วันที่ 29 เมษายน 2024

“อนุทิน”ชี้มติแบน 3 สารพิษได้เห็นขรก.-นักวิชาการมีคุณธรรม

People Unity : “อนุทิน”ชี้มติแบน 3 สารพิษเป็นผลงานทุกคน ได้เห็นข้าราชการ นักวิชาการที่มีคุณธรรมทำเพื่อสุภาพ-ชีวิต ของปชช.

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบนสารพิษ 3 ตัวว่า สิ่งที่ดีใจคือ เรายังเห็นว่า ประเทศไทยเรายังมีข้าราชการ นักวิชาการที่มีคุณธรรม มีสำนึกต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างราชที่ลงมติแบนสารพิษทั้ง 3 ชนิด จากทุกกรม ทุกกระทรวง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง

แต่เป็นภารกิจของรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงสาธารณสุขซึ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเรื่องแบนสารพิษนี้ไม่ได้อยู่ในนโยบายตอนหาเสียงด้วยซ้ำ แต่เป็นภารกิจที่ต้องทำ และภาคภูมิใจที่อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเลขาธิการอย. พร้อใจกันโหวตอย่างเปิดเผย นำนโยบายของกระทรวงไปทำให้บรรลุความสำเร็จ ทั้งนี้ เป็นไปตามขั้นตอน ใครทำอะไรได้ก็ทำ เรามีหน้าที่แบน เราก็แบนอย่างสุดหัวใจ ใครจะค้านก็ไปค้าน ผลจะเป็นอย่างไรเราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้ว เรื่องนี้เป็นความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน เป็นเรื่องสุขภาพ ชีวิต ใครไม่เคยโดนก็ไม่รู้หรอก อย่างไรก็ตาม ครม.ไม่ได้มีการพูดคุยกัน เพราะตนเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่ละกระทรวงจะต้องไปหามาตรการเยียวยา

เมื่อถามถึงแนวทางในการคุ้มครอง เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแบนสารพิษครั้งนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า จขะอนุญาตให้ใช้สารพิษที่มีมติแบนไปนี้ถึงวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ส่วนเรื่องเยียวยา เช่น การหาสารทดแทน เป็นเรื่องของกระทรวงไหนมีหน้าที่อย่างไร ทั้งนี้ วันนี้ถือเป็นผลงานร่วมกันของทุกคน แต่สำหรับตนไม่ได้ถือเป็นผลงาน แต่ถือเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่อยู่ในคณะกรรมการ วันนี้ดี เปิดเผยกันมแล้ว ก็ขอให้ทุกคนเคารพกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่เฟซบุ๊ค “Anutin Charnvirakul” ของนายอนุทิน ขึ้นภาพขณะนำผู้บริหารในกระทรวงสาธรณสุขออกกำลังกาย พร้อมข้อความว่า
เชียร์ลีดเดอร์ของกระทรวงสาธารณสุข

มติที่ประชุม มีผู้เข้าประชุม 26 ท่าน
1. พาราควอท
-แบน 21 จำกัดการใช้ 5
2. ครอร์ไพริฟอส
-แบน 22 จำกัดการใช้ 4
3.ไกลโฟเซต
-แบน 19 จำกัดการใช้ 7

ขอกราบขอบพระคุณและน้อมคารวะต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายเฉพาะผู้ที่ลงมติแบนการใช้สารพิษด้วยจิตสำนึกที่รักและห่วงใยในคุณภาพชีวิตและสุขภาพของพี่น้องประชาชน ประวัติศาสตร์จะจารึกวีรกรรมที่ท่านทำเพื่อแผ่นดินเกิดในวันนี้เยี่ยงวีรบุรุษของชาติ ขอแสดงความยินดีกับคนไทยทุกคนที่ประเทศของเรายังมีข้าราชการและนักวิชาการที่เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมและจริยธรรมหลงเหลืออยู่ในบ้านของเรา
โดยมีคอมเม้นท์ให้กำลังใจเป้นจำนวนมาก อาทิ

“ความเห็นต่างไม่เปนไร ไม่ว่ากันครับ…แต่ก็ถือว่าที่ประชุมเสียงข้างมากลงมติแบน…ก็ต้องขอบคุณท่านอนุทิน ชาญวีรกูล และชาวคณะทุกท่าน และท่านมนัญญา ไทยเศรษฐ์ และท่านเฉลิมชัย ศรีอ่อน ด้วยครับ”

“ข้่าราชการทุกคน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลชุดนี้ และเป็นการทำงานร่วมกันของทุกพรรคร่วมรัฐบาลจริงๆครับ”

“สมเจตนาประสงค์เป็นคุณูประการกับประชาชนชาวไทยและประเทศชาติ ขอขอบคุณอย่างสูงต่อทุกท่านทื่ได้ผลักดันเรื่องนื้ให้เกิดเป็นความสำเร็จตามเป็าหมายชัดเจนถึงโทษภัยร้ายแรงของสารเคมีดังกล่าวครับ”

“จุรินทร์”ยกจีนเป็นต้นแบบแก้จน บุกตลาดขายสินค้าเกษตร

People Unity :  “จุรินทร์”เชื่อมจีนบุกตลาดขายสินค้าเกษตร ทำความสัมพันธ์ให้ความสำคัญ เป็นต้นแบบแก้ความยากจนในไทย

วันที่ 28 ต.ค.2562 เวลา 09.10-9.40 น. ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมดิเอมเมอรัล-รัชดา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “7 ทศวรรษจีนใหม่  ก้าวต่อไปที่โลกเฝ้ามอง” โดยใช้เวลาร่วมชั่วโมงปาฐกถาพิเศษการพัฒนาจีน แบบอย่างที่โลกเรียนรู้ โดยมีผู้เข้าร่วมฟังจากทั้งสมาคม สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ร่วมกับ อสมท. สถานทูตจีน และผู้สนใจเกี่ยวข้อง

นายจุรินทร์ กล่าวว่า นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งกับการที่สื่อมวลชนไทยและจีนได้ร่วมกันจัดการสัมมนานี้ขึ้นมาในวันนี้  เมื่อพูดถึงความเจริญก้าวหน้า 70 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทุกๆด้าน ในระดับที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์ โดยความมหัศจรรย์ที่ผมอยากจะพูดถึงในวันนี้คือความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ ที่จีนได้แสดงให้ชาวโลกเห็น ในห้วง 70 ปีที่ผ่านมา พัฒนาการทางเศรษฐกิจที่มั่นคงของจีนส่งผลให้ชาวจีนมีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้นราว 60 เท่า โดยเมื่อ 70 ปีที่แล้ว รายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวจีนอยู่ที่เพียง 49.7 หยวน หรือราว 250 บาท ในขณะที่เมื่อปี 2561 มีจำนวน 28,200 หยวน หรือราว 1.41 แสนบาท และการเติบโตอย่างมั่นคงของรายได้ส่งผลให้อัตราการใช้จ่ายเติบโตขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงกำลังซื้ออันมหาศาล และความต้องการวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน การค้า และการลงทุนอันมหาศาล ที่ช่วยสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก

และที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง คือการลดความยากจน ซึ่งตอนนี้ จีนมีคนจนประมาณต่ำกว่าร้อยละ 1 ของประชากรทั้งหมด นั่นหมายถึงประชากรประมาณ 700 ล้านคนของจีนได้ถูกยกออกจากความยากจน ตลอดสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ในวันนี้ประเทศจีนคือขุมพลังทางอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าสินค้าอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ เหล็ก ปูนซีเมนต์ ถ่านหิน ยานยนต์ เรือ รถไฟความเร็วสูง หุ่นยนต์ สะพาน อุโมงค์ ถนน เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และที่สำคัญคือจีนมีสถิติการสมัครเพื่อจดทะเบียนสิทธิบัตรมากที่สุดในโลก ซึ่งมากกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 1.5 เท่า และปัจจุบันนี้ จีนได้กลายเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโลก ทั้งด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การชำระเงินออนไลน์ อินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of things) ปัญญาประดิษฐ์ และบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้จีนจะยังคงรักษาบทบาทการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกต่อไปในอนาคต

ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามใกล้ชิด คือประเทศจีนทำอย่างไรในการเปลี่ยนแปลงประเทศ จากประเทศยากจนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียงหนึ่งในสามของรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประเทศในแถบทวีปแอฟริกา ให้กลายเป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของโลก และที่สำคัญคือประเทศนี้มีประชากรถึง 1.4 พันล้านคน

1.จีนให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางการเมือง 2.การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก 3.เน้นการปฏิรูปจากล่างสู่บน 4.ส่งเสริมอุตสาหกรรม โครงสร้างต่างๆ ในท้องถิ่น การส่งเสริมให้แรงงานมีทักษะอยู่อาศัยและทำงานในท้องถิ่น การลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลในด้านโครงสร้างพื้นฐาน 5.ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลกับเอกชน 6.ในด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นักลงทุนจีนได้ก้าวออกไปลงทุนทั่วโลก ทั้งนี้ เห็นว่าจีนเน้นเพื่อส่งเสริมการพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศ รับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ ที่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หวังยุติความขัดแย้งสงครามการค้า

สำหรับไทยพวกเราย่อมให้ความสำคัญเรียนรู้จากประสบการณ์ในการพัฒนาประเทศของจีน และสามารถก้าวและเติบโตไปพร้อมกับจีนได้ เราเป็นเอเชียด้วยกัน กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความสำคัญกับตลาดจีนเป็นอย่างมาก เพราะจีนเองก็เป็นประเทศคู่ค้าลำดับ 1 ของไทย โดยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2552 – 2561 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและจีนขยายตัวสูงมาก ถึงร้อยละ 10.3 โดยเฉลี่ยต่อปี โดยจีนเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทย ครองสัดส่วนการค้าร้อยละ 16 ของการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 14 ของจีน ครองสัดส่วนการค้าราวร้อยละ 2.1

ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับจีน มี 2-3 รูปแบบกลไกแรกคือ JC คณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC เศรษฐกิจไทย-จีน, กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation – MLC) , ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (Ayeyawady – Chao Phraya – Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) ใน 3 กรอบความร่วมมือสำคัญเราทำงานร่วมกัน และอีกอันคือ กรอบ FTA อาเซียน-จีน ระหว่างประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจนี้ตนก็เป็นประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ในระหว่างนี้ ก็ได้มีแนวทางและดำเนินการประชุมจะได้จาต่อเนื่อง

ตนได้จัดคณะเดินทางไปเยือนนครหนานหนิง ระหว่างวันที่ 20-21 กันยายน 2562 และได้พบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี หาน เจิ้ง และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ประจำเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (นายลู่ ซิน เซ่อ) ในประเด็นความร่วมมือรอบด้าน โดยเน้นสินค้าเกษตร และมีการลงนาม MOU สินค้ามันสำปะหลังด้วย รวมถึงได้พบหารือกับผู้แทนภาครัฐ/เอกชนไทย-จีน ในกลุ่มยางพารา มันสำปะหลัง และผลไม้ และเร็วๆนี้ ผมจะพาคณะเดินทางไปยังนครเซี่ยงไฮ้ เพื่อเข้าร่วมงาน China International Import Expo 2019 หรือ CIIE 2019 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่ดี ประเทศไทยให้ความสำคัญกับจีน และสานต่อความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน ตลอดจนขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ที่มีมาอย่างยาวนานในอดีตให้พัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในอนาคต

ในช่วงหนึ่งนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปไทยเรามีเอ็มโอยูหรือข้อตกลง อยู่กับจีนในเรื่องของข้าวกับยางพาราซึ่งในเรื่องของข้าวนั้นเราได้ทำเอ็มโออยู่กับจีนที่จะจีนช่วยเราซื้อข้าวเราประมาณ 2,000,000 ตันซึ่งขณะนี้เข้าใจว่ายังขาดอยู่อีก 1,300,000 ตัน รวมทั้งยาพาราเรามีเอ็มโออยู่กับจีนอีก 2 แสนตันจีนซื้อแล้ว 16,800 ตันยังขาดอยู่ส่วนหนึ่ง ทั้งนี้เรื่องนี้ตนก็ได้ประสานงานผ่านท่านทูตจีนไปแล้วรวมทั้งได้ฝากท่านรองฯหานเจิ้งของจีนไปด้วย ตนในฐานะเซลล์แมนประเทศก็จึงขอทำหน้าที่ไปด้วย

และ ในฐานะกำกับกระทรวงพาณิชย์ ไทยเรายังให้ความสำคัญกับการใช้กลไกทูตพาณิชย์ทั่วโลกในการทำหน้าที่เซลล์แมนประเทศ หรือในการเจาะลึกรายบุคคลต้องยอมรับว่าประเทศจีนมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกระจายไปทั่วทุกมณฑลมีความต้องการใช้สินค้าเกษตรอาหารอะไรรูปและสินค้าจากประเทศไทย จึงเป็นจุดสำคัญในการที่ทูตพาณิชย์ไทยต้องทำงานหนักในการร่วมมือแต่ละมณฑลเพื่อส่งสินค้าไปจีนมากขึ้นลดการขาดดุลการค้าลงมาให้แคบลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมรับหน้าที่สิ่งที่ผมตั้งเป็นนวัตกรรมใหม่ในทางเศรษฐกิจของกระทรวงก็คือเราจะตั้ง กรอ.พาณิชย์เพื่อเป็นเวทีสำหรับความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับผู้ส่งออกและพ่อค้าเช่นเดียวกันที่จีนทำอยู่และประสบความสำเร็จคือการให้ความสำคัญทำงานร่วมกันระหว่างรัฐกับเอกชน

อย่างไรก็ตามการทำงานนั้น ตนเพิ่งประกาศไปว่าเราต้องทำงานเชิงรุกไปทุกตลาดทั่วโลก ก็เพิ่งประกาศไป เรากับจีนต่างกันที่รูปแบบการปกครองแต่เงื่อนไขความสำเร็จคือหลักใหญ่ต้องใช้หลักการบริหารรัฐกิจที่ชัดเจนจะทำให้เดินหน้าไปได้ เช่นที่ประธานาธิบดีสีได้ทำก็เป็นแบบอย่างก็เป็นเรื่องดี

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า เวลา 70 ปี เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีของอาณาจักรจีนที่มีเรื่องราวมากมาย  แต่ 70 ปีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนก็เป็นกรณีศึกษาของโลกยุคปัจจุบัน  และปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อโลกในอนาคต  ดังนั้นการสัมมนาเรื่อง “ 7 ทศวรรษจีนใหม่ ก้าวต่อไปที่โลกเฝ้ามอง” ที่ สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ร่วมกับ อสมท. จัดในวันนี้ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านในการนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านต่างๆในอนาคต

“บิ๊กตู่”ปัดจัดงบฯปี 63 ให้สิทธิพิเศษนักธุรกิจ ผ่อนชำระได้!อย่ากลัวหนี้สาธารณะเกินเพดาน

People Unity : “บิ๊กตู่” ยันจัดทำงบฯปี63 ทั่วถึงทั้งประเทศ ปัดให้สิทธิพิเศษนักธุรกิจ แต่ต้องกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ลั่น ไม่สนิท-ไม่ขัดแย้งกับใคร อย่ากลัวหนี้สาธารณะเกินเพดาน เหตุประเทศมีความสามารถผ่อนชำระ

เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 19 ตุลาคม 2562 ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ในวันสุดท้ายว่า รู้สึกพอใจกับการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯในห้วง 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งตนก็รับฟังทั้งหมด สิ่งไหนที่เป็นเรื่องดีก็จะนำไปบูรณาการ

ทั้งนี้ งบประมาณของแต่ละกระทรวงได้มากน้อยลดหลั่นกันไป ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ เช่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ทุกหน่วยงานต้องบูรณาการและนำปัญหาที่ใหญ่ที่สุดมาจัดการ บางครั้งต้องใช้งบประมาณบูรณาการหรืองบของกระทรวงอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ และถ้ามีปัญหาเร่งด่วนก็สามารถดึงงบกลางมาใช้ได้

ทั้งนี้ งบกลางจำนวน 4 แสนล้าน มองดูเหมือนจะมาก แต่เราใช้ในภาระต่าง ๆจำนวนมาก ทั้งเรื่องเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ยังไม่รวมถึงการช่วยเหลือน้ำท่วมซึ่งใช้งบหลายหมื่นล้าน ตลอดถึงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาต่างๆ ยืนยันว่าการใช้งบกลางไม่ได้ใช้จ่ายไปเรื่อยเปื่อย ทั้งนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่(ครม.สัญจร) ทุกจังหวัดก็มีการเสนอโครงการเร่งด่วนเข้ามา ตนก็ต้องนำมาดูว่าสามารถปรับใช้งบประมาณตรงไหนได้บ้าง โดยเน้นในเรื่องแผนงานต่างๆ ถ้างบประมาณยังไม่เพียงพอ เราก็จะนำงบกลางเติมลงไปให้

นายกฯกล่าวว่า ในส่วนของงบประมาณกระทรวงกลาโหม ซึ่งวันนี้อาจไม่ทราบกันว่าทหารทำอะไรบ้าง เฉพาะกองทัพบก เรามี 7 กองกำลังที่อยู่ตามชายแดน จำนวนหลายหมื่นคนที่ต้องทำงานทุกวัน ทั้งเรื่องการสกัดกั้นสินค้าผิดกฎหมาย นี่คือหน้าที่ของหน่วยงานความมั่นคงที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง โดยเฉพาะปัญหาภาคใต้ ซึ่งเราให้ความสำคัญ โดยได้แยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกมา และตนได้ย้ำว่าจะต้องมีโครงการลงไปในพื้นที่

ดังนั้นการทำแผนงบประมาณครั้งนี้ เราเน้นว่าทำอย่างไรให้เกิดความทั่วถึง พื้นที่ไหนเร่งด่วนก็ทำก่อน เช่น การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซึ่งขณะนี้เรามีแผนงานและโครงการกว่า 2,000 โครงการ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากติดปัญหาหลักอยู่ที่งบประมาณและที่ดินของประชาชน ซึ่งตามหลักการแล้ว ตนก็ยอมรับในความคิดเห็นของทุกคนว่าแต่ละคนต้องการสิ่งต่างๆ เพราะเข้าใจว่าความขาดแคลนมีเยอะ แต่เราก็ทยอยดำเนินการแก้ปัญหา ขณะที่งบประมาณมีจำกัด ต้องบูรณาการจัดสรรไป

ปัจจุบันนี้ภารกิจมีจำนวนมากที่เกี่ยวข้องทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ยอมรับว่าที่ผ่านมางบประมาณที่ใช้ไปกับการรักษาพยาบาล การแก้ไขปัญหาสินค้าการเกษตร มีเป็นจำนวนมาก และในอนาคตก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องคิดคือเราจะหาเงินเข้าประเทศอย่างไร การลงทุนภายในประเทศของเราเองก็ติดขัดเรื่องกฎหมาย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเขาปลดล็อกเรื่องเหล่านี้ ทั้งนี้ การลงทุน หลายคนก็มาบอกว่าเอื้อประโยชน์ ซึ่งยอมรับว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะภาษีเราก็ได้มาจากเขา จึงจะต้องสนับสนุนให้มีการลงทุน ดังนั้นต้องสนับสนุนให้มีการลงทุนภายในประเทศของเราเอง โดยยึดกฎหมายทุกฉบับ

“ยืนยันว่านายกฯไม่มีสนิทสนมกับใคร ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น จะให้สิทธิพิเศษใครไม่ได้ ทุกอย่างต้องผ่านการประมูล ซึ่งงบประมาณตรงนี้เรามีอยู่ประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท ก็จะไปช่วยเสริม ไปช่วยเรื่องการลงทุนอย่างต่ำ 20 เปอร์เซ็นต์ตามที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งเราก็จัดสรรได้มากที่สุดในขณะนี้ จะเห็นว่า 20 เปอร์เซ็นต์ตรงนี้พร้อมที่จะลงทุน ทั้งในเรื่องรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชน รถไฟรางเดี่ยวในต่างจังหวัดซึ่งต้องทำให้ทั่วถึง โดยเงินลงทุนทั้งหมดมาจากภาคเอกชน จากเดิมที่เป็นการลงทุนของภาครัฐอย่างเดียว โดยการกู้เงิน ก็จะส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ หนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่จำนวน 41 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่น่ากังวล หากมองตัวเลขอาจจะดูน่ากลัว แต่ก็สูงตามค่าจีดีพี ไม่อยากให้มากังวลตรงนี้เพราะเรามีขีดความสามารถในการใช้หนี้ ในส่วนของหนี้ระยะสั้นอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ขณะที่หนี้ระยะยาวก็ผ่อนชำระไป เมื่อหาเงินได้มากขึ้น เราก็ผ่อนเงินต้น แล้วก็น่าจะกู้ใหม่ได้อีกประมาณ 19 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดเอาไว้จะต้องไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ต่างประเทศมีหนี้สาธารณะ 200 เปอร์เซ็นต์ แต่เขามีขีดความสามารถในการผ่อนชำระ รวมถึงมีอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งของเราก็กำลังจะเดินไปตรงนี้ แต่ต้องใช้เวลา” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกฯยังกล่าวยืนยันอีกว่า ไม่ได้ไปขัดแย้งกับใคร ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตาม ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ถ้ามาบอกว่ารัฐบาลไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันไม่น่าจะได้ ซึ่งตนเกรงว่าประชาชนจะไม่เข้าใจ สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างการรับรู้ของประชาชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือ หากทุกคนเรียกร้องพร้อมกันทั้งหมด ไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหาได้ การนำหลักการของประเทศต่างๆมา ตนก็นำมาใช้ ตนรู้และผ่านการศึกษามา และตนก็เดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง เอกสารหรือโครงการต่างๆที่น่าสนใจ ตนก็กลับมาดูว่าสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศของเราได้หรือไม่ แต่ปัญหาของประเทศเราติดอยู่ที่งบประมาณ และความเข้าใจของประชาชน ปัญหาในปัจจุบันมันมีมากกว่าสิ่งที่เราคิดทำ และบางอย่างก็ติดปัญหาด้านกฎหมาย ซึ่งตนก็โทษใครไม่ได้ และยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งประชาชน อย่ามาแยกแยะว่ากลุ่มนี้รวย กลุ่มนี้จน เพราะคนรวยก็มีความเสี่ยงในเรื่องการลงทุน ในขณะที่รัฐบาลก็ดูแลเรื่องการแข่งขันให้เกิดความเท่าเทียมกัน ยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร และสิ่งที่ตนจะเตือนเพราะการพูดจาในสภาฯถูกถ่ายทอดไปสู่ประชาชน และบางครั้งประชาชนเขาไม่ได้รับฟังในสิ่งที่รัฐบาลชี้แจง เขาฟังสิ่งที่ฝ่ายค้านพูด ซึ่งฟังแล้วก็ดูดีหมด ในส่วนของตนก็คิดว่าดีทุกเรื่อง แต่ต้องมาดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน

“อนุทิน-สาธิต”หนุนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์

People Unity News : พระมงคลวชิรากร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวาเผย “อนุทิน-สาธิต”หนุนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์

วันที่ 29 ต.ค.2562 พระมงคลวชิรากร (สมบัติ ญาณวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการและเลขานุการกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธิ์ เขมงฺกโร) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ของ มส. มอบหมายให้อาตมาเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2562 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุม และนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ร่วมประชุมด้วยนั้น

“อาตมาได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ โดยเฉพาะการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ ซึ่งทั้งนายอนุทิน และนายสาธิต พร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์” พระมงคลวชิรากรกล่าวและว่า

ขณะนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ส่งข้อมูลพระภิกษุสามเณรให้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อตรวจสอบสิทธิในระบบบริการสุขภาพแล้ว 174,091 รูป ขณะเดียวกันในส่วนของการอบรมพระคิลานุปัฏฐาก เพื่อคอยดูแลให้ความรู้ด้านสุขภาพกับพระภิกษุสามเณรและประชาชนนั้น ได้ร่วมกับ กรมอนามัยจัดอบรมไปแล้ว 4,525 รูป นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการตรวจคัดกรอง สุขภาพพระภิกษุสามเณร ปี 2562 จำนวน 5,000 วัด และปี 2563 จำนวน 5,000 วัด

“ธนาธร”ส่อวืดนั่งกมธ.งบฯปี63 “ทศพล”กาง รธน.เบรกแนะต้องลาออกจาก ส.ส.

People Unity : “ทศพล เพ็งส้ม” กาง รธน.เบรก “ธนาธร” นั่ง กมธ.งบประมาณฯ เหตุศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ส่วนจะใช้ฐานะ “คนนอก” ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะยังคงสถานะ ส.ส.อยู่ ถาม “อนาคตใหม่” หวังให้ พ.ร.บ.งบประมาณฯโมฆะหรือไม่ แนะ “ธนาธร” ต้องเลือกลาออก ส.ส.หรือไขก๊อก กมธ.

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 22 ต.ค.2562 สถานีโทรทัศน์รัฐสภา ได้ออกอากาศรายการ “มองรัฐสภา” ดำเนินรายการโดย พ.ท.หญิง ชลรัศมี งาทวีสุข ในหัวข้อ “จับตาบทบาท กมธ.งบฯ 63 หลากหลายขั้วการเมือง” โดยได้เชิญ นายทศพล เพ็งส้ม ที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 มาให้ความเห็นเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานของสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังที่ประชุมสภาฯได้ลงมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 (ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63) ในวาระที่ 1 และตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 จำนวน 64 คน กำหนดกรอบการพิจารณา 105 วันไปแล้ว เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา

นายทศพล ได้กล่าวตอนหนึ่งถึงกรณีที่พรรคอนาคตใหม่เสนอชื่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเป็นหนึ่งใน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ในสัดส่วนของพรรคอนาคตใหม่ว่า อำนาจการตั้ง กมธ.วิสามัญของสภาฯ บัญญัติไว้ในมาตรา 129 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ระบุว่า สภาฯ มีอํานาจเลือกบุคคลผู้เป็น ส.ส.หรือมิได้เป็น ส.ส.ตั้งเป็น กมธ.วิสามัญเพื่อกระทํากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดๆ และรายงานให้สภาฯทราบตามระยะเวลาที่กําหนด ฉะนั้นจึงมี 2 ทางเลือกสำหรับ กมธ.วิสามัญ ว่าจะเป็น ส.ส. หรือบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ก็ได้ จึงต้องมาพิจารณาดูว่า การเสนอชื่อ นายธนาธร ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เป็นการชั่วคราว ในระหว่างรอคำวินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็นส.ส.ของ นายธนาธร ในกรณีเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน เข้ามาเป็น กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 นั้นมาในสถานะใด

“เมื่อดูหลักกฎหมายแล้ว ก็พบว่าคนที่จะเป็น กมธ.วิสามัญ ได้ต้องเป็น ส.ส.หรือมิได้เป็น ส.ส. จึงต้องถามว่าคุณธนาธรเข้ามาในเงื่อนไขไหน ถ้าเข้ามาในฐานะ ส.ส.ถือว่าไม่ได้เลย เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงทำหน้าที่ ส.ส.ไม่ได้ ส่วนจะใช้สิทธิ์คนนอกก็มีปัญหาอีกว่า คุณธนาธรเป็นคนนอกหรือไม่ เพราะยังมีสมาชิกภาพ ส.ส.อยู่ ไม่สามารถถอดสถานะ ส.ส.และเดินเข้ามาในฐานะคนนอกได้เอง” นายทศพล กล่าว

นายทศพล กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หากว่า นายธนาธร ขาดคุณสมบัติในการที่จะเข้ามาเป็น กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ที่กำลังจะมีการประชุมครั้งแรกในวันที่ 24 ต.ค.นี้แล้ว หากมีการเสนอความเห็น หรือสงวนความเห็น ตลอดจนร่วมลงมติใดๆ ก็อาจส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 เป็นโมฆะได้ ดังนั้นเจตนารมณ์ของเขา เพื่อให้กฎหมายใช้ไม่ได้หรือไม่ เพราะเอาคนที่ขาดคุณสมบัติการเป็น กมธ.วิสามัญ มาพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 จึงควรที่จะมีการยื่นคำร้องเพื่อให้ ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความเพื่อให้เกิดความชัดเจน มิเช่นนั้นหากสภาฯพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 แล้วเสร็จในวาระที่ 2 และ 3 เกิดมีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า มีผู้ขาดคุณสมบัติร่วมเป็น กมธ.วิสามัญ พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว

“ในกระบวนการมี 2 ทางเลือก หนึ่ง คุณธนาธร ต้องไปลงออกจาก ส.ส. เพื่อใช้สถานะคนนอก เข้ามาเป็น กมธ.วิสามัญ หรือสอง หากอยากเป็น ส.ส.ต้องลาออกจาก กมธ.วิสามัญ ต้องเลือกเอาว่าอยากเป็นอะไร ซึ่งไม่ใช่เรื่อกีดกันการทำหน้าที่ของคุณธนาธร เพียงแต่เป็นการทำเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น มิเช่นนั้นก็จะมีคนมองว่า พรรคอนาคตใหม่ตั้งคนที่ขาดคุณสมบัติ พรรคคุณต้องรับผิดชอบ หากกฎหมายมีปัญหา” นายทศพล ระบุ

นายทศพล กล่าวต่อว่า ในกรณีที่นายธนาธรขาดคุณสมบัติ ซึ่งส่งผลต่อการทำหน้าที่ของ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ประธานสภาฯอาจต้องเรียกประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาแต่งตั้ง กมธ.แทนนายธนาธร เพื่อให้ครบ 64 คนตามมติที่ประชุมสภาฯ อย่างไรก็ดีมองว่า ช่วงที่พรรคอนาคตใหม่เสนอชื่อนายธนาธรเมื่อวันที่ 19 ต.ค.นั้น ที่ประชุมสภาฯอาจจะยังไม่ทราบว่าประเด็นคุณสมบัติดังกล่าว จึงไม่มีผู้คัดค้านหรือทักท้วง แต่เมื่อมีประเด็นขึ้นมา ก็ต้องมาตรวจสอบคุณสมบัติเพื่อความถูกต้อง ผู้ที่เป็นประธานในการดำเนินการประชุม กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 นัดแรกในวันที่ 24 ต.ค.นี้ จำเป็นต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะไม่สามารถเริ่มประชุมได้ ก่อนทำหนังสือแจ้งประธานสภาฯต่อไป

นอกจากนี้ นายทศพล ยังได้อธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ในส่วนของ กมธ.สามัญต่างๆของสภาฯนั้นได้สงวนไว้เฉพาะผู้ที่เป็น ส.ส.เท่านั้น ขณะที่ กมธ.วิสามัญ ซึ่งตั้งตามวาระต่างๆที่ภารกิจไม่เข้ากับ กมธ.สามัญ ที่มีอยู่แล้ว สำหรับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่ให้คนนอกเข้ามาเป็น กมธ.วิสามัญได้นั้น ก็เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำหน้าที่พิจารณาหรือศึกษาเรื่องใดๆที่ ส.ส.บางคนอาจจะไม่ถนัด อาทิ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ก็เปิดโอกาสให้รัฐบาลหรือพรรคการเมืองเสนอชื่อผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณแผ่นดินมาร่วมร่วมทำงานกับ ส.ส. เป็นต้น

 

“องอาจ”พอใจ ส.ส. ปชป. อภิปรายงบฯปี63สร้างสรรค์

People Unity : “องอาจ”พอใจ ส.ส. ปชป. อภิปรายงบประมาณสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์กับประชาชน

วันที่ 20 ต.ค.2562 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้กล่าวถึงภาพรวมของการอภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมาว่า ส.ส. ปชป. ได้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ มุ่งชี้ให้เห็นถึงจุดที่ควรปรับเพิ่มลดงบประมาณให้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายใน และภายนอกประเทศ พร้อมนำเสนอข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการจัดสรรงบประมาณไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง และต้องทำให้งบประมาณของประเทศสามารถสร้างรอยยิ้มให้กับประชาชนได้

ถึงแม้การอภิปรายงบประมาณครั้งนี้ ส่วนมากจะเน้นเรื่องรายจ่าย แต่การจะมีงบประมาณไปใช้จ่ายได้ จำเป็นต้องมีรายได้ที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายด้วย ส.ส. ปชป. จึงได้อภิปรายเสนอแนวทางการปฏิรูประบบภาษีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพิ่มรายได้ให้รัฐมีงบประมาณไปใช้จ่ายให้เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ

การอภิปรายงบประมาณครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์มุ่งเน้นให้การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนดังนี้
1. เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
2. เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
3. เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานราก
4. เพื่อกระจายงบประมาณไปสู่ท้องถิ่นให้งบประมาณถึงมือประชาชนในการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

นายองอาจกล่าวเพิ่มเติมว่า เชื่อมั่นว่าคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ จะได้นำข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์เป็นประโยชน์ไปเป็นข้อมูลในการพิจารณางบประมาณเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมต่อไป

“อ้น”รองโฆษก”พปชร.”ตามจิก! ติง”อนค.”อย่าขี้แพ้ชวนตี

People Unity : “อ้น”ติงอนาคตใหม่อย่าขี้แพ้ชวนตี เข้าใจกำลัง “เสียขวัญอย่างหนัก” ย้อน “ช่อ”เคลมผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.นครปฐมเปรียบประชามติประชาชนยังหนุน “รัฐบาลประยุทธ์”

วันที่ 24 ต.ค.2562 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ “อ้น” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงผลการเลือกตั้งในการเลือกตั้งส.ส.นครปฐม เขต 5 อย่างไม่เป็นทางการที่นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคชาติไทยพัฒนา ได้คะแนน 37,675 คะแนน ชนะนายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร ผู้สมัครส.ส.หมายเลข 6 จากพรรคอนาคตใหม่ ได้รับ 28,216คะแนนว่า ขอแสดงความยินดีกับนายเผดิมชัยและพรรคชาติไทยพัฒนาสำหรับชัยชนะในครั้งนี้ ซึ่งทุกฝ่ายต้องมีสปิริตยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมา ซึ่งคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่า พรรคอนาคตใหม่ซึ่งไม่สามารถรักษาที่นั่งส.ส.เอาไว้ได้ จะต้องหยิบยกเหตุผลเรื่องของกำหนดวันเลือกตั้งมาเป็นอุปสรรค กล่าวอ้างถึงเหตุผลต่างๆนานาที่แพ้การเลือกตั้ง ซึ่งการกระทำเช่นนั้น อาจทำให้พรรคอนาคตใหม่ถูกมองว่าเป็นพวก “ขี้แพ้ชวนตี”  แต่ควรนำผลการเลือกตั้งที่ปรากกฎออกมาวิเคราะห์ถึงจุดอ่อนจุดแข็งของพรรค ทบทวนว่าเหตุใดจึงพ่ายแพ้มากกว่า

“เข้าใจว่าช่วงนี้ พรรคอนาคตใหม่คงเสียขวัญอย่างหนัก เพราะหลายประเด็นที่เข้ามาเป็นลบกับพรรค ไม่ว่าจะเป็นอนาคตของพรรคและอนาคตของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เอง คือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยชี้ขาดสมาชิกภาพในวันที่ 20พ.ย.นี้ ยิ่งมาแพ้การเลือกตั้งอีก ก็ยิ่งซ้ำเติมให้เกิดความหวั่นไหว” น.ส.ทิพานัน กล่าว

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวด้วยว่า  ก่อนหน้านี้น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” โฆษกพรรคอนาคตใหม่เคยระบุว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้เหมือนเป็นการออกเสียงประชามติว่าเอาหรือไม่เอารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเป็นเช่นนี้ ผู้สมัครส.ส.ในพรรคร่วมรัฐบาลได้รับการเลือกตั้ง นั่นย่อมสะท้อนว่าประชาชนยังสนับสนุนรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ให้บริหารประเทศต่อไป

“บิ๊กตู่” บอก “บิ๊กแดง” เป็นนายกฯไม่ง่าย ดีใจชทพ.ชนะเลือกตั้งนครปฐม

People Unity : “บิ๊กตู่” บอก “บิ๊กแดง” เป็นนายกฯไม่ง่าย ดีใจชทพ.ชนะเลือกตั้งนครปฐมขออย่าโยงผลงานรัฐบาล ไม่หวั่นฝ่ายค้านเตรียมเปิดซักฟอกพร้อมอยู่แล้ว

วันที่ 24 ต.ค.2562 เวลา 14.05น.ที่ทำเนียบรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวมีการผลักดันให้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปว่า “ก็พูดกันไป สื่อฯไปถามท่านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ท่านก็ตอบว่ามั้ง สื่อก็นำไปพาดหัวกันทุกวัน ความจริงพล.อ.ประวิตร ท่านไม่ได้พูดเช่นนั้น แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามเขาก็ต้องตอบถ้าไม่ตอบก็จะไปโกรธเขาอีก เรื่องนี้อย่าไปสานต่อเลย อีกทั้งพล.อ.อภิรัชต์ เขาก็ตอบแล้วว่าความตั้งใจเค้ามีอย่างไร แล้วการเป็นนายกรัฐมนตรีมันเป็นได้ง่ายนักหรืออย่างไร ใครจะมาเป็นมัน ไม่ง่ายนักหรอก” ก่อนจะถามสื่อว่ามีอะไรอีกไหม

ดีใจชทพ.ชนะเลือกตั้งนครปฐมขออย่าโยงผลงานรบ.

พล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงความยินดีกับพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม ตั้งซ่อม เขต 5 จ.นครปฐม ซึ่งในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล และในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล เป็นความร่วมมือที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งตนไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ ถือว่าเป็นการตัดสินของประชาชนเอง ซึ่งเป็นระบบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง แต่อย่าเอาแค่ผลการเลือกตั้งครั้งนี้มาเป็นเกณฑ์ตัดสิน

ส่วนผลการเลือกตั้งเป็นเพราะรัฐบาลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ยอมรับ มีส่วน แต่สุดท้ายอยู่ที่ประชาชน จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง รัฐบาลก็มีหน้าที่ของรัฐบาล พร้อมถามย้อนกลับ ว่าไม่ดีหรือที่รัฐบาลมีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นว่า พรรคอนาคตใหม่ อยู่ในช่วงขาลง โดยกล่าวสั้นๆ ว่าไม่ขอไปก้าวล่วงกับพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อม รับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้านที่จะยื่นช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ว่าตนมีความพร้อมอยู่แล้ว และฝ่ายค้านก็สามารถยื่นได้ตามกฏหมาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของสภา ที่ยื่นได้ปีละ 1 ครั้ง ส่วนจะต้องมีการเตรียมข้อมูลไว้หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องเตรียมความพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งตนมีข้อมูลทั้งหมดก็อยู่ในหัว อยู่แล้ว และหน่วยงาน ก็ได้เตรียมไว้ส่วนหนึ่ง เพราะยังไม่ทราบเนื้อหาที่จะถูกอภิปราย แต่ยืนยันสามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง เพราะทุกนโยบายมีความบริสุทธิ์ในการทำงาน และประชาชนเป็นผู้ตัดสิน

กรมควบคุมโรครณรงค์วันอัมพาตโลกปี 2562 ลดเสี่ยงเป็นอัมพาต

People Unity : กรมควบคุมโรครณรงค์วันอัมพาตโลก ปี 2562 ให้ประชาชนรับรู้สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง ลดความเสี่ยงเป็นอัมพาต

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมรณรงค์วันอัมพาตโลก ปี 2562 ซึ่งตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี และประเด็นในการรณรงค์ปีนี้ คือ “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” เพื่อเน้นให้ประชาชนรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต พร้อมเชิญชวนให้ดูแลสุขภาพของตนเอง เพราะโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อัมพาตหรือ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดหล่อเลี้ยงทำให้มีอาการชาที่ใบหน้า ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หลอดเลือดสมองตีบหรือตันและหลอดเลือดสมองแตก จากรายงานขององค์การอัมพาตโลก (WSO) พบว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก พบผู้ป่วยจำนวน 80 ล้านคน ผู้เสียชีวิตประมาณ 5.5 ล้านคน และยังพบผู้ป่วยใหม่ถึง 13.7 ล้านคนต่อปี โดย 1 ใน 4 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป และร้อยละ 60 เสียชีวิตก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ ยังได้ประมาณการความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในประชากรโลกปี 2562 พบว่า ทุกๆ 4 คน จะป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง 1 คน โดยร้อยละ 80 ของประชากรโลกที่มีความเสี่ยงสามารถป้องกันได้

สำหรับประเทศไทย จากรายงานข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบว่า จำนวนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ตั้งแต่ปี 2556-2560 มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในปี 2559 พบผู้ป่วย 293,463 รายในปี 2560 พบผู้ป่วย 304,807 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองปีละประมาณ 30,000 ราย จากสถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทย ซึ่งสามารถเกิดได้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะโรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาโรคหลอดเลือดสมอง จึงได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์วันอัมพาตโลกในวันที่ 29 ตุลาคม 2562 คือ “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” เพื่อให้เกิดความตระหนักในการป้องกันโรคดังกล่าว และรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรค คือ “F.A.S.T” F (Face) เวลายิ้มแล้วพบว่ามุมปากข้างหนึ่งตก, A (Arms) ยกแขนข้างใดข้างหนึ่งไม่ขึ้น, S (Speech) มีปัญหาด้านการพูด แม้แต่ประโยคง่ายๆ, และ T (Time) เวลามีอาการเหล่านี้ ให้รีบไปโรงพยาบาลโดยด่วนภายใน 4 ชั่วโมงครึ่งรวมการรักษา เพื่อจะได้รับการรักษาให้ทันเวลาและสามารถฟื้นฟูให้กลับมาได้เป็นปกติมากที่สุด หรือโทรสายด่วน 1669 ให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ โดยประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนของการเกิดโรค และปฏิบัติตามแนวทางเพื่อลดความเสี่ยง ดังนี้ 1.เลิกสูบบุหรี่ 2.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3.กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว ควรดูแลรักษาสุขภาพตามที่แพทย์แนะนำ ควรรับประทานยาและไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแผนการรักษา 4.ควบคุมน้ำหนักตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ 5.ออกกำลังกายวันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ 6.ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย มีการจัดการความเครียดที่เหมาะสม 7.ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และเพิ่มผัก ผลไม้ 8.ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน! “อนุทิน”ยันยึดสัญญาเดิม

People Unity : “อนุทิน” ยันสร้างรถไฟ 3 สนามบิน ยึดสัญญาเดิม พร้อมชดเชยเอกชนด้วยการขยายเวลาเท่านั้น

เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2562 จากกรณที่มีกระแสข่าวว่า โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง อู่ตะเภา สุวรรณภูมิ ภาครัฐและกลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร หรือกลุ่ม CPH ผู้ชนะการประมูล ได้ตกลงแก้ไขสัญญาเดิม จากที่ภาครัฐ ต้องชำระค่าก่อสร้างในปีที่ 6 หรือหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นภาครัฐชำระค่าก่อสร้าง ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง นอกจากนั้น ภาครัฐพร้อมจะจ่ายเงินชดเชย กรณีการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ซึ่งไม่ใช่ความบกพร่องของเอกชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ภาครัฐยังยึดสัญญาฉบับเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง RFP ว่าอย่างไร ให้เป็นไปตามนั้น ส่วนเรื่องการส่งมอบพื้นที่ ซึ่งหลายฝ่ายเกรงว่าจะไม่ทันใน 2 ปี เนื่องจากยังมีคนอาศัยอยู่ มีท่อ มีสายไฟ มีสาธารณูปโภคขวางอยู่ ตนไม่เป็นห่วง เพราะเคยประชุมร่วมกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทางนั้นบอกว่าจัดการได้แน่นอน บางหน่วยงานเปิดเผยว่า จะใช้เวลาน้อยกว่า 2 ปีด้วย ก็ต้องเชื่อ

“แต่ถ้าครบ 2 ปีแล้ว มันยังติดขัด ต้องไปดูว่าเพราะอะไร หากเกิดจากภาครัฐ เพิกเฉิย ไม่ยอมทำอะไรเลย มันก็ต้องจัดการแบบหนึ่ง แต่ถ้าภาครัฐทำเต็มที่ แต่ไม่ทันจริงๆ ก็ต้องหารือกับเอกชน หาทางออกร่วมกัน แต่ขอให้ย้อนดูกฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างของทางภาครัฐ ที่กำหนดให้ชดเชยด้วบการขยายเวลา ตามหลักก็ต้องเป็นไปตามนั้น” นายอนุทิน กล่าวและว่า

ระหว่างการส่งมอบพื้นที่ ไปจนถึงการก่อสร้าง มีโอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ฝนตก น้ำท่วม มันไม่ใช่ความผิดของใคร แต่มันทำให้การดำเนินงานล่าช้า ตรงนี้ ก็ชดเชยด้วยการขยายเวลาไป แต่ไม่มีทางที่รัฐจะไปจ่ายเงินชดเชยให้เอกชน และถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา เอกชนมีสิทธิ์ฟ้องเอาเงิน แต่โอกาสชนะยาก ส่วนการยกเลิกสัญญา จะทำโดยฝ่ายเดียวไม่ได้ แม้เอกชนจะยกเลิกสัญญาไปแล้ว แต่ก็ต้องทำงานต่อ จนกว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ดูเหมือนว่ารัฐจะได้เปรียบทุกประตู แต่กว่าจะถึงวันนี้ รัฐก็ต้องทำตามสัญญา และทำมากด้วย การที่เอกชนมาทำงานกับรัฐ สิ่งที่มั่นใจได้ คือ เมื่อทำงานเสร็จ รัฐจ่ายแน่นอน

“ราคาที่ผู้ชนะประมูลเสนอมา เป็นราคาที่ดีมากๆ ดังนั้นภาครัฐประคบประหงมอย่างเต็มที่ อะไรที่ทำได้ ไม่ขัดกับกฎหมาย ไม่ขัดกับสัญญา รัฐทำเต็มที่ เพราะเปิดประมูลใหม่ หรือทำอย่างไร ก็ไม่มีทางได้ราคานี้ ล่าสุด ได้ยินข่าวว่าทางกลุ่ม CPH มาเซ็นดำเนินงานแน่นอน แต่ขอดูฤกษ์ดูยาม ซึ่งทางรัฐไม่ขัดข้อง ขออย่าให้ถึงวันที่ 7พฤศจิกายน 2562 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดวันยืนสัญญาก็พอ”

Verified by ExactMetrics