วันที่ 17 มิถุนายน 2025

นายกฯแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มั่นใจเป็นรัฐบาลแห่ง “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มั่นใจเป็นรัฐบาลแห่ง “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม” เดินหน้าพลิกฟื้นประเทศ ผลักดันประโยชน์วันนี้ เพื่ออนาคตของประชาชนทุกคน

วันนี้ (12 กันยายน 2567)  เวลา 10.15 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยืนยันเจตนารมณ์และนโยบายรัฐบาลสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสในการพัฒนา และสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประชาชนทุกคน

ช่วงแรกของการแถลงนโยบายรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ระบุถึงความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญทั้ง 9 ประการ  ได้แก่ ปัญหาหนี้สินครัวเรือนและความเหลื่อมล้ำของประชาชน  ความท้าทายจากสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ความมั่นคงของสังคมถูกท้าทายจากการแพร่ระบาดยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์   การประสบปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ SMEs  ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและการแข่งขันทางการค้าจากต่างประเทศ  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองยาวนานอันเป็นผลจากการรัฐประหาร ระบบราชการไม่สามารถตอบสนองประชาชนได้อย่างเต็มที่ และการเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)

จากนั้น นายกรัฐมนตรีแถลงกล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำทันที เพื่อนำความหวังของคนไทยกลับมาให้เร็วที่สุด ได้แก่ 1. ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ 2. สนับสนุนผู้ประกอบการไทย SMEs 3. ลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค  4. การนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี 5. กระตุ้นเศรษฐกิจโครงการดิจิทัลวอลเล็ต  6. เพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตรและราคาพืชผลเกษตร ยกระดับรายได้เกษตรกร 7. ส่งเสริมการท่องเที่ยว 8. แก้ปัญหายาเสพติด 9. เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม  10. ส่งเสริมศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคม

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายระยะกลางและระยะยาว เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน วางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต ประกอบด้วย 1. การสร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม 1.1 ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนตืสันดาปไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต (HEVs PHEVs BEVs และ FCEVs) 1.2 ส่งเสริม ยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Culture) เพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศ 2. ส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต  2.1 ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy or Eco-friendly Economy) 2.2 ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) 2.3 มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and Wellness Economy) และบริการทางการแพทย์ (Medical Hub) 2.4 มุ่งสู่เป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินของโลก (Financial Hub) 3. พัฒนาโครงสร้างเพื่อขยายโอกาส 3.1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัยและนวัตกรรม 3.2 เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ (Mega Projects) 3.3 เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพ 3.4 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 3.5 เปลี่ยนโครงสร้างทางภาษีครั้งใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ 3.6 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ นอกจากนี้รัฐบาลจะเร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัย ประกอบด้วย 1. ส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม 2. ยกระดับทักษะและปลดล็อกศักยภาพของคนไทยเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ 3. ยกระดับระบบสาธารณสุขให้ดียิ่งกว่าเดิม ต่อยอดจากรัฐบาลที่แล้วจากพื้นฐานความสำเร็จหลายสิบปีของนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” มาเป็น “30 บาทรักษาทุกที่” 4. ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ส่วนของการสร้างความยั่งยืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะดำเนินการควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย 1. ให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ 2. ยกระดับการบริหารจัดการน้ำ  3. สานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)  ขณะที่การพัฒนาการเมือง รัฐบาลจะต้องพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของทั้งคนไทยและต่างชาติ ในระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็งมีเสถียรภาพมีนิติธรรมและความโปร่งใส ประกอบด้วย 1. เร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น 2. ยึดมั่นในหลักนิติธรรม (Rule of Law) และความโปร่งใส (Transparency)  3. ปฏิรูประบบราชการและกองทัพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 4. ยกระดับการบริการภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น ท้ายนี้ รัฐบาลจะแปลงความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอํานาจ ไปสู่ยุทธศาสตร์ที่จะเสริมสร้างโอกาสให้ประเทศไทยและเกื้อกูลผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมากที่สุด ประกอบด้วย 1. รักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความยัดแย้งระหว่างประเทศไทย (Non-Conflict) 2. เดินหน้าสานต่อนโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุก และการสร้าง Soft Power

ในตอนท้ายของการแถลงนโยบายฯ นายกรัฐมนตรีย้ำเจตนารมณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และดำเนินงานตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งเสริมสถาบันศาสนาให้เป็นกลไก ในการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิต ตลอดจนดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้ กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สิน รวมถึงการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วย

Advertisement

นายกฯแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติด-อาชญากรรมออนไลน์แบบไร้รอยต่อ เสริมสร้างสันติภาพ-สันติสุขชายแดนใต้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมออนไลน์แบบไร้รอยต่อ เสริมสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นสร้างความปลอดภัยของ ปชช. และความมั่นคงของชาติ

วันนี้ (12 กันยายน 2567) เวลา 09.39 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระบุรัฐบาลจะเร่งเดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมออนไลน์แบบไร้รอยต่อ เสริมสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี แถลงถึงปัญหาที่กระทบต่อสังคมและสร้างความสูญเสียอย่างมหาศาล คือ ปัญหายาเสพติดและ ปัญหาอาชญากรรมและอาชญากรรมออนไลน์ว่า “..รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู้กระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมทั้งมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม..”

รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อป้องกันผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านและสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์

ในการแถลงต่อรัฐสภา นายกรัฐมนตรียังระบุถึงการสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า รัฐบาลมุ่งเน้นจะเร่งรัดจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยการยึดโยงกับประชาชนและหลักการของประชาธิปไตย สอดคล้องกับสิทธิมนุษยชนสากล เคารพพหุวัฒนธรรม เพื่อเป็นบันไดสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญ รวมถึงการสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนด้วย

ทั้งนี้ ในคำแถลงนโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุถึงความมั่นคงความปลอดภัยของสังคมถูกคุมคามจากการแพร่ระบาดของยาเสพติด ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 พบว่ามีคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 และมีจำนวนผู้ติดยาเสพติดที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นถึง 1.9 ล้านคน นอกจากนี้อาชญากรรมออนไลน์และการพนันออนไลน์ยังเพิ่มขึ้นอย่างเนื่อง โดยมีสถิติการรับแจ้งความกว่า 5 แสนเรื่อง มีมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากกว่า 6 หมื่นล้านบาทด้วย

Advertisement

“จุลพันธ์” ชง ครม. 17 ก.ย. โอนเงินสวัสดิการ 1 หมื่นบาท 14.5 ล้านคน เป็นกลุ่มแรก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กันยายน 2567 “จุลพันธ์” รมช.คลัง เผยชง ครม. 17 ก.ย.นี้ พิจารณาโอนเงินสวัสดิการ 1 หมื่นบาท 14.5 ล้านคน เป็นกลุ่มแรก

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ (12 ก.ย.) กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอ ครม.พิจารณาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟสแรก ในการโอนเงินสวัสดิการคนละ 10,000 บาท จำนวน 14.5 ล้านคน ในเดือนกันยายนนี้ เป็นกลุ่มแรก

จากนั้น เฟส 2 กำหนดให้เดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยนำรายชื่อกลุ่มผู้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ ขณะนี้มีจำนวน 32 ล้านคน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 กันยายน 67 มาผลักดันโครงการ พร้อมกับกลุ่มที่ 3 ผู้ไม่มีมือถือ จะเริ่มนัดให้ลงทะเบียนผ่านแบงค์รัฐ หรือหน่วยงานต่างๆ บริการลงทะเบียนให้กับประชาชน ระหว่าง 16 ก.ย.-15 ต.ค.67

ทั้งนี้ ยอมรับว่าประชาชนกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 3 จะมีบางรายชื่อซ้ำซ้อนกัน ทำให้กลุ่ม 3 จำนวนลดลง รัฐบาลยังมุ่งใช้ประโยชน์จากแอปทางรัฐ เพื่อให้บริการประชาชนในหลายด้าน เพื่อดูแลสวัสดิการให้ครบวงจร

Advertisement

“อนุทิน” แนะ พรรคร่วมแต่ละพรรคสนับสนุนนโยบายซึ่งกันและกันให้เกิดประโยชน์แก่ ปชช. มั่นใจรัฐบาลอยู่ครบวาระ หากเข้าใจและสนับสนุนซึ่งกันและกัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 กันยายน 2567 กระทรวงมหาดไทย – “อนุทิน” นำ รมต.ใหม่เข้ากระทรวงมหาดไทย วันแรก เผยเตรียมแบ่งงาน มท. หลังแถลงนโยบายเสร็จสิ้น มั่นใจไม่มีปัญหา แม้ รมต.ช่วย 2 คนเป็นผู้หญิง ชี้ถือเป็นจุดแข็ง ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ยันหนุนนโยบายพรรคร่วมรัฐบาลเต็มที่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย 3 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงมหาดไทย เมื่อเวลา 7.45 น. และพบปะข้าราชการกระทรวงในวันทำงานวันแรก

ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นายอนุทิน กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่า ในอีก 2 วัน (11 ก.ย.) จะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา กระทรวงมหาดไทยจะแบ่งหน้าที่ให้กับรัฐมนตรีแต่ล่ะคนในการปฏิบัติหน้าที่ มอบหมายรัฐมนตรีกลั่นกรองงานและประสานงานร่วมกัน โดยจะมอบหมายให้นายทรงศักดิ์ ดูงานในพื้นที่ภาคอีสานตอนเหนือ ส่วน นางสาวธีรรัตน์ จะได้ดูพื้นที่กรุงเทพฯ และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกรุงเทพฯ เพราะเป็น สส.กรุงเทพฯ อยู่แล้ว ส่วน นางสาวซาบีดา จะให้สานงานต่อจากนายชาดา ไทยเศรษฐ์ หรือไม่นั้น ต้องรอฟังจากนายกรัฐมนตรีก่อน

เมื่อถามว่าความเป็นผู้หญิงจะกระทบต่อนโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพลหรือไม่ นาย อนุทิน กล่าวว่า รัฐมนตรีเป็นผู้มีอิทธิพลมากกว่าและ ถือเป็นจุดแข็งของกระทรวงมหาดไทยด้วยซ้ำ รัฐมนตรีในยุคนี้เป็นผู้ที่ผ่านสงครามด้านการเมืองมาแล้วทั้งนั้น มีความเข้าใจ ทุ่มเท ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนและชาติบ้านเมือง และทุกคนมีการศึกษา และประสบการณ์เพียบพร้อม เชื่อว่าจะเป็นการทำงานที่คล่องตัวและมีพลัง ดีใจที่มีรัฐมนตรีช่วย 2 ท่านเป็นสุภาพสตรี เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดไม่บ่อยนักในกระทรวงมหาดไทย เชื่อว่าข้าราชการทุกคนพร้อมให้ความร่วมมือในการทำงาน

เมื่อถามว่า นโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทยจะเดินหน้าต่อหรือไม่ นายอนุทิน กล่าาว่า ได้ขอให้นายกฯ พิจารณาแล้ว โดยขอให้พิจารณาตรากฎหมายร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง โดยได้หารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งการใช้กัญชาต้องอยู่ในการควบคุมและมุ่งเน้นใช้งานทางการแพทย์

ในส่วนนโยบาย Entertainment Complex นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องมีการแก้ไข ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเห็นด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ชักจูงนักท่องเที่ยวเข้ามา และสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยอย่างมหาศาล โดยพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยได้ประโยชน์สูงสุดจากนโยบายนี้ ซึ่งตอนนี้ยังติดปัญหาเรื่องโซนนิ่ง พร้อมยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้คัดค้าน พร้อมให้จัดโซนอยู่ในพื้นที่ขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ เกิดรายได้แก่คนในพื้นที่โดยรวม

นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคสนับสนุนนโยบายซึ่งกันและกันให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ทุกอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่ผิดศีลธรรม เกิดประโยชน์ชัดเจนต่อส่วนรวม พร้อมมั่นใจว่ารัฐบาลจะอยู่จนครบวาระหากเข้าใจ และสนับสนุนซึ่งกันและกัน

Advertisement

“ธนกร” มอง 10 นโยบายรัฐบาล ทำจริงจังต่อเนื่อง เห็นผลงานแน่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กันยายน 2567 พรรครวมไทยสร้างชาติ – “ธนกร” มอง 10 นโยบายรัฐบาล เน้นแก้ปัญหาใหญ่ ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ เร่งปราบยาเสพติดเด็ดขาด-สกัดอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติครบวงจร มุ่งสร้างรายได้ใหม่ ลดค่าครองชีพ พุ่งเป้าช่วยกลุ่มเปราะบาง แนะ วาง KPI ให้ชัด ทำจริงจังต่อเนื่อง เชื่อเห็นผลงานแน่

นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากที่ได้เห็นคำแถลงนโยบายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ที่เตรียมจะแถลงต่อสภาฯ ในวันที่ 12-13ก.ย.นี้ โดยทั้ง 10 นโยบายที่จะดำเนินการในวาระรัฐบาลชุดนี้ถือว่าเป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยเรื่องแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือการเร่งปรับโครงสร้างหนี้สินทั้งระบบ ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน จำเป็นต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะปัญหาหนี้นอกระบบ หนี้ภาคครัวเรือน ที่ประเทศไทยยังคงมีหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูง กว่า 90 % การแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบ จึงต้องแก้ที่โครงสร้าง ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนได้ ดำเนินการเป็นรูปธรรมมาแล้ว ควบคู่กับการสร้างรายได้ใหม่ การเก็บภาษี ดูแลสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กที่เป็นเอสเอ็มอีขึ้นมา การออกสินเชื่อไปพร้อมกับการแก้หนี้ รวมถึงพัฒนาภาคการเกษตร ยกระดับเกษตรกรไทย และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพพื้นฐานให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตนคิดว่า หากรัฐบาลทำพร้อมกันไปทั้งองคาพยพ และทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง มั่นใจว่าเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศจะเห็นการขยับตัวขึ้นแน่นอน

นอกจากนี้ นโยบายรัฐบาลที่ระบุไว้ยังให้ความสำคัญ เรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดที่เป็นวาระแห่งชาติ จำเป็นต้องแก้อย่างเด็ดขาด เร่งด่วนและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย โดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการการสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด และยังมีปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ มิจฉาชีพทางออนไลน์ พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งตั้งฐานอยู่ตามแนวชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกมิจฉาชีพหลอกอย่างทันท่วงที

“การแก้ปัญหาต้องทำควบคู่กับการพัฒนาไปพร้อมกันทั้งองคาพยพ สิ่งที่เป็นพื้นฐานคือการดูแลคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย ต้องทำไปพร้อมกับการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการขนาดเล็กขึ้นไปถึงขนาดใหญ่ การสร้างรายได้ใหม่ สร้างเศรษฐกิจใหม่ ไปพร้อมกับการแก้ปัญหาหนี้สินและปัญหาสังคม ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่หากรัฐบาลมีตัวชี้วัด หรือ KPI มาประเมินผลการทำงานให้ชัดเจน ดำเนินการจริงจังและทำต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน“ นายธนกรกล่าว

Advertisement

เปิดคำแถลง 10 นโยบายเร่งด่วน “รัฐบาลแพทองธาร”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กันยายน 2567 เปิดคำแถลง “นโยบายรัฐบาลแพทองธาร” กับ 10 นโยบายเร่งด่วน เดินหน้าผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ให้ความสำคัญกลุ่มเปราะบางลำดับแรก-การพักหนี้ SME เร่งออกมาตรการลดราคาพลังงาน เจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ดันเศรษฐกิจใต้ดินไว้บนดิน ส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพลกซ์” กำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสาร รองรับนโยบายค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567 มีทั้งหมด 75 หน้า ประกอบด้วย ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นโยบายเร่งด่วน นโยบายระยะกลางและระยะยาว ภาคผนวก

โดยคำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร เริ่มแรกได้ยกความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่หลายประการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้สินเรื้อรัง ปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรง ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคมและการเมือง

“ทั้งหมดนี้คือความท้าทายที่รัฐบาลพร้อมจะประสานพลังกับทุกภาคส่วนเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นความหวังโอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม รัฐบาลพร้อมเสริมสร้างศักยภาพสร้างโอกาสให้ประชาชน ทั้งบทบาทและสิทธิเพื่อพลิกฟื้นประเทศจากปัญหาที่รุมเร้า และทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง”

โดยคำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 10 นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที มีสาระสำคัญดังนี้

นโยบายแรก รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ภายใต้ปรัชญาที่จะไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ของผู้มีภาระหนี้สิน ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยจะดำเนินนโยบายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์

นโยบายที่สอง รัฐบาลจะดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs เช่น การพักหนี้ การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อประคับประคองให้กลับมาเป็นกลไกที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นโยบายที่สาม รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงานควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำ ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve : SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับช้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน พร้อมทั้งผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (Mass Transit) และการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับนโยบาย “ค่าโดยสารราคาเดียว” ตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง

นโยบายที่สี่ รัฐบาลจะสร้างรายใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อนำไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมทั้งจะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นโยบายที่ห้า รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐที่มุ่งการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน และการประกอบอาชีพ

นโยบายที่หก รัฐบาลจะยกระดับการทำเกษตรระบบดั่งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” นำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agi-Tech) เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และเทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech) มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงการคว้าโอกาสในตลาดใหม่ๆ รวมทั้งอาหารฮาลาล และพื้นนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของโลก ด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร รวมทั้งเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกร

นโยบายที่เจ็ด รัฐบาลจะเร่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสานต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nornad) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.892 ล้านล้านบาท ในปี 2566 โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลก มาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว

นโยบายที่แปด รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมทั้งมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม

นโยบายที่เก้า รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์

นโยบายที่สิบ รัฐบาลจะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สำคัญ ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ เพื่อให้ตามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐได้โดยสะดวกตามที่กฎหมายบัญญัติ

Advertisement

งบฯ 68 ผ่านฉลุย สภาฯ เทคะแนนเสียง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 กันยายน 2567 งบฯ 68 ฉลุย สภาฯ เทคะแนนเสียง ส่งต่อวุฒิสภาพิจารณา 9-10 ก.ย. ด้านรัฐบาลขอบคุณสมาชิกเห็นชอบร่างงบประมาณฯ ปี 68 ย้ำจะใช้อย่างคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ใช้เวลา 3 วัน รวม 38 ชั่วโมง พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3,752,700 ล้านบาท ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว ครบทั้ง 40 มาตรา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 68 ด้วยคะแนน 309 ไม่เห็นชอบ 155 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ถือว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯ 68 ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นจะส่งไปยังวุฒิสภา พิจารณาต่อไป ซึ่งจะมีการพิจารณาในวันที่ 9-10 ก.ย.

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนรัฐบาล ขอขอบคุณท่านประธานและสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่าน ที่ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ของชาติ และแผนพัฒนาต่างๆ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง ประชาชนมีความสุข สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกมิติ

นายสุริยะ กล่าวว่า สำหรับข้อคิดเห็น คำแนะนำ ข้อเสนอ รวมทั้ง 3 วัน ความห่วงใยที่ท่านสมาชิกได้เสนอแนะไว้ตลอดระยะเวลาการประชุม รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณ และจะนำไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จากงบประมาณซึ่งมาจากภาษีอากรของพี่น้องประชาชน และจะใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนั้น ขอขอบคุณท่านกรรมาธิการวิสามัญทุกท่านที่ได้ให้ความสำคัญเสียสละเวลาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฉบับนี้อย่างเต็มที่ จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยข้อสังเกตของคณะกรรมการวิสามัญ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ รัฐบาลจะนำไปประกอบการปรับปรุงการดำเนินงาน เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามหลักการวิเคราะห์ความคุ้มค่า รวมถึงเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ขอให้ความมั่นใจว่า งบประมาณที่อนุมัติ จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ตามแผนงานที่กำหนด โดยรัฐบาลจะกำกับดูแลติดตามการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความโปร่งใส และบรรลุผลสำเร็จตามนโยบายที่กำหนดไว้ เพื่อที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน ควบคู่ไปกับการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศก้าวหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดตามความมุ่งหวังของรัฐบาลและสมาชิกทุกท่านต่อไป

จากนั้น นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม สั่งปิดประชุมในเวลา 21.57 น.

Advertisement

“ศิริกัญญา” ชี้ ครม.ใหม่ ไม่ได้เลือกจากความสามารถเฉพาะตัว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กันยายน 2567 รัฐสภา – “ศิริกัญญา” มองโฉมหน้า ครม.ใหม่ ไม่ได้เลือกจากความสามารถเฉพาะตัว มีเพียง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” เหมาะนั่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ ดูกฎหมาย แต่พร้อมให้โอกาสทำงาน รอดูตรงตามเป้าหรือไม่ ย้ำติดตามการใช้งบฯ ในทุกนโยบาย ป้องกันทุจริต

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงแนวทางการโหวตของพรรคประชาชน ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในวาระ 2 และ 3 ว่า สำหรับพรรคประชาชนยังคงยืนยันในจุดยืนเดิมที่ได้ลงมติไปในวาระที่ 1 ว่าจะไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 68 ในวาระ 2 และ 3 แม้ในขณะนั้นที่ยังเป็นพรรคก้าวไกลได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในชั้นกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมธิการอย่างเข้มข้น แต่ยังคงไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยน ปรับลดงบประมาณได้อย่างที่สมควรจะเป็น และยังรู้สึกว่าเป็นงบประมาณที่ไม่น่าพึงพอใจ จึงยืนยันจุดยืนเดิม ที่โหวตไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้

ส่วนหลังจากนี้ที่มีการบังคับใช้งบประมาณไปแล้วในฐานะพรรคฝ่ายค้านจะตรวจสอบอย่างไรบ้าง เพราะมีการอภิปรายการใช้งบประมาณที่ส่อไปในทางทุจริต นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของสส.ที่จะต้องติดตามการใช้งบประมาณ ซึ่งไม่ได้จบเพียงแค่เฉพาะตอนทำร่างพ.ร.บ. งบประมาณฯ ยังต้องติดตามต่อ ซึ่งได้มีการอภิปรายไปในหลายๆ โครงการ ที่มีความสุ่มเสี่ยงในการทุจริตหรือเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง ตั้งแต่งบประมาณ ปี 67 และตั้งงบประมาณแบบเดิมไม่มีการแก้ไขทีโออาร์ อาจจะส่งผลให้เกิดเหตุซ้ำรอย เพราะฉะนั้นจะต้องติดตามการใช้งบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า จะไม่นำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ในโครงการระดับกระทรวงต่างๆ

ส่วนในฐานะฝ่ายค้านมองโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการแต่งตั้งตัวบุคคลเป็นอย่างไรบ้าง นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เรายังคงเห็นการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ไม่ได้ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว มาเป็นจุดในการคัดเลือกตัวคณะรัฐมนตรี ซึ่งทั้งคณะรัฐมนตรีเห็นเพียงนายชูศักดิ์ ศิรินิล มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของกฎหมายพอที่จะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องกฎหมาย แต่ของท่านอื่นยังเป็นนักการเมืองที่ยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือ ที่จะสามารถบริหารงานที่มีความเฉพาะเจาะจงของแต่ละกระทรวงอย่างไร แต่ทั้งนี้ ก็ต้องให้โอกาส กับรัฐมนตรีเหล่านั้น ได้เริ่มทำงานก่อน เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบการทำงานว่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้หรือไม่

ส่วนภายหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา พรรคประชาชนจะจับตารัฐบาลเรื่องใดเป็นพิเศษนอกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า จริงๆ แล้ว เรากำลังเตรียมงานกันอยู่ เพราะมีการเลื่อนแถลงนโยบายให้เร็วขึ้นในสัปดาห์หน้าแล้ว ซึ่งไม่ใช่เพียงนโยบายเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเล็ตเพียงอย่างเดียวที่เราจะจับตา แต่ต้องดูโครงการเรือธงทั้งหมด ทั้งที่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงที่ผ่านมาของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเราก็พยายามเก็งข้อสอบว่านโยบาย และวิสัยทัศน์เหล่านั้น จะแปลงมาเป็นนโยบายของรัฐบาลแพทองธารได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นตัวแถลงนโยบาย แต่ได้เก็งข้อสอบไปล่วงหน้าก่อน

Advertisement

สว. เห็นชอบ “ประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ” นั่ง ปธ.ศาลปกครองสูงสุด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 กันยายน 2567 รัฐสภา วานนี้ (3 ก.ย.) – วุฒิสภามีมติเห็นชอบให้ “ประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ” รองประธานศาลปกครองสูงสุด ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด

ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 9 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ได้มีมติเห็นชอบให้นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ รองประธานศาลปกครองสูงสุด ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งขั้นตอนต่อไปนายกรัฐมนตรีจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป ทั้งนี้ตามมาตรา 15/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2560

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) ครั้งที่ 323-5/2567 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ได้มีมติโดยเสียงข้างมากคัดเลือก นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ รองประธานศาลปกครองสูงสุด ให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป เนื่องจาก นายวรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ประธานศาลปกครองสูงสุดคนปัจจุบัน ซึ่งมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ และจะต้องพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 31 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. 2542

นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (บริหารรัฐกิจ) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิต จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และได้รับประกาศนียบัตรการอบรมหลักสูตรหลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย (นธป.) รุ่นที่ 2 จากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

Advertisement

นายกฯ เผยวันนี้ลงนามโผ ครม. บอกดิจิทัลวอลเล็ตเฟสแรกเงินสด เฟส 2 ขอพิจารณาให้ชัด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 3 กันยายน 2567 “แพทองธาร” นายกฯ เผยเคาะ ครม. แพทองธาร 1 เรียบร้อย ไม่มีเซอร์ไพรส์ เตรียมลงนามวันนี้ก่อนส่งรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตามขั้นตอน ลั่น “นายกรัฐมนตรีคนนี้มีทีมที่ดีมากๆ” ยันรัฐบาลไม่มีเวลาฮันนีมูน บอกดิจิทัลวอลเล็ตเฟสแรกเงินสด ส่วนเฟส 2 ขอพิจารณาให้ชัด

เมื่อเวลา 09.35 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ามายังอาคารชินวัตร 3 โดยประชาชนบางส่วนเข้ามารอขอถ่ายรูปด้วย

จากนั้นสื่อมวลชนได้สอบถาม น.ส.แพทองธาร ว่า เมื่อวานนี้ (2 ก.ย.) ได้กำชับในที่ประชุม สส.ของพรรคให้เร่งทำงาน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงนโยบายได้ชัดเจน ซึ่งสิ่งที่สั่งให้เร่งผลงานนั้น มีอะไรที่ต้องเร่งทำให้เห็นผลในรัฐบาลนี้หรือไม่ ว่า ปกติการประชุม สส.จะพูดคุยเรื่องสภา และการประชุมต่างๆ ซึ่งในนโยบายก็มีแต่ที่เน้นกับ สส. จะเป็นเรื่องของพื้นที่มากกว่า เพราะนโยบายกรอบใหญ่คลุมไว้หมดแล้ว แต่จะมีปัญหาเล็กๆของชาวบ้าน ที่คิดว่าเอามาแก้ได้ และมาเร่งในกระบวนการ ก็อยากให้ทำและใส่ใจในรายละเอียด ซึ่ง สส.ก็ทำอยู่แล้ว แต่ก็ย้ำเตือนว่า ทำให้เต็มที่จะได้แก้ปัญหากันไป โดยตอนนี้ได้พูดคุยกันในทีมและวางไทม์ไลน์ ว่า เมื่อแถลงนโยบายเสร็จแล้ว เข้าไปจะทำอะไรก่อนหลังบ้าง ให้เอามาขึงกันเลยว่าอันไหนต้องเข้าก่อน อาจมีหลายเรื่องให้ทำก็กลัวลืมและกลัวว่าไม่ได้ติดตามงานไหนบ้าง

ส่วนรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีเวลาฮันนีมูนและต้องทำงานทันทีใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ไม่ได้แล้วค่ะ ไม่ได้แล้วเพราะเข้ามา ต่อจากคุณเศรษฐา งานก็ดำเนินอยู่แล้ว ก็ต้องทำต่อ”

เมื่อถามถึงนโยบายกัญชาของพรรคร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เดี๋ยวรอแถลงนโยบายเลยทีเดียว รอไฟนอลออกมา เราก็ต้องคุยกับพรรคร่วมอยู่แล้ว

ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่ประชาชนคาดหวัง ยังเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบทันทีว่า แน่นอน ตนก็คาดหวังเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า นโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา เรื่องนี้ยังเป็นนโยบายหลักอยู่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใน คอนเซ็ปต์ ยังมีอยู่แน่นอน แต่จะมีการปรับรูปแบบตอนแรกจะเป็นดิจิทัลวอลเล็ต เรามีการวางแผนว่าจะมีการจ่ายเป็นเงินสดด้วย ก็ต้องรอดูว่า อะไรที่ต้องแก้ในรายละเอียด และแน่นอนว่าต้องแก้

เมื่อถามว่า ที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ออกมาระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสแรกจะเป็นเงินสด ส่วนเฟสที่สอง จะปรับรูปแบบเหมือนกับเฟสแรกที่จะเป็นเงินสด และอาจจะมีการแบ่งจ่ายตามงบประมาณ ใช่หรือไม่

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ใช่ แบบนั้นเลย แต่ขอให้รายละเอียดชัดเจนก่อน เพราะกลัวพูดไปแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียด เดี๋ยวจะโดนหาว่าพูดไม่ตรง เราต้องทำการบ้านกันก่อน“

ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงการเคาะตำแหน่งคณะรัฐมนตรี ว่า เรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังไม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แต่คาดการณ์ว่าในวันนี้ (3 ก.ย.) จะเริ่มให้ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ส่งรายชื่อเข้าไปเป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ พร้อมกับยอมรับว่า วันนี้จะสามารถลงนามรายชื่อคณะรัฐมนตรีทั้งหมดเพื่อเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งตนวางแผนไว้เป็นเช่นนั้น ส่วนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ได้เมื่อไหร่จะต้องมีการประสานกันอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถามว่ายึดหลักการอะไรในการฟอร์ม ครม.ครั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ระบุว่า คิดว่าอยากเห็นอะไรมากกว่า จากคนที่เลือกมาจะได้ทำต่อ ซึ่งจากคนที่ถูกเลือกมาใหม่และคนที่อยู่คงเดิมเห็นถึงศักยภาพอยู่แล้วว่าใครพร้อมจะทำงาน ซึ่งจากที่อยู่ในพรรคมากกว่า 3 ปี จะเห็นว่าใครประมาณไหนอย่างไร พร้อมกับระบุว่า “จริงๆ แล้วอยากชนะอย่างที่คุณพ่อชนะเนาะ 377 เราจะได้ให้ทุกคนมีทุกตำแหน่ง แต่มันก็ได้แค่ปริมาณหนึ่ง ก็ให้ช่วยกันค่ะของพรรคอื่นก็มีด้วยก็ได้ให้ทุกคนได้แสดงความสามารถด้วย”

ส่วนอยากบอกอะไรให้ประชาชนนั้นมั่นใจในตัวนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ระบุว่านายกรัฐมนตรีคนนี้มีทีมที่ดีมากๆ

ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ปฏิเสธการตอบคำถามถึงคุณสมบัติของ 11 รัฐมนตรีที่ก่อนหน้านี้ ที่ยังมีคำร้องอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และศาล รวมไปถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เตรียมร้อง น.ส.แพทองธาร กรณีการโอนหุ้นและการครอบครองของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอารักขาของ น.ส.แพทองธาร ใช้รูปแบบเต็มระบบผู้นำประเทศ โดยมีรถนำขบวนจำนวน 1 คัน และมีรถทีมรักษาความปลอดภัยตามขบวนอีก 2 คัน

Advertisement

Verified by ExactMetrics