วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

กรมสุขภาพจิตยกหลักธรรม “สติ-อภัยทาน” ผู้ขับขี่บนท้องถนน

People Unity : กรมสุขภาพจิต แนะวิธีการป้องกันความรุนแรงที่เหมาะสมที่ควรทำในการขับขี่ยานพาหนะ คือ 1. เผื่อเวลาก่อนออกเดินทาง 2. ตั้งสติก่อนสตาร์ท เตรียมกาย-ใจให้พร้อม 3. สร้างบรรยากาศดีๆ 4. อย่าคาดหวังในการปรับพฤติกรรมผู้อื่น และ 5. เป็นคนใจดีบนท้องถนน

วันที่ 24 ต.ค.2562 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในปัจจุบันการเดินทางบนท้องถนนเป็นเรื่องที่เครียดสำหรับใครหลายๆ คน เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานานอยู่บนท้องถนนที่มีการจราจรติดขัด เกิดมลภาวะ และมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยเคารพกฏจราจรและขับขี่อันตราย ความเครียดต่างๆ เหล่านี้ อาจก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งบนท้องถนนได้บ่อยครั้ง ซึ่งการบันดาลโทสะบนท้องถนน หรือ road rage มักพบได้ตั้งแต่การแสดงภาษากาย การแสดงความรุนแรงทางวาจา การทะเลาะวิวาททางกายภาพ หรือแม้แต่การใช้อาวุธทำร้ายร่างกายกัน โดยส่วนมากมักจะเริ่มจากความรุนแรงเล็กๆ และขยายตัวเป็นความรุนแรงที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การทะเลาะกับคนแปลกหน้าบนท้องถนนเล็กน้อยอาจนำไปสู่ปัญหาที่เป็นคดีความทางอาญาได้หากไม่มีวิธีการป้องกันที่ดี

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า การป้องกันความรุนแรงที่เหมาะสมที่ควรทำในการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน มีดังนี้ 1. เผื่อเวลาก่อนออกเดินทาง เพราะเส้นทางอาจมีการจราจรติดขัดหรือมีอุบัติเหตุ การเผื่อเวลาจะทำให้เราไม่ร้อนรนในการขับขี่ 2. ตั้งสติก่อนสตาร์ท ให้มีสติรู้ตัวเสมอว่าตนเองกำลังจะไปไหน มีใครรออยู่ และเตรียมสภาพกายและจิตใจให้พร้อมก่อนการขับขี่ยานพาหนะ โดยดูว่ามีความพร้อมหรือไม่ 3. สร้างบรรยากาศ โดยการเปิดเพลงที่ชอบและร้องตาม หรือพูดคุยเรื่องดีๆ กับคนที่โดยสารมาด้วย 4. อย่าคาดหวัง เพราะเราอาจต้องพบเจอผู้คนที่มีมารยาทบนท้องถนนแตกต่างกัน จึงไม่ควรคาดหวังว่า เราจะปรับพฤติกรรมของคนอื่นได้ ควรมองการขับขี่ถูกต้องและปลอดภัยของตนเองเป็นหลัก และ 5. เป็นคนใจดีบนท้องถนน โดยขับขี่เคารพกฏจราจร แบ่งปันน้ำใจต่อผู้ร่วมเส้นทาง ให้อภัย ไม่เก็บเอาความรุนแรงจากคนอื่นมาใส่ใจ ไม่มองถนนเป็นสนามแข่งที่ต้องมาเอาชนะกัน เน้นการเดินทางถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัยพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งนี้ จากการที่มีการกล่าวอ้างถึงปัญหาความรุนแรงบนท้องถนนกับอาการป่วยทางด้านสุขภาพจิตของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายๆ เหตุการณ์ สังคมไทยควรทำความเข้าใจว่า แม้การมีปัญหาด้านสุขภาพจิตควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และปัญหาด้านสุขภาพจิตบางกลุ่มโรค เช่น โรคทางอารมณ์ โรควิตกกังวล ที่อาจทำให้มีอารมณ์แปรปรวนง่าย เศร้าเสียใจ หรือหงุดหงิดได้ง่ายกว่าปกติ อาจจะทำให้ผู้ป่วยควบคุมอารมณ์ได้ยากก็ตาม แต่พฤติกรรมหรือการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นล้วนเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ทุกคนมีสิทธิเลือกวิธีตอบสนองอารมณ์ของตัวเองภายใต้ความรับผิดชอบของตัวเอง ดังนั้นปัญหาสุขภาพจิตจึงไม่ควรถูกยกมาเป็นคำอธิบายในการกระทำไม่ดีต่อผู้อื่นหรือกระทำไม่ดีกับสังคม เพราะจะทำให้สังคมมองภาพลักษณ์ผู้ป่วยจิตเวชในแง่ลบ โดยขอฝากทิ้งท้ายว่า “สังคมไทยควรเรียนรู้ที่จะยืนหยัดในการทำสิ่งที่ถูกต้อง ไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะให้อภัย” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

นายกฯเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือต่อสู้โรคไม่ติดต่อ (NCDs)

People Unity News : นายกรัฐมนตรี เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือต่อสู้โรค NCDs ในนิทรรศการ “Together Fight NCDs ร่วมมือต่อสู้โรค NCDs”

เนื่องจากวันที่ 29 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันอัมพาตโลก องค์การอัมพาตโลกได้กำหนดประเด็น (Theme) การรณรงค์วันอัมพาตโลกปี 2562 คือ Don’t Be The One กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดคำขวัญในการรณรงค์ว่า “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” พร้อมกันนี้ได้จัดกิจกรรมรณรงค์วันอ้วนโลก และวันเบาหวานโลก ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม–เดือนพฤศจิกายน เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อ

เช้าวันที่ 29 ต.ค.2562 ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกิจกรรมและเยี่ยมชมนิทรรศการ “Together Fight NCDs ร่วมมือต่อสู้โรค NCDs” พร้อมเชิญชวนประชาชน หน่วยงานทุกภาคส่วน และภาคีเครือข่าย ร่วมมือกันต่อสู้โรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในงานประกอบด้วยกิจกรรมวัดรอบเอว วัดความดันโลหิต วัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ วัดมวลสารในร่างกาย และกิจกรรมการแสดงสัญลักษณ์ลดน้ำตาลและเกลือโซเดียมลง 30% เพื่อลดการบริโภคอาหารเค็ม หวาน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นิทรรศการ “Together Fight NCDs ร่วมมือต่อสู้โรค NCDs” โรคอ้วน โรคอัมพาต โรคเบาหวาน เพื่อให้ประชาชนทราบความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคอัมพาต และโรคเบาหวาน สามารถรู้ตัวเลขที่บ่งชี้สุขภาพและทราบระดับความเสี่ยงของตนเอง (รู้ตัวเลข รู้รักษ์สุขภาพ – Know your number Know your risk) ได้แก่ น้ำหนัก ความดันโลหิต รอบเอว และระดับน้ำตาลในเลือด จึงเชิญชวนประชาชนใส่ใจสุขภาพ วัดก่อน รู้ก่อน ลดเสี่ยง เลี่ยงโรคไม่ติดต่อ

ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การจัดนิทรรศการในครั้งนี้เป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงปัญหาโรคอ้วน อัมพาต โรคเบาหวาน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น ปัจจุบันพบคนไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน 19 ล้านคน ผู้ป่วยอัมพาตรายใหม่ปีละ 42,000 คน และผู้ป่วยโรคเบาหวาน 5,000,000 คน จำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความร่วมมือกันต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ และที่สำคัญประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนของการเกิดโรค เช่น ภาวะอ้วน ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และปฏิบัติตนเพื่อให้มีสุขภาพดี ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ลดหวาน มัน เค็ม และตรวจสุขภาพทุกปี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ฝรั่งในไทยส่งจม.ชม”วราวุธ”! ยกเลิกถุงพลาสติกหูหิ้วในห้าง

People Unity : ฝรั่งในไทยส่งจม.ชม”วราวุธ”! ยกเลิกถุงพลาสติกหูหิ้วในห้าง พร้อมแนะส่งเสริมช่องทางการรีไซเคิลขยะพลาสติกให้แพร่หลายมากขึ้น

วันที่ 25 ตุลาคม 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โพสต์เล่าเรื่องราวผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “Top Varawut ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา” ถึงจดหมายที่ได้รับจากชายชาวต่างชาติรายหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย พร้อมพัสดุกล่องใหญ่ เป็นขยะถุงพลาสติกหูหิ้ว ที่ชายคนนี้ได้รับจากร้านค้าในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยจดหมายที่ส่งถึงรัฐมนตรีฯ ความว่า

“ตนรู้สึกดีใจมากที่ได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ ว่าในอีกระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนนี้ ประเทศไทยจะยกเลิกใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศแล้ว ถือเป็นก้าวที่ดีในการลดปัญหาขยะพลาสติกในเมืองไทย อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าการจะป้องกันขยะพลาสติกไม่ให้หลุดลอดไปสู่สิ่งแวดล้อม นอกจากวิธีลดการใช้พลาสติกแล้ว การรีไซเคิลก็สำคัญไม่แพ้กัน อยากขอให้กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมช่องทางการรีไซเคิลขยะพลาสติกให้แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะถุงพลาสติกหูหิ้ว ที่ร้านรับซื้อของเก่าในละแวกบ้านและชุมชนไม่รับซื้อ วันนี้ตนจึงนำถุงพลาสติกหูหิ้วที่ได้รับในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้ผ่านการทำความสะอาดเรัยบร้อยแล้ว ส่งมาให้ท่านนำไปรีไซเคิลต่อไป”

ด้วยความนับถือ
โรเบิร์ต แมคเกรเกอร์

ด้านนาย วราวุธ หลังได้รับจดหมายและพัสดุจากนายโรเบิร์ต ก็ลงมือเขียนจดหมายตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษด้วยลายมือตนเองทันที ความว่า

“25 ตุลาคม 2562
ถึง โรเบิร์ต

ขอบคุณสำหรับจดหมายลงวันที่ 11 ตุลาคม พร้อมถุงพลาสติกหูหิ้วกล่องใหญ่ ที่ส่งมาให้ เป็นวิธีการที่ฉลาดมากในการย้ำเตือนพวกเรา โดยเฉพาะภาครัฐให้เดินหน้าแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โปรดวางใจว่าผมจะทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ในการผลักดันการรีไซเคิลให้แพร่หลายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมการยกเลิกใช้พลาสติกประเภทครั้งเดียวทิ้งให้เป็นจริงทั่วประเทศ ไม่แค่เฉพาะในร้านสะดวกซื้ออย่างแน่นอน

เพราะเราไม่ได้รับมรดกโลกใบนี้มาจากคนรุ่นก่อน แต่กำลังยืมโลกใบนี้มาใช้จากคนรุ่นต่อไปในอนาคต มาร่วมกันรับผิดชอบ รักษา และส่งต่อโลกใบนี้ให้เจ้าของตัวจริงกันครับ”

ด้วยความปรารถนาดี
วราวุธ ศิลปอาชา

โดยนายวราวุธ ได้เขียนบนแฟนเพจว่า การรีไซเคิล เป็นอีกประเด็นที่ตนให้ความสำคัญ และตั้งใจเดินหน้าผลักดัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถร่วมกันรีไซเคิลขยะพลาสติกได้อย่างสะดวกสบายมากที่สุด พร้อมทั้งขอบคุณจดหมายของนายโรเบิร์ต ที่มองเห็นความพยายามในการทำงานของตน

ทั้งนี้ หลังจาก 3 เดือนที่ผ่านมา นายวราวุธ ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และดำเนินโครงการ”ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” โดยจับมือกับ 46 ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ทั่วประเทศ ยกเลิกแจกถุงพลาสติกหูหิ้วให้ลูกค้า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และจ่อผ่านกฏหมายแบนพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง 4 ประเภท ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว หลอดพลาสติก แก้วน้ำพลาสติก กล่องโฟม ภายในปี 2564

ที่มา – https://www.facebook.com/674202746364334/posts/791495854635022/

ส.ส.แรงงาน”อคน.”แนะ 6 มาตรการแก้สหรัฐตัด”จีเอสพี”

People Unity News : “อนาคตใหม่” เผย 3 ปัญหาหลักละเมิดสิทธิแรงงาน เหตุสหรัฐตัด “จีเอสพี” แนะ 6 มาตรการแก้ อัด “หม่อมเต่า” ใช้ทัศนอภิสิทธิ์ชนมองไม่เห็นนายทุนเอาเปรียบ

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 ที่สำนักงานใหญ่พรรคอนาคตใหม่ นายสุเทพ อู่อ้น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะกรรมธิการแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาจะตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า (GSP) ของไทยในวันที่ 25 เมษายน 2563 โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยหลังจากที่ ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาให้สัมภาษณ์ ที่นอกจากจะไม่ได้ตอบคำถามข้อสงสัยว่า สิทธิแรงงานข้อไหนที่เป็นปัญหาจนนำมาสู่การ ตัดสิทธิพิเศษนี้ อีกทั้งยังไปพาดพิงประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นเรื่อง นิสัยส่วนตัวของประธานาธิบดีทรัมป์ นั้น

นายสุเทพ กล่าวว่า ปีกแรงงานพรรคอนาคตใหม่อยากจะสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย รัฐบาลไทยล้มเหลวในการคุ้มครองสิทธิแรงงาน กฎหมายแรงงานไทยยังล้าหลังกว่ามาตรฐานแรงงานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล แรงงานจำนวนมากไม่สามารถรวมตัวกันเพื่อต่อรองได้อย่างเสรี ไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญา ILO ที่ 87และ98 เพื่อรับรองสิทธิการรวมตัวว่าเป็นสิทธิพื้นฐาน แม้จะมีการรณรงค์มาอย่างยาวนานโดยขบวนการแรงงาน รวมถึงรณรงค์ให้กฎหมายไทยสอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่กดทับแรงงานมาโดยตลอด อนุสัญญา ILO ที่ 87 คือเรื่องของการให้สิทธิและเสรีภาพในการรวมตัวกัน และ 98คือการเจรจาต่อรองของแรงงาน การนิ่งเฉยของรัฐบาลไทยที่รับฟังแต่กลุ่มนายทุนขนาดใหญ่ในประเทศ และเมินเฉยต่อผู้ใช้แรงงาน ผลก็คือ ไทยมีอัตราการรวมตัวของแรงงานอยู่ที่ 1.6% ต่ำที่สุดในอาเซียน ซึ่งตัวอย่างการละเมิดสิทธิแรงงานแต่ละรูปแบบคือ

1.แรงงานขาดเสรีภาพในการรวมตัวต่อรอง กล่าวคือกฎหมายไทยและการตีความของศาล (court interpretation) จำกัดสิทธิการรวมตัวของแรงงานชั่วคราวหรือแรงงานสัญญาจ้าง(subcontracted workers) แรงงานสัญญาจ้างไม่นับเป็นลูกจ้างของบริษัทที่ทำงานให้ แต่นับเป็นลูกจ้างของบริษัทที่จัดหางานมาให้แรงงานเหล่านี้ ทำให้แรงงานสัญญาจ้างไม่สามารถเข้าร่วมสหภาพแรงงานได้ อีกทั้งนายจ้างนิยมเพิ่มจำนวนแรงงานสัญญาจ้าง เพื่อลดกิจกรรมในสหภาพแรงงาน

2.สิทธิในการรวมตัวหยุดงานและเสรีภาพในการแสดงออก ตามมาตรา 33 ของ พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ห้ามลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจในการรวมตัวหยุดงาน มาตรา 77 กำหนดโทษอย่างรุนแรงแก่ผู้ฝ่าฝืน และสมาชิกสหภาพแรงงาน,นักสิทธิมนุษยชนมักถูกฟ้องอาญา เมื่อเปิดเผยข้อมูลการละเมิดแรงงาน ทั้ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์และแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ ระบุข้อยกเว้นอย่างกว้างๆไว้ ให้นายจ้างสามารถฟ้องได้ หากการกระทำนั้นเป็นการทำให้ชื่อเสียงของนายจ้างเสื่อมเสีย

3.การเลือกปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติและแรงงานบังคับ กล่าวคือการละเมิดสิทธิแรงงานและการบังคับใช้แรงงานถูกเปิดเผยอย่างต่อเนื่อง มีแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศให้รัฐบาลออกกฎหมายและรับสนธิสัญญาเพื่อคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยยกเลิกการให้สัตยาบันสนธิสัญญา ILO C188 ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง และ ILO 98 ว่าด้วยสิทธิการรวมตัวต่อรอง อีกทั้งยกเลิกการแก้ไข พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ เพื่อให้แรงงานข้ามชาติไม่สามารถต่อรองกับนายจ้าง

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ในฐานะตัวแทนของชนชั้นแรงงานเสนอว่า การแก้ปัญหาด้านสิทธิแรงงานข้างต้นอย่างเป็นระบบเท่านั้นจึงจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงานให้มีชีวิตที่มั่นคงปลอดภัยได้ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่เสนอกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 6 ข้อ เพื่อแก้ระยะแรก

1.รัฐต้องรับ อนุสัญญา ILO 87 , 98 ว่าด้วยเรื่องการรวมตัวเจรจาต่อรอง เพื่อสนับสนุนเพิ่มอำนาจให้คนทำงานทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถต่อรองกับนายจ้างได้ จะไม่นำมาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการจ้างงานในที่ทำงานเดียวกัน

2.การต้องปรับเปลี่ยนพนักงานรายวันสู่การเป็นพนักงานรายเดือนเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับชีวิตของคนทำงาน ที่ปัจจุบันในสายการผลิตเดียวกันทำงานเดียวกัน แต่คนนึงเป็นพนักงานรายเดือนที่ได้เงินที่มั่นคงทุกเดือน อีกคนเป็นพนักงานรายวันที่หากวันไหนเกิดป่วยหรือวันหยุดที่ไม่ได้มาทำงานก็จะขาดรายได้ไปชีวิตไม่มั่นคงรายได้ไม่แน่นอน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดมาเป็นทศวรรษ

3. ต้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรืออัตราเงินเฟ้อตามแต่ค่าใดสูงกว่า เพื่อให้รายได้ของผู้ใช้แรงงานสอดรับกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ

4. ต้องลดชั่วโมงการทำงานรายสัปดาห์ เป็น 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อเพิ่มเวลาพักผ่อนให้กับคนทำงานให้คนทำงานได้มีเวลาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวมากขึ้น เพิ่มวันหยุดพักร้อนเป็น 10 วันต่อปีและสามารถสะสมได้

5. การเพิ่มสิทธิการลาคลอดและการเลี้ยงดูบุตรโดยได้รับค่าจ้างเป็น 180 วัน เพื่อให้สอดรับกับสังคมผู้สูงอายุที่มีประชากรรุ่นใหม่จำนวนน้อยลง

6. การกำหนดค่าจ้างตามประสบการณ์และมาตรฐานแรงงานเพื่อป้องกันการที่ผู้ใช้แรงงาน ต้องอยู่กับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตลอดชีวิต

“สิ่งต่างๆเหล่านี้พรรคอนาคตใหม่มีความพยายามเป็นอย่างยิ่ง เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรส่วนหนึ่งของพรรคมาจากคนงาน มาจากผู้ใช้แรงงาน เพื่อสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และอยากให้ภาคสังคมรวมไปถึงผู้บริหารประเทศ เข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริงของผู้ใช้แรงงาน เพื่อนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง มิเช่นนั้นจะโดนบิดเบือนอยู่อย่างนี้ ซึ่งเรื่องของวัฒนธรรมไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และยกระดับมาตรฐานสากล ประชาชนต้องตื่นตัวกับปัญหา GSP นี้ ที่จะต้องแก้ไขโดยด่วน โดยอาจจะส่งผลต่อไปกับภาคธุรกิจ และพี่น้องผู้ใช้แรงงาน” นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า คำให้สัมภาษณ์ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สะท้อนถึงการไม่ทำความเข้าใจปัญหารากลึกของการละเมิดสิทธิแรงงาน อันเป็นทัศนะของอภิสิทธิ์ชนที่ไม่มองว่การละเมิดสิทธิโดยนายทุนไทยถูกละเลยจากรัฐบาลอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมาธิการแรงงานภายใต้การนำของนายสุเทพได้ผลักดันให้รัฐบาลยกระดับการบังคับใช้กฎหมายแรงงานให้ครอบคลุมกำลังแรงงานทั้งระบบอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ยกระดับประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบ รวมถึงการขึ้นบัญชีดำบริษัทที่มีการละเมิดสิทธิแรงงาน การยกระดับกฎหมายแรงงานและรับอนุสัญญา ILO 87-98 คือทางรอดของทุกคน

“CKPower”โตต่อเนื่อง! ไซยะบุรีพร้อมขายไฟ 1,220 เมกะวัตต์ให้ไทยตามกำหนด

People Unity News : “CKPower”โตต่อเนื่อง! ไซยะบุรีพร้อมขายไฟ 1,220 เมกะวัตต์ตามกำหนด เสริมเสถียรภาพพลังงานสะอาดให้ไทยแล้ว 29 ต.ค.นี้ ผู้ถือหุ้นและสถาบันการเงินเตรียมยิ้มรับรายได้ก้อนโต หลังทุ่มเงินลงทุนกว่า 135,000 ล้านบาท ก่อสร้าง 8 ปี ตอบโจทย์การใช้งานพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของไทย

วันที่ 29 ตุลาคม 2562 นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ คือ “CKP” ผู้บริหารโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี สปป. ลาว เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าครบทั้ง 7 เครื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ไซยะบุรี จำนวน 1,220 เมกะวัตต์ เพื่อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date : COD) ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อย่างเป็นทางการ ภายหลังจาก กฟผ.ได้ออกหนังสือรับรองความพร้อมของโรงไฟฟ้าไปแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยกฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าไซยะบุรีในราคาเฉลี่ยประมาณ 2 บาท ต่อหน่วยการผลิตไฟฟ้า

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 1,285 เมกะวัตต์ โดยอยู่ในสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ทั้งหมด 1,220 เมกะวัตต์ ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุด 7,600 ล้านหน่วยต่อปี จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาดเครื่องละ 175 เมกะวัตต์ จำนวน 7 เครื่อง โดยไฟฟ้าจะส่งเข้าสู่ประเทศไทยด้วยสายส่งขนาด 500 กิโลโวลต์ จากสปป.ลาว เข้าทาง อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ส่วนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอีก 1 เครื่อง ขนาด 60 เมกะวัตต์ ส่งให้รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) ด้วยขนาดสายส่ง 115 กิโลโวลต์ เพื่อใช้ภายในสปป.ลาว

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เป็นสัญญาสัมปทานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่รัฐบาลสปป. ลาว ให้แก่บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CKPower มีระยะเวลาสัมปทาน 31 ปี โดยโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบฝายทดน้ำขนาดใหญ่ (Run-of-River) แห่งแรกบนแม่น้ำโขงตอนล่าง ตั้งอยู่ในแขวงไซยะบุรี สปป.ลาว มีมูลค่าโครงการทั้งสิ้นรวม 135,000 ล้านบาท เริ่มการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2555 รวมระยะเวลา 8 ปี

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ทยอยทดสอบเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเริ่มขายไฟฟ้าอย่างไม่เป็นทางการจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องแรกให้ กฟผ.เมื่อเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา โดยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหลักทั้ง 7 เครื่อง ต้องผ่านการทดสอบจ่ายไฟเข้าสู่ระบบของ กฟผ. ด้วยมาตรฐานที่เข้มงวด ทั้งการทดสอบสมรรถนะการเดินเครื่องแยกเป็นเครื่องๆ (Individual Test) และทดสอบเดินเครื่องพร้อมกันเป็นชุด (Joint Test) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี สามารถทำหน้าที่เป็นโรงไฟฟ้าหลักที่มีเสถียรภาพสูง รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงของแต่ละวัน (Daily Peaking) รวมถึงสามารถทำหน้าที่รองรับสภาวะฉุกเฉิน กรณีที่มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่บริเวณข้างเคียงเกิดขัดข้อง

นายธนวัฒน์ กล่าวว่า CKPower ในฐานะผู้ดำเนินโครงการดังกล่าว ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสภาพสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยบริษัทฯ ได้ลงทุนเพิ่มเติมกว่า 19,400 ล้านบาท เพื่อศึกษา พัฒนา และเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล

โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำชนิดฝายทดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีมูลค่าลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมสูงเป็นประวัติการณ์ มีความทันสมัย ด้วยประตูระบายตะกอนแขวนลอยและตะกอนหนักใต้น้ำมีเทคโนโลยีทางปลาผ่านที่ทันสมัย และที่สำคัญเป็นการศึกษาและพัฒนาให้เหมาะกับพันธุ์ปลาในลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด จึงถือว่าเป็นการศึกษาพฤติกรรมปลาในลุ่มแม่น้ำโขงที่ต่อเนื่องและมีข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุดในขณะนี้

“CKPower ในฐานะผู้พัฒนาและบริหารโครงการและโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ขอแสดงความขอบคุณรัฐบาล สปป.ลาว รวมทั้งรัฐบาลไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว องค์กร หน่วยงาน เจ้าหน้าที่ ที่ให้ความเชื่อมั่นในการเป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ซึ่งถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งแรกบนแม่น้ำโขงตอนล่างจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ สามารถส่งไฟฟ้าสะอาดให้แก่ประเทศไทยและ สปป.ลาว ได้ตรงตามกำหนด บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจบนสมดุลระหว่างผลตอบแทนและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยความเชื่อมั่นในหลักการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน” นายธนวัฒน์ กล่าว

ข้อมูลเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี : ทุนจดทะเบียน 790,000,000 เหรียญสหรัฐ ผู้ถือหุ้น ประกอบด้วย บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CK Power Public Company Limited) 37.5% บริษัท นที ซินเนอร์ยี่ จำกัด (Natee Synergy Company Limited) 25% รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos) 20% บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (Electricity Generating Company Limited) 12.50% และ บริษัท พีที จำกัด (ผู้เดียว) (PT Sole Company Limited) 5%

ข้อมูลเกี่ยวกับ CKPower : บริษัทฯ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่าง ๆ 3 ประเภท จำนวน 13 โครงการ รวมขนาดกำลังการผลิตติดตั้งที่ 2,167 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ 2 โครงการ ภายใต้ บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 46% (ถือผ่าน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ และบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 37.5% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,285 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม จำนวน 2 โครงการ ภายใต้ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ 65% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 238 เมกะวัตต์ และโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 9 โครงการ ภายใต้ บริษัท บางเขนชัย จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 100% จำนวน 7 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 15 เมกะวัตต์ ภายใต้ บริษัท เชียงรายโซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 30% จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 8 เมกะวัตต์ และภายใต้บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 30% จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์

ภท.ติวเข้มพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง! “อนุทิน”ขอทุกฝ่ายรวมพลังพาชาติเดินหน้า

People Unity : “อนุทิน” ต้อนรับผู้เข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูงรุ่นที่ 10 ที่พรรคภูมิใจไทย วอนทุกฝ่ายรวมพลังพาชาติเดินหน้า หนุนรัฐบาลทำงานหนัก เสริมแกร่งเสถียรภาพ มั่นใจ ฝ่ายการเมืองอยู่ในกรอบ เพราะ ปชช.ตรวจสอบหนัก

วันที่ 18 ต.ค.2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวขณะให้การต้อนรับผู้เข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูงรุ่นที่ 10 (พตส.10) ที่ได้มาศึกษาดูงานที่พรรค ตอนหนึ่งว่า คนไทยเก่งๆ เยอะมาก ถ้ารวมพลังกันได้ รับรองว่าบ้านเมืองจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง วันนี้ รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ แต่มั่นใจว่ามีศักยภาพแข็งแกร่ง เพราะทุกพรรคช่วยกันทำงาน ให้เกียรติกัน และฟังกัน

“ความสำเร็จของพลังอันเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจ ขอยกเรื่องการแบนสารพิษ พอพรรคภูมิใจไทยเริ่ม ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน มันก็เห็นผลสำเร็จอยู่ตรงหน้า ขออีกตัวอย่างคือกระทรวงสาธารณสุข มีผลงานอยู่ตลอด เพราะฝ่ายการเมือง ข้าราชการ ประชาชน สนับสนุน” นายอนุทิน กล่าวและว่า

รัฐบาลมีเสถียรภาพ แต่ก็ถูกตรวจสอบจากประชาชนตลอดเวลา ดังนั้น การทำงานต้องอยู่กับร่องกับรอย ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ประชาชนพอใจได้คือการทำงานให้หนัก จนประชาชนเห็นผลงานและประทับใจ

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีปัญหาในเรื่องของอำนาจรัฐที่เข้าไปวุ่นวายกับประชาชนมากเกินไป ทางพรรคจึงมีนโยบายลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน ยกตัวอย่าง หากต้องการจะสร้างโรงงาน เอกชนต้องไปขออนุญาต 4-5 หน่วยงาน มันต้องลดขั้นตอนเหล่านี้ อาจจะให้เอกชนตรวจสอบตัวเอง แล้วภาครัฐสุ่มตรวจอีกรอบ เพื่ออำนวยความสะดวกกับประชาชน ในเรื่องกัญชา ในอดีตคือผิดกฎหมาย 100% แต่วันนี้ ได้ใช้อำนาจของตนเองในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แก้ไขกฎกรอบจนสามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ได้แล้ว

สิ่งที่ต้องการเห็นคือ การจัดลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณ ทุกวันนี้ เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเศรษฐกิจไม่ดี มันก็ต้องคิดเรื่องการนำงบแผ่นดินไปใช้อย่างคุ้มค่า พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแลกระทรวงคมนาคม การสร้างสาธารณูปโภค ต้องใช้ของไทย คนไทยสร้าง ให้เงินอยู่ในประเทศเป็นหลัก เอาตรงนี้ก่อน เรื่องยางราคาตก เราก็มองไปที่การนำยางพารามาทำเป็นแบริเออร์ ให้รัฐ เป็นฝ่ายเพิ่มปริมาณการใช้ ดึงราคายางให้สูงขึ้นด้วยตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ

“มีการถามว่าทำไมต้องไปคิดอะไรให้ยุ่งยาก ทำไมไม่อัดเงินเข้าไปเลย คำตอบคือรัฐธรรมนูญไม่สนับสนุนนโยบายประชานิยม พรรคภูมิใจไทย ต้องคิดอะไรที่มันซับซ้อนขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา รับรองว่าคุ้มค่า และเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวด้วย พรรคภูมิใจไทย ทำงานแบบนี้ ให้ความสำคัญกับนโยบาย และการทำงานให้เห็นผลงานอย่างเร็วที่สุด ผลประโยชน์ถึงประชาชนมากที่สุด”

 

“สุริยะ”ยันสั่ง 3 ตัวแทนอุตสาหกรรม ลงมติแบน 3 สารพิษ

People Unity : “สุริยะ”ยันสั่ง 3 ตัวแทนกระทรวงอุตสาหกรรมในคณะกรรมการวัตถุอันตราย แบน 3 สารพิษ ตามความเห็นกระทรวงเกษตรฯ

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 ต.ค. 2562 ตามเวลาท้องถิ่นที่เมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณี “แบน 3 สารพิษ” ว่า ในการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย วันนี้ ได้สั่งการให้กรรมการ 3 คน ที่เป็นตัวแทนกระทรวงอุตสาหกรรม โหวตตามความเห็นของกรรมการ 5 คน ที่เป็นตัวแทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในเรื่องของการแบนหรือไม่แบนการใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ คลอร์ไพริฟอส พาราควอต ไกลโฟเซต เพราะตั้งแต่มีกฎกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อปี 2555 ที่ออกตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535กระทรวงอุตสาหกรรมได้แบ่งงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไว้ชัดเจน ว่า ถ้าเป็นสารเคมีที่เกี่ยวกับการเกษตรก็ให้กระทรวงเกษตรฯ ดูแล ถ้าเป็นสารเคมีด้านอุตสาหกรรมก็ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดูแล ฉะนั้น เรื่องตอนนี้เป็นสารเคมีทางการเกษตร ทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็จะเชื่อตามกระทรวงเกษตรฯ ในฐานะที่เชี่ยวชาญด้านนี้ โดยให้ 3 คนของกระทรวงอุตสาหกรรมแบนตามอธิบดีกรมวิชาการเกษตร

“เพื่อไทย”จึ้รัฐเร่งเจรจาสหรัฐฯก่อนถูกตัด GSP

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

People Unity News : “เพื่อไทย”จึ้รัฐเร่งเจรจาสหรัฐฯก่อนถูกตัด GSP แนะเตรียมหามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการส่งออกที่จะได้รับผลกระทบด้านภาษี

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 ที่พรรคเพื่อไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายศราวุธ เพชรพนมพร รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวกรณีที่สหรัฐฯ เตรียมระงับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรที่ประเทศพัฒนาแล้วให้กับประเทศกำลังพัฒนาและ ด้อยพัฒนา หรือ GSP กับประเทศไทย

นายศราวุธ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า คณะกรรมาธิการการต่างประเทศฯ จะนำเรื่องที่ไทยจะถูกสหรัฐตัดสิทธิ GSP หารือว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร ซึ่งจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าการที่ไทยถูกตัดสิทธิ เพราะโตเร็วเกินไป มีการพัฒนาสูงนั้น เห็นว่าไม่น่าจะใช่เหตุผลที่ถูกต้อง เพราะหากมองตามข้อเท็จจริง จะพบว่าประเทศที่จะได้รับสิทธิ GSP จะต้องมีรายได้ต่อหัวไม่เกิน 12,476 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ซึ่งไทยมีรายได้ต่อหัวของคนไทยอยู่ที่ 7,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี รวมถึงต้องพิจารณาว่าประเทศไทยแก้ไขปัญหาเรื่องแรงงานได้ตรงตามมาตรฐานสากลแล้วหรือไม่ ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ยังเหลืออีก 6 เดือนก่อนที่จะถูกตัดสิทธิ รัฐบาลต้องเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ เพราะหลายประเทศที่ถูกตัดสิทธิ GSP ก็เดินหน้าเจรจาสำเร็จมาหลายประเทศแล้ว ขณะเดียวกันรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการส่งออกที่จะได้รับผลกระทบด้านภาษี ทั้งนี้คณะกรรมาธิการการต่างประเทศฯ จะเชิญกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ มาหารือเพื่อหามาตรการเยียวยากลุ่มผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบครั้งนี้

ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า รัฐบาลควรให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับประชาชน และควรหาทางเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอคืนสิทธิ GSP เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลายประเทศก็เคยเจรจากับสหรัฐฯ จนได้รับสิทธิคืน ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลไม่ควรตีกิน และเป็นสิทธิอันชอบธรรมของนายกรัฐมนตรีที่จะให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นว่าประเทศไทยไม่มีความจำเป็นต้องถูกตัดสิทธิ GSP รัฐบาลไม่ควรปัดความรับผิดชอบ เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับประชาชนและผู้ประกอบการ

“บิ๊กตู่”ไม่ตื่น! ถูกสหรัฐฯตัดจีเอสพี ยันเป็นเรื่องกม.แต่ละประเทศ

People Unity : “บิ๊กตู่”ไม่ตื่น! ถูกสหรัฐฯตัดจีเอสพี ยันเป็นเรื่องกม.แต่ละประเทศ ระบุยังมีเวลาหารือกันอีก 6 เดือน

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ไบเทค บางนา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานมหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับชาติ ถึงกรณีสหรัฐอเมริกาตัดจีเอสพีสินค้าไทยว่า เป็นเรื่องของสหรัฐฯ เป็นเรื่องของกฎหมายใคร ก็กฎหมายเขา ซึ่งมีการทำงานของหน่วยงานเขา ของเราก็มีของเรา ตนจึงไม่อยากให้ไปคาดเดาว่า ตัดตรงนี้เพราะอะไร อย่างไร ทั้งนี้ รัฐบาลทราบมาอยู่แล้วว่า จะมีปัญหาตรงนี้ ที่ผ่านมาก็แก้ปัญหามาโดยตลอด กระทรวงพาณิชย์ ก็ได้มีการเจรจา ต่อรองเยอะแยะ โดยข้อสำคัญ เราเจรจาอย่างเดียวไม่ได้ เราก็ต้องแก้ไขปัญหาภายในของเราด้วย โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาแรงงาน เราจะต้องไปดูว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน บางอย่างมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับในประเทศของเรา ทั้งคนของเรา แรงงานของเรา แรงงานต่างด้าวในประเทศ ซึ่งเราพยายามเดินหน้าเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ฉะนั้นวันนี้ จะคาดเดาไม่ได้ เหมือนเขาก็คาดเดาเราไม่ได้เหมือนกัน ว่าเราจะทำอะไรต่อไป จึงขึ้นอยู่กับกติกา มันอยู่ตรงไหน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กติกาของเรา ก็ทราบอยู่แล้วในหลายเรื่องด้วยกัน วันนี้อยากจะบอกว่า คงไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องตื่นตระหนก หรือว่ากล่าวให้ร้ายกันไปมา มันไม่เกิดประโยชน์ และเท่าที่กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงมา คิดว่าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จะเห็นว่ารัฐบาลก็ได้ทำมาโดยตลอด เพียงแต่ระยะเวลาที่ดำเนินการมา ได้ทำหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะกฎหมายแรงงานคือปัญหาหลักของเรา ถ้าเราทำตามเขามากๆ เราจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่ากับเราเอง ฉะนั้น เราต้องลดทั้งปัญหาภายใน และภายนอกไปด้วยกัน

นายกฯกล่าวว่า วันนี้เท่าที่ได้ฟังตัวเลขต่างๆ เป็นจำนวนไม่มากนัก ทั้งหมด 500 กว่ารายการ เราใช้ไปประมาณ 300 กว่ารายการ อีก 100 กว่ารายการเราก็ไม่ได้ใช้ของเขา สิ่งสำคัญที่สุดวันนี้ เราต้องตื่นตัว ภาคเอกชนก็ต้องตื่นตัวไปด้วยในการพัฒนา รวมถึงการดูแลแรงงานในประเทศไทยด้วย รัฐบาลไม่ได้ลงไปข้างล่าง แต่ก็จะใช้กฎหมายในการตรวจตรา บังคับจับกุม ฃเป็นเรื่องของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ก็เดินหน้าปรึกษากันในเรื่องนี้

“ทุกคนต้องมาแก้ปัญหาร่วมกัน เราถ้าไปว่าคนนู้น เดี๋ยวคนนู้นก็ว่ากลับมา ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราต้องแก้ และมีการส่งผู้แทนไปเจรจามาโดยตลอดในทุกเรื่อง ช่วงที่ผ่านมาเราเจรจามาก ในหลายเรื่องที่เป็นปัญหาในอดีต เขาคุยกันหมดแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ประเทศเขาจะยินยอมแค่ไหน”นายกฯกล่าว

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีเวลาอีก 6 เดือน เราก็ต้องหาวิธีการพูดคุยกันต่อไป ถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เพราะเป็นกฎหมายของเขา อย่าให้เป็นปัญหาทางการเมือง และอย่าพูดให้ทุกอย่างมันเลวร้ายไปกว่าเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ต้องมีอยู่ คู่ค้าสำคัญของเราเหมือนกัน จะบอกว่าอย่างนู้น อย่างนี้ไม่ได้ เพราะเป็นนโยบายของเขา แต่จะทำอย่างไรให้ร่วมมือกันได้ หยุดเถอะเรื่องพวกนี้ ไม่เกิดประโยชน์หรอก มันจะเสียหายมากกว่าเดิม

เมื่อถามว่า ถึงอย่างไรเราก็จะยึดกฎหมายเรา ไม่โอนอ่อนผ่อนตามใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “กฎหมายเรา โอนอ่อนผ่อนตามใคร ตรงนั้นเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎหมายกับประเทศมหาอำนาจ เราก็ต้องดีลกัน ว่าจะทำอย่างไร บางอันเป็นกฎหมายพหุภาคีเกี่ยวข้องกับหลายประเทศด้วยกัน บางอันเป็นกฎหมายทวิภาคี กฎหมายเขา กฎหมายเรา จะเชื่อมโยงกันได้อย่างไร แต่ถ้าเขาตั้งกฎเกณฑ์ไว้สูง เราก็ลำบากหน่อย เพราะเรากำลังพัฒนาเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเรื่องนี้โดนกันหลายประเทศ อย่างอินโดนีเซีย ก็ต้องดูว่าเราเสียประโยชน์เท่าไหร่ เราเสียภาษีเพิ่มขึ้นมาประมาณ 50 ล้านเหรียญ

เมื่อถามว่า ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน จะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนต้องคุยกันอยู่แล้ว เมื่อถามว่า รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าทางสหรัฐฯ จะมีท่าทีเช่นนี้ออกมา ได้มีการเตรียมมาตรการไว้แล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มัน 9 ปีมาแล้ว ซึ่งสิทธิประโยชน์ทุกอย่างเราก็ต้องมาดู เอามาทบทวนหมด เพราะทุกอย่างเรากำลังโตขึ้น เมื่อโตขึ้น ก็มีตัดสิทธิพิเศษเหล่านี้ เช่นประเทศกำลังพัฒนา ประเทศที่ยังไม่ได้พัฒนา เขาให้สิทธิตรงนั้นมา 9 ปีแล้ว ถ้าเขาตัดสิทธิอย่างนี้ เราโตเกินไปหรือไม่ โตเร็วแล้วใช่ไหม รายได้ต่อหัวของประชากรสูงขึ้นใช่หรือไม่ และต้องดูจีดีพีของเราด้วย เพราะเขาดูตรงนี้

“ผมคิดว่าเราคุยกันได้ อะไรที่เป็นสิทธิประโยชน์ วันนี้เขาคืนมา 7 อย่างไม่ใช่หรือ ของเก่ามีตั้ง 500 กว่ารายการ เราใช้ไปแค่ 300 กว่ารายการ ส่วนที่เหลือไม่ได้ใช้ แล้วมูลค่าเหล่านี้ก็ไม่มากนัก แต่ข้อสำคัญต้องไปดู ว่าสินค้ามีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงน้อยจะไปแก้กันอย่างไร จะดีลกันอย่างไร ขณะเดียวกัน ยังไงเราก็ต้องคบค้าสมาคมกันต่อไป มีการแลกเปลี่ยนซื้อของซึ่งกันและกัน บางทีการเมืองกับเศรษฐกิจมันก็เกี่ยวข้องกันหมด เราก็อย่าให้มันแย่ลงไปก็แล้วกัน อย่าไปยึดโยงกับอย่างอื่นแล้วกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

“แพนเค้ก​ เขมนิจ​”พร้อมครอบครัวทำบุญทอดกฐินที่วัดไทยเมืองลียง​ฝรั่งเศส

People Unity News : “แพนเค้ก​ เขมนิจ​”พร้อมครอบครัวทำบุญทอดกฐินที่วัดไทยเมืองลียง​ฝรั่งเศส สมเด็จพระมหาธีราจารย์เป็นประธาน

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณกรรมการฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร ได้เดินทางไปเป็นประธานในการทอดกฐินสามัคคี​ ณ​ วัดนวมินทรราชูทิศ​ เมืองลียง​ ประเทศฝรั่งเศส ในโอกาสนี้มี”แพนเค้ก​ เขมนิจ​ เขมนิจ​ จามิกรณ์” นางนวลอนงค์​ จามิกรณ์​ พร้อมครอบครัวและคณะ​ ได้เดินทางไปร่วมทำบุญด้วย

Cr.เพจ Watnawamin Lyon

Verified by ExactMetrics