วันที่ 6 พฤษภาคม 2024

“บิ๊กตู่”ปัดตอบเคลียร์ใจ”อนุทิน”ปมลือรอยร้าวใน”ครม.”

People Unity News : “บิ๊กตู่”ปัดตอบเคลียร์ใจ”อนุทิน”ปมลือรอยร้าวใน”ครม.” หลังลงนามความร่วมมือแลกเปลี่ยนทางทหารกับ รมว.กห.ญี่ปุ่น สหรัฐและจีน

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 3 ประเทศ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและจีน พร้อมลงนามบันทึกความเข้าใจ 3 ฉบับ ที่ กระทรวงกลาโหม ไม่ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนในประเด็นการเมืองถึงการเคลียร์ใจกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังมีกระแสข่าวรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีได้โบกมือลา ให้กับสื่อมวลชน และมอบหมายให้ พล.ท.คงชีพ ตันตระวานิช โฆษกกระทรวงกลาโหม ในการแถลงข่าวการลงนาม MOU ต่อสื่อมวลชนก่อนจะเดินทางกลับโดยทันที

พล.ท.คงชีพ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2562 เวลา 09.00น. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมคำนับของ นายโคโนะ ทะโร ( KONO Toro ) รมว.กห.ญี่ปุ่น ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อเข้าร่วมประชุม ADMM – Plus ทั้งสองฝ่ายได้ชื่นชมความสัมพันธ์ทางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ที่แน่นแฟ้นยาวนาน และยินดีที่ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างกันมีความคืบหน้าไปมาก พร้อมทั้งได้หารือร่วมกันถึงการเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางทหารและความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกันให้มากขึ้น ผ่านกลไกทวิภาคีด้านการเมืองและความมั่นคงของสองประเทศ

นายโคโนะ ทะโร ได้กล่าวแสดงความชื่นชมถึงบทบาทนำของไทยในอาเซียน โดยญี่ปุ่นยังคงมุ่งมั่นกระชับความสัมพันธ์กับไทยและอาเซียน โดยเฉพาะความมั่นคงบนพื้นฐานความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างกัน พร้อมทั้งเคารพมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ต้องการให้ปลอดขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณ ญี่ปุ่นที่ให้การสนับสนุนความร่วมมือด้านการศึกษามากขึ้น และย้ำว่า ความมั่นคงของประเทศและภูมิภาค เป็นพื้นฐานของความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม โดยไทยพร้อมเป็นแกนกลางอาเซียนเข้าร่วมแก้ปัญหาต่างๆของภูมิภาค และพร้อมให้การสนับสนุนญี่ปุ่น เข้ามามีบทบาทความมั่นคงที่สร้างสรรค์และยั่งยืนในภูมิภาคมากขึ้น พร้อมเชิญชวนญี่ปุ่นแสวงหาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และร่วมลงทุนเพื่อความร่วมมือในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปด้วยกัน

ต่อจากนั้น ได้ร่วมลงนาม ในบันทึกข้อตกลงระหว่าง กห.กับ กห.ญี่ปุ่น ว่าด้วยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางทหาร ซึ่งจะเป็นกรอบของการส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหารร่วมกันด้านต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยน ทั้งการเยือน ข่าวสารทางทหาร มุมมอง ความรู้และความสนใจร่วมกันในหลายระดับ ความร่วมมือด้านการฝึกร่วม ด้านการศึกษาและวิจัย ด้านการส่งกำลังบำรุง ด้านสิ่งอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางทหาร รวมถึงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นต้น

ทั้งนี้ การลงนามร่วมกันระหว่าง กห.ไทย-ญี่ปุ่น จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีด้านการทหารของทั้งสองประเทศ ในการเสริมสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจ รวมถึงการร่วมกันเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและภูมิภาคอื่น

“ชวน”โชว์ฟิต! เป่าแซกโซโฟนกล่อมเพื่อนร่วมรุ่น นิติ มธ.01ถึง 5 เพลงรวด

People Unity News : “ชวน”ประธานสภาผู้แทนราษฎร ร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อนร่วมรุ่นนิติ มธ. 01 โชว์ฟิตวัย 83 ปี เป่าแซกโซโฟนกล่อม 5 เพลงรวด

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ เพื่อนร่วมรุ่นนิติ มธ. 01 ที่โรงแรมดิอิมเมอรัล รัชดา ซึ่งมีนายกมล อุชุปะระนันท์ เป็นประธานรุ่น โดยนายชวนได้ใช้โอกาสนี้เป่าแซกโซโฟน ให้เพื่อนร่วมรุ่นได้ครวญเพลงไปพร้อม ๆ กัน เริ่มจากเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง เพลงประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะเป่าแซกโซโฟน และร่วมร้องเพลงกับเพื่อนร่วมรุ่นต่อเนื่องอีก 5 เพลง โดยในงานนี้ นายชวนได้เตรียมเพลงสำหรับการเป่าแซกโซโฟนไว้ถึง 12 เพลง อาทิ ยูงทอง ขวัญโดม บ้านเรา มอญดูดาว รักคุณเข้าแล้ว และบ้านเรา

ทั้งนี้นายชวนเพิ่งเข้ารับการรักษาอาการป่วย จากการติดเชื้อในกระแสเลือด เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีอาการป่วยระหว่างปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 อันมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ในปัจจุบันร่างกายกลับมาแข็งแรงเป็นปกติแล้ว

สำหรับนักศึกษา นิติธรรมศาสตร์ ปี 2501 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับนายชวนนั้น มี ทั้งนักการเมือง นักกฎหมาย นักสื่อสารมวลชนที่มีชื่อเสียง อาทิ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปี 60 นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายมานิจ สุขสมจิตร สื่อมวลชนอาวุโส โดยในปีนี้นายชวนมีอายุย่างเข้าวัย 83 ปีแล้ว

“เทพไท”อัดกลับ”ธรรมนัส” แฉคน”พปชร.”ต่างหากถือครอง ส.ป.ก.

People Unity News : “เทพไท”อัดกลับ”ธรรมนัส” แฉคน”พปชร.”ต่างหากถือครอง ส.ป.ก. แนะอย่าสองมาตรฐาน

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ facebook live จากสภากาแฟ ศูนย์เรียนรู้ประชาธิปไตย บ้านสำนักขัน อ.จุฬาภรณ์ กรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พาดพิงว่ามีนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ ถือครองที่ดิน ส.ป.ก.ด้วย ว่า จากการตรวจสอบ และสอบถามเพื่อน ส.ส.ของพรรค ยังไม่ปรากฏว่ามี ส.ส.ของพรรคฯคนใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดิน สปก.ตามที่เป็นข่าวแต่ประการใด

ส่วนที่มีกระแสข่าวปรากฎตามสื่อมวลชนว่า นายสมัชชา เอ่งฉ้วน เป็นผู้ได้มอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.ด้วยนั้น แม้ว่านายสมัชชา ผู้รับเอกสารสิทธิ์มีนามสกุลเดียวกับนายอาคม เอ่งฉ้วน อดีตรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เพราะนายสมัชชา เอ่งฉ้วน ได้ลงผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรคพลังประชารัฐ แข่งขันกับนายสุชีน เอ่งฉ้วน ลูกชายของนายอาคม จากพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุที่มีนามสกุลเดียวกัน จึงอาจทำให้เกิดความสับสนกับข้อมูลในเรื่องนี้ได้

จึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง ดำเนินการตามข้อกฏหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ลูบหน้าปะจมูก และต้องใช้มาตรฐานทางกฎหมายเดียวกันกับทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้ เจตนารมย์ของกฎหมาย สปก. ที่ต้องการให้เกษตรกรผู้ยากไร้ ถือครองที่ดินได้ไม่เกิน50ไร่/คน อยากจะเรียนให้รัฐบาลทราบว่า ตอนนี้สังคมกำลังจับตามองการทำงานเรื่องนี้ของรัฐบาล ว่าจะมีการเลือกปฎิบัติ หรือมีการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ อย่านำเอาประเด็นที่ดิน ส.ป.ก.มาทำลายล้างทางการเมืองเหมือนกับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา

“อนุทิน”ลั่นข้าฯมากับพระ! “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

People Unity News : “อนุทิน”ลั่นข้าฯมากับพระ! “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” พร้อมชวน “วิ่ง ทำให้ ตายช้า”

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ข้อความว่า ข้าฯมากับพระ “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

และโพสต์ต่อว่า วิ่ง ทำให้ ตายช้า

งานวิจัยเกี่ยวกับการวิ่ง ที่ตีพิมพ์ใน British Journal of Sports Medicine ว่า นักวิ่งจะมีโอกาสเสียชีวิตช้ากว่าคนที่ไม่วิ่ง อย่างเห็นได้ชัด

การวิจัยทำในมนุษย์ 230,000 คน โดยเริ่มสำรวจตั้งแต่อายุ 5 ขวบครึ่ง – 35 ปี เก็บข้อมูลด้วยการแบ่งกลุ่มคนที่วิ่งกับคนที่ไม่วิ่ง ซึ่งในกลุ่มคนที่วิ่งนั้นเพียงแค่วิ่งเดือนละ 1 ครั้ง ก็สามารถนับรวมในกลุ่มนี้ได้แล้ว

ตลอดการวิจัยมีผู้เสียชีวิต 25,951 คน และพบว่าคนที่วิ่ง(แม้จะแค่เดือนละครั้ง) จะมีเปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตน้อยลง และโอกาสลดอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด 30% ลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งได้ 23 %

แล้วการวิ่งแบบไหนที่จะดีกับร่างกายมากกว่ากัน? นี่คือคำถามที่หลายคนอยากรู้

ผลวิจัย บอกว่า การวิ่งในความเร็วที่ให้ความรู้สึกดีกับตัวเองที่สุด ย่อมเป็นการวิ่งที่ดีที่สุดของคนๆ นั้น

มันไม่เกี่ยวว่าจะต้องเพซให้เร็วถึงจะดีกว่าคนที่วิ่งเพซช้า

แค่ให้ออกมาวิ่ง ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพร่างกาย น้ำหนัก โรคประจำตัว เพราะทุกคนย่อมมีร่างกายไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

ดร.เซจโก้ เปดิซิช นักวิจัยมหาวิทยาลัยวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เผยว่า การวิ่งในทุกรูปแบบต่างๆ ให้ประโยชน์กับผู้วิ่งทั้งนั้น
เพียงแค่วิ่งสัปดาห์ละครั้งหรืออาจจะแค่สัปดาห์ละ 50 นาที จะเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่วิ่งมากกว่านั้นจะต้องลดลงให้เหลือแค่ 50 นาทีต่อสัปดาห์
.
ขณะที่ ดร.ชาร์ลี ฟอสเตอร์ มหาวิทยาลัยบริสตอล ประเทศอังกฤษ เผยว่า สำนักการแพทย์ของอังกฤษ บอกกับคนที่จะเริ่มวิ่งว่า การที่คนค้นหากิจกรรมเพื่อสุขภาพที่ชอบให้เจอแล้วตั้งใจทำมัน ถ้าไม่สามารถวิ่งได้ก็ลองหันมาเดินให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้

อ่านจบแล้วออกมาวิ่งกันเถอะ คนไทยแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง คัดย่อ มาจากที่นี่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1674882005976011&id=857361924394694

ร่วมออกกำลังกายงาน “หยุดซิ่ง มาวิ่งกันเถอะ” ตั้งเป้าลดอุบัติเหตุบนท้องถนน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์ (สวนบางกระเจ้า) อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นประธานเปิดงาน และร่วมออกกำลังกายในกิจกรรม “หยุดซิ่ง มาวิ่งกันเถอะ” หรือ “Run for Road Traffic Victims” จัดโดยกลุ่มผู้เสียหายทางถนน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเมาไม่ขับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายภาคประชาชน

กิจกรรมครั้งนี้ เป็นไปเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนขับขี่อย่างปลอดภัย ลดอุบัติเหตุ ลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตบนท้องถนน สนับสนุนการมีระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ พร้อมกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของความปลอดภัยทางถนน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก มีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนปีละประมาณ 22,491 ราย คิดเป็น 32.7 คนต่อประชากร 1 แสนคน เฉลี่ยแล้ว มีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุชั่วโมงละ 3 คน ซึ่งถือว่าเกิดค่าเฉลี่ยของโลกถึง 2 เท่า

“สิระ”ท้า”เสรีพิศุทธ์”เปิดเทป ยันไม่มีมติใช้ม.129 เรียก “บิ๊กตู่”

People Unity News : “สิระ”ท้า”เสรีพิศุทธ์”เปิดบันทึกเทปประชุม กมธ.ปปช.นัดที่ผ่านมา มั่นใจไม่มีมติให้ใช้ ม.129 หาก “เสรีพิศุทธ์”ทำผิดจริง แนะลาออก ก่อนถูกปลดฟ้าผ่า พร้อมแนะ “บิ๊กตู่” อย่าใส่ใจหนังสือเชิญที่ผิด กม.

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎรที่มีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นประธาน ใช้อำนาจรธน.และพรบ.คำสั่งเรียก เชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี มาชี้แจงปมถวายสัตย์ไม่ครบและไม่มีอำนาจเสนอกม.งบประมาณว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีพฤติกรรมใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากว่าในวันประชุม กมธ.เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติที่ประชุม 6 ต่อ 3 เห็นด้วยที่จะเชิญพล.อ.ประยุทธ์ มาชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงต่อคณะกมธ.อีกครั้ง แต่ไม่ได้มีมติเห็นด้วยที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 129 วรรคสี่ของรัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 ประกอบมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพ.ศ.2554

“พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ลงนามในหนังสือเชิญโดยไม่ผ่านมติของที่ประชุม นั่นหมายความว่า ผู้ลงนามต้องรับผิดชอบเรื่องที่กับหนังสือฉบับดังกล่าว การกระทำที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ผมไม่ไว้วางใจที่จะให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ปฎิบัติหน้าที่เป็นประธาน กมธ.ชุดนี้อีกแล้ว ผมอยากให้สังคมดูพฤติกรรมและการกระทำของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ว่ากำลังใช้หัวโขนประธาน กมธ.มาเป็นเครื่องมือในเรื่องความแค้นส่วนตัวหรือไม่”นายสิระ กล่าว

นายสิระ กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนเป็นกรรมาธิการในชุดนี้ด้วยขอฝากไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไม่ต้องสนใจจดหมายเรียกเชิญดังกล่าว เพราะตนมั่นใจว่าหนังสือเรียกฉบับนี้ผิดกฎหมายแน่นอน เพราะการจะออกหนังสืออะไรก็ตามในชั้นกรรมาธิการ ต้องผ่านมติที่ประชุมกรรมาธิการในทุกเรื่อง ไม่ใช่เอาความคิดของผู้ที่เป็นประธาน มายัดใส่ว่ากรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย ทั้งนี้ ตนขอท้าให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถอดเทปบันทึกการประชุมในวันดังกล่าว และนำมาเปิดเผย เพื่อพิสูจน์ว่ามีการขอมติที่ประชุมที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 129 วรรคสี่ของรัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 หรือไม่ หาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กระทำเกินขอบเขต ไม่ตรงกับเทปบันทึกการประชุมในวันนั้น ตนขอให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ลาออกจากการเป็นประธานด้วยตนเอง ก่อนที่จะถูกมติที่ประชุมปลด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการเสนอปลด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นายสิระ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าเสียงส่วนใหญ่ในกรรมาธิการต้องการให้มีการเปลี่ยนตัวประธาน ขอให้ติดตามดูในวันพุธที่ 20 พ.ย.นี้ ตนจะเป็นคนเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว

“ภูมิธรรม”อุ้ม “เสรีพิศุทธ์” จี้คนใช้ใกล้ชิด “ประยุทธ์-ประวิตร” หยุดปลด ปธ.กมธ.ปราบโกง

นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อกรณีที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล เสนอเรื่องต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนนราษฎร ให้เปลี่ยนประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ไปเป็นส.ส.ของพรรครัฐบาล ว่า โควต้าประธานกมธ. ชุดดังกล่าวเป็นของพรรคร่วมฝ่ายค้าน

ดังนั้นในทางปฏิบัติไม่ควรใช้ประเด็นที่ไม่เป็นไปตามครรลองเพื่อเปลี่ยนตัวบุคคลที่เป็นไปตามข้อตกลง อย่างไรก็ตามในการทำงานของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ฐานะประธานกมธ. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร นั้นไม่มีประเด็นที่ทำผิดกฎหมายหรือเกินกรอบรัฐธรรมนูญ

ดังนั้นบุคคลที่ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ไม่ควรใช้วิตกเกิดเหตุ และตนมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ควรมาชี้แจงต่อกมธ.ฯ ชุดดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาพบคำยืนยันแล้วว่าเป็นไปตามกฎหมาย

“นายกฯ และรองนายกฯ ควรมาชี้แจง ไม่ควรหลบเลี่ยง หากมั่นใจว่าทำตามกฎหมายควรมาชี้แจง และมั่นใจว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดถูกต้อง ไม่ควรกลัวการมาชี้แจงกับกรรมาธิการ ไม่ควรถือว่าเป็นศักดิ์ศรี หรือเรื่องเสื่อมเสีย จนทำให้การทำงานในสภาผู้แทนราษฎร ไม่เป็นไปตามครรลอง” นายภูมิธรรม กล่าว

“รัฐบาล”เดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพ

People Unity News : รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย “รัฐบาล” เดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า โดยไม่มีผลกระทบต่อสัญญา เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง บรรเทาความเดือนร้อนของผู้โดยสาร ลดภาระค่าครองชีพที่ใช้จ่ายประจำวัน ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ด รฟม. พิจารณาลดภาระค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อประชาชน

ทั้งนี้ บอร์ด รฟม. จะพิจารณาใน 2 มาตรการ 1.เปิดจำหน่ายตั๋วโดยสารร่วมระหว่างรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง คิดอัตราค่าโดยสารต่อเที่ยวถูกลง 2.ลดอัตราค่าโดยสารในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน (Off Peak) ระหว่าง 9.00-15.30 น. และช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยปัจจุบันเก็บอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 14-42 บาทต่อเที่ยว ส่วนมาตรการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบนั้น ขณะนี้ กรมการขนส่งทางราง กำลังเร่งหาแนวทางอยู่ โดยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ได้กระทบต่อสัญญา และให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

“การลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าลง จะทำให้ประชาชนหันมาเดินทางโดยรถไฟฟ้ามากขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดหวังจะให้นโยบายนี้ แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนชาวไทย และคาดหวังว่าจะเป็นที่น่าพอใจต่อประชาชน สามารถช่วยเหลือประชาชนในการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางได้เป็นอย่างดี” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

“มาดามเดียร์” ชี้ “อยู่เย็นเป็นสุข” หลักอยู่ร่วมกันของสังคม

People Unity News : “มาดามเดียร์”ชี้”อยู่เย็นเป็นสุข” คือการอยู่ร่วมกันของสังคม เพื่อตั้งรับการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาร่วมกัน  ขอทุกฝ่ายร่วมมือ ไม่ดึงประเทศกลับสู่วังวนความขัดแย้งอีก ย้ำ ปชต.ที่แท้จริงต้องเคารพความเห็นต่าง

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเสวนาในเวที อยู่ เย็น เป็น สุข ของสถาบันทิศทางไทย โดยระบุว่า ส่วนตัว ชอบ คำว่าอยู่เย็น เป็นสุข  ซึ่งไม่ใช่การอยู่เป็น หรือ อยู่ไม่เป็น แต่คือการอยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็น เป็นสุข เพราะการที่เราจะคิดโดยเอาอัตตาตัวเองเป็นที่ตั้ง คงไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่าง อยู่เย็นเป็น สุขได้  ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าสังคงของเรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและ การเข้ามาของเทคโนโลยี ดังนั้นการรับข้อมูลข่าวสารของคนแต่ละช่วงอายุในปัจจุบันจึงแตกต่างกัน ที่สำคัญการเข้ามาของอินเตอร์เน็ต เป็นการเกิดขึ้นของข้อมูลข่าวสารที่มากที่สุด และด้วยข้อมูลที่เยอะเราจึงเลือกเสพข้อมูลข่าวสารในสิ่งที่เราชอบ อยู่กับสังคมที่เราอยู่แล้วสบายใจ และคิดว่านั่นคือความถูกต้อง ดีงาม และคือความจริง  จึงเป็นสิ่งที่เราคงต้องมาตั้งคำถาม ว่าบนความแตกต่างของอายุ ทัศนคติ และบริบทของสังคม เราจะหาจุดลงตัวอย่างไร เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข และเราจะร่วมกันพัฒนาประเทศชาติอย่างไร ไม่ใช่ผลักไสคนอื่น เช่น คนรุ่นใหม่ออกมารณรงค์การลดใช้ถุงพลาสติก แต่บนโลกออนไลน์เกิดคำพูดในลักษณะบูลลี่เกิดขึ้น ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย แสดงให้เห็นว่า เรามีข้อยกเว้นให้กับตัวเองเสมอ เหมือนกับเราออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่พอคนที่คิดต่างกลับถูกตราหน้าว่าผิด แปลกแยก และใช้คำว่าเผด็จการ ทั้งที่ความหมายของประชาธิปไตยคือเคารพความเห็นที่แตกต่าง ถ้าเราคิดและมีจุดมุ่งหมายคือทำให้ประเทศก้าวหน้า เกิด ความสงบสุขในไทย เราก็จะสามารถหาจุดลงตัวได้ ไม่ใช่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยแต่มองคนคิดต่างคือผิด คนเห็นต่าง แล้วแบ่งแยกสังคม ว่า อยู่เป็น อยู่ไม่เป็น หากคิดแบบนี้คงไม่มีวันที่ประเทศจะเดินไปข้างหน้าได้

น.ส.วทันยา กล่าวด้วยว่า การตีตราคนอื่นไปแล้ว ในขณะที่เราเองมักมีข้อยกเว้นให้ตัวเองเสมอนั้น ด้วยความคิดที่อยู่ในสังคมที่เราสบายใจ และคิดว่าถูกแล้วสิ่งนี้มันกำลังก่อให้เกิดความคิดที่บิดเบี้ยวและอคติไม่รู้ตัว และจะกลับมาทำร้ายตัวเราและประเทศเราเอง เหมือนที่ฮ่องกง ด้วยการต่อสู้ทางความคิดของตัวเองไม่ลดละซึ่งกันและกันเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ สุดท้ายประเทศก็พัง จึงขอตั้งคำถามทางสังคมว่า วันนี้ประเทศเผชิญปัญหามากมาย และยังถูกกระหน่ำด้วยความคิดอุดมการณ์ จึงควรถามว่าอะไรที่เราจะอยู่ร่วมกันเพื่อให้ประเทศไปข้างหน้าโดยไม่ตีตราว่าใครผิด ใครถูก

น.ส.วทันยา กล่าวด้วยว่า เคยมีเพื่อน ส.ส.ถามถึงการมาทำงานร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ทั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่ ตนจึงชี้แจงว่า เหตุผลที่ตัดสินใจมาเพราะ พรรคมีคนทั้งรุ่นที่มีประสบการณ์ มีเพื่อนในวัยใกล้เคียงกัน และ ตอนที่ตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเมือง เพราะตอนเด็กๆผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองมา 2-3 เหตุการณ์  และอยากเห็นประเทศเดินหน้า ไม่อยากเห็นความขัดแย้ง ซึ่ง พปชร.เป็นหนึ่งพรรคที่เห็นถึงการสลายขั้ว นำพาประเทศไปข้างหน้า ก้าวไปสู่การพัฒนา ดังนั้น เราจะทำอย่างไรไม่ให้ประเทศไปสู่วังวนความขัดแย้ง ส่วนตัวเชื่อเสมอว่า ถ้าคุณรักประเทศ คิดถึงส่วนรวมก่อนคิดถึงตัวคุณเอง คุณจะไม่ทำให้ประเทศกลับไปสู่วังวนขัดแย้งแน่นอน เพราะหากนำประชาชนลงสู่ท้องถนนอีกครั้ง คนที่เดือดร้อนมากที่สุด คือ ประชาชน และประเทศที่จะพัง เศรษฐกิจพัง หายนะของประเทศกลับมาอย่างแน่นอนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ และจากการลงพื้นที่ก็เห็นอยู่เสมอว่า ชาวบ้านไม่ได้มาถกเพื่อต่อสู้ทางความคิด หรือระบอบการปกครอง แต่วันนี้ประชาชนต้องการมีข้าว มีอาหาร ในการดำรงชีวิต อยากได้ผู้นำที่ดีที่จะมาปกครอง ไม่โกงกินประเทศชาติ จิตใจดี เอื้อเฝื้อเพื่อแผ่ คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ประชาขนส่วนใหญ่ต้องการ

“ในการที่สังคมกำลังเดินหน้าและเปลี่ยนแปลงไปเราอาจมีความคิดขบฎได้ หากนำมาใช้เป็นไฟปลุกความหวัง ขับเคลื่อนการทำงานของเรา แต่หากเอามายุยงปลุกปั่นภายในประเทศ สิ่งที่เสียหายที่สุดคือ คนไทย และประเทศไทย”

“สองนักศึกษาแม่โจ้” ยื่น “อนาคตใหม่” ปมถูกดำเนินคดีเหตุค้านเหมืองแร่ “อมก๋อย”

People Unity News :  “สองนักศึกษาแม่โจ้” ยื่นหนังสือ “อนาคตใหม่” ในงาน “อยู่ไม่เป็น” ร้องถึง กมธ.สิ่งแวดล้อม-กฎหมาย ขอความเป็นธรรม ปมถูกดำเนินคดีเหตุค้านเหมืองแร่ “อมก๋อย”

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 ที่ เจเจ มอลล์ จตุจักร สองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เดินทางร่วมงานอยู่ไม่เป็น ที่พรรคอนาคตใหม่จัดขึ้น พร้อมยื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรมถึงคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นประธาน และคณะกรรมาธิการกฎหมาย ยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ซึ่งมี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นประธาน ถึงกรณีผลกระทบจากการเตรียมเปิดเหมืองแร่ถ่านหินในพื้นที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีกลุ่มนักศึกษาร่วมลงพื้นที่เก็บข้อมูล ก่อนที่ต่อมาจะถูกแจ้งความดำเนินคดี โดยมี น.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ และกรรมการบริหารพรรค ภาคเหนือ รับหนังสือ

นายวรพล โชติจิรเดชเดชากุล อายุ 22 ปี หนึ่งในนักศึกษาที่เดินทางมายื่นหนังสือกล่าวว่า ตนได้ทราบถึงความวิตกกังวลของกลุ่มชาติพันธุ์ และชาวบ้าน ในบริเวณพื้นที่บ้านกะเบอะดิน ต.อมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ถึงปัญหาการสร้างเหมืองแร่ถ่านหินในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลต่อวิถีชีวิต กลุ่มชาติพันธุ์ และชาวบ้านในพื้นที่ ด้วยจิตสาธารณะในฐานะนักศึกษา ตนและเพื่อนจึงได้รวบรวมเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางลงไปในพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและสำรวจข้อเท็จจริงต่างๆ ของชาวบ้านในพื้นที่ โดยมิได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อบุคคลใด หรือบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่หลังจากที่ตนและเพื่อนไปรับฟังปัญหาจากชาวบ้าน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชาวบ้านที่ไปพูดคุยได้แจ้งต่อว่า ตนและกลุ่มเพื่อนจะถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาท จากบริษัทหนึ่ง ทำให้ตนและกลุ่มเพื่อนๆที่มีจิตใจสาธารณะ ต้องขึ้นไปให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ สภ.อมก๋อย

“ผมและเพื่อนๆเป็นเพียงนักศึกษา การถูกดำเนินคดีและต้องไปให้ปากคำในพื้นที่ห่างไกล หรืออื่นๆที่ต้องใช้ระยะเวลาในชั้นกระบวนการยุติธรรม ส่งผลทั้งค่าใช้จ่าย เวลา ระยะทางทั้งทางตรงและทางอ้อมในการเรียน ผมและเพื่อนจึงได้เดินทางมาเพื่อร้องขอความเป็นธรรมในวันนี้” นายวรพล กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้คดีความของนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้กลุ่มนี้ อยู่ในชั้นของการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ซึ่งจากสถานที่ให้ปากคำคือ สภ.อมก๋อย กับที่พักของนักศึกษาคือห้องพักบริเวณมหาวิทยาลัยแม่โจ้ห่างไกลกัน ทำให้การเดินทางไปให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีความลำบากเป็นอย่างมาก

“ธณิกานต์” ร่วมปักหมุดจุดเผือกสร้างเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิงเขตบางซื่อ

People Unity News : “ธณิกานต์” ประธานคณะกรรมการนโยบายสตรี พรรคพลังประชารัฐ ร่วมปักหมุดจุดเผือกสร้างเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิงเขตบางซื่อ

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนผู้หญิง และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายสตรี พรรคพลังประชารัฐ มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนและผลักดันนโยบายด้านความปลอดภัยสำหรับผู้หญิงอย่างจริงจัง วันนี้จึงรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน แคมเปญ #ปักหมุดจุดเผือก ‘Safe Cities for Women เมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง’ ในเขตบางซื่อ ซึ่งได้ลงพื้นที่สำรวจจุดเสี่ยงและปักหมุดแล้วบางส่วน ต่อจากนี้ก็อยากเชิญชวนให้ผู้หญิงเราร่วมด้วยช่วยกัน ส่งเสียง ส่งข้อมูล ปักหมุดพื้นที่ที่ต้องการได้รับการดูแลเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง ผ่านช่องทาง Line: @traffyfondue๐”

ทั้งนี้จากสถิติ ผู้หญิงไทย 86% เคยถูกคุกคามทางเพศในที่สาธารณะ วันนี้หน่วยงานภาคประชาสังคม อาทิ ActionAid สสส. มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เครือข่ายสลัม 4 ภาค แผนงานสุขภาวะผู้หญิง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภาครัฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม. ตำรวจนครบาล จับมือกันดูแลผู้หญิงอย่างเป็นรูปธรรม กับ โครงการ #ปักหมุดจุดเผือก ‘Safe Cities for Women เมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง’

โดยโครงการ ได้นำ concept เมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง มาบวกกับ technology และพัฒนา platform โดยทีม Nectec สร้าง ai เพื่อเก็บข้อมูลและประมวลผล มี machine learning ช่วยวิเคราะห์แยกแยะข้อมูลที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ โดยความสำเร็จของโครงการขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่จะเข้าถึง platform และร่วม #ปักหมุดจุดเผือก

โฆษณา

อยู่ไม่เป็น!ประชาชนแห่ร่วม “อนาคตใหม่” จัดยิ่งใหญ่

People Unity News : “อนาคตใหม่”จัดยิ่งใหญ่ “อยู่ไม่เป็น” ประชาชนแห่ร่วมเนืองแน่น “ธนาธร – ปิยบุตร” ชี้ผู้สนับสนุนพรรคท่วมท้นทำผู้มีอำนาจไม่สบายใจ จนเป็นที่มาคดีความเพียบ – ปลุกเดินทางต่อ ร่วมปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทุกคน “อยู่ได้”

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ห้องกำแพงเพชร ศูนย์การค้าเจเจมอลล์ จตุจักร พรรคอนาคตใหม่จัดงาน “อยู่ไม่เป็น” โดยมีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมงาน สมัครสมาชิก ซื้อสินค้าระดมทุนของพรรค เยี่ยมชมบูธนิทรรศการต่างๆ เช่น บูธไอทีและแอพลิเคชั่นของอนาคตใหม่ บูธปีกแรงงาน บูธเกี่ยวกับ พ.ร.บ.รับราชการทหาร เป็นต้น ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงของการปราศรัยโดย ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ในหัวข้อต่างๆ ได้แก่ อยู่เป็น โลกไม่เปลี่ยน โดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ประชาชนใต้อำนาจทุน โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล, ประชาชนใต้อำนาจปืน โดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

รวมถึงการปราศรัยในหัวข้อ ความอยู่ไม่เป็นของพรรคอนาคตใหม่ โดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล และปิดท้ายด้วยการปราศรัยในหัวข้อ อนาคตใหม่คือผู้คนและการเดินทาง โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทั้งนี้ในงานยังมีมินิคอนเสิร์ตโดย ศิลปินแร็พกลุ่ม RAD เจ้าของเพลงดัง ประเทศกูมี, ถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นต้น

“ธนาธร” เผยตั้งพรรคเพื่อเป็นเครื่องมือทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น

นายธนาธร กล่าวว่า การเดินทางของพรรคอนาคตใหม่จากวันแรก พ.ค. 61 ถึงวันนี้เป็นเวลา 540 วัน จากวันที่เริ่มต้นเพราะคนอยู่ไม่เป็น 3 คน กลายเป็นผู้ร่วมจดจัดตั้งพรรค 26 คน จากนั้นจึงมีสมาชิกเริ่มแรก 670 คน ร่วมจดจัดตั้ง ต่อมาขยับเป็นทีมจังหวัด 77 จังหวัด กลายเป็นผู้สมัคร ส.ส.ที่มีทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อชุดแรก 474 คน กระทั่งกลายมาเป็นคะแนนเสียงมากกว่า 6,300,000 คน และมีสมาชิกพรรคมากกว่า 60,000 คน ในปัจจุบัน ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนและทุกหัวใจที่ผลักดันให้มาจนถึงจุดนี้ ทั้งนี้ เหตุผลที่ตนร่วมตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้น เพราะเชื่อมั่นว่า พรรคการเมืองจะสามารถเป็นเครื่องมือที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นได้ และสาเหตุที่ทุกคนมารวมกันก็เพราะมีปลายทาง มีความฝันเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ เป็นคนเท่ากัน ไม่ว่าคนนั้นคนจะรวย จน สูงศักดิ์ เป็นชาวนาดำกร้าน นับถือศาสนาหรือไม่นับถือ เป็น LGBTQ หรือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใดก็ตาม

“ปลายทางของเราคือ ทุกคนในสังคมไทยมีสิทธิและเสรีภาพ ได้รับสวัสดิการที่ดี เราต้องการเห็นเทคโนยีก้าวหน้าที่ไม่ต้องพึ่งต่างชาติ มีอุตสาหกรรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเปี่ยมไปด้วยความหมาย เป็นประเทศที่กระจายอำนาจอย่างเท่าเทียม ไม่มีเศรษฐกิจผูกขาด มีความเข้มแข็งในระดับนานาชาติที่ไม่ใช่การมีเรือดำน้ำ แต่เข้มแข็งเพราะมีมนุษยธรรม ได้รับความเคารพนับถือจากนานาชาติ พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนบ้านยามลำบาก พร้อมที่จะต่อสู้กับความยากจนและเดินไปด้วยกัน เราต้องการประเทศไทยที่คนทุกคนเท่าเทียม เท่าทัน และทัดเทียมกับโลก” นายธนาธร กล่าว

ไม่ใช่หัวรุนแรง-ก้าวร้าวแต่เกิดจากรักในเพื่อนมนุษย์

นายธนาธร กล่าวต่ออีกว่า เพื่อไปสู่จุดหมายนั้น พรรคอนาคตใหม่กลับถูกกล่าวหาว่าหัวรุนแรง ก้าวร้าว ชังชาติ และอยู่ไม่เป็น แต่ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นและการดำรงอยู่ของพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้เริ่มจากความเกลียดชัง แต่เริ่มเพราะความรัก เห็นคนตกงาน เห็นความลำบาก เห็นชีวิตที่อัตคัดขัดสนข้างนอก คำถามคือเราได้เห็นชีวิตพวกเขาแล้วร้องไห้ไหม ได้ยินแล้ว ยังปล่อยให้เขาดิ้นรนต่อสู้กับระบบที่ไม่เป็นธรรมอย่างเดียวดายหรือไม่ หรือเป็นเพราะสังคมถูกโบยตีด้วยแส้หมดแล้วจึงด้านชาไม่รู้สึกอะไร หัวใจของพวกเรายังอุ่นอยู่ มีเลือดมีเนื้อ สามารถแบ่งทุกข์เฉลี่ยสุขกันได้ นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อ การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของพรรคอนาคตใหม่จึงไม่ได้เริ่มจากความเกลียดชัง แต่เริ่มจากความรักในความเป็นมนุษย์ รักในความเป็นคนในสังคมเดียวกัน จึงก่อเกิดเป็นทางสายนี้ขึ้น

“บางคนบอกว่า พรรคอนาคตใหม่หัวรุนแรง จะทำให้สังคมพังเพราะเปลี่ยนแปลงเร็วไป แต่อยากให้หันไปดูว่า ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีในเวลานี้หรือไม่ เห็นความยากจน อัตคัด ที่ดำรงอยู่หรือไม่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องกลัวไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เร็วไป แต่ต้องกลัวว่า ถ้าอยู่เป็นและกลัวเปลี่ยนแปลงแล้วมันจะสายเกินการณ์” นายธนาธร กล่าว

“อนาคตใหม่” คือผู้คนและการเดินทางต่อ

นายธนาธร กล่าวทิ้งท้ายว่า การอยู่ไม่เป็น หมายถึง เรามองเห็นความเป็นไปได้ที่ตั้งอยู่บนศักยภาพที่หนักแน่น มั่นคง เราเชื่อในศักยภาพของคนไทยว่าจะสามารถพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้ รวมทั้งมองเห็นศักยภาพของชาวอนาคตใหม่ที่มีความแน่วแน่ จึงมองไม่เห็นเลยว่า ถ้าเราเริ่มเดินทางตั้งแต่วันนี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ อนาคตใหม่ไม่ใช่สำนักงาน ไม่ใช่ตึกรามบ้านช่องหรือออฟฟิศ แต่อนาคตใหม่คือเจตจำนงค์ที่แน่วแน่ อนาคตใหม่ไม่ใช่เพียงแค่พรรคการเมืองแต่คือการเดินทาง อนาคตไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือเรื่องของกลุ่มผลประโยชน์ส่วนบุคล แต่คือผู้คนที่มีปลายทางการเดินทางไปที่เดียวกัน อนาคตใหม่ไม่ใช่ผม แต่คือพวกเรา ที่พร้อมเดินทางไปด้วยกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังกล่าวจบ นายธนาธรได้เชิญชวนทุกคนที่มาร่วมงานลุกขึ้นยืนและเดินไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง

“ปิยบุตร” ลั่นต้องกล้าตั้งคำถามกับ “อำนาจ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายปิยบุตร กล่าวปราศรัยโดยระบุว่า คำว่าอยู่เป็นและอยู่ไม่เป็น กลับมาเป็นคำที่อยู่ในกระแสสังคมทั้งในโลกออนไลน์และในโลกออฟไลน์ช่วงนี้ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา คำนี้ปรากฏขึ้นบ่อยๆ หลังรัฐประหาร 2557 มีการเลาะกัน แซวกันเล่นๆว่า พวกนักกิจกรรมนิสิตนักศึกษา พี่น้องประชาชน นักวิชาการ ที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจของคณะ คสช. แล้วออกไปต่อต้านนั้น เป็นพวกอยู่ไม่เป็น พวกนี้ถ้าอยู่เป็นบ้านเมืองก็จะสงบเรียบร้อยดี คสช.จะบริหารประเทศได้ต่อไป ซึ่งก็มีคนที่ทนสภาพสังคมแบบนี้ไม่ได้ แต่พวกเขามีศักยภาพ เบื่อประเทศนี้ก็ไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยในตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เหลือทางเลือกของคนไทยเพียง 2 ทางคือ 1.คืออยู่ให้เป็น เอาตัวรอดให้ได้ในสังคมต่อไป หรือ 2.ถ้าทนไม่ไหว มีศักยภาพเพียงพอ ก็เดินทางไปทำงานต่างประเทศ

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า อำนาจเป็นปรากฏการณ์ในทางสังคมที่เกิดขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีคนมากกว่าหนึ่งคน เมื่อคนกลุ่มหนึ่งสั่งให้คนอีกกลุ่มปฏิบัติตามแล้วเขาก็ยอมเชื่อฟัง อำนาจได้เกิดขึ้นแล้ว อำนาจทำงานได้ต่อเมื่อมีความยินยอมและการเชื่อฟัง อำนาจทำงานได้ด้วยความกลัวและความเชื่อ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสกล่าวไว้ว่า บนโลกนี้มีปีศาจมากมายเต็มไปหมด แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ คนที่พร้อมเชื่อฟังคำสั่งโดยที่ไม่กล้าเถียงไม่กล้าปฏิเสธ เวลาที่มีคนถามเราว่าอดทนอยู่เฉยๆ ให้เป็นไม่ได้หรือไง เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยดี นั่นไม่ใช่คำถามที่ถูกต้อง คำถามที่ควรถามมากกว่าคือ สภาพสังคมที่เป็นอยู่แบบนี้ เราทนอยู่กับมันได้อย่างไร เราต้องลุกขึ้นมาตั้งคำถาม เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่ยุติธรรม

ชี้ผู้สนับสนุนพรรคท่วมท้นทำผู้มีอำนาจไม่สบายใจ

นายปิยบุตร กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่เป็นที่มาของพรรคอนาคตใหม่ คือเหตุผลที่เรารวมตัวกันเป็นพรรคเข้าสู่อำนาจรัฐเพื่อจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้ดีขึ้น สภาพสังคมที่มีรัฐราชการส่วนกลางกำหนดทุกความเป็นไปในประเทศ สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำรวยกระจุกจนกระจาย มีรัฐประหารทุกๆ 4-6 ปี ทหารเข้ามาครองอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน ตบเท้าสั่งรัฐบาลพลเรือนได้ สังคมที่เกณฑ์เอาคนหนุ่มสาวไปเสียโอกาสอยู่ในกองทัพทำงานให้กับนายพล ปล่อยให้คนทั่วไปไม่มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถขยับชนชั้นสถานะ เราพรรคอนาคตใหม่จึงตัดสินใจออกมาเพื่อบอกว่าเราจะอยู่ไม่เป็น

“เราออกแบบพรรคอนาคตใหม่ ออกแบบนโยบายเพื่อให้ทะลุทะลวงไปจนถึงโครงสร้างของปัญหา ทั้งหลายทั้งปวงจึงนำมาซึ่งเภทภัยทั้งหลายที่พรรคอนาคตใหม่กำลังเผชิญอยู่ บรรดาผู้ครองอำนาจไม่สบายใจ แต่ก็คงคิดว่าเราจะไปทำอะไรได้ หากแต่ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อผลการเลือกตั้งออกมา มีเสียงผู้สนับสนุนเราถึง 6 ล้านเสียง พร้อมกับ ส.ส.81 ที่นั่ง นี่จึงเป็นเหตุให้เรามีคดีถึง 25 คดีแล้วตอนนี้ สังเกตได้อย่างชัดเจนว่า คดีส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังเลือกตั้ง ไม่นับรวมว่ามีเพจโซเชียลมีเดียต่างๆ เกิดขึ้นมาโจมตีใส่ร้ายพรรคอนาคตใหม่เพิ่มมากขึ้น พวกเขาชี้นิ้วมาและหาว่าพวกเรามาล้างสมองเด็ก ผมกลับเห็นว่า คนเหล่านั้นควรต้องชี้นิ้วกลับไปที่ตัวเองต่างหากว่า สร้างบ้านเมือง ปล่อยบ้านเมืองให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร สร้างปัญหาแล้วมีแต่เรื้อรังบานปลายขึ้นมา” นายปิยบุตร กล่าว

ปลุกร่วมกัน “ปฏิรูป” ให้ทุกคนอยู่ในประเทศได้

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า เหล่านี้คือสาเหตุที่เราต้องอยู่ไม่เป็น ถ้าทุกคนพร้อมใจกันอยู่แบบที่เป็นอยู่ บ้านเมืองก็จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงจะไม่มีวันเกิดขึ้น เราชาวอนาคตใหม่ต้องอยู่ไม่เป็นเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้ เพื่อให้คนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันในแผ่นดินนี้ได้ เปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ทุกๆคนอยู่ได้ ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปไปด้วยกัน ไม่มีสังคมไหนอนุญาตให้คนไม่กี่คนเอาทุกอย่างไปเป็นของตัวเอง ทั้งอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้แบบนี้ ทุกการเปลี่ยนแปลงในสังคมเริ่มจากแบบนี้หมด คนกลุ่มเดียวครอบครองเอาไว้ทุกอย่างทั้งอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ คนส่วนใหญ่ออกมาเรียกร้องให้มีการแบ่งปันอำนาจ ถ้าคนที่ครองอำนาจมองเห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นจะอยู่กันไม่ได้ทั้งหมด ก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการปฏิรูป แต่ถ้าคนครอบอำนาจไม่ยอมมองเห็นความสำคัญ คิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการปราบปรามได้ มันก็จะกลายเป็นการปฏิวัติ

“อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า แนวทางที่สังคมไทยควรเป็นไปมากที่สุดคือวิถีการปฏิรูป นั่นจึงเป็นที่มาของการตั้งพรรคอนาคตใหม่เพื่อเข้าไปทำการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ถึงเวลาที่ผู้มีอำนาจต้องตระหนักให้ดีว่า เราจะปล่อยประเทศให้เป็นไปเช่นนี้ไม่ได้ ต้องหันกลับมามองความต้องการของพี่น้องคนไทยแล้วเดินหน้าปฏิรูปไปด้วยกัน ที่เราต้องอยู่ไม่เป็น ก็เพื่อให้ทุกคนอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างมีความสุข” นายปิยบุตร กล่าว

Verified by ExactMetrics