วันที่ 17 พฤษภาคม 2024

“คณะสื่อกัมพูชา”เข้าพบ”เทวัญ” หารือแนวทางแก้ปัญหา’เฟคนิวส์’

People Unity : “คณะสื่อมวลชนกัมพูชา” เข้าเยี่ยมคารวะ “รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” ย้ำความสัมพันธ์อันดีของ2ประเทศ พร้อมหารือแนวทางแก้ปัญหา”Fake News”

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 21 ตุลาคม 2562 ที่ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเปญ โบนา (Mr. Pen Bona) นายกสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club Cambodian journalists) นำคณะเข้าเยี่ยมคารวะ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายกสมาคมนักข่าวกัมพูชา แสดงความขอบคุณรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้โอกาสเข้าพบ พร้อมทั้งยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา

สำหรับด้านสื่อมวลชนนั้นทั้งสองฝ่ายมีการลงนามบันทึกความเข้าใจในการแลกเปลี่ยนการฝึกอบรมระหว่างสมาคมนักข่าวกัมพูชา และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยซึ่งมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือและความเข้าใจอันดีในการดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยและกัมพูชาต่อไป ซึ่งทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการประชาสัมพันธ์ในสังคมปัจจุบันที่เป็นยุคสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสื่ออินเตอร์เน็ต และดิจิทัล เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาข่าวลวง (Fake News) ในวงกว้าง ซึ่งนายกสมาคมนักข่าวกัมพูชาได้สอบถามแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของรัฐบาล

ส่วน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลหน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ของรัฐ ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการแก้ไขปัญหา Fake News โดยมีการดำเนินการ 3 วิธี ได้แก่ 1.ปิดเว็บไซต์ที่นำเสนอข่าวที่บิดเบือน 2.ให้ความรู้และประชาสัมพันธ์กับประชาชนให้ระมัดระวังในการส่งต่อข้อมูล 3.ตั้งอาสาสมัครในการให้ความรู้ รวมถึงสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่อง Fake News นอกจากนี้กรมประชาสัมพันธ์มีการจัดตั้ง “ข่าวจริงประเทศไทย” ทางแอพพลิเคชั่น Line และ Facebook เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย

ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมยืนยันว่า หากมีสิ่งใดที่สามารถให้ความร่วมมือกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาได้ รัฐบาลไทยยินดีให้ความร่วมมือต่อไป

ให้ความสำคัญสภาฯ! “บิ๊กแดง”บินกลับด่วนเข้าแจงกมธ.มั่นคง ปมบรรยายพิเศษ

People Unity : ให้ความสำคัญสภาฯ! “บิ๊กแดง”บินกลับด่วนเข้าแจงกมธ.มั่นคง ปมบรรยายพิเศษ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง”

วันที่ 21 ต.ค.2562 พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยพลเอกสุนัย ประภูชะเนย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เดินทางเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการกิจการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีพลโทพงศกร รอดชมภู เป็นประธาน หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ตรวจชายแดนไทย-เมียนมา ที่จังหวัดกาญจนบุรี หลังคณะกรรมธิการฯ มีมติ ให้เชิญผู้บัญชาการทหารบกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นภายหลังเปิดเวทีบรรยายเรื่อง “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา

พลเอกอภิรัชต์ กล่าวว่า ตนให้ความสำคัญกับคณะกรรมาธิการฯชุดนี้ ซึ่งหลังจากที่ได้มีการส่งหนังสือเชิญตนผ่านทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทางรัฐมนตรีญก็ได้พิจารณาและให้กองทัพบกจัดตามความเหมาะสม ซึ่งในวันนี้เมื่อช่วงเช้าตนได้มีภารกิจตรวจเยี่ยมหน่วยทหารชายแดนไทย-เมียนมา และมอบนโยบาย ที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยตามกำหนดการจะเสร็จในช่วงบ่าย แต่ตนได้ยกเลิกภารกิจบางส่วนเพื่อบินกลับมา และได้เปลี่ยนเสื้อผ้าในรถยนต์ ทั้งนี้ยืนยันว่า พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้ความร่วมมือต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พลเอกอภิรัชต์ได้มอบหมายให้พลเอกสุนัยเข้าชี้แจงแทน เนื่องจากติดภารกิจ ตรวจชายแดนไทย-เมียนมา ที่จังหวัดกาญจนบุรีในช่วงเช้า แต่พลโทพงศกรไม่อนุญาตให้พลเอกสุนัยชี้แจงเนื่องจากเห็นว่า การบรรยายดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้บัญชาการทหารบก จึงจำเป็นต้องให้ผู้บัญชาการทหารบก มาชี้แจง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับกรรมาธิการฯ ด้วยตัวเอง พร้อมยืนยันว่า การเชิญผู้บัญชาการทหารบกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนี้ไม่ใช่การแทรกแซงการทำงาน แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็น และหากกรรมาธิการมีข้อสังเกตสำคัญ ก็จะเสนอให้ผู้บัญชาการทหารบก ไปพิจารณา ซึ่งจะดำเนินการหรือไม่ก็ได้

โดยการชี้แจงของพลเอกอภิรัชต์ต่อที่ประชุมกรรมาธิการฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกรรมาธิการนั้น เป็นการหารือแบบลับ ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก”Wassana Nanuamได้โพสต์ข้อความโดยสรุปว่า” “บิ๊กแดง” ไม่ว่าง! บินตรวจชายแดน ส่ง”บิ๊กนัย” ผู้ช่วยผบ.ทบ.รบพิเศษ ไปพบกรรมาธิการ ความมั่นคงฯ แทน ทบ.ส่งหนังสือ ย้ำ ขอให้เกียรติ ผู้แทน ทบ. ด้วยกองทัพบก ได้ส่งหนังสือ ถึงคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎรว่า ตามที่ มีหนังสือถึงรมว.กลาโหมเพื่อเชิญ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่องความมั่นคงนั้น นับเป็นเรื่องที่ดีและถือเป็นการเพิ่มความเข้าใจ ระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคง กับคณะกรรมาธิการ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ทิซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของชาติ…………………….”

คกก.ควบคุมโรคติดต่อเห็นชอบยกระดับด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

People Unity : คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบประกาศกระทรวงสาธารณสุข ยกระดับการป้องกันควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เพิ่มคณะทำงานโรคติดต่อ ลดและเพิ่มโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เข้าประเทศ

วันที่ 24 ต.ค.2562 ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ครั้งที่ 2/2562 ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในการดำเนินการที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เข้าสู่ประเทศ จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….เห็นชอบให้ยกระดับการป้องกันควบคุมโรค ณ “จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก” อ.ภูซาง จ.พะเยา ให้เป็น “ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศพรมแดนบ้านฮวก” ซึ่งปัจจุบันมีด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 68 ด่าน

นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า สำหรับ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานประจำช่องทางเข้าออก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เห็นชอบให้เพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานประจำช่องทางเข้าออกประเทศใน 5 ช่องทาง พื้นที่ จ.สงขลา ได้แก่ ด่านท่าเรือสงขลา ด่านพรมแดนสะเดา ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ด่านพรมแดนบ้านประกอบ และท่าอากาศยานหาดใหญ่

นอกจากนี้ ได้เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. โดยเพิ่ม 2 โรค คือ โรคพยาธิใบไม้ตับ และการติดเชื้อในโรงพยาบาล และตัดรายชื่อ 4 โรคออกจากโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ พยาธิทริโคโมแนสของระบบสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ, โลนที่อวัยวะเพศ, หูดข้าวสุก และโรคบิด ทำให้ขณะนี้มีโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทั้งสิ้น 55 โรค

“แบน 3 สารพิษ”แล้ว! มติคณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่เอกฉันท์

People Unity : “แบน 3 สารพิษ”แล้ว! มติคณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่เอกฉันท์ “อนุทิน”ปลื้มโฟสต์แจ้งด่วน

เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น.วันที่ 22ต.ค.2562 ที่กระทรวงอุึตสาหกรรม นายภาณุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รักษาการรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณา คือ การแบนหรือไม่แบนวัตถุอันตราย 3 สาร ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซต กำหนดเวลาประชุม 09.30-14.00น. โดยบริเวณหน้าห้องประชุมมีตำรวจรักษาความปลอดภัยเฝ้าดูแล 2 นาย

ขณะที่บรรยากาศภาพรวมพบว่ามีผู้ชุมนุมเกษตรกรกลุ่มไม่ต้องการให้แบน 3 สารเคมีจากหลายจังหวัด มาเฝ้าติดตามผลการประชุมประมาณ 500 คน โดยกลุ่มพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชน นำโดยนายวรัญชัย โชคชนะ ประธานกลุ่มฯ ได้ยื่นหนังสือถึงกรรมการวัตถุอันตรายที่มีจำนวน 29 คน ขอให้ผลการประชุมไม่ว่าจะแบนหรือไม่แบน 3 สารเคมี ก็ขอให้ลงมติอย่างเปิดเผย เพื่อความโปร่งใส ตรงไปตรงมา ไม่เป็นความลับ เพื่อเป็นผลดีต่อประชาชน และคณะกรรมการ และอย่าได้อ้างสิทธิหรืออื่นๆ เพื่อประชาชนจะได้หายข้อข้องใจ กังขา และถ้าเป็นไปได้ให้ประชาชนเข้าร่วมรับฟังสังเกตการณ์ หรือทีวีวงจรปิดก็ได้ ขณะที่ผู้ชุมนุมกลุ่มสนับสนุนให้แบนมาสังเกตการณ์ช่วงเช้าจำนวนหนึ่งแยกย้ายออกไป

ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุขและรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก ระบุว่า เชียร์ลีดเดอร์ของกระทรวงสาธารณสุข

มติที่ประชุม มีผู้เข้าประชุม 26 ท่าน
1. พาราควอท
-แบน 21 จำกัดการใช้ 5
2. ครอร์ไพริฟอส
-แบน 22 จำกัดการใช้ 4
3.ไกลโฟเซต
-แบน 19 จำกัดการใช้ 7

ขอกราบขอบพระคุณและน้อมคารวะต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายเฉพาะผู้ที่ลงมติแบนการใช้สารพิษด้วยจิตสำนึกที่รักและห่วงใยในคุณภาพชีวิตและสุขภาพของพี่น้องประชาชน ประวัติศาสตร์จะจารึกวีรกรรมที่ท่านทำเพื่อแผ่นดินเกิดในวันนี้เยี่ยงวีรบุรุษของชาติ ขอแสดงความยินดีกับคนไทยทุกคนที่ประเทศของเรายังมีข้าราชการและนักวิชาการที่เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมและจริยธรรมหลงเหลืออยู่ในบ้านของเรา

กลุ่มต้านจ่อฟ้องศาลฯเอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้อง

ทางด้านนางสาวอัญชุลี ลักษณ์อำนวยพร ประธานเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง ตัวแทนภาคเกษตรกร ได้แจ้งต่อเครือข่ายภาคเกษตรกรที่มารอผลการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายว่าได้มีมติอย่างไม่เป็นทางการแบน 3 สารพิษทั้งพาราควอต, ไกลโฟเซต และคลอร์ไฟริฟอส แล้ว หลังจากรับทราบแล้วทางกลุ่มฯ จะยังคงยืนยันที่จะมีการยื่นศาลปกครองในวันที่ 28 ต.ค.นี้เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว และ อีกทั้งจะไปยื่นถอดถอนมติกระทรวงสาธารณสุข/2560 ที่เป็นต้นเหตุของการแบน 3 สารดังกล่าวเพราะมีการใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ รวมถึงจะดำเนินการยื่นฟ้องเอาผิดตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดโดยจะแยกฟ้องทั้งรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง กลุ่มเอ็นจีโอ รวมถึงบอร์ดคณะกรรมการวัตถุอันตรายในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ

“ผลตรวจการตกค้างของสารดังกล่าวในผักผลไม้นั้นไม่พบการตกค้างของสารพาราควอต และไกลโฟเซดแต่อย่างใดแต่การมาแบน 3 สารเพื่อเหตุผลใดแน่”น.ส.อัญชุลีกล่าว”

นอกจากนี้ทางเครือข่ายภาคเกษตรกรที่คัดค้านการแบน 3 สารพิษจะรอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างการเยือนญี่ปุ่นกลับมาก่อนเพื่อรอฟังนโยบายเพราะเบื้องต้นนายกฯเคยระบุไว้ว่าจะเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจาก 4 ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อประเด็นดังกล่าวใหม่อีกครั้งหนึ่งแต่ที่ผ่านมายังไม่มีการดำเนินการใดๆ ตามคำสั่งนายกฯ

“บิ๊กตู่”ตั้ง”พงศ์พร”นั่งที่ปรึกษาดูแลพุทธศาสนาต่อ

People Unity : “บิ๊กตู่”ตั้ง”พงศ์พร”นั่งที่ปรึกษาดูแลพุทธศาสนาต่อ เหตุภารกิจบางอย่างยังไม่เสร็จสิ้น ส่วนผอ.พศ.คนใหม่อยู่ที่”เทวัญ” พร้อมรับโอน “สมเกียรติ ธงศรี”รอง ผอ.พศ.เข้ากรุสำนักนายกฯ

เมื่อเวลา 12.20 น.วันที่ 21 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผอ.พศ. ได้มีการว่าจ้างต่อให้รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในกิจการพระพุทธศาสนา ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.62 โดยมอบหมายให้ดูแลเรื่องบางเรื่องที่ค้างอยู่ใน พศ. และเมื่อถึงเวลาได้ ผอ.พศ.คนใหม่แล้วก็จะได้แบ่งหน้าที่กันให้ถูกต้องต่อไปว่า จะให้ พ.ต.ท.พงศ์พรช่วยประสานหรือดูแลเรื่องใดบ้าง การจ้างเช่นนี้ไม่ใช่การต่ออายุ และไม่มีอำนาจทางราชการ แต่มีบทบาท โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการว่าจ้าง ขึ้นอยู่กับภารกิจหรือแล้วแต่นายกฯ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การว่าจ้าง พ.ต.ท.พงศ์พรต่อ เพื่อให้มาดูแลคดีเงินทอนวัดหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องประสานกับหน่วยงานอื่น ซึ่งยังไม่ทราบว่า ผอ.พศ.คนใหม่เป็นใคร หาก ผอ.พศ.ถนัดในภารกิจเหล่านี้ พ.ต.ท.พงศ์พรก็จะมีบทบาทน้อยลง แต่ถ้าไม่ถนัด พ.ต.ท.พงศ์พรก็อาจจะมีบทบาทมากขึ้น แต่ว่าไม่มีอำนาจในการสั่งการ

นายวิษณุกล่าวถึงการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) คนใหม่ว่า ต้องถามนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล พศ.ว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 22 ต.ค.เลยหรือไม่ ซึ่งตนไม่ทราบ แต่หากจะเสนอเข้า ครม.จะต้องมีการเสนอมายังตนก่อน ส่วนที่ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติรับโอนนายสมเกียรติ ธงศรี รอง ผอ.พศ. มาเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการโอนในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม และมาช่วยงานได้

“สนธิรัตน์”ยินดี”เผดิมชัย”เข้าวิน เติมรบ.เต็ม 255 เสียง

People Unity : “สนธิรัตน์”ยินดี”เผดิมชัย”เข้าวิน เติมรบ.เต็ม 255 เสียง ชี้ประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลหนุนแก้ปากท้อง ส่วนกกต.จัดเลือกตั้งวันพุทธไม่น่าจะมีผล

วันที่ 24 ต.ค.2562 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.นครปฐม เขต 5 ที่นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ผู้สมัครส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา ชนะอย่างท่วมท้นว่า ขอแสดงความยินดีกับนายเผดิมชัยที่ทำการบ้านลงพื้นที่ดูแลพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้ยังสะท้อนว่า ประชาชนให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ที่เดินหน้าผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง ประชาชนจึงเลือกพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้เสียงรัฐบาลในสภามีเสถียรภาพมากขึ้น สามารถผลักดันกฎหมายฉบับสำคัญเพื่อผลประโยชน์ของส่วนร่วมได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย

ส่วนกรณีที่พรรคฝ่ายค้านให้เหตุผลถึงการเลือกตั้งซ่อมวันพุธทำให้พ่ายแพ้นั้น นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ไม่น่าจะส่งผลกับการเลือกตั้งให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะผู้สมัครส.ส.จากทุกพรรคก็มีความได้เปรียบเสียเปรียบตรงจุดนี้เช่นเดียวกัน อีกทั้งเมื่อดูในภาพรวมจะเห็นว่าชาวสามพรานตื่นตัวมาใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อมเป็นจำนวนมาก กว่าร้อยละ 64 น้อยกว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมาเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น

สหรัฐฯตัด”จีเอสพี”ไทย! เพื่อไทยเย้ย รบ. เจรจาสำเร็จแค่เพียงสั่งซื้ออาวุธ

People Unity : สหรัฐฯตัด”จีเอสพี”ไทย! เพื่อไทยเย้ยรบ. เจรจาสำเร็จแค่เพียงสั่งซื้ออาวุธ ติงรัฐไร้ประสิทธิภาพจัดการสิทธิแรงงาน ชี้เอกชนเคว้งกระทบส่งออกยาว

วันที่ 27 ต.ค.2562 นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส. จังหวัดร้อยเอ็ด เขต 5 ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศระงับการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP กับสินค้าของไทยคิดเป็นมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 40,000 ล้านบาทว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ รับทราบถึงความเป็นไปได้ที่ไทยจะถูกระงับสิทธิ GSP นี้ ตั้งแต่เป็นรัฐบาล คสช. และได้รับการแจ้งเตือนมาเป็นระยะ แต่กลับไม่มีการแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบอย่างทั่วถึง ไม่มีการศึกษาผลกระทบและจัดเตรียมมาตรการที่จะช่วยบรรเทาปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ จนสหรัฐฯ ประกาศระงับสิทธิดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายยังคงงุนงงต่อกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่น่ากังวลว่าภาคเอกชนจะมีเวลาในการปรับตัวเพียงแค่ 6 เดือนก่อนที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ

การถูกระงับสิทธิ GSP ในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพและไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากต่างชาติเหมือนที่เคยอวดอ้าง ที่ผ่านมามีกรอบการประชุมในหลายระดับซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สามารถใช้ในการเจรจากับสหรัฐฯ ได้ แต่กลับล้มเหลวทั้งหมด ทำให้เข้าใจได้ว่า ผลงานเดียวที่รัฐบาลสามารถเจรจาสำเร็จคือ การสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ

การส่งออกของไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาติดลบอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกภายใต้สิทธิ GSP สูงเป็นอันดับ 1 การถูกระงับสิทธิ GSP จะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง เพราะสินค้าไทยหลายรายการอาจถูกประเทศที่ยังได้รับสิทธินี้ใช้ความได้เปรียบในแง่ของราคาเข้ามาแย่งตลาด หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้จะกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะยาว

นอกจากนี้ นางสาวจิราพรยังกล่าวว่า ตนอยากฝากให้รัฐบาลเลิกทำตัวอุ้ยอ้ายทำอะไรก็ไม่เคยทันการ โดยขอให้เร่งออกมาตรการเยียวยาและลดผลกระทบที่สามารถดำเนินการได้จริง ไม่ใช่เพียงมาตรการที่เคยตั้งไว้แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สามารถทำได้สำเร็จเหมือนหลายกรณีที่ผ่านมา ที่สำคัญรัฐบาลต้องแสดงให้เห็นว่า มีความสามารถในการบริหารประเทศไม่ได้ถนัดแค่สั่งซื้ออาวุธเพียงอย่างเดียว

พิษAI! “สมคิด” เรียกอธิการบดีถกรับมือคนตกงาน 28 ต.ค.นี้

People Unity : ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผย พิษAI! “สมคิด” เรียกอธิการบดีถกรับมือคนตกงาน 28 ต.ค.นี้

วันที่ 25 ต.ค.2562 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญอธิการบดีมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ รวมถึงบริษัทเอกชนรายใหญ่มาประชุมเรื่องการผลิตและพัฒนากำลังคน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ การตอบโจทย์กำลังคนในวัยทำงานในระบบ รวมถึงคนที่ต้องการจะเปลี่ยนงาน

ทั้งนี้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการว่างงานจำนวนมาก ซึ่งเพื่อที่จะหารือร่วมกันถึงการปรับปรุงและพัฒนาทักษะ การเพิ่มทักษะ และการสร้างทักษะใหม่ โดยภาคเอกชนอาจจะมาร่วมจัดทำหลักสูตรในอนาคต เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน เช่น ภาคเอกชนอาจจะทำหลักสูตรเอง แต่ให้ อว. เข้าไปส่งเสริมสนับสนุน หรือถ้าภาคเอกชนทำไม่ได้ก็ให้มหาวิทยาลัยเข้าช่วยทำ หรือมหาวิทยาลัยทำหลักสูตรเอง ซึ่งหลักสูตรที่จะทำให้จะทั้งแบบที่มีปริญญากับไม่มีปริญญาก็ได้ ดร.สุวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะมีการสำรวจความต้องการทักษะอาชีพ เพื่อจัดทำหลักสูตรให้สอดคล้อง โดยเฉพาะหลักสูตรที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องมีปริญญา แต่ต้องพัฒนาไปสู่เกษตร 4.0 ให้ได้ 2. กลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปใช้ในกลุ่มคนทำงาน เช่น วิศวกร ช่างฝีมือ เป็นต้น และ 3. กลุ่มภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยวแบบสร้างสรรค์ โดยในการทำงาน 3 กลุ่มนี้จะให้มหาวิทยาลัยเข้ามาจับคู่กัน เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) จะเน้นเรื่องภาคบริการ และความโดดเด่นของท้องถิ่น ที่จะมายกระดับความสามารถ ด้านภาษา การท่องเที่ยว การเกษตร ส่วนมหา วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)

และอีก 3 พระจอมเกล้าจะเน้นเรื่องของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นต้น ขณะที่มหาวิทยาลัยกลุ่มใหญ่จะเน้นเรื่องการรับมือต่อกระแสดิสรัปชั่น ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาทักษะ การเพิ่มทักษะ และการสร้างทักษะใหม่ อย่างไรก็ตามการดำเนินการทั้งหมด เพื่อตอบโจทย์การ แก้ปัญหาแรงงานว่างงานในระบบ แรงงานที่ต้องการเปลี่ยนงาน และอาชีพในอนาคต ซึ่งตนได้ประสานกับ 10 บริษัทรายใหญ่ เพื่อให้มาทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยในการพัฒนาคนใน ยุคดิสรัปชั่นด้วย

“อุตตม”ร่วมถก ธ.ก.ส.เร่งเสริมมาตรการช่วยเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย

People Unity : รมว.คลัง ร่วมประชุมคณะกรรมการธ.ก.ส. เร่งเสริมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยปี2562 ทั้งขยายเวลาชำระหนี้ 2 ปี และลดดอกเบี้ยเงินกู้อีกร้อยละ 3 ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสู่ภาคชนบท ทั้งการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว การดำเนินโครงการประกันรายได้ปาล์ม ข้าว ที่จ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรไปแล้วกว่า 34,600 ล้านบาท พร้อมเตรียมโอนประกันรายได้ยาง งวดแรก 1 พฤศจิกายนนี้

วันที่ 28 ต.ค.2562 ที่ ธ.ก.ส.สำนักงานใหญ่ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในการประชุม ติดตามการดำเนินงานของธนาคารในการช่วยเหลือเกษตรกรและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ได้สรุปมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในระยะสั้นที่ดำเนินการไปแล้ว (ข้อมูล ณ 24 ตุลาคม 2562) ประกอบด้วย โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ในอัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ วงเงิน 24,810 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 4.31 ล้านครัวเรือน ดำเนินการโอนเงินแล้ว จำนวน 3.99 ล้านครัวเรือน เป็นเงิน 23,929 ล้านบาท โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562-2563 วงเงิน 13,000 ล้านบาทเป้าหมายเกษตรกร 263,107 ครัวเรือน ดำเนินการโอนเงิน รอบที่ 1 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ไปแล้ว 254,667 ครัวเรือน เป็นเงิน 1,351 ล้านบาท โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562/63 รอบที่ 1 วงเงิน 20,940 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 4.31 ล้านราย มีเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้องได้รับเงินในรอบที่ 1 ทั้งสิ้น 349,300 ครัวเรือน โดย ธ.ก.ส. โอนเงินเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ไปแล้วกว่า 9,411 ล้านบาท รวมเงินที่โอนไปแล้วทั้ง 3 โครงการ จำนวน 34,691 ล้านบาท

สำหรับการประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. ในครั้งนี้ นายอุตตม ได้พิจาณาเห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลการปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย ระยะที่ 1 เพื่อเป็นการให้ช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวสวนยาง วงเงิน 24,278 ล้านบาท โดยเป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไป ที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ ปริมาณผลผลิตยาง (ยางแห้ง) 240 กิโลกรัม/ปี หรือ 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน กำหนดราคาประกันยางแผ่นดินคุณภาพดี 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%) 57 บาท/กิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 50 %) 23 บาท/กิโลกรัม ซึ่งแบ่งสัดส่วนการจ่ายเงินให้กับเจ้าของสวนยาง 60% และ คนกรีดยาง 40% โดยคาดว่าจะสามารถโอนเงินในงวดแรกให้เกษตรกรได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้

นายอภิรมย์ กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ยังเตรียมพิจารณาให้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี 2562 จำนวน 2 โครงการ คือ โครงการขยายเวลาชำระหนี้ต้นเงินกู้เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่ 1 กันยายน 2562- 31 สิงหาคม 2564 และขยายเวลาชำระดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 – 31 สิงหาคม 2563 และโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรลูกค้า โดยคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MRR-3 (ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.875 ต่อปี) วงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาทแรก เป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 – 31 สิงหาคม 2563 และมอบหมายให้ ธ.ก.ส. เตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลเพื่อดูแลเกษตรกรตามมาตรการต่าง ๆ ที่จะทยอยออกมา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตโดยเฉพาะพืชหลักชนิดต่าง ๆ ให้สามารถแข่งขันในตลาดได้

ทั้งนี้ ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมจัดโครงการประชารัฐสร้างไทย พัฒนาล้านนา ซึ่งมีชุมชนจาก 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนเข้าร่วม ตามนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีพิธีมอบสินเชื่อให้ลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ การจัดตลาดชุมชนทางน้ำ และการฝึกอบรมให้ความรู้แก่ประชาชน ณ เทศบาลตำบลสันทรายหลวง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่

ศธ.คลอดหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ นำร่องอบรม 8 จังหวัดภาคเรียนที่2

People Unity : ศธ.คลอดหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ เดินหน้าพร้อมจัดอบรม 8 จังหวัดนำร่อง รับภาคเรียนที่ 2/62

ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความก้าวหน้าของการจัดทำหลักสูตรเพื่อฝึกอบรมให้กับลูกเสือที่เข้าร่วม “โครงการลูกเสือมัคคุเทศก์”ภายหลังจากสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์” (Guide Scout) เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ณ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย โดยสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อจัดทำหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ครอบคลุมการสร้างสมรรถนะ ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเป็นลูกเสือมัคคุเทศก์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้มากที่สุด

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดทำหลักสูตร คู่มือ สื่อฝึกอบรม และอบรมแกนนำลูกเสือมัคคุเทศก์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำไปจัดอบรมให้กับลูกเสือที่เข้าร่วมโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 425 คน ใน 8 จังหวัดนำร่อง ได้แก่จังหวัดปราจีนบุรี พัทลุง เชียงใหม่ เลย สุโขทัย นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา และบุรีรัมย์

โดยการจัดอบรมโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์ จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2562 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งหลักสูตรประกอบด้วย การชี้แจงทำความเข้าใจ การให้ความรู้ ตลอดจนการฝึกปฏิบัติจริง รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 60 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ก่อนการฝึกอบรม จำนวน 13 ชั่วโมง สำหรับการศึกษาค้นคว้าจัดทำข้อมูลและเรียงความเกี่ยวกับบ้านเกิด

ระยะที่ 2 การฝึกอบรมเป็นเวลา 4 วัน จำนวน 27 ชั่วโมง เน้นการชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของโครงการ การให้ความรู้ด้านวิชาการ 10 หน่วยเรียนรู้
ทั้งหลักการมัคคุเทศก์ การสื่อสาร ความรู้พื้นฐานของพื้นที่และพื้นที่ข้างเคียง จิตวิทยาการให้บริการ การเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และจิตอาสาของลูกเสือมัคคุเทศก์ ตลอดจนกระบวนการค้นหาเรื่องราวและเรื่องเล่าของท้องถิ่น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการมัคคุเทศก์

ระยะที่ 3 คือการฝึกปฏิบัติในสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเวลา 20 ชั่วโมง ซึ่งกำหนดจัดกิจกรรม “Kick Off การฝึกประสบการณ์ลูกเสือมัคคุเทศก์” ในพื้นที่ 8 จังหวัดนำร่องในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ด้วย

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังการฝึกอบรมจะจัดให้มีพิธีมอบเครื่องหมายลูกเสือมัคคุเทศก์ (Badge) และมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านหลักสูตร เพื่อนำไปใช้รับรองและเทียบประสบการณ์ (สะสมเครดิต) ที่จะเป็นประโยชน์ในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษา การประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ หรือการมีโอกาสได้เป็นตัวแทนลูกเสือไทยเข้าร่วมโครงการของสำนักงานลูกเสือในเวทีระดับนานาชาติในอนาคต

“ขณะเดียวกัน สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะจัดให้มีการนิเทศการฝึกประสบการณ์ของลูกเสือมัคคุเทศก์ในทุกจังหวัดนำร่อง เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ผลการประเมิน นำไปสู่การปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น พร้อมใช้เป็นต้นแบบในการขยายผลการฝึกอบรมลูกเสือมัคคุเทศก์ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

Verified by ExactMetrics