วันที่ 1 พฤษภาคม 2025

รมช.อัครา เผยข่าวดี กรมประมงประสบความสำเร็จทำหมันปลาหมอคางดำ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2568 รมช.อัครา แจ้งข่าวดี ทีมวิจัยกรมประมง ผลิตปลาหมอคางดำ 4n เพื่อผสมพันธุ์ปลาหมอคางดำ 2n ให้ลูกเป็นหมัน สำเร็จเป็นครั้งแรก

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570 ที่ประกอบด้วย 7 มาตรการ (14 กิจกรรม) นั้น กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ได้ดำเนินโครงการวิจัยการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n ในปลาหมอคางดำ เป็นไปตามมาตรการที่ 6 การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ โดยการนำหลักพันธุศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการควบคุมการแพร่ขยายพันธุ์ของปลาหมอคางดำ โดยใช้เทคนิคการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซมจากเดิมที่มีจำนวนชุดโครโมโซมตามธรรมชาติ 2 ชุด หรือ 2n ให้เป็นปลาหมอคางดำที่มีชุดโครโมโซม 4 ชุด หรือ 4n โดยจะนำปลาหมอคางดำ 4n เพศผู้ ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเพื่อให้ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำซึ่งมีชุดโครโมโซม 2n ในธรรมชาติ โดยลูกปลาหมอคางดำที่ได้จากการผสมในลักษณะนี้จะได้ลูกปลาฯ ที่มีชุดโครโมโซม 3 ชุด หรือ 3n มีลักษณะที่เป็นหมันไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้

สำหรับการดำเนินการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซมปลาหมอคางดำในครั้งนี้ ดำเนินการเหนี่ยวนำด้วยความร้อนที่อุณหภูมิ 40 °C เป็นระยะเวลา 5 นาที ณ เวลา 80 นาทีหลังผสม ได้ปลาหมอคางดำที่สามารถเจริญเติบโตจนมีอายุ 3 เดือนจำนวน 1,112 ตัว และมีจำนวนปลาหมอคางดำที่มีขนาดที่เหมาะสมสำหรับติดเครื่องหมาย PIT tag ได้ 703 ตัว และสามารถเก็บตัวอย่างเลือดด้วยวิธี pool sample ได้ทั้งหมด 135 กลุ่มตัวอย่าง จากปลาหมอคางดำ 551 ตัว เพื่อตรวจจำนวนชุดโครโมโซมด้วยเครื่อง flow cytometer พบรูปแบบที่มีการแสดงผลเป็นโครโมโซม 4n จำนวน 20 กลุ่มตัวอย่าง และตรวจสอบยืนยันจำนวนโครโมโซมรายตัวเรียบร้อยแล้ว จำนวน 1 กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งขณะนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี อยู่ระหว่างดำเนินการเร่งตรวจสอบยืนยันผลรายตัวจนครบ 20 กลุ่มตัวอย่าง ภายในเดือนมีนาคม 2568 ขณะเดียวกันคณะทำงานได้ดำเนินการปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการเหนี่ยวนำโครโมโซม เพิ่มเติมจำนวน 9 รูปแบบ โดยมีการตรวจสอบจำนวนชุดโครโมโซมเป็นระยะ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มจำนวนปลาหมอคางดำที่มีชุดโครโมโซมให้เหมาะสมและเพียงพอเพื่อขยายปล่อยลงแหล่งน้ำ ควบคุมจำนวนปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป

ด้าน นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังรายงานความก้าวหน้าโครงการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n ในปลาหมอคางดำ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี โดยได้ดำเนินการปล่อยปลาหมอคางดำเพศผู้ที่มีโครโมโซม 4n เข้าผสมกับปลาหมอคางดำเพศเมียที่มีโครโมโซม 2n ในหน่วยทดลองเพื่อศึกษาการเข้าคู่ผสมพันธุ์ และความสามารถในการแข่งขันการเข้าคู่ผสมพันธุ์โดยวิธีธรรมชาติ เพื่อให้ได้ลูกปลาที่มีชุดโครโมโซม 3n ซึ่งมีลักษะเป็นหมันต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มอบพันธุ์ปลากะพงขาวที่เป็นปลาผู้ล่าในธรรมชาติ ตามมาตรการเเก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ มาตรการที่ 1 ให้เกษตรกรนำไปปล่อยในเเหล่งน้ำธรรมชาติเเละบ่อที่ถูกบุกรุกเพื่อกำจัดเเละควบคุมปริมาณปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีด้วย

Advertisement

อุตุฯ เผยไทยตอนบนอุ่นขึ้น 1-2 องศาฯ ค่าฝุ่นมีแนวโน้มเพิ่ม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กุมภาพันธ์ 2568 กรมอุตุฯ เผยมวลอากาศเย็นมีกำลังอ่อน ส่งผลให้ไทยตอนบนอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาฯ ขณะที่ค่าฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่ม

กรมอุตุนิยมวิทยาเผยบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1–2 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้า โดยภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้มีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และยอดภูมีอากาศหนาว ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็น และระวังอันตรายจากอัคคีภัยเนื่องจากสภาพอากาศแห้ง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ทำให้บริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

สภาวะอากาศที่มีผลต่อการสะสมฝุ่นละอองในระยะนี้: การสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันบริเวณประเทศไทยตอนบนอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อนลง

Advertisement

 

ดาวเทียมพบฝุ่นหนักในอาเซียน หลายประเทศทะลุ 190 AQI ดีเดย์ 3 ก.พ.เคาะประตูบ้าน “ห้ามเผา” ฝ่าฝืนจับสถานเดียว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กุมภาพันธ์ 2568 ดาวเทียมพบฝุ่นหนักในอาเซียน “เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย” หลายประเทศทะลุ 190 AQI ส่วนไทย อีก 2 วัน มีลมแรงช่วยพัดฝุ่นกระจายตัวดีขึ้น ด้าน ปภ.ช. สั่งพรุ่งนี้ (3 ก.พ.) ดีเดย์ ทุกหน่วยทั่วประเทศเคาะประตูบ้าน “ห้ามเผา” ฝ่าฝืนจับสถานเดียว

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (2 ก.พ.) ปภ.ช. รายงานถึงสถานการณ์ฝุ่นเมื่อเวลา 07.00น. พบว่าหลายพื้นที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง โดยภาคเหนือเกินค่ามาตรฐาน 14 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 10.9-59.0 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34.5-73.0 มคก./ลบ.ม. ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 27.5-81.4 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34.7-72.5 มคก./ลบ.ม. ภาคใต้ เกินค่ามาตรฐาน 1 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 19.5-43.2 มคก./ลบ.ม. กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับ กทม. พบค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 39.6-71.7 มคก./ลบ.ม.

ทั้งนี้ ปภ.ช. ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง สำหรับผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณค่าฝุ่นสูงมีผลกระทบต่อสุขภาพ (พื้นที่สีแดง) ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ถ้ามีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ทันที โดยสามารถติดตามสถานการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ Air4Thai.com และ airbkk.com แอปพลิเคชัน Air4Thai และ AirBKK

สำหรับสถานการณ์ฝุ่นควันในสัปดาห์นี้จะมีต่อเนื่องไปจนถึงวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ เนื่องจากมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงที่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ศักยภาพในการระบายอากาศต่ำลง จากนั้นจะมีลมจากภาคเหนือและภาคใต้พัดเข้ามาทำให้สถานการณ์จะคลี่คลาย

ขณะที่ดาวเทียมตรวจพบค่าฮอตสปอตในประเทศภูมิภาคอาเซียน อาทิ เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย มีจุด Hot Spot เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับประเทศไทยที่มีลมนิ่ง ทำให้เกิดค่าฝุ่นสะสม ทำให้วันนี้ (2 ก.พ.) เวลา 13.00 น. ค่าฝุ่นในหลายประเทศในภูมิภาคบางเมืองตรวจค่าฝุ่นสูงกว่า 190 AQI

ส่วนวันพรุ่งนี้ (3 ก.พ.) เวลา 10.00 น. ปภ.ช. ได้มีข้อสั่งการไปยังทุกจังหวัดให้จัดกิจกรรม Kick Off เคาะประตูบ้าน “ห้ามเผา” เพื่อเป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันทุกพื้นที่ โดยใช้กลไกท้องถิ่นลงพื้นที่เคาะประตูบ้านประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชน ร่วมกันไม่เผาเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน ขณะที่ได้มีการกำชับให้ฝ่ายป้องกันและปราบปรามบังคับใช้กฎหมายดำเนินการจับกุมผู้เผาอย่างเคร่งครัด

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก ปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพิ่มมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่ง “ห้ามใช้ชั่วคราว” ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองยานพาหนะที่มีควันดำเกินมาตรฐานต้องนำรถไปปรับปรุงแก้ไข และนำรถมายกเลิกคำสั่งภายในระยะเวลา 15 วัน หากเพิกเฉย ไม่แก้ไข จะถูกยกเลิกทะเบียนในการใช้ยานพาหนะ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในเขตเมือง และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการภูธรจังหวัดแต่ละจังหวัดกวดขันจับกุมรถที่ปล่อยควันดำซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญของปัญหาฝุ่น PM 2.5″ นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

เปิดยุทธการจัดการ “ล้มบัญชีม้า” เดดไลน์ 30 เม.ย.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 กุมภาพันธ์ 2568 ทำเนียบ – รัฐบาล เปิดยุทธการจัดการ “ล้มบัญชีม้า” ผนึกธนาคาร-ค่ายมือถือ สกัดบัญชีม้า วางเดดไลน์ 30 เมษายนนี้ หากชื่อผู้ใช้เบอร์โทรไม่ตรงกับบัญชี Mobile Banking รีบติดต่อด่วน

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับความปลอดภัยในการใช้ “Mobile Banking” ในการสกัดกั้นบัญชีม้าที่เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพ โดยจะกำหนดให้ชื่อผู้ใช้งานตรงกับชื่อเจ้าของซิมมือถือ โดยกำหนดให้ธนาคารดำเนินการแจ้งผู้ใช้ หากตรวจพบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือไม่ตรงบัญชี Mobile Banking ผู้ใช้จะต้องได้รับข้อความผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร ระหว่างวัน 1-28 ก.พ.68 เพื่อให้ยืนยันตัวตนผ่านศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ ภายในวันที่ 30 เม.ย. 68

ในปีที่ผ่านมาได้มีนโยบายการ Cleaning Mobile Banking ซึ่งเป็นการปรับข้อมูลผู้ใช้งานให้ตรงกับเจ้าของซิมโดย กสทช. และ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกเครือข่าย รวมทั้งสำนักงาน ปปง. ธปท. และธนาคารทุกแห่ง ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์จำนวนกว่า 120 ล้านหมายเลขแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมาซึ่งได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม (M) (N) และ (P) คือกลุ่มที่ 1 เป็นลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งเป็น M คือ ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ตรงกัน มีจำนวนประมาณ 75.8 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 63.02

กลุ่มที่ 2 คือลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งเป็น N คือ ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน มีจำนวนประมาณ 30.9 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 25.68 ได้แก่ บัญชีต่างชาติ กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 สามารถดำเนินการ โดยติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปลี่ยนเจ้าของซิม หรือติดต่อธนาคารที่ใช้งาน Mobile Banking เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผูกกับ Mobile Banking ของธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เม.ย 68 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน

กลุ่มที่ 3 คือลูกค้าที่ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งกลับมาเป็น P คือไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูล มีจำนวน 13.5 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 11.29 ได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 ที่ตรวจสอบจากค่ายมือถือแล้ว แต่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม (ดำเนินการพร้อมกัน 2.4 ล้านเลขหมาย) โดยกรณีหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนกับธนาคารมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้บริการด้วยตนเอง เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (ธนาคารไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้แทนได้) พร้อมบัตรประชาชน เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เม.ย. 68 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับแจ้ง (P) ต้องดำเนินการอัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในวันที่ 30 เม.ย. 68 หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป

“ในส่วนของขั้นตอนการดำเนินการ ธนาคารจะดำเนินการแจ้งประชาชน [ลูกค้าในกลุ่มที่ 2 (N) และกลุ่มที่ 3 (P)] ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ภายในวันที่ 1 ก.พ. 68 โดยประชาชนที่ได้รับแจ้งต้องดำเนินการอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในเวลา 90 วัน (สิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย. 68) หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป”

ทั้งนี้ มาตรการ Mobile Banking พิจารณายกเว้นกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มที่มีข้อจำกัดในการปฏิบัติตามมาตรการโดยมีรายละเอียดดังนี้

1.เบอร์มือถือที่จดทะเบียนในชื่อหน่วยงานราชการ (เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด) หรือองค์กรที่ใช้โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ จะได้รับการพิจารณาเป็นข้อยกเว้น และไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการนี้

2.ลูกค้าที่มีความจำเป็น หรือข้อจำกัดเฉพาะ เช่น ไม่สามารถเปลี่ยนเบอร์มือถือได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเอกสาร สามารถยื่นคำขอยกเว้น พร้อมเอกสารประกอบแสดงเหตุผลต่อธนาคาร

3.กลุ่มบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ บุตร พี่น้อง ปู่ ย่า ตายาย คู่สมรส (จดทะเบียน) โดยจะต้องแสดงเอกสารความสัมพันธ์ต่อธนาคาร ได้แก่ เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน สูติบัตร ทะเบียนสมรส เป็นต้น และเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์

4.นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทเอกชน หรือนิติบุคคลตามกฎหมาย (กรณีที่ลงทะเบียนในนามนิติบุคคล และให้พนักงานในองค์กรใช้งาน) จะต้องมีเอกสารรับรองจากบริษัท ที่มีข้อความระบุชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอนุญาตให้ใช้เบอร์โทรศัพท์ผูก Mobile Banking

5.ผู้ที่ต้องได้รับความดูแลตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ไร้ความสามารถ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ และผู้พิการ จะต้องนำเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้อนุบาล หรือเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้พิทักษ์ บัตรผู้พิการ หรือเอกสารที่หน่วยงานราชการออกให้ มายื่นแสดงต่อธนาคาร

“รัฐบาลกำชับให้ธนาคาร และผู้ให้บริการโทรคมนาคม สกัดบัญชีม้าเต็มรูปแบบ เริ่ม 1 ก.พ.68 นี้ โดยประชาชนจะได้รับแจ้งเตือนผ่านแอปฯธนาคาร Mobile Banking เท่านั้น ไม่แจ้งเตือนผ่านช่องทางอื่น ต้องตรวจสอบว่าตนเองอยู่ในกลุ่มใด และปฏิบัติตามคำแนะนำ พร้อมอัปเดตข้อมูลให้ชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ภายใน 90 วัน (สิ้นสุด 30 เม.ย. 2568) มิฉะนั้นอาจถูกระงับการใช้งานชั่วคราว ทั้งนี้ หากไม่ได้รับแจ้งเตือน สามารถใช้งาน Mobile Banking ได้ตามปกติ ส่วนสมุดบัญชียังคงใช้งานได้ทุกกรณี” นายคารม ย้ำ

Advertisement

อีสาน อุณหภูมิลด 4-6 องศาฯ กทม.อากาศเย็นตอนเช้า-ลมแรง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มกราคม 2568 กรมอุตุฯ เผยภาคอีสาน อุณหภูมิลดลง 4-6 องศาฯ กับมีลมแรง ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก อุณหภูมิลดลง 1-3 องศาฯ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาฯ ส่วนภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง

กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนแผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ตอนบนแล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในวันนี้ (27 ม.ค. 68) ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอุณหภูมิลดลง 4-6 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมทั้งระวังอันตรายจากอัคคีภัยเนื่องจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน จะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ทะเลอันดามัน มีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 28 ม.ค. 68

กรุงเทพฯ และปริมณฑล อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส

Advertisement

รัฐบาลเตือน เล่นเกมส์ “Jagat” ระวังคุก.. ฐานบุกรุก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มกราคม 2568 รัฐบาลเตือน เล่นเกมส์ “Jagat ” ระวังคุก.. ฐานบุกรุก ย้ำแอปอาจไม่มีความปลอดภัยทางไซเบอร์เหตุเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้

วานนี้ (24 มกราคม 2568 เวลา 11.00 น.) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่ารัฐบาลเตือนประชาชนกลุ่มนักล่าเหรียญ Jagat ระวังเข้าข่ายความผิดฐานบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่น จากกรณีที่มีกระแสแอปพลิเคชัน Jagat ได้เปิดฟีเจอร์ “Jagat Coin Hunt” เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เล่นเกมล่าสมบัติในโลกเสมือนจริง รวบรวมเหรียญและรางวัลที่สามารถแปลงเป็นมูลค่าในโลกความจริงได้ ด้วยรูปแบบเกมทำให้มีผู้เข้าร่วมเล่นเกมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยออกค้นหาเหรียญตามพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งได้สร้างความวุ่นวายและเดือดร้อนให้กับคนในพื้นที่

นายอนุกูล กล่าวว่า เกมดังกล่าวเป็นการออกตามหาเหรียญ Jagat เพื่อแลกเงินหรือรางวัล ทำให้กลุ่มนักล่าเหรียญบางคนทำการรื้อค้นกองวัสดุก่อสร้าง กองหินในสวนสาธารณะ กองขยะจนกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ เกิดความสกปรก และในบางครั้งพิกัดของเหรียญถูกซ่อนอยู่ในพื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดให้บริการตามเวลาที่กำหนดทำให้มีกลุ่มนักล่าเหรียญบางคนต้องบุกรุกเข้าไปเพื่อเก็บเหรียญ หรือแม้กระทั้งพิกัดของเหรียญได้เข้าไปอยู่ในพื้นส่วนบุคคล ซึ่งสิ่งนี้เองได้สร้างความเดือดร้อนและเข้าข่ายความผิดฐานบุกรุก ต้องระวังโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ตำรวจไซเบอร์ เตรียมเสนอกระกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคปิดแอปพลิเคชัน Jagat หากไม่มีการขออนุญาต เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.การพนัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามเจ้าของเข้าให้ปากคำ

“เกมหาเหรียญ Jagat นอกจากจะส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญในการดำรงชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่แล้ว จากการตรวจสอบพบว่า แอปพลิเคชัน Jagat เป็นแพลตฟอร์มจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนประกอบธุรกิจในไทย อีกทั้งฟีเจอร์ “Jagat Coin Hunt” จะต้องมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและยังสามารถเข้าถึงพิกัดของผู้เล่นได้ ทำให้อาจส่งผลเกิดความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ และความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งอาจมาในรูปแบบกลุ่มมิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวเข้ามาตามในพื้นที่รัฐบาลห่วงความปลอดภัยของประชาชนขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการใช้แอปพิลเชชัน เพื่อลดโอกาสที่ท่านจะเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานบุกรุก และเพื่อเป็นการป้องกันความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์จากการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ หากประชาชนในพื้นที่บริเวณใดที่ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มผู้เล่นแอปพลิเคชัน Jagat หรือพบเหตุผิดปกติ สามารถแจ้ง สายด่วน 191 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบได้ทันที” นายอนุกูล ย้ำ

Advertisement

คนกรุงจมฝุ่น PM ต่อเนื่อง เช้านี้อยู่ระดับสีแดง 21 พื้นที่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มกราคม 2568 กทม. อ่วมหนัก ฝุ่น PM 2.5 พุ่งต่อเนื่อง อยู่ระดับสีแดง ผลกระทบต่อสุขภาพ 21 พื้นที่ ย้ำสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่นอกอาคาร และงดกิจกรรมกลางแจ้ง

ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร

พฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5)

: ตรวจวัดได้ 55.8-96.2 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีแดง 🔴 มีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐาน 75.1 มคก./ลบ.ม.ขึ้นไป ) จำนวน 21 พื้นที่ คือ

1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 96.2 มคก./ลบ.ม.

2.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 89.6 มคก./ลบ.ม.

3.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 89.1 มคก./ลบ.ม.

4.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 88.0 มคก./ลบ.ม.

5.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน : มีค่าเท่ากับ 86.3 มคก./ลบ.ม.

6.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 83.5 มคก./ลบ.ม.

7.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลนคราภิบาล : มีค่าเท่ากับ 83.4 มคก./ลบ.ม.

8.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 83.0 มคก./ลบ.ม.

9.เขตบางนา บริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้าบิ๊กซี บางนา : มีค่าเท่ากับ 79.4 มคก./ลบ.ม.

10.เขตตลิ่งชัน ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดกับถนนบรมราชชนนี : มีค่าเท่ากับ 79.4 มคก./ลบ.ม.

ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง(คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยา)

ในช่วงวันที่ 23 – 30 ม.ค. 2568 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ “ไม่ดี-อ่อน” ประกอบกับเกิดอินเวอร์ชั่นใกล้ผิวพื้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้อย่างจำกัด คาดว่าความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแล้วทรงตัว ในระหว่างวันที่ 22-24 ม.ค. และลดลงเล็กน้อย ในวันที่ 25-28 ม.ค. เนื่องจากการระบายอากาศดีขึ้น

Advertisement

ค่าฝุ่น PM2.5 วันนี้ เกินมาตรฐานค่อนประเทศ 60 จังหวัด สูงต่อเนื่องถึง 27 ม.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 มกราคม 2568 กรมควบคุมมลพิษ เผยวันนี้ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน 60 จังหวัด สูงต่อเนื่องถึง 27 ม.ค. ประสานทุกหน่วยงานยกระดับการแก้ไขปัญหา พร้อมเตือนประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวว่า ปริมาณฝุ่น PM2.5 ในประเทศยังมีค่าเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ สาเหตุหลักมาจากสภาพอุตุนิยมวิทยาที่ไม่เอื้อต่อการระบายของฝุ่นละออง สภาวะอากาศปิดใกล้ผิวพื้น อัตราการระบายอากาศต่ำ อีกทั้งยังพบจุดความร้อนทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน

จากรายงานผลตรวจปริมาณ PM2.5 ในประเทศวันนี้ (22 มกราคม 2568) ซึ่งพบว่า เกินค่ามาตรฐาน 60 จังหวัดได้แก่ จ.ปทุมธานี กรุงเทพฯ จ.นนทบุรี จ.นครปฐม จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.เชียงราย จ.น่าน จ.พะเยา จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.พิษณุโลก จ.ตาก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์ จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี จ.สระบุรี จ.อ่างทอง จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สุพรรณบุรี จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.สมุทรสงคราม จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ปราจีนบุรี จ.สระแก้ว จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.จันทบุรี จ.ตราด จ.ชุมพร จ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จ.เลย จ.อุดรธานี จ.นครพนม จ.หนองบัวลำภู จ.สกลนคร จ.มุกดาหาร จ.ขอนแก่น จ.กาฬสินธุ์ จ.มหาสารคาม จ.ร้อยเอ็ด จ.อำนาจเจริญ จ.ชัยภูมิ จ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.นครราชสีมา จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์

ส่วนผลตรวจวัดตามรายภาคมีดังนี้

-ภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 14.5 – 84.0 มคก./ลบ.ม.

-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 39.1 – 77.5 มคก./ลบ.ม.

-ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 39.3 – 94.0 มคก./ลบ.ม.

-ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 31.2 – 84.9 มคก./ลบ.ม.

-ภาคใต้ เกินค่ามาตรฐาน 1 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 17.9 – 52.4 มคก./ลบ.ม.

-กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของ คพ. ร่วมกับ กทม. เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 45.7 – 85.0 มคก./ลบ.ม.

สำหรับผลการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละออง 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 23 – 29 มกราคม 2568 พบว่า พื้นที่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นวันที่ 23 – 27 ม.ค. 2568 และยังคงต้องเฝ้าระวังในบางพื้นที่ โดยภาคใต้อยู่ในเกณฑ์ดีดีอย่างต่อเนื่อง

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวด้วยว่า จากการติดตามจุดความร้อนพบว่ามีการเผาโดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงต้องเน้นย้ำและให้ความสำคัญกับการควบคุมการเผาอย่างเข้มข้น พร้อมประสานทุกหน่วยงานยกระดับการเฝ้าระวังและลดผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก

สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งประสานงานใกล้ชิดกับกรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานครจึงประกาศใช้มาตรการ Low Emission Zone ห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปเข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก โดยมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ วันที่ 23 ม.ค.เวลา 00.01 น. – วันที่ 24 ม.ค.เวลา 23.59 น. (2วัน) ยกเว้นรถยนต์ไฟฟ้า แก๊ส NGV รถเครื่องยนต์ดีเซลมาตรฐาน EURO 5 – 6 และรถที่ลงทะเบียน Green List รวมถึงมาตรการ WORK FROM HOME (WFH) กทม. ประกาศขยายระยะเวลา WFH เพิ่มเติมไปถึงวันที่ 24 มกราคม 2568 เพื่อลดการเดินทาง ลดปริมาณรถยนต์ในการจราจรซึ่งเป็นต้นตอหนี่งของฝุ่นในกรุงเทพฯ ก็ต้องขอความร่วมมือ ปัจจุบันมีหน่วยงานร่วมเครือข่าย WFH กับกรุงเทพมหานครแล้ว 278 บริษัท เกือบ 100,000 คน

กรมควบคุมมลพิษขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชน วางแผนการทำงานล่วงหน้า (Work From Home) หรือใช้รถโดยสารสาธารณะ เพื่อลดปริมาณการจราจรบนท้องถนน งดการเผาในที่โล่งทุกชนิด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ ขอให้พี่น้องประชาชนดูแลสุขภาพ ลดกิจกรรมกลางแจ้ง หากมีความจำเป็นควรสวมใส่หน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันตัวเองเมื่อออกนอกบ้าน ปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองได้ผ่านเว็บไซต์ Air4Thai.pcd.go.th หรือ ทางแอปพลิเคชัน Air4Thai

Advertisement

รัฐบาลเตือน มิจฉาชีพอ้างเป็น “กรมบัญชีกลาง” ลวงดูดเงินผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ ข้าราชการเกษียณ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มกราคม 2568 รัฐบาลเตือน มิจฉาชีพอ้างเป็น “กรมบัญชีกลาง” ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รวมถึงข้าราชการเกษียณอายุ ลวงดูดเงินประชาชนผ่าน QR Code ปลอม ย้ำกรมบัญชีกลางไม่มีนโยบายติดต่อหาผู้เกษียณ

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตือนประชาชนระมัดระวังไม่ตกเป็นเหยื่อกลโกงมิจฉาชีพ โดยปัจจุบันมิจฉาชีพมีจำนวนมากขึ้น มีการเตรียมการเป็นอย่างดี และทำกันเป็นขบวนการเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินจากทุกช่องทาง และมาในรูปแบบที่หลากหลาย โดยกลุ่มมิจฉาชีพปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการหลอกลวงผ่านรูปแบบการโทรศัพท์แจ้งให้ดำเนินการต่าง ๆ เช่น การขอรับบำเหน็จดำรงชีพ บำเหน็จตกทอด โดยแอบอ้างชื่อชื่อผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงาน และการใช้เอกสารราชการปลอมของกรมบัญชีกลาง

นายคารม กล่าวว่า จากข้อมูลล่าสุด พบกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นกรมบัญชีกลาง แจ้งให้ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญรวมถึงข้าราชการเกษียณอายุ ประจำปี 2567 ให้ดำเนินการแจ้งรหัสบัญชีย่อย เพื่อใช้ประกอบการขอเบิกจ่ายเงินในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) โดยให้ผู้รับบำนาญตรวจสอบรหัสบัญชีย่อยของตัวเองในระบบ New GFMIS Thai และให้สแกน QR Code ท้ายหนังสือ ขอย้ำเตือนผู้รับบำนาญ อย่าหลงเชื่อหนังสือแอบอ้างดังกล่าว และอย่าสแกน QR Code ท้ายหนังสือ เพราะจะทำให้ตกเป็นเหยื่อเป็นมิจฉาชีพ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางการประชาสัมพันธ์ของกรมบัญชีกลาง และขอเน้นย้ำว่า “กรมบัญชีกลาง” ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ติดต่อหาผู้รับบำนาญหรือทายาท เพื่อให้ดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับการขอเบิกจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญแต่อย่างใด

“รัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชน เนื่องด้วยปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วิถีชีวิตและกิจกรรมต่าง ๆ มีการใช้เทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ในการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเป้าหมายหลอกลวงไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ และผู้เกษียณเพิ่มขึ้น ด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นการสร้างการตระหนักรู้และเท่าทันภัยรูปแบบใหม่ ๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าหลงเชื่อทำตาม ไม่คุย ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ตามที่มิจฉาชีพแจ้ง หากพบไลน์ปลอมหรือไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมทั้งได้รับ SMS ที่ส่งลิงก์ต่างๆ ห้ามคลิกกดลิงก์โดยเด็ดขาด” นายคารม กล่าว และว่าหากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ call center ของกรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 0 2270 6400 ในวันและเวลาทำการ

Advertisement

เช็กด่วน..!! เงินหมื่นอายุ60+ สิทธิของท่านไม่หายใน 2 วันสุดท้าย ก่อนรัฐบาลกดปุ่มโอนจ่าย 27 ม.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มกราคม 2568 เช็กด่วน..!! เงินหมื่นอายุ60+ สิทธิของท่านไม่หายใน 2 วันสุดท้าย ก่อนรัฐบาลกดปุ่มโอนจ่ายเช้าจันทร์ 27 ม.ค.นี้ รัฐบาลฝากลูกหลานช่วยตรวจสิทธิพ่อแม่ปู่ย่าตายายผ่านแอป “ทางรัฐ” ให้ด้วย

วันนี้ (20 มกราคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ โดยภาครัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาท ในเฟส 2 นี้ให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 4 ล้านคนนั้น ขอย้ำเตือนผู้ที่มีสิทธิตามโครงการฯ เร่งตรวจสอบสิทธิในสองวันสุดท้าย ทั้งนี้หากผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่สะดวกหรือไม่เชี่ยวชาญในเรื่องการลงทะเบียนรัฐบาลขอความกรุณาให้ลูกหลานหรือคนในครอบครัว ช่วยเร่ง ตรวจสอบและดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิ ให้แล้วเสร็จภายในวันพุธที่ 22 มกราคม นี้เพื่อรอรับการจ่ายเงินในวันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568

“เรื่องสำคัญที่จะทำให้ไม่พลาดในการรับเงินสนับสนุน 10,000 บาทดังกล่าว ควรตรวจสอบกับธนาคารด้วยว่าบัญชีของผู้มีสิทธิ ยังคงมีสถานะปกติที่สามารถรับเงินโอนได้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมรับเงินในวันที่ 27 มกราคม 2568 นี้”

สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไข สามารถตรวจสอบสิทธิการได้รับเงินในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้ตั้งแต่วันพุธที่ 22 มกราคม 2568 นี้เป็นต้นไปด้วยวิธีการ ดังนี้ 1.เปิดแอปทางรัฐ เข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย จากนั้นกดปุ่มตรวจสอบสถานะ 2.ระบบจะขออนุญาตเข้าถึงข้อมูล และขอยืนยันเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตน ให้กดปุ่มยืนยันข้อมูล 3.กรอกเบอร์โทรศัพท์และกดปุ่มรับรหัสทาง SMS (OTP) 4.กรอกรหัส OTP และกดปุ่มยืนยันโทรศัพท์มือถือ 5.กดปุ่มอนุญาต ให้แอปพลิเคชันเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล และ 6.ระบบจะแสดงผลสถานะในการรับสิทธิตามโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่าอยู่ในขั้นตอนใด หากอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือระบบอยู่ระหว่างการตรวจสอบสิทธิ หากอยู่ในขั้นตอนที่ 4 คือไม่ได้รับสิทธิ หากอยู่ในขั้นตอนที่ 5 คือได้รับสิทธิตามโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท

รองโฆษกรัฐบาลกล่าวต่อไปว่า “การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการขยายผลกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพให้แก่กลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผู้สูงอายุจะสามารถใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการตามความจำเป็นของตน ช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว นอกจากนี้การดำเนินโครงการฯ จะช่วยส่งเสริมความอยู่ดีมีสุข (Well-being) ของผู้สูงอายุให้ดีขึ้นรอบด้านอีกด้วย” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics