วันที่ 30 กรกฎาคม 2025

สกัดนอมินีใช้คนไทยถือครองที่ดินแทน-จับตาเข้ม 6 ธุรกิจเสี่ยง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มิถุนายน 2568 ผนึกกำลังปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย สกัดนอมินีใช้คนไทยถือครองที่ดินแทน จับตาเข้ม 6 ธุรกิจเสี่ยง เตรียมส่งรายชื่อ 2.6 หมื่นราย ให้กรมที่ดินตรวจสอบต่อไป

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีคนต่างด้าวเข้ามาถือครองที่ดินในไทย โดยใช้วิธีให้คนไทยถือครองที่ดินแทน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของกฎหมายนอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ สำหรับประกอบธุรกิจที่ต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว หรือธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน ซึ่งเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด จนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อให้การตรวจสอบสามารถทำได้ครอบคลุมมากขึ้นนั้น

นายคารม กล่าวว่า กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการ MOU ระหว่างกันด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้คนไทยถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว และเพื่อปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย ป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมายเข้ามาถือครองที่ดิน

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะส่งต่อรายชื่อนิติบุคคลเสี่ยงให้กับกรมที่ดิน ทั้งนี้ ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีนิติบุคคลที่เสี่ยงเป็นนอมินีจากการที่มีคนต่างด้าวเข้ามาถือหุ้นตั้งแต่ 0.001-49.99% ใน 6 ธุรกิจเสี่ยง จำนวน 46,918 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จำนวน 26,038 ราย คิดเป็น 55.49% ของธุรกิจเสี่ยงทั้งหมด โดยจะดำเนินการส่งรายชื่อทั้งหมดให้กรมที่ดิน เพื่อพิจารณาประกอบการอนุญาตให้ถือครองที่ดิน และป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวเข้ามาถือครองที่ดินต่อไป

นอกจากนี้จะมีการพิจารณาเพิ่มโทษการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว จากเดิมที่มีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท ซึ่งเป็นโทษตามกฎหมายเดิมปี 2497 แต่จะมีการปรับให้มีความเข้มข้นและทันสมัยมากขึ้น ล่าสุดสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังยกร่างกฎหมายใหม่ที่ทำร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในการบรรจุฐานความผิดนอมินีเป็นความผิดมูลฐาน และเปิดช่องให้ยึดทรัพย์ได้ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวถือครองที่ดินได้ดีขึ้น

นายคารม ระบุว่ รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาธุรกิจนอมินีอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าการผนึกกำลังของหน่วยงานภาครัฐในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในป้องกันและปกป้องสิทธิของประชาชนไทย ตลอดจนสร้างความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจของประเทศได้

Advertisement

เปิดเทอมแล้ว…แนะผู้ปกครองเด็กเล็ก ระวังอันตราย 5 โรค ที่มากับฤดูฝนช่วงเปิดเทอม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤษภาคม  2568 เปิดเทอมแล้ว… รัฐบาลห่วงสุขภาพเด็ก แนะผู้ปกครองเด็กเล็กระวังอันตราย 5 โรค ที่มาพร้อมกับฤดูฝนในช่วงเปิดเทอม

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเปิดเทอม ผู้ปกครองจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้กับบุตรหลาน สำหรับการขึ้นชั้นเรียนใหม่  โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นช่วงที่ตรงกับต้นฤดูฝน อากาศเริ่มเย็นลง และมีความชื้นสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้เกิดโรคที่มาพร้อมกับฤดูฝนในเด็กเล็กที่มักเสี่ยงต่อโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคติดต่อผ่านการสัมผัส รวมไปถึงกลุ่มโรคที่มียุงเป็นพาหะ  ซึ่งโรคที่พบได้บ่อยในช่วงนี้  ได้แก่

1) โรคมือ เท้า ปาก ที่มักพบในเด็กเล็กวัยก่อนเข้าเรียนหรือในเด็กต่ำกว่า 5 ปี เกิดจากไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรง อาการเด่นชัดคือมีไข้สูง มีแผลในปาก และมีผื่นที่มือและเท้า บางคนถ้าติดเชื้อสายพันธุ์รุนแรงอาจมีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง กล้ามเนื้อ และหัวใจ

2) โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา เด็กจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และอาจมีอาการไอ น้ำมูก อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย หากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวมและสมองอักเสบ

3) โรคปอดบวม เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งอาจพัฒนามาจากไข้หวัดธรรมดา โดยเด็กจะมีอาการไอและมีเสมหะมาก หายใจเร็วหรือหายใจหอบเหนื่อย เสียงหายใจผิดปกติ และในบางรายอาจมีริมฝีปากเขียวคล้ำ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีอาการรุนแรงแล้ว

4) โรคตาแดงจากไวรัส ซึ่งแพร่กระจายได้ง่าย เด็กจะมีอาการตาแดง เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก

และ 5)  โรคไข้เลือดออก ที่มียุงลายเป็นพาหะ ในระยะแรกเด็กจะมีไข้สูง ปวดเมื่อย มีจุดเลือดออกสีแดงตามร่างกาย ส่วนอีกระยะที่ต้องระวังคือช่วงที่ไข้ลดลง เพราะบางคนอาจเกิดภาวะช็อกได้ และอาจมีอาการเลือดออกร่วมด้วย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด ดังนั้น  ผู้ปกครองจึงควรสังเกตอาการของลูกไว้ตลอด เมื่อมีอาการผิดปกติหรืออาการที่เข้าข่ายโรคเหล่านี้จะได้รับมือได้ทันที

“รัฐบาลห่วงใยสุขภาพเด็ก แนะผู้ปกครองควรเสริมภูมิคุ้มกันให้บุตรหลานเพื่อป้องกันโรคระบาด โดยให้เด็กกินอาหารครบ 5 หมู่ รวมถึงผักผลไม้ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และควรนอนหลับอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ ควรฉีดวัคซีน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และมือเท้าปาก โดยเฉพาะช่วงเปิดเทอมนี้เวลาไปโรงเรียนหรือสถานที่ที่มีคนเยอะ แนะนำให้บุตรหลานรักษาความสะอาด ใช้ช้อนกลาง ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์หรือล้างมือบ่อย ๆ และสวมใส่หน้ากากอนามัย ถ้าหากพบอาการเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติที่น่าเป็นห่วงจะได้พาไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้ลูกหลานของเราปลอดภัยมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน” นายคารม กล่าว

Advertisement

 

 

ดีอี เตือน! ผู้ใช้บริการ Mobile Banking ยืนยันตัวตน “ชื่อบัญชีตรงกับเบอร์โทร” ก่อน 30 เม.ย.68

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 เมษายน 2568 รองนายกฯ “ประเสริฐ” เผย ดีอี เตือน! ผู้ได้รับการแจ้งผ่านแอปฯ Mobile Banking ให้ลงทะเบียน “ชื่อบัญชีตรงกับเบอร์โทร” ก่อน 30 เม.ย.68

วันนี้ (28 เม.ย.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ดำเนินมาตรการ “การยกระดับความปลอดภัยในการใช้ Mobile Banking” ซึ่งเริ่มดำเนินมาตรการฯ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งจะมีการแจ้งเตือน “กลุ่มที่ต้องยืนยันตัวตน” ผ่านแอปฯ Mobile Banking เท่านั้น ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568

ด้านความคืบหน้าของการดำเนินมาตรการระงับบัญชี Mobile Banking ระยะที่ 1 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มีมติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เป็นผู้ดำเนินการ โดยมีขั้นตอน ดังนี้

1.ให้ ปปง. แจ้งธนาคารพิจารณานำข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้บริการ ส่งไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (โอเปอร์เรเตอร์) และส่งผลกลับให้ธนาคาร เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลถูกต้องตรงกันกับข้อมูลที่ลูกค้าแจ้งไว้ตอนลงทะเบียนใช้บริการ Mobile Banking หรือไม่

2.ปปง. พิจารณาผลการดำเนินการตรวจสอบข้างต้นแล้ว และแบ่งผู้ใช้บริการเป็น 3 ประเภท ดังนี้

(1) พบข้อมูลตรงกัน หรือ Y

(2) ไม่พบข้อมูลการลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ หรือ P

(3) ข้อมูลไม่ตรงกับผู้ใช้ Mobile Banking หรือ N

3.ปปง. แจ้งธนาคาร ให้แจ้งผู้ใช้บริการที่มีข้อมูลเป็น P และ N ปรับปรุงข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ โดยในขั้นตอนนี้ ผู้ใช้บริการ กลุ่ม P และ N ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อมูลให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2568

“ทั้งนี้ ลูกค้าที่มีชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ไม่ตรงกับชื่อเจ้าของซิม หากยังไม่ได้รับแจ้งจากธนาคาร ผ่าน Mobile Banking ยังไม่ต้องดำเนินการใด ๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติ” รองนายกฯ นายประเสริฐ กล่าว

กลุ่มลูกค้าที่ต้องดำเนินการภายในวันที่ 30 เม.ย. 2568 คือ กลุ่มที่เปิดใช้บริการ Mobile Banking ตั้งแต่ปี 2565 และเข้าเงื่อนไขใน 2 กลุ่มนี้เท่านั้น

1.กลุ่มผู้ใช้งาน Mobile Banking ที่ตรวจหมายเลขโทรศัพท์มือถือไม่พบชื่อเจ้าของซิม

2.กลุ่มชาวต่างชาติที่หมายเลขโทรศัพท์มือถือมีชื่อเจ้าของซิมไม่ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking

สำหรับแนวทางการดำเนินการระยะที่ 2 เมื่อครบกำหนดภายหลังวันที่ 30 เมษายน 2568 มีดังนี้

(1) ธนาคารจะส่งข้อมูลผู้ใช้ Mobile Banking ที่เป็นปัจจุบันถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ไปให้ โอเปอร์เรเตอร์

(2) โอเปอร์เรเตอร์ จะนำข้อมูลดังกล่าวที่ภาคธนาคารส่งผ่านระบบของ ปปง. ไปตรวจสอบกับข้อมูลลูกค้าของตนเองว่าเป็น กลุ่ม Y, N หรือ P แล้วส่งกลับให้ธนาคาร

ในเดือนพฤษภาคม 2568 ธนาคารจะดำเนินการส่งข้อมูล ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ของผู้เปิดใช้ Mobile Banking ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ของกลุ่มลูกค้าทุกสัญชาติ สถานะ P จำนวนประมาณ 1.8 ล้านเลขหมาย และกลุ่มลูกค้าต่างชาติ สถานะ N จำนวนประมาณ 7 แสนเลขหมาย รวมทั้งหมดจำนวนประมาณ 2.5 ล้านเลขหมาย ให้ Operator เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

โดย ปปง. จะมีหนังสือผ่านสมาคมธนาคารไทย แจ้งให้ภาคธนาคารส่งข้อมูลผ่านระบบของ ปปง. ภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เมื่อได้รับข้อมูลกลับมาแล้ว ปปง. จะรวบรวมข้อมูลและมีหนังสือผ่าน กสทช. แจ้งให้ โอเปอร์เรเตอร์ นำข้อมูลไปตรวจสอบให้แล้วเสร็จ และส่งผลการตรวจสอบกลับมาให้ธนาคารผ่านระบบไม่เกินวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 และให้ธนาคารเริ่มดำเนินการตรวจสอบผล และเริ่มระงับการใช้บริการ Mobile Banking ในเดือนมิถุนายน 2568

ทั้งนี้ในกรณีที่ผู้ใช้ Mobile Banking ซึ่งมาขอปรับสถานะที่ธนาคาร ให้ธนาคารเป็นผู้พิจารณาดำเนินการปรับสถานะจาก N เป็น Y และกรณีผู้ใช้ Mobile Banking สถานะ P ซึ่งได้เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์แล้ว และได้แจ้งหมายเลขใหม่ต่อธนาคารแล้ว ให้ธนาคารบันทึกไว้ โดยไม่ต้องส่งมาตรวจใหม่ เมื่อตรวจสอบแล้ว ถ้าสถานะ N เปลี่ยนเป็น Y หรือสถานะ P ซึ่งผู้ใช้ Mobile Banking ได้ไปเปลี่ยนหมายเลขใหม่แล้วพบข้อมูลตรงกัน ถือว่าจบกระบวนการ

ในส่วนกรณีกลุ่มผู้ใช้ Mobile Banking สถานะ P ที่ไม่ยอมเปลี่ยนหมายเลข หรือกลุ่มลูกค้าต่างชาติสถานะ N ที่ไม่ยอมมายืนยันตัวตน ผู้ใช้บริการทั้ง 2 กลุ่มนี้ จะถูกระงับการใช้บริการ Mobile Banking พร้อมทั้งให้ธนาคารแจ้งลูกค้าทราบ จนกว่าลูกค้าจะมาปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน จึงสามารถใช้บริการดังกล่าวได้

“การดำเนินมาตรการยกระดับความปลอดภัย Mobile Banking เพื่อเป็นการสกัดกั้นช่องทางการก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพ ให้ชื่อผู้ใช้งานตรงกับชื่อเจ้าของซิมมือถือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับการทำงานร่วมกันของกระทรวงดีอี กสทช. ปปง. ภาคธนาคารและผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ในการป้องกันการหลอกลวงทางออนไลน์ต่อประชาชน โดยขอย้ำอีกครั้งถึงผู้ใช้บริการ Mobile Banking ที่ได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอปฯ ธนาคาร เร่งดำเนินการยืนยันสถานะของตนเองให้ถูกต้อง ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 นี้” รองนายกฯ ประเสริฐ กล่าว

Advertisement

ศปช.เตือน 59 จังหวัด เตรียมรับมือพายุฤดูร้อนตั้งแต่บัดนี้ถึง 1 พ.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 เมษายน 2568 ศปช.เตือน 59 จังหวัด เตรียมรับพายุฤดูร้อนคาดการณ์วันนี้ถึง 1 พ.ค. สั่ง ปภ. เตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. กล่าวว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิยา ได้ประกาศแจ้งเตือนพายุฤดูร้อน ฉบับที่ 7 ในช่วงวันที่ 27 เมษายน – 1 พฤษภาคม ซึ่งอาจมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตก รวมทั้งอาจเกิดฟ้าผ่าได้ในบางจุด

กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์พื้นที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนดังกล่าว ทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ รวม 59 จังหวัด ดังนี้

ภาคเหนือ (15 จังหวัด) ได้แก่  จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.ตาก จ.แพร่ จ.น่าน จ.พะเยา จ.เชียงราย จ.แม่ฮ่องสอน จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.พิษณุโลก และ จ.เพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (17 จังหวัด) ได้แก่ จ.เลย จ.หนองบัวลำภู จ.ขอนแก่น จ.อุดรธานี จ.สกลนคร จ.นครพนม จ.ชัยภูมิ จ.กาฬสินธุ์ จ.มหาสารคาม จ.ร้อยเอ็ด จ.ยโสธร จ.อำนาจเจริญ จ.นครราชสีมา จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ จ.อุบลราชธานี

ภาคกลาง  (17 จังหวัด) ได้แก่ จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.ชัยนาท จ.ลพบุรี จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สุพรรณบุรี จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.นครปฐม จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรสงคราม จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี จ.สมุทรปราการ และ กรุงเทพฯ

ภาคตะวันออก (8 จังหวัด) ได้แก่ จ.นครนายก จ.ปราจีนบุรี จ.สระแก้ว จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.จันทบุรี จ.ตราด

ภาคใต้ (2 จังหวัด) ได้แก่ จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์

“ขณะนี้ ศปช. ได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ให้เจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เครื่องมืออุปกรณ์ประจำพื้นที่เสี่ยง พร้อมเข้าเผชิญเหตุให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทันทีที่เกิดสถานการณ์”

“ขอให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ 59 จังหวัดดังกล่าว ติดตามสภาพอากาศ และข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด หากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง” นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

ยูเนสโกยกย่อง 3 มรดกไทย เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกปี 2568

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 เมษายน 2568 ยูเนสโกยกย่อง 3 มรดกไทย “สมุดไทยคำหลวง – พระเจ้าช้างเผือก – เอกสารอาเซียน” เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกปี 2568 ตอกย้ำบทบาทสำคัญของชาติไทยในประวัติศาสตร์โลก

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข่าวดีจากกรมศิลปากรว่า องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เอกสารสำคัญของประเทศไทย 3 รายการ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก” (Memory of the World) ประจำปี 2568 จำนวน 74 รายการ ซึ่งมีเอกสารจากประเทศไทยได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลก 3 รายการ ได้แก่

รายการที่ 1 เอกสารสมุดไทย นันโทปนันทสูตรคำหลวง (The Manuscript of Nanthopananthasut Kamlaung) เอกสารโบราณล้ำค่าของไทย เป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเมื่อปี 2279 ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร

รายการที่ 2 ภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก และเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้อง (The King of the White Elephant and the archival documents) ภาพยนตร์เก็บรักษาไว้ที่หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้องเก็บรักษาไว้ที่สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รายการที่ 3 เอกสารการก่อตั้งประชาคมอาเซียน (The Birth of the Association of Southeast Asia Nations (ASEAN) (Archives about the Formation ASEAN, 1967 – 1976) เก็บรักษาไว้ที่หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ซึ่งประเทศไทยเสนอขึ้นทะเบียนร่วมกับประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์

ปัจจุบันประเทศไทย มีเอกสารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกแล้ว 9 รายการ ได้แก่ จารึกวัดโพธิ์ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เอกสารจดหมายเหตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองของสยาม พุทธศักราช 2411 – 2453 ฟิล์มกระจกและภาพต้นฉบับ ชุดหอพระสมุดวชิรญาณ บันทึกการประชุมของคณะกรรมการสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ และคัมภีร์ใบลาน เรื่องตำนานอุรังคธาตุ

“การประกาศมรดกความทรงจำแห่งโลกในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญทางวรรณกรรม พุทธศาสนา และศิลปวัฒนธรรมของชาติไทย ที่มีคุณูปการต่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง สมควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์และสืบทอดให้คงอยู่สืบไป ผู้ที่สนใจสามารถดูรายการเอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลกของประเทศไทยได้ที่ https://www.nat.go.th/mow/th-th ” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

แนะผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ยื่นคำร้องภายใน 30 วัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 เมษายน 2568 รัฐบาล เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว เปิดขั้นตอนรับเงินเยียวยาครบวงจร-ซ่อมบ้าน เสริมทุนอาชีพ มอบเงินปลอบขวัญ ยื่นคำร้องภายใน 30 วัน

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลระดมทุกสรรพกำลังในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวอย่างเต็มที่ โดยภารกิจค้นหา ให้ความช่วยเหลือยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการเยียวยาและสนับสนุนการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยอย่างเร่งด่วน โดยทาง กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้กำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือ พร้อมเปิดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอรับเงินช่วยเหลือครอบคลุมในหลายด้าน อาทิ ค่าซ่อมแซมที่พักอาศัย เงินปลอบขวัญ และเงินทุนสำหรับการประกอบอาชีพ เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัยโดยเร็ว

การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว เป็นไปตามการประเมินของคณะกรรมการระดับเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นหน่วยดำเนินการสำรวจและประเมินความเสียหาย ดังนี้

1)ค่าวัสดุซ่อมแซมที่อยู่อาศัยประจำ จ่ายตามจริงหลังละไม่เกิน 49,500 บาท

2)ค่าที่พักอาศัยชั่วคราว หรือ ค่าเช่าบ้าน จ่ายเฉพาะอาคารที่ กทม.ประกาศระงับการใช้ และไม่ได้เข้าไปอยู่ในศูนย์พักพิงที่ กทม. จัดสรร เป็นเงินค่าเช่าบ้านเดือนละ 3,000 บาท ไม่เกิน 2 เดือน เป็นเงินไม่เกิน 6,000 บาท

3)ค่าจัดงานศพผู้เสียชีวิตรายละ 29,700 บาท และกรณีผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตเป็นหัวหน้าครอบครัว หรือผู้หารายได้หลักของครอบครัว ได้เพิ่มครอบครัวละไม่เกิน 29,700 บาท

4)ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ (ตามใบรับรองแพทย์) กรณีบาดเจ็บสาหัส ช่วยเหลือเบื้องต้นเป็นเงิน 4,000 บาท ส่วนกรณีบาดเจ็บถึงขั้นพิการ ช่วยเหลือเบื้องต้นเป็นเงิน 13,300 บาท

5)เงินปลอบขวัญ (ตามใบรับรองแพทย์) กรณีรับบาดเจ็บจากเหตุสาธารณภัยรายละ 2,300 บาท

6)เงินทุนประกอบอาชีพ ครอบครัวละไม่เกิน 11,400 บาท

ส่วนผู้ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายสามารถดาวน์โหลดแบบคำร้อง ได้ที่เว็บไซต์สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ภายใน 30 วันนับแต่วันเกิดเหตุ หรือเว็บไซต์ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) และยื่นเอกสารคำร้อง พร้อมหลักฐานที่ฝ่ายปกครองของสำนักงานเขต ประกอบด้วย แบบสอบข้อเท็จจริงผู้ประสบภัย สำเนาบัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต (กรณีไม่มีสัญชาติไทย) สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาโฉนดที่ดิน (ต้องระบุชื่อเจ้าบ้าน/เจ้าของบ้าน) หรือ แบบคำรับรอง (แทนโฉนดที่ดิน) สำเนาใบ อช.2 (กรณีคอนโด) สำเนาบันทึกประจำวันจากสถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ หนังสือรับรองผู้ประสบภัยและบัญชีความเสียหาย (แบบ บ.ส.3) บันทึก ป.ค.14 (ใช้กรณีเอกสารไม่ครบถ้วน) เอกสารประกอบการขอรับความช่วยเหลือค่าวัสดุซ่อมแซมที่พักอาศัยฯ และรูปถ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้น

“รัฐบาลขอแสดงความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และเดินหน้าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง โดยไม่ละทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทุกขั้นตอนจะดำเนินไปด้วยความใส่ใจ โปร่งใส และเท่าเทียม เพื่อให้ทุกครอบครัวสามารถฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง รัฐบาลจะอยู่เคียงข้างประชาชนในทุกย่างก้าวของการฟื้นฟูและก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

ธปท.ขอความร่วมมือสถาบันการเงิน และ non-bank ช่วยลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ลดจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต-เพิ่มวงเงินสินเชื่อ-ให้วงเงินฉุกเฉิน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มีนาคม 2568 ธปท. ขอความร่วมมือสถาบันการเงิน และ non-bank ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว ลดจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต-เพิ่มวงเงินสินเชื่อ-ให้วงเงินฉุกเฉิน ไม่เกิน 12 เดือน

29 มีนาคม 2568 นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง

ธปท. จึงขอความร่วมมือสถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยที่มิใช่สถาบันการเงิน ในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวดังกล่าวตามความเหมาะสมโดยเร่งด่วน โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้

1.สินเชื่อบัตรเครดิต สามารถพิจารณาปรับลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบให้ต่ำกว่าอัตราที่ ธปท. กำหนดได้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันที่พื้นที่นั้น ๆ ถูกประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย

2.สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล สามารถพิจารณาเงื่อนไขวงเงินชั่วคราวกรณีฉุกเฉินให้เกินกว่าอัตราที่ ธปท. กำหนดได้ เพื่อให้ลูกหนี้มีแหล่งเงินทุนฉุกเฉินเพียงพอสำหรับการฟื้นฟูความเสียหายอันเนื่องมาจากปัญหาสาธารณภัย โดยให้อนุมัติวงเงินดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันที่พื้นที่นั้น ๆ ถูกประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย

3.สินเชื่อทุกประเภท สามารถพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนและสภาพคล่องแก่ลูกหนี้เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจต่อได้ รวมถึงการปรับเงื่อนไข เช่น ลดหรือยกเว้นดอกเบี้ยค่าธรรมเนียม ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยให้อนุมัติวงเงินดังกล่าวโดยเร็ว ไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันที่พื้นที่นั้น ๆ ถูกประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย

ทั้งนี้ ระหว่างการให้ความช่วยเหลือ ธปท. จะผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ ให้คงการจัดชั้นเดิมเช่นเดียวกับก่อนประสบสาธารณภัยด้วย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและทันท่วงที ธปท. ขอส่งกำลังใจให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้

Advertisement

ภาคเหนืออากาศร้อนจัด-ฝนฟ้าคะนอง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มีนาคม 2568 กรมอุตุฯ เผยภาคเหนือ มีอากาศร้อนจัด โดยมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 30% กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง

กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนโดยทั่วไป และมีอากาศร้อนจัดในภาคเหนือ โดยมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง หรืออยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง ส่วนเกษตรกรควรเสริมความแข็งแรงให้ไม้ผล และเตรียมการป้องกันระวังความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผลผลิตทางการเกษตรและสัตว์เลี้ยง รวมทั้งดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากมีแนวพัดสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้ และลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบน

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ส่วนบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สภาวะอากาศที่มีผลต่อการสะสมฝุ่นละอองในระยะนี้ : การสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน อยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อนถึงปานกลาง

กรุงเทพฯ และปริมณฑล อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส

Advertisement

เหนือ-อีสาน-กลาง อากาศร้อนจัดบางพื้นที่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 มีนาคม 2568 กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบน อากาศร้อนโดยทั่วไป และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้

สภาวะอากาศที่มีผลต่อการสะสมฝุ่นละอองในระยะนี้: การสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน อยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมในบริเวณดังกล่าวมีกำลังอ่อนถึงปานกลาง

พยากรณ์อากาศรายภาค วันที่ 3 มี.ค.68

กทม.-ปริมณฑล : อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคเหนือ : อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 16-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 5-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-40 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคกลาง : อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ กับมีกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดลพบุรี สระบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-40 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคตะวันออก : อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) : เมฆบางส่วน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสุราษฎร์ธานี อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก) : อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา และกระบี่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

Advertisement

สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เตือนความปลอดภัยพลเมือง หลังไทยส่งอุยกูร์กลับจีน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มีนาคม 2568 สถานทูตสหรัฐฯ และญี่ปุ่นประกาศไปยังพลเมือง ให้ระมัดระวังภัยก่อการร้ายในไทย หลังมีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังจีนเมื่อพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยอ้างอิงเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อปีสิบปีที่แล้ว

สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เผยแพร่คำประกาศในวันศุกร์ในหน้าเว็บไซต์ แนะนำให้พลเมืองอเมริกันระมัดระวังการอยู่ในที่ชุมนุมชนที่นักท่องเที่ยวชอบไป ให้ทบทวนแผนการเรื่องความปลอดภัย และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่

สถานทูตญี่ปุ่นส่งอีเมลเตือนพลเมืองในประเด็นเดียวกัน ให้ชาวญี่ปุ่นในไทยติดตามข้อมูลข่าวสารด้านความปลอดภัยจากสื่อท้องถิ่นและเว็บไซต์ Tabi-Reji ของรัฐบาลญี่ปุ่น ให้ระมัดระวังพื้นที่ที่อาจเป็นเป้าหมายการก่อการร้าย เช่น ศูนย์การค้า ศาสนสถาน ระบบขนส่งสาธารณะ

ในอีเมลที่ทางการญี่ปุ่นส่งให้กับพลเมืองระบุว่า “นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับประเทศไทย” ตามการรายงานของรอยเตอร์

คำประกาศจากทั้งสองสถานทูตมีขึ้นหลังรัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนกลับไปยังประเทศจีนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยคนกลุ่มนี้หลบหนีจากจีน ก่อนจะถูกจับกุมตัวและถูกคุมขังในสถานกักกันของไทยเป็นเวลากว่า 10 ปี

การตัดสินใจของรัฐบาลไทยมีขึ้นราว 10 ปี หลังการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำนวน 109 คน ซึ่งตามมาด้วยเหตุวางระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ในเดือนถัดมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย บาดเจ็บ 125 ราย

ในปีเดียวกัน ตำรวจจับกุมชาวอุยกูร์สองคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกันวางระเบิด โดยปัจจุบันทั้งสองยังคงถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่

สถานทูตสหรัฐฯ กล่าวถึงเหตุระเบิดศาลพระพรหมว่าเกิดขึ้นในจุดที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก

กระทรวงการต่างประเทศไทยไม่ได้ตอบรับคำขอความเห็นของรอยเตอร์เกี่ยวกับการแจ้งเตือนดังกล่าว

การส่งชาวอุยกูร์ในสัปดาห์นี้นำมาซึ่งคำประณามและความกังวลจากสหรัฐฯ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ รวมถึงสหราชอาณาจักร แม้ว่าตัวแทนรัฐบาลไทยระบุว่า การส่งตัวกลับเป็นไปโดยสมัครใจ และรัฐบาลปักกิ่งยืนยันที่จะดูแลชาวอุยกูร์เหล่านั้นอย่างดี

ที่ผ่านมามีรายงานและข้อครหาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนและองค์การระหว่างประเทศว่าจีนนำคนอุยกูร์ในซินเจียงเข้าค่ายอบรม ซึ่งมีการซ้อมทรมานและใช้แรงงานบังคับ ซึ่งทางการจีนปฏิเสธมาโดยตลอด

เจสัน ทาวเวอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายเมียนมาจากสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (USIP) ให้ความเห็นกับวีโอเอไทยว่า อิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องจากบทบาทการปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์ตามชายแดนไทย-เมียนมาตั้งแต่เดือนมกราคม ทำให้จีนสามารถเดินหน้าวาระด้านความมั่นคงกับไทยได้เต็มที่

เขากล่าวว่า “การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับในเวลานี้ไม่ใช่ความบังเอิญ มันคือสัญญาณของอิทธิพลด้านความมั่นคงของจีนที่มากขึ้นในไทย มันมีความเป็นไปได้ว่านี่จะมีผลไปสู่แรงกดดันที่มากขึ้นต่อกองกำลังฝ่ายประชาธิปไตยในเมียนมาในช่วงหลายเดือนนับจากนี้”

ทาวเวอร์ระบุว่าจีนน่าจะใช้อิทธิพลที่มากขึ้นเพื่อช่วยรัฐบาลทหารเมียนมาปราบปรามกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ดังกล่าว เช่นเดียวกันกับที่จีนกำลังกดดันกลุ่มกองกำลังชาติตามชายแดนจีน-เมียนมา

ในการแถลงข่าวค่ำวันพฤหัสบดี นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์เกี่ยวข้องกับการที่หลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะจีนเข้ามาปราบมิจฉาชีพหรือไม่ โดยตอบว่าเป็นคนละเรื่องกัน

ที่มา VOA ไทย  ข้อมูลเพิ่มเติมจากรอยเตอร์, เบนาร์นิวส์

Advertisement

Verified by ExactMetrics