วันที่ 2 ธันวาคม 2025

รัฐบาลย้ำ “เที่ยวดีมีคืน” เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

จูงใจประชาชนใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท

วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2568) นางสาว ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า มาตรการ “เที่ยวดีมีคืน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวปลายปีของรัฐบาล ใกล้จะสิ้นสุดระยะเวลาการใช้สิทธิ์แล้ว โดยประชาชนสามารถใช้ค่าใช้จ่ายด้านที่พักและร้านอาหารเพื่อนำไปลดหย่อนภาษีได้ถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้เท่านั้น

มาตรการนี้เปิดโอกาสให้ประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ สามารถนำค่าใช้จ่ายมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ดังนี้

เที่ยวเมืองรอง ได้รับสิทธิลดหย่อน 1.5 เท่า ของยอดจ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท

เที่ยวเมืองหลัก ลดหย่อนได้ตามยอดจ่ายจริง สูงสุด 20,000 บาท

โดยค่าใช้จ่ายต้องเป็นยอดที่มี ใบกำกับภาษีถูกต้อง จากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

รัฐบาลย้ำว่า “เที่ยวดีมีคืน” ไม่เพียงช่วยแบ่งเบาภาระประชาชน แต่ยังเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยกระจายรายได้สู่จังหวัดเมืองรองและธุรกิจท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้หลายพื้นที่พบการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจฐานรากช่วงปลายปี

ทั้งนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนที่มีแผนเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวและเทศกาลปีใหม่ รีบใช้สิทธิ์ให้ทันภายในกำหนด เพื่อรับประโยชน์ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการลดหย่อนภาษี พร้อมช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นทั่วประเทศไปพร้อมกัน

Advertisement

กระแสแรง! มากกว่า 10,000 ร้านค้า ร่วมโครงการพัฒนาความรู้ทักษะ Upskill –Reskill

ยกระดับร้านค้าไทยทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งเป็นแนวทางต่อยอดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยเพียง 3 วันที่เปิดโครงการ มีร้านค้าสนใจเข้าร่วมพัฒนาทักษะแล้ว 10,814 ราย (จำนวนสะสมโดยยังไม่คัดกรองสิทธิ) สะท้อนให้เห็นถึงกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการทั่วประเทศ ซึ่งต่างตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพธุรกิจของตนอย่างต่อเนื่อง

โครงการ Upskill-Reskill เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ร้านค้ารายย่อยสามารถเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคที่ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมากขึ้นโดยเปิดให้ร้านค้าพัฒนาทักษะผ่านหน่วยงานหลัก เช่น ธนาคารออมสิน ที่จัดหลักสูตร “Smart Finance Upskill : หลักสูตรพัฒนาความรู้ทางการเงินเพื่อร้านค้ารายย่อย” เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน ความเข้าใจและทักษะการบริหารจัดการด้านการเงินที่เพิ่มขึ้น และสามารถนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจได้ ซึ่งเมื่อเรียนจบแล้ว !!!! มีสิทธิ์ขอยื่นกู้เงื่อนไขพิเศษกับสินเชื่อ “สร้างงานสร้างอาชีพ พลัส” ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) = 0.75% ต่อเดือน แบบไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568

“รัฐบาลขอเชิญชวนร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส และโครงการ Upskill – Reskill อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างใน 6 ช่องทางที่เปิดให้บริการ พร้อมร่วมกันยกระดับคุณภาพร้านค้าไทยให้แข็งแกร่งทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่ และรับสิทธิเงินสนับสนุนจากภาครัฐสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท ใน 4 แสน ร้านค้าแรกที่ผ่านเกณฑ์เงื่อนไขโครงการและสำเร็จตามลำดับ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเชิญชวน

Advertisement

 

“คนละครึ่งพลัส” เปิดทางร้านค้าพัฒนา Reskill – Upskill

สมัครใช้เครื่องมือดิจิทัลของ depa ฟรี! 19 พ.ย.–19 ธ.ค. นี้

วันนี้ 19 พฤศจิกายน 2568 นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ไม่เพียงช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน แต่ยังออกแบบมาเพื่อ พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อย ให้พร้อมแข่งขันในยุคดิจิทัล ผ่านกิจกรรม Reskill–Upskill และการสนับสนุนเครื่องมือดิจิทัลฟรีจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)

ภายใต้มาตรการนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมสามารถ สมัครใช้งานผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของ depa ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น

  • ระบบบัญชีออนไลน์สำหรับร้านค้า
  • ระบบส่งเสริมการขายและจัดการลูกค้า
  • เครื่องมือบริหารสต๊อก
  • ระบบช่วยจัดการหลังร้าน และโซลูชันธุรกิจที่ขึ้นทะเบียนกับ depa

โดยทั้งหมดออกแบบมาเพื่อช่วยร้านค้า บริหารต้นทุนได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการขาย และต่อยอดธุรกิจเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ได้ง่ายขึ้น

ผู้ประกอบการสามารถสมัครใช้งานผลิตภัณฑ์ดิจิทัลได้ตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน – 19 ธันวาคม 2568

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลต้องการให้ร้านค้ารายย่อยได้ “เครื่องมือ” พร้อม “โอกาส” เพื่อยกระดับธุรกิจ โดยเฉพาะร้านอาหารและบริการที่ต้องแข่งขันสูงในยุคดิจิทัล มาตรการนี้จึงเป็นทั้งการช่วยลดต้นทุน และช่วยเพิ่มทักษะให้ผู้ประกอบการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

“คนละครึ่งพลัส ไม่ได้มีแค่เรื่องค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ยังเป็นการลงทุนกับอนาคตของร้านค้ารายย่อย ให้แข็งแรงขึ้น เข้าถึงลูกค้าใหม่ และก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบ” รองโฆษกกล่าว

Advertisement

“คนละครึ่งพลัส” หนุนพ่อค้าแม่ค้าร้านอาหาร สู้ตลาดออนไลน์—ฟู้ดดิลิเวอรี่

อัปสกิลจากออฟไลน์สู่แพลตฟอร์มดิจิทัล ใช้สิทธิได้ 19 พ.ย.–19 ธ.ค.

วันนี้ 17 พ.ย. 68  นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” รอบนี้ นอกจากช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนแล้ว ยังออกแบบมาเพื่อสนับสนุน พ่อค้าแม่ค้าร้านอาหาร ให้สามารถขยายช่องทางขายเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในตลาด ฟู้ดดิลิเวอรี่ ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง

ภายใต้นโยบายครั้งนี้ รัฐบาลสนับสนุนร้านอาหารที่เริ่มขายหรือขยายยอดขายบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ผ่านการ อัปสกิลด้านออนไลน์–เดลิเวอรี่ พร้อมสิทธิประโยชน์สูงสุด 2,000 บาท หากร้านค้ามีคำสั่งซื้อ ตั้งแต่ 5 รายการขึ้นไป ภายในช่วงมาตรการ

มาตรการมีผลตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน – 19 ธันวาคม 2568 ครอบคลุม ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่เข้าร่วมกับแพลตฟอร์มฟู้ดดิลิเวอรี่ เพื่อช่วยเพิ่มยอดขาย กระจายรายได้ และเปิดประตูให้ร้านค้าท้องถิ่นเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมั่นใจและเต็มรูปแบบ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มาตรการนี้จะช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าร้านอาหาร “ขายได้มากขึ้น – เข้าถึงลูกค้าใหม่ – เติบโตในตลาดออนไลน์” ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจรากหญ้า และสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจรายย่อยในยุคดิจิทัล

Advertisement

รัฐบาลย้ำผู้ได้รับสิทธิคนละครึ่งพลัส อีก 3 แสนกว่าคน ต้องใช้จ่ายครั้งแรกผ่านแอป “เป๋าตัง” ภายใน 23.00 น. ของวันนี้

เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิทธิ เผยตัดสิทธิร้านค้า ทำผิดแล้ว 78 ราย

วันนี้ (11 พ.ย.68) นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งพลัส ขอให้รีบดำเนินการใช้จ่ายคนละครึ่งพลัสผ่านแอป “เป๋าตัง” ครั้งแรกภายใน 23.00 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 หากไม่ใช้จ่ายภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จะถือว่าสละสิทธิและถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการในเฟสนี้ทันที

สำหรับความคืบหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 10 พ.ย. 2568 เวลา 17.00 น. มีผู้ใช้จ่ายสำเร็จสะสมแล้ว 19.62 ล้านคน จากจำนวนผู้ได้รับสิทธิทั้งหมด 20 ล้านคน โดยมียอดการใช้จ่ายที่สำเร็จสะสมสูงถึง 28,794.53 ล้านบาท ผ่านร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ 820,449 ร้านค้า และก่อให้เกิดจำนวนรายการใช้จ่ายสำเร็จรวมกว่า 203.99 ล้านครั้ง

ในส่วนของการใช้จ่ายผ่านบริการ “ฟู้ดเดลิเวอรี” ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ปัจจุบันมียอดใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 360 ล้านบาท จากผู้ใช้งาน 1.31 ล้านคน แบ่งออกเป็น LINEMAN ครองแชมป์อันดับ 1 มียอดใช้จ่ายสูงสุดที่ 215 ล้านบาท Grab ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่ 127 ล้านบาท ส่วน ShopeeFood ยอดใช้จ่าย 17 ล้านบาท และ Robinhood มียอดใช้จ่าย 6.1 แสนบาท

ทั้งนี้ จากการติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของร้านค้าในสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมกับการวิเคราะห์ธุรกรรมของร้านค้าด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) กระทรวงการคลังได้ระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ของร้านค้าแล้ว จำนวน 78 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 10 พ.ย. 68) เนื่องจากมีพฤติการณ์รับแลกเงินและสแกนรับเงินห่างจุดขายแบบผิดปกติ

“ขอย้ำเตือนให้ประชาชนรักษาสิทธิคนละครึ่งพลัส หากพ้นเวลา 23.00 น. ของวันนี้ ถือว่าท่านสละสิทธิ โดยยอดเงินที่เหลือจากโครงการในเฟสนี้ จะถูกนำมาพิจารณาเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการในเฟสถัดไป เพื่อให้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุดต่อไป” นางสาวอัยรินทร์ กล่าว

Advertisement

ย้ำเตือนนักเรียน/นักศึกษา กยศ. เร่งจัดทำสัญญากู้ยืมและทำแบบยืนยันการเบิกเงินกู้ยืม

ย้ำสถานศึกษาต้องแนบไฟล์เข้าระบบ DSL ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 พ.ย. 68

วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2568) นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลสนับสนุนการศึกษาผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ให้เงินกู้ยืมแก่นักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนถึงปริญญาตรี เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพและมีทักษะที่ทันสมัย มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับทุกคน ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ ซึ่งขณะนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้อนุมัติคำขอกู้ยืมเงินให้แก่ผู้กู้ยืมเงินรายเก่าเปลี่ยนระดับการศึกษาและผู้กู้ยืมเงินรายใหม่ครบถ้วนแล้ว

ขอย้ำเตือนให้ผู้กู้ยืมเงินเร่งดำเนินการจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน และจัดทำแบบยืนยันแบบเบิกเงินกู้ยืม ลงนามเอกสารภายในวันที่สถานศึกษาแต่ละแห่งกำหนด จากนั้น สถานศึกษาต้องยืนยันข้อมูลพร้อมแนบไฟล์สัญญาฯ และแบบยืนยันเบิกเงินกู้ยืมเข้าระบบ DSL ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อน กยศ. ปิดระบบการกู้ยืมสิ้นสุดภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 เท่านั้น

สำหรับปีการศึกษา 2568 กยศ. ได้ขยายกรอบการให้กู้ยืมส่งผลให้นักเรียน นักศึกษา ผู้กู้ยืมเงินได้รับโอกาสทางการศึกษาจำนวนกว่า 800,000 ราย เป็นงบประมาณให้กู้ยืมกว่า 50,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการให้เงินกู้ยืมแก่นักเรียน นักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และผู้ที่ศึกษาในหลักสูตรหรือสาขาวิชาที่ขาดแคลนและเป็นความต้องการหลักของประเทศ และเพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียน/นักศึกษา และแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ค่าเล่าเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา

Advertisement

 

ถึงคิว! ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รับเพิ่ม 850 บาท

1 พฤศจิกายน 2568 ถึงคิว! ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันนี้ 13.4 ล้านคน เตรียมรับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย เล็งเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ ช่วงต้นปี 69

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้แล้วที่เงินช่วยเหลือสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะถูกโอนเข้าบัญชีทุกวันที่ 1 ของเดือน ซึ่งคาดว่าเงินช่วยเหลือจะโอนเข้าบัญชี ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 และ 1 ธันวาคม 2568 จำนวน 850 บาทต่อคนต่อเดือน รวม 1,700 บาทต่อคน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งปี 2568 เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาค่าครองชีพ รวมถึงช่วยเพิ่มกำลังซื้อ และเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2568 ส่งผลให้เกิดการบริโภค การผลิต และการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นลูกโซ่ ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม และจัดประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติมเป็นการชั่วคราวให้แก่ผู้มีบัตรฯ ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 จำนวน 13.4 ล้านคน

ทั้งนี้ ผู้มีบัตรฯ จะได้รับวงเงินเพิ่มอีกจํานวน 850 บาทต่อคนต่อเดือน โดยเพิ่มเติมจากวงเงินที่ได้รับเดิมจํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2568 กรณีมีวงเงินคงเหลือในเดือนใด จะไม่มีการสะสมไปในเดือนถัดไป สามารถใช้วงเงินได้ที่ร้านธงฟ้าฯ และร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม

“ผู้มีบัตรฯ สิทธิประโยชน์เป็นไปตามเดิมทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยน โดยได้วงเงินเพิ่มอีกจํานวน 850 บาท ทั้งนี้ รัฐบาลเตรียมเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ คาดในช่วงต้นปี 2569 โดยมีการทบทวน และปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณสมบัติใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และให้เข้าถึง “กลุ่ม” ที่ต้องการอย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีบัตรฯ” นายสิริพงศ์ กล่าว

Advertisement

“คนละครึ่งพลัส” ไม่จำกัดยอดขั้นต่ำต่อวัน ยอดที่เหลือใช้ต่อได้ในวันถัดไป

31 ตุลาคม 2568 รัฐบาล ยืนยัน “คนละครึ่งพลัส” ใช้สิทธิได้ถึง 31 ธันวาคม 2568 ไม่จำกัดยอดขั้นต่ำต่อวัน ยอดที่เหลือใช้ต่อได้ในวันถัดไป

นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ว่าหากประชาชนใช้สิทธิไม่ถึงวันละ 200 บาทจะถูกตัดสิทธิ์นั้น ไม่เป็นความจริง โดยรัฐบาลขอยืนยันว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิได้เต็มจำนวน ไม่มีกำหนดยอดขั้นต่ำต่อวัน และหากยอดใช้จ่ายในวันใดไม่ถึง 200 บาท ระบบจะทยอยยกยอดไปใช้ได้ในวันถัดไป ภายในระยะเวลาโครงการ ซึ่งเปิดให้ใช้สิทธิได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568

รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยมุ่งช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยในทุกพื้นที่ ประชาชนสามารถใช้สิทธิร่วมจ่าย 50% ผ่านแอป G-Wallet ได้ทั้งในร้านค้าทั่วไปและร้านบริการรายย่อย เช่น ร้านตัดผม ร้านนวดแผนไทย ร้านซักรีด ร้านอาหาร คาเฟ่ และบริการเดลิเวอรี ที่เข้าร่วมโครงการ

รองโฆษกรัฐบาลระบุว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิได้อย่างต่อเนื่องภายในกำหนดเวลา โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกตัดสิทธิ์หากใช้จ่ายไม่ครบ 200 บาทต่อวัน พร้อมขอเชิญชวนให้ประชาชนใช้สิทธิ์อย่างทั่วถึง เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนและสนับสนุนธุรกิจรายย่อยให้เข้มแข็ง เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม

Advertisement

รัฐบาลปลื้ม “คนละครึ่งพลัส” ผลตอบรับดี ยอดใช้จ่ายสะพัด

31 ตุลาคม 2568 รัฐบาลเผยยอดใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” สะท้อนการตอบรับดีทั่วประเทศ ร้านค้าทะลุ 7.8 แสนราย ยอดใช้จ่ายรวมกว่า 5.4 พันล้านบาท

นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยล่าสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น. มีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบและเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 780,659 ราย ทั่วประเทศ และมียอดใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบรวมกว่า 5,424.7 ล้านบาท

จากยอดการใช้จ่ายดังกล่าว แบ่งเป็น เงินที่รัฐบาลร่วมจ่าย 2,684.9 ล้านบาท และ เงินที่ประชาชนใช้จ่าย 2,739.8 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจบริการรายย่อย เช่น ร้านอาหาร ร้านตัดผม ร้านนวดแผนไทย ร้านซักรีด คาเฟ่ และบริการเดลิเวอรี ที่ได้รับผลดีจากมาตรการดังกล่าว

รองโฆษกรัฐบาลระบุว่า การดำเนินโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่มุ่งเน้นการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น เพิ่มกำลังซื้อของประชาชน และเสริมความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมเชิญชวนประชาชนใช้สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง

Advertisement

“อนุทิน” เผยการเจรจาภาษีศุลากร มีสัญญาณดี หลังพบ ทรัมป์ ครั้งที่ 2

30 ตุลาคม 2568 “อนุทิน” เผยการเจรจาภาษีศุลากร มีสัญญาณดี หลังพบ ปธน. ทรัมป์ ครั้งที่ 2 ก่อนการเข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเปค

วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568 เวลา 22.45 น. (ตามเวลาท้องถิ่นณ เมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ ชั้น 1 โรงแรม  Commodore Hotel เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน  หลังการเข้าร่วม งานเลี้ยงอาหารค่ำ แก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคเป็นกรณีพิเศษ และได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีเผย สัญญาณดีในหลายเรื่อง ทั้งการคลี่คลายความขัดแย้งชายแดนไทย -กัมพูชา หลังการลงนามถ้อยแถลงร่วมฯ ฝ่ายกัมพูชาก็ได้มีการเริ่มปฏิบัติการตามข้อตกลง ซึ่งฝ่ายไทยก็ได้เตรียมการ ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามถ้อยแถลง โดยทั้งสองต่างมีเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จให้เร็วที่สุด

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจามาตรการภาษีสหรัฐฯ ว่า เรายังมีการเจรจาภาษีการค้ากันอยู่  กำลังรอร่างข้อตกลงล่าสุด (เวอร์ชั่นสุดท้าย) ที่จะลงนาม ซึ่งตนเองได้ขอให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยได้รับเงื่อนไขที่ดีมากกว่านี้  ท่านก็รับปากจะไปแจ้งให้กับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบ ให้มีการพูดคุยกัน เพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี  จากการที่ได้มีการพูดคุยกับ ประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 2 ครั้งคือ ที่มาเลเซียครั้งหนึ่งและที่เกาหลีนี้  ก็ได้ย้ำกับท่านประธานาธิบดีอีกครั้ง  ซึ่งท่านประธานาธิบดีได้รับปาก แสดงถึงทิศทางที่ดีสำหรับไทย

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการร่วมประชุมเวทีระหว่างประเทศว่า สำหรับประเทศไทยเป็นสัญญาณที่ดีมากขึ้น จากการที่ได้ไปประชุมอาเซียน และต่อด้วยการประชุมเอเปค เชื่อว่า ไทยได้รับความสนใจจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยมีการหารือทวิภาคีกับผู้นำแทบทุกภาคีสมาชิก  อาทิ นายกรัฐมนตรีแคนาดา  ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ด้วย

Advertisement

Verified by ExactMetrics