห้วยลึก  อ่างเก็บน้ำคลองหยา  อ่างเก็บน้ำบางวาด อ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ  และอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ  รวมถึงอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 1 แห่ง  ได้แก่ อ่างเก็บน้ำคลองสวนหนังที่มีปริมาณน้ำมากกว่าความจุต้องมีการปรับระบายน้ำบางส่วน

Advertisement

อัปเดตเส้นทาง พายุ “จ่ามี” เคลื่อนเข้าฝั่งเวียดนาม เผยพื้นที่เสี่ยงภัยฝนตกหนัก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 ตุลาคม 2567 กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีลมกระโชกแรง และฝนตกหนักบางแห่ง อัปเดตเส้นทาง พายุ “จ่ามี” เคลื่อนเข้าฝั่งเวียดนาม

กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก หลังจากนั้นมีอากาศเย็นในตอนเช้าในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย

ทั้งนี้เนื่องจากมีแนวพัดสอบของลมตะวันตกเฉียงเหนือและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และด้านตะวันออกของภาคเหนือและภาคกลาง ประกอบกับมีพายุโซนร้อนกำลังแรง “จ่ามี” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในช่วงวันที่ 27 – 28 ต.ค. 67

สำหรับลมตะวันตกและลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

Advertisement

ศปช. เตือน “พายุจ่ามี” เข้าใกล้เวียดนาม ส่งผลไทยฝนตกหลายจังหวัด ช่วง 26-29 ต.ค

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 ตุลาคม 2567 ศปช. เตือน “พายุจ่ามี” เข้าใกล้เวียดนาม ส่งผลไทยฝนตกหลายจังหวัด ช่วง 26-29 ต.ค ด้านกรมชลฯ ปรับเพิ่มระบายน้ำเขื่อนป่าสักแต่ไม่กระทบ ปชช.ท้ายเขื่อน ส่วนเชียงใหม่ ฟื้นฟูคืบหน้า เร่งขนย้ายกระสอบทรายออกจากพื้นที่

วันนี้ (26 ตุลาคม 2567) เวลา 12.00 น. นายจิรายุ  ห่วงทรัพย์  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่  26 – 29 ต.ค 67  คาดการณ์พายุโซนร้อนกำลังแรง “จ่ามี” เคลื่อนตัวใกล้เข้าชายฝั่งเวียดนามมากขึ้น แต่ยังไม่เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยมีเมฆเพิ่มขึ้น ฝนตกหนักบางแห่ง  โดยเฉพาะทางด้านตะวันออกของภาคอีสาน (จ.สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ) ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก กทม.และปริมณฑล จะมีฝนเพิ่มขึ้นในวันที่ 27 ต.ค.67   ในส่วนของภาคใต้ยังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักโดยเฉพาะด้านฝั่งอันดามัน

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดสถานการณ์ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ จ.ภูเก็ต สทนช.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการสำรวจพื้นที่เสี่ยงดินโคลนถล่มบริเวณเทศบาล ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต พร้อมติดตามสถานการณ์น้ำเขื่อนบางวาด อ.กะทู้ และในวันนี้จะมีการประชุมหารือแนวทางบริหารจัดการน้ำร่วมกันเพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ณ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต รับมือในจุดเสี่ยงต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อประชาชนในช่วงฤดูฝนของภาคใต้ให้ได้มากที่สุด

สำหรับสถานการณ์ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา กรมชลประทาน ได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี  หลังจากที่มีปริมาณน้ำสะสมจากฝนที่ตกในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำป่าสัก เพื่อบริหารจัดการน้ำสอดให้คล้องกับสถานการณ์ และควบคุมระดับน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จะทยอยปรับการระบายน้ำเพิ่มขึ้นตามลำดับ ดังนี้ วันที่ 27 ตุลาคม 2567 จะเพิ่มการระบายจากอัตรา 70 ลบ.ม./วินาที เป็น 100 ลบ.ม/วินาที และวันที่ 28 ตุลาคม 2567 จะเพิ่มการระบายจากอัตรา 100 ลบ.ม./วินาที เป็น 120 ลบ.ม/วินาที ซึ่งการระบายน้ำดังกล่าว จะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสัก เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 50-60 เซนติเมตร โดยระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจะยังอยู่ในลำน้ำและไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน และหากมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จะรีบแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบเป็นระยะต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุม ศปช. รับทราบรายงานจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ถึงข้อสั่งการของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำ 14 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงจ.เพชรบุรี และจ.ประจวบคีรีขันธ์ให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยและคลื่นลมแรง  7 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1. การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ 2. การสร้างการรับรู้แก่ประชาชน 3. การดูแลสถานที่ท่องเที่ยว 4. กรณีมีแนวโน้มเกิดขึ้นลมแรงขึ้นซัดชายฝั่ง 5. การเผชิญเหตุ กรณีฝนตกหนัก ฝนตกสะสม รวมถึงคลื่นซัดชายฝั่ง 6. กรณีสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงในพื้นที่ และ 7. เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลายแล้ว

ส่วนการฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยใน จ.เชียงใหม่ นั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่  เจ้าหน้าที่และกำลังพลที่เดินทางมาจากอำเภอต่างๆ  ได้ลงพื้นที่ดำเนินการการฟื้นฟู ทำความสะอาด และเก็บถุงกระสอบทรายออกจากถนน ทางเท้า และบ้านเรือนประชาชน ที่ยังคงตกค้าง หลังจากสถานการณ์น้ำลดลง  ปัจจุบันยังนำออกจากพื้นที่ไม่หมด  จึงได้มีการระดมเจ้าหน้าที่ ช่วยขนย้ายออกจากถนน ทางเท้า และหน้าบ้านเรือนประชาชน  เพื่อทำความสะอาดและไม่กีดขวางทางสัญจร  ถุงกระสอบทราย จะถูกขนย้ายไปไว้ตามที่ดินของหน่วยงานรัฐในบริเวณที่อยู่ใกล้เคียง  เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ และประชาชนที่มีความต้องการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ต่อไป เช่น การซ่อมแซมและการก่อสร้างสิ่งสาธารณประโยชน์ ใช้ในภาคการเกษตร หรือนำไปใช้ทำเป็นฝายกั้นน้ำเตรียมพร้อมสำหรับช่วงหน้าแล้ง เป็นต้น

Advertisement

Verified by ExactMetrics