วันที่ 28 พฤศจิกายน 2025

ธ.ก.ส. ครบรอบปีที่ 59 เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจตามวิสัยทัศน์เป็น “ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน”

25 ตุลาคม 2568 ธ.ก.ส. ครบรอบปีที่ 59 เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจตามวิสัยทัศน์เป็น “ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน” ยกระดับการประกอบอาชีพของเกษตรกรทุกมิติตามแนวทางแกนกลางการเกษตร (Essence of Agriculture) นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้นและสร้างการเติบโตภาคเกษตรไทย

ธ.ก.ส. ครบรอบวันสถาปนา 1 พฤศจิกายน เดินหน้ายกระดับรายได้และความเข้มแข็งภาคการเกษตรในทุกมิติตามแนวทาง Essence of Agriculture สนับสนุนสินเชื่อที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการในระหว่างปีบัญชีไปแล้วกว่า 5.5 แสนล้านบาท เติมคนรุ่นใหม่และผู้มีประสบการณ์เข้าร่วมพัฒนาภาคการเกษตรทดแทนเกษตรกรที่สูงอายุผ่านโครงการโรงเรียนเกษตรธนากร สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนด้วยสินเชื่อ BCG และก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่าน BAAC Carbon Credit เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่เป็นวาระแห่งชาติผ่านมาตรการพักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อย ควบคู่การฟื้นฟูศักยภาพในการประกอบอาชีพ พร้อมดันสินค้าแกลมเกษตรจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ สู่ BAAC Matching แพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเชื่อมโยงลูกค้า ธ.ก.ส. เกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชนกับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตในภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ครบรอบปีที่ 59 เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจตามวิสัยทัศน์เป็น “ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน” ยกระดับการประกอบอาชีพของเกษตรกรทุกมิติตามแนวทางแกนกลางการเกษตร (Essence of Agriculture) นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้นและสร้างการเติบโตภาคเกษตรไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีบัญชี 2568 (1 เมษายน 2568 – 30 กันยายน 2568) ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและการลงทุน ทั้งในและนอกภาคการเกษตรระหว่างปี เป็นจำนวน 551,502 ล้านบาท ทำให้มีสินเชื่อรวม จำนวน 1,689,921 ล้านบาท ยอดเงินฝากสะสม 2,033,710 ล้านบาท สินทรัพย์รวม จำนวน 2,435,717 ล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ร้อยละ 6.20 ของสินเชื่อรวม ต่ำกว่าแผนการที่วางไว้ที่ร้อยละ 6.77 โดยในปีบัญชีนี้ ธ.ก.ส. ได้ออกผลิตภัณฑ์เงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ รวมถึงบุคลากรของรัฐและเอกชนที่ทำหน้าที่ในการดูแลภาคชนบทและชุมชนในการนำไปต่อยอดและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ อาทิ สินเชื่อเคหะเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเงินด่วนคนดี และสินเชื่อเงินด่วนกึ่งแสน สำหรับสมาชิก อสม. และ อสส. ซึ่งมีผู้ใช้บริการสินเชื่อแล้วกว่า 636,945 ราย สินเชื่อเงินด่วนสิบหมื่น สำหรับสมาชิก อสม. และ อสส. ผู้ใช้บริการสินเชื่อแล้วกว่า 277,526 ราย

ด้านผลิตภัณฑ์เงินฝาก ธ.ก.ส. ได้เปิดตัวสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดขุนแผนมรกต เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 หน่วยละ 2,000 บาท ลุ้นโชคใหญ่ มูลค่า 40 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ จำนวนกว่า 1 แสนรางวัล รวมมูลค่ากว่า 72 ล้านบาทต่อเดือน อายุสลาก 2 ปี ฝากครบกำหนดรับดอกเบี้ยทันที หน่วยละ 19 บาท หรือคิดเป็น 0.475% โดย ณ วันที่ 20 ต.ค. 68 มียอดฝากสลากแล้วกว่า3,580 ล้านบาท คิดเป็น 1,790,000 หน่วย และเปิดการรับฝาก 2 ผลิตภัณฑ์ สร้างทางเลือกการออมเงิน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ประกอบด้วย เงินฝากทองชมพูนุช เมื่อฝากเงินรับดอกเบี้ยเงินฝากล่วงหน้า ณ วันที่ฝาก ร้อยละ 1.40 ต่อปี ระยะเวลาฝาก 7 เดือน และเงินฝากทองนพคุณ ฝากขั้นต่ำครั้งละ 10,000 บาท วงเงินฝากรวมสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย รับดอกเบี้ยทุกเดือนแบบขั้นบันได สูงสุดถึงร้อยละ 2.15 ต่อปี เฉลี่ยทั้งโครงการร้อยละ 1.40 ต่อปีระยะเวลาฝาก 10 เดือน เปิดรับฝากแล้ววันนี้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ธ.ก.ส. ได้ขับเคลื่อนภารกิจผ่านมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ระยะที่ 1 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 จนถึงระยะที่ 3 (1 ตุลาคม 2568 – 30 กันยายน 2569) ซึ่งในระยะที่ 3 มีผู้เข้าร่วมมาตรการแล้ว จำนวน 1.35 ล้านราย ต้นเงินกู้กว่า 186,935 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. ได้มีมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความสามารถในการชำระหนี้ตามแนวทางตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการมีรายได้เพิ่มขึ้นและลดภาระหนี้สินในระยะยาวหลังจบมาตรการ โดยในปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมแล้ว จำนวน 3.16 แสนราย ในจำนวนนี้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนและสร้างผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% ได้เป็นจำนวนกว่า 1.14 แสนราย นอกจากนี้ ในระหว่างการเข้าร่วมมาตรการ ธนาคารยังได้สนับสนุนเงินทุนผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ ภายใต้มาตรการพักชำระหนี้ให้กับผู้ผ่านการอบรมฯ วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนและเสริมสภาพคล่องในระหว่างการพักหนี้ โดยมีผู้ใช้บริการสินเชื่อ จำนวน 37,548 ราย ยอดจ่ายสินเชื่อสะสมรวมกว่า 3,021 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2568) นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังได้ดำเนินโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังและนาปี ปี 2568 และส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 4.5 ล้านครัวเรือน รวมเป็นเงินกว่า 36,716 ล้านบาท

ด้านการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนภายใต้แนวคิดลูกค้าแข็งแรง ธนาคารยั่งยืน ที่จะเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การพัฒนาภาคการเกษตร (Agricultural Networks) โดยเตรียมเปิดตัวเว็บไซต์ BAAC Matching แพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดตลอดห่วงโซ่ เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการเกษตรอย่างยั่งยืน ภายใต้คอนเซปต์ “BAAC Holistic : ก้าวไปด้วยกันสร้างสรรค์อนาคตภาคการเกษตรไทยอย่างยั่งยืน” โดย ธ.ก.ส. จะรวบรวมและเชื่อมโยงสินค้า Glam เกษตร จากลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ และจัดหมวดสินค้าที่ง่ายต่อการเลือกซื้อและเข้าถึงมาอยู่ในแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างช่องทางการตลาดใหม่ให้เกษตรกรและผู้บริโภคสามารถซื้อและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กันได้โดยตรง พร้อมเปิดให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นี้ ผ่าน http://baacmatching.baac.or.th โดย ธ.ก.ส. ยังได้ร่วมจุดประกายการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ภายใต้แนวคิด ‘ทำน้อยได้มาก’ ด้วยการยกระดับผลิตภัณฑ์และการสร้างภาพลักษณ์อันโดดเด่น ทันสมัย ด้วยการ Repackage และ Redesign เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเกษตรกร ทั้งเกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรหัวขบวน โดยเฉพาะเกษตรกรกลุ่มเปราะบางให้มีศักยภาพในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ โดยได้สนับสนุนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้แก่สินค้าที่ได้รับเครื่องหมาย A-Product แล้วกว่า 360 รายการ และในสินค้า Essence Glam อาทิ ข้าวพร้อมทานแบรนด์อุ่นอิ่ม จากสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ร้อยเอ็ด จำกัด (สกต. ร้อยเอ็ด จำกัด) สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. สุรินทร์ จำกัด (สกต. สุรินทร์ จำกัด) สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. นครปฐม จำกัด (สกต. นครปฐม จำกัด) และน้ำสับปะรดกระป๋อง แบรนด์ Sure Juice จากสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ราชบุรี จำกัด (สกต. ราชบุรี จำกัด) ซึ่ง ธ.ก.ส. จะดำเนินการสนับสนุนต่อยอดไปยังสหกรณ์เกษตรเพื่อตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. อื่น ๆ ต่อไป พร้อมหนุนการท่องเที่ยวชุมชมในรูปแบบ Agro-Tourism และผลักดันการสร้างสินค้าเกษตรมูลค่าสูงที่สามารถจำหน่ายในตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ อันนำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังเติมเยาวชนและคนรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหา Aging Society โดยให้กลุ่มคนเหล่านี้มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เทียบเท่ากับการทำงานในเมือง ผ่านโครงการเกษตรธนากร โดยเติมความรู้ทักษะด้านการเกษตรสมัยใหม่ และความรู้ทางการเงินให้กับเยาวชนในโรงเรียน เพื่อปูทางไปสู่การเป็นผู้ประกอบการทางการเกษตรในอนาคต นำร่อง 27 โรงเรียนทั่วประเทศ จาก 9 ฝ่ายกิจการสาขาภาค และเตรียมขยายผลไปยังโรงเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป ควบคู่กับการดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ประสบการณ์ทั้งด้านเทคโนโลยีและการตลาดเข้ามาพัฒนาภาคการเกษตรไปสู่การเป็นผู้ประกอบการเกษตรชั้นนำผ่านโครงการสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ ที่เปิดโอกาสให้พนักงานทั้งภาครัฐและเอกชน ข้าราชการที่เตรียมเกษียณอายุได้มีโอกาสสร้างรายได้จากการอาชีพการเกษตร ทำให้ภาคเกษตรกรรมมีความเข้มแข็งมากขึ้น นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในองค์กรให้มีความเข้มแข็งด้วยการเพิ่มขีดความสามารถองค์กรและบุคลากร ผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน (Re-Process and Digitize Process) เพื่อลดเวลาในการดำเนินงานและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ เช่น การสนับสนุนสินเชื่อชะลอข้าวผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile และระบบอำนวยสินเชื่อที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา และจะเริ่มใช้ในเดือนมกราคม 2569

ในขณะเดียวกัน ธ.ก.ส ได้ขับเคลื่อนภารกิจด้านการสร้างความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด ESG มุ่งสู่เป้าหมายการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ผ่านโครงการ BAAC Carbon Credit โดยปัจจุบันมีชุมชนธนาคารต้นไม้เข้าร่วมและขึ้นทะเบียน T-VER แล้ว 35 ชุมชน สามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกสะสม 3,331 ตันคาร์บอน และสร้างพื้นที่สีเขียวกว่า 6,581 ไร่ หรือคิดเป็นจำนวนต้นไม้กว่า 4.95 ล้านต้น และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สะสม 4,879 ตันคาร์บอน นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสร้างความยั่งยืนผ่านสินเชื่อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ESG เป้าหมาย 25,000 ล้านบาท ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569 โดยปัจจุบันปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 23,000 ล้านบาท และมีผู้กู้จำนวนกว่า 7,100 ราย

จากความสำเร็จในการดำเนินงาน ในปีบัญชีที่ผ่านมา ทำให้ ธ.ก.ส. ได้รับรางวัลในด้านต่าง ๆ ในระดับมาตรฐานสากลมากมาย ได้แก่ รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA ) ประจำปี 2567 รางวัลมาตรฐานระดับโลกที่สะท้อนถึงความเป็นเลิศในการบริหารจัดการตามเกณฑ์มาตรฐานสากลระดับโลก รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 (SOE Awards) 4 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลบริหารจัดการองค์กรดีเด่น รางวัลการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น รางวัลบริการดีเด่น และรางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น ด้านความคิดสร้างสรรค์ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภารกิจตามกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ธนาคารในทุกมิติ รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2025 ในสาขา Corporate Governance และสาขา Social Empowerment ที่สะท้อนการเป็นต้นแบบด้านการกำกับดูแลองค์กรที่ดีอย่างมีธรรมาภิบาลและสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไปสู่ความยั่งยืนในระดับสากล รางวัล Asia Pacific Enterprise Awards (APEA 2025) ประเภท ความเป็นเลิศทางธุรกิจองค์กร Corporate Excellence Award ที่สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้มีความเข้มแข็งและพร้อมยกระดับภาคการเกษตรและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568 ที่สะท้อนถึงความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการนวัตกรรมในองค์กร เพื่อให้เกิดการสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กร และรางวัลสุดยอดองค์กรแห่งความเป็นเลิศระดับโลก Global Performance Excellence Award 2025 ในระดับสูงสุด (World Class) ที่สะท้อนความเป็นเลิศในการบริหารจัดการระดับสากล และพร้อมเดินหน้าพัฒนาองค์กรให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งนอกจาก ธ.ก.ส. จะเป็นสถาบันการเงินของรัฐที่ดูแลเกษตรกรและภาคชนบทแล้ว ความเป็นเอกลักษณ์ของ ธ.ก.ส. คือ เราเป็นมากกว่าธนาคาร ที่พร้อมดูแลและเติบโตไปพร้อมกับเกษตรกรและชุมชนทั่วประเทศ เราจึงไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนเรา พร้อมเดินหน้าสู่ปีที่ 60 ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาภาคเกษตรไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ธ.ก.ส. The Way We Are ถ้าได้สัมผัส คุณจะรัก ธ.ก.ส.”

Advertisement

 

รมว.พลังงาน ชี้ “ไฮโดรเจน” คือโอกาสในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050

24 ตุลาคม 2568 “อรรถพล” ชี้ “ไฮโดรเจน” คือโอกาสในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 พร้อมบรรจุอยู่ในแผน PDP เตรียมประกาศให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ตาม พ.ร.บ.ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ไฮโดรเจน โอกาสทางเศรษฐกิจและความอยู่รอดของประเทศไทย” ในงานสัมมนาที่จัดขึ้นโดย คณะกรรมาธิการพลังงาน วุฒิสภา โดยระบุว่า “ไฮโดรเจน” เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่สำคัญ ท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์โลก ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจพลังงานที่ผันผวน และทิศทางที่มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ที่ทั่วโลกกำลังเร่งดำเนินการ ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เน้นย้ำถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะการปรับตัวตามทิศทางโลกที่มุ่งสู่ Net Zero ซึ่งส่งผลให้ไทยต้องปรับเป้าหมายการบรรลุ Net Zero ให้เร็วขึ้นจากเดิมปี ค.ศ. 2065 เป็นปี ค.ศ. 2050

กระทรวงพลังงานจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน คือ ความมั่นคงทางพลังงาน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (ราคาที่เหมาะสม) และการสร้างความยั่งยืน (พลังงานคาร์บอนต่ำ) พร้อมผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ โดยการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ เช่น ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย และ SMR ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

สำหรับศักยภาพของไฮโดรเจนนั้น ประเทศไทยมีโอกาสสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการการใช้พลังงานจำนวนมาก นอกจากนั้น แผนพลังงานชาติฉบับร่างได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการส่งเสริมไฮโดรเจน โดยแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับร่าง ตั้งเป้าหมายการผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติเริ่มต้น 5% ในการผลิตไฟฟ้า เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2030 ขณะที่แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ฉบับร่าง ตั้งเป้าใช้ไฮโดรเจนเชิงความร้อนในภาคอุตสาหกรรมที่ 10 KTOE และในภาคขนส่งที่ 4 KTOE ภายในปี ค.ศ. 2037 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการประกาศให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พศ. 2542 รวมทั้งจะดำเนินการจัดทำกลไกและมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อผลิตและขนส่งไฮโดรเจน รวมถึงการจัดมาตรการสนับสนุนด้านการเงินและสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ภาคเอกชน

“ไฮโดรเจน” เป็นทั้งพลังงานทางเลือก และเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ให้กับประเทศ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างความยั่งยืน การขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางไฮโดรเจนสีเขียวในอาเซียน และการสร้างความร่วมมือกับนานาชาติ จะทำให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างมั่นคงและเป็นธรรม” นายอรรถพล กล่าว

Advertisement

กรมธนารักษ์ แนะนำ 3 แอป ให้บริการประชาชนแบบออนไลน์ สะดวกแค่ปลายนิ้ว

22 ตุลาคม 2568 กรมธนารักษ์ดำเนินการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ยกระดับการให้บริการภาครัฐ รวมทั้งอำนวยความสะดวกเพิ่มความรวดเร็วให้ผู้รับบริการ ประหยัดเวลา ลดภาระค่าใช้จ่ายเดินทางมาติดต่อราชการและสำเนาเอกสาร ด้วยการเพิ่มช่องทางการให้บริการแก่ประชาชน ผ่านแอปพลิเคชันของกรม

วันที่ 22 ตุลาคม 2568 ณ กรมธนารักษ์ นายบุญชอบ วิเศษปรีชา โฆษกกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ ได้ดำเนินการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับการให้บริการของภาครัฐ รวมทั้งอำนวยความสะดวกเพิ่มความรวดเร็วให้แก่ผู้รับบริการ ช่วยประหยัดเวลา ลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางมาติดต่อราชการและค่าใช้จ่ายการสำเนาเอกสาร ด้วยการเพิ่มช่องทางการให้บริการแก่ประชาชน ผ่านแอปพลิเคชันของกรมธนารักษ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.TRD Smart Pay “ชำระค่าเช่าที่ราชพัสดุ ได้ทุกที่ ทุกเวลา” เป็นแอปพลิเคชันที่จะอำนวยความสะดวกแก่ผู้เช่าที่ราชพัสดุ โดยครอบคลุมบริการต่างๆ ได้แก่ ชำระค่าเช่าที่ราชพัสดุ ตรวจสอบข้อมูลที่ราชพัสดุ การตรวจสอบข้อมูล การเช่าที่ราชพัสดุ อัตราค่าเช่า สัญญาเช่า แปลงที่ราชพัสดุที่เช่า การตรวจสอบรายการที่ต้องชำระเงิน ค่าเช่า ค่าธรรมเนียม หลักประกันการเช่า และเงินอื่นๆ การชำระเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต/เดบิต (Payment Gateway) และผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ (Page to Page) รวม 7 แห่ง ประกอบด้วย บมจ. ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ บมจ.ธนาคารทหารไทย บมจ. ธนาคารกสิกรไทย และ บมจ. ธนาคารกรุงเทพ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการแต่อย่างใด และสามารถยื่นคำร้องขอดำเนินการต่างๆ เช่น ขอโอนสิทธิ สืบสิทธิ รังวัดแนวเขตการเช่า เป็นต้น รวมถึงการติดตามสถานะ และผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมระบบการแจ้งเตือนอัตโนมัติเพื่อให้ผู้เช่าที่ราชพัสดุสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์จากกรมธนารักษ์ได้ตลอดเวลา

2.TRD Property Valuation “อยากรู้ราคาที่ดิน อาคาร ห้องชุด ผ่านแอปเดียว” เป็นแอปพลิเคชันที่จะอำนวยความสะดวกให้บริการแก่ประชาชนที่ต้องการค้นหาราคาประเมินที่ดิน อาคาร ห้องชุด พร้อมแผนที่แสดงราคาประเมิน ด้วยการใช้งานที่ครอบคลุมบริการต่างๆ ได้แก่ เลขที่โฉนด เลขที่ดิน น.ส. 3ก ห้องชุด สิ่งปลูกสร้าง สรุปราคาประเมินที่ดิน ที่ดินประเภทอื่น และระบบดาวน์โหลดข้อมูลสำหรับ อปท. ด้วยรูปแบบการใช้งานที่ง่าย เพียงแค่กรอกข้อมูลเลขที่โฉนด ก็สามารถดูราคาประเมินได้

3.TRD e-Commerce “ซื้อ – สั่งจองเหรียญและผลิตภัณฑ์เหรียญ แค่ปลายนิ้ว” เป็นแอปพลิเคชันที่ให้บริการ การซื้อ – สั่งจองเหรียญและผลิตภัณฑ์เหรียญ ของกรมธนารักษ์ ที่สามารถ “ซื้อง่ายแค่ปลายนิ้ว” ไม่ว่าที่ไหน ก็สะดวกซื้อ สะดวกจ่ายอย่างปลอดภัย พร้อมการชำระเงินผ่านระบบ 4 ช่องทาง ได้แก่ 1) ชำระเงินผ่านบัตรเครดิต / เดบิต 2) ชำระผ่านบัญชี ธ.กรุงไทย (ได้ผลทันที) 3) ชำระผ่าน QR Code (Cross Bank) (ค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร แต่ไม่เกิน 5 บาท) และ 4) ชำระผ่านเคาน์เตอร์ ธ.กรุงไทยทุกสาขา (ชำระภายใน 12 ชั่วโมง) และได้รับใบเสร็จรับเงินเพื่อใช้เป็นหลักฐานได้ทันที อีกทั้งสามารถเลือกช่องทางการรับเหรียญได้ ทั้งรับด้วยตนเอง หรือการจัดส่งทางไปรษณีย์

นายบุญชอบ กล่าวทิ้งท้ายอีกด้วยว่าแอปพลิเคชันทั้ง 3 ของกรมธนารักษ์ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองการบริการงานด้านที่ราชพัสดุ ด้านประเมินราคาทรัพย์สิน และด้านเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า ให้แก่ประชาชนให้ได้รับความสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางมาติดต่อราชการ ประชาชนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง ระบบปฏิบัติการ iOS (App Store) และ Android (Play Store) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมธนารักษ์ โทร 02 059 4999

Advertisement

การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 32

21 ตุลาคม 2568 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 32 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี

รองนายกฯ และ รมว.คลัง เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 21 – 23 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 32 การประชุมรัฐมนตรีด้านการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (APEC Structural Reform Ministerial Meeting: APEC SRMM) ครั้งที่ 4 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 21 – 23 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีผลการประชุม APEC FMM ครั้งที่ 32 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ดังนี้

การประชุม APEC FMM ครั้งที่ 32 จัดขึ้นในหัวข้อหลัก “การเติบโตที่ยั่งยืนและความมั่งคั่งร่วมกันในภูมิภาค (Sustainable Growth and Shared Prosperity in the Region)” โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจเอเปคอีก 20 เขต ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก การเงินดิจิทัล และนโยบายการคลัง สรุปได้ ดังนี้

1) แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค ที่ประชุมแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบาง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูง หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนแรงงาน และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น สังคมสูงอายุ และการปฏิวัติเทคโนโลยี เป็นต้น

2) การเงินดิจิทัล ที่ประชุมได้หารือถึงบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI)I และแพลตฟอร์มดิจิทัลในเทคโนโลยีทางการเงินเพื่อพัฒนาการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises: MSMEs) และประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจำเป็นต้องมาพร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ลดการเลือกปฏิบัติ และการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินในภาพรวม

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอความสำเร็จของระบบ PromptPay ที่มีผู้ใช้กว่า 80 ล้านบัญชี และขยายความร่วมมือในระดับภูมิภาคผ่านโครงการ Project Nexus และการพัฒนา ARI Score ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินเครดิตทางเลือกใหม่ โดยใช้ AI ซึ่งมีความโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อให้ขยายโอกาสในการเข้าถึงทางการเงินแก่ประชาชนทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก

3) นโยบายการคลังเพื่ออนาคต ที่ประชุมเห็นพ้องว่า ท่ามกลางข้อจำกัดด้านงบประมาณ รัฐบาลควรมุ่งให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายอย่างมีคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในดิจิทัล พลังงานสะอาด และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้นำเสนอกรอบแนวทางการใช้นโยบายการคลังของไทยภายใต้หลัก 3P ได้แก่ (1) Precision การใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการกำหนดนโยบายให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยยกตัวอย่างโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของรัฐบาล ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนกว่า 20 ล้านคนภายในวันเดียว โดยใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อช่วยจ่ายค่าสินค้าและบริการที่จำเป็น (2) Priorities การกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน โดยมีเป้าหมายหลักในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก และยกระดับผลิตภาพในภาคส่วนสำคัญ และลงทุนในทุนมนุษย์ โดยเฉพาะในด้านทักษะดิจิทัลและสีเขียว เพื่อเตรียมพร้อมประชาชนต่อความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและ AI และ (3) Partnerships การระดมทุนและส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน ผ่านรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnership) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระทางการคลัง พร้อมไปกับการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยรักษาเพดานหนี้สาธารณะ และควบคุมการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP)

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประจำปี 2568 ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังระหว่างกัน เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ยืดหยุ่น มาตรการทางการคลังที่ยั่งยืน การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และการเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน โดยใช้แผนปฏิบัติการอินชอนในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานด้านนโยบายการคลัง การเข้าถึงและมีส่วนร่วม การเงิน และนวัตกรรม ในภูมิภาคเอเปคในระยะ 5 ปี

Advertisement

นายกฯ อนุทิน ลั่นใช้ยาแรงปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ ปิดระบบ-ตัดสัญญาณได้ทันที ไม่ต้องรอมติ สมช.

20 ตุลาคม 2568 นายกฯ อนุทิน ประชุม คกก. อำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนัดแรก ใช้ยาแรงปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ ปิดระบบ-ตัดสัญญาณได้ทันที ไม่ต้องรอมติ สมช. พร้อมสั่งทุกหน่วยบูรณาการความร่วมมือ เดินหน้าปราบปราม สร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เข้าร่วม

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่านายกรัฐมนตรีได้แถลงผลสรุปการประชุมเพื่อให้ทุกหน่วยได้รับทราบว่า ขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์เป็นปัญหาอาชญากรรมระดับโลก รัฐบาลถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานได้บูรณาการความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหานี้ ที่ผ่านมาได้รับทราบว่าแต่ละหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ มีบันทึกการจับกุม ยึดทรัพย์ ดำเนินคดีผู้ที่กระทำผิด มูลค่าเงินระดับหมื่นล้าน แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ เพราะต่างคนก็ต่างทำงาน เพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนได้สั่งการให้ดำเนินการให้เข้มข้นขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า กสทช. ยืนยันว่าสัญญาณที่ส่งไปประเทศเพื่อนบ้านได้ปิดสัญญาณทั้งหมดแล้ว ส่วนไปรับสัญญาณที่ไหนมาเป็นอีกประเด็นที่ต้องขอความร่วมมือกับประเทศต้นทาง ต้องแจ้งเพราะเป็น 1 ใน 4 เงื่อนไขในการเจรจาที่จะต้องดำเนินการตาม โดยย้ำเงื่อนไขสำคัญที่จะต้องทำคือการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรม ในการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในวันนี้ ได้มีการหารือถึงการแต่งตั้งอนุกรรมการเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินการป้องกันและปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไม่เกิน 5 ชุดเพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน โดยเจ้าภาพหลักคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะมีการจัดตั้งเป็นคณะอนุกรรมการ ซึ่งแต่ละชุดจะร่วมกันดำเนินการในเรื่องนี้ โดยอธิบดีกรมการปกครองจะไปพิจารณารวบรวมรายชื่อมา เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมา โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ลงนามด้วยตนเอง

“เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยืนยันว่า ขณะนี้สามารถตัดระบบหรือปิดสัญญาณที่เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ต้องขอมติจาก สมช. อีก เนื่องจากมีมติเดิมครอบคลุมอยู่แล้ว หน่วยงานเจ้าสังกัดสามารถดำเนินการได้ทันที ทั้งการหยุดให้บริการหรือระงับการสนับสนุนในส่วนที่อาจเอื้อให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายได้ทันที ซึ่งตรงนี้ถือเป็นยาแรง” นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ

ส่วนกรณีที่มีกระแสกล่าวอ้างว่ามีนักการเมืองไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีการส่งรายชื่อมา และมีการได้ออกมาปฏิเสธแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีการเฝ้าระวัง และหากมีข้อมูล หลักฐาน หรือเส้นทางการเงินที่ต้องติดตาม ก็จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบอยู่แล้ว

“หากพบว่าบุคคลใดกระทำผิดอย่างชัดเจน และมีหลักฐานยืนยัน จะไม่ละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยจะดำเนินการตามกฎหมายทันที ทั้งนี้ มีผู้กระทำผิดที่ถือสัญชาติไทย และถือสัญชาติอื่นด้วย ซึ่งได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมการปกครอง ดำเนินการตรวจสอบและดำเนินเรื่องนี้แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์หรือสแกมเมอร์ ถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเข้มงวด เพราะหากต้องมีการเจรจาด้านการทูต การลงทุน หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องนี้จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ หรือถูกตั้งเงื่อนไขในหลายด้าน ดังนั้น จึงต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและเด็ดขาด และการประชุมในวันนี้ นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ได้มีการเสนอเพิ่มอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในชุดนี้ด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการยกร่างคำสั่ง เพื่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งต่อไป

Advertisement

รัฐบาลเดินหน้าคนละครึ่งพลัส ครอบคลุมการใช้จ่ายในระบบขนส่งสาธารณะทั่วประเทศ

19 ตุลาคม 2568 นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าของรัฐบาลในการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างต่อเนื่องและตรงจุด ด้วยการขยายผลโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ให้ครอบคลุมการใช้จ่ายในระบบขนส่งสาธารณะทั่วประเทศ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการ ลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต จึงได้ปรับปรุงโครงการฯ เพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ

“โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ในส่วนของระบบขนส่งสาธารณะนี้ ถือเป็นการตอกย้ำถึง ความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการดูแลประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เป็นการใช้กลไกของรัฐในการหมุนเวียนเม็ดเงินไปสู่ผู้ประกอบการรายเล็กอย่างแท้จริง” นางสาวลลิดากล่าว

ขณะนี้ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้เข้าร่วมโครงการอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ชำระค่าตั๋วรถ บขส. ทุกเส้นทางทั่วประเทศ ณ ช่องจำหน่ายตั๋วทุกสถานี ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 โดยจำกัดวงเงินใช้สิทธิ์สูงสุดที่ 200 บาทต่อวัน เพื่อให้เกิดการกระจายการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เปิดกว้างสำหรับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ รถจักรยานยนต์สาธารณะ, รถตุ๊กตุ๊ก, รถแท็กซี่, รถสองแถว, รถตู้โดยสาร, และรถโดยสารประจำทาง โดย กรมการขนส่งทางบก เปิดรับผู้ประกอบการเข้าร่วมลงทะเบียนได้ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2568 โดยเน้นการเข้าถึงสิทธิ์สำหรับผู้ประกอบการที่มี ใบอนุญาตถูกต้อง และ นิติบุคคลรายเล็ก (รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี)

“รัฐบาลเชื่อมั่นว่ามาตรการนี้จะช่วยฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบ และพัฒนาบริการให้เป็นระบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น นี่คือการลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” รองโฆษกฯ กล่าวย้ำ

Advertisement

ทัพไทยบุกงานเกษตรนานาชาติ เทียนจิน โชว์ศักยภาพสินค้าเกษตรพรีเมียม สร้างโอกาสเกษตรกรไทยเชื่อมตลาดโลก

18 ตุลาคม 2568 “รองนายกฯ ธรรมนัส” นำทัพไทยบุกงานเกษตรนานาชาติ เทียนจิน โชว์ศักยภาพสินค้าเกษตรพรีเมียม ดันไทยสู่ศูนย์กลางอาหารโลก ขยายความร่วมมือการค้า ฉลอง 50 ปีสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน สร้างโอกาสเกษตรกรไทยเชื่อมตลาดโลก

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมงาน China International Agricultural Trade Fair 2025 (CATF 2025) ครั้งที่ 22 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 19 ตุลาคม 2568 โดยมี นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น.ส.นฤมล สงวนวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายปณิธาน มีไชยโย ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วม โดยมี นาย Han Jun รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และ นาย Zhang Gong นายกเทศมนตรีนครเทียนจิน ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ณ เมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน

ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวสุนทรพจน์ภายในงานว่า ในนามของรัฐบาลไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่ให้เกียรติประเทศไทยเข้าร่วมงานครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นในปีแห่งการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ครบรอบ 50 ปี ไทย–จีน ความสัมพันธ์ที่ดีดังกล่าวได้ขยายครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านการเกษตร ซึ่งจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยต่อเนื่อง 12 ปีติดต่อกัน โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การค้าระหว่างไทย–จีนมีมูลค่ากว่า 96,254 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6.85 ล้านล้านหยวน) ขยายตัวถึง 28.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และจีนยังคงเป็นตลาดหลักของสินค้าเกษตรไทย เช่น ทุเรียน ลำไย มังคุด ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าว

“รัฐบาลไทยมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มั่นคงอย่างยั่งยืน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และพัฒนาเกษตรมาตรฐานสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘ประเทศไทยศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก (Agricultural and Food Hub)’ ผ่านนโยบายหลัก ‘3 สร้าง’ ได้แก่สร้างรายได้ ด้วยการเพิ่มผลิตภาพและรายได้เกษตรกรสร้างตลาด พัฒนาช่องทางจำหน่าย ขยายตลาดใน–ต่างประเทศ และสร้างโอกาส เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงทรัพยากร เช่น ที่ดินทำกินและน้ำอย่างมั่นคง” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว

ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า  กระทรวงเกษตรฯ ยังขับเคลื่อนตามแนวทาง ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ และโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อปรับระบบเกษตรและอาหารสู่ความยั่งยืน เชื่อมโยงความร่วมมือไทย–จีน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ เศรษฐกิจสีเขียว และเทคโนโลยีดิจิทัล

“การเข้าร่วมงาน CATF ครั้งนี้ จะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรไทย แลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เช่น เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) และนวัตกรรมการแปรรูป เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของสินค้าไทย พร้อมยืนยันความพร้อมของกระทรวงเกษตรฯ ที่จะทำงานร่วมกับจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาค” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวทิ้งท้าย

จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้เปิดนิทรรศการ Thai Pavilion ซึ่งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้นำผลไม้ไทยคุณภาพ เช่น ทุเรียน มะม่วงน้ำดอกไม้ มะพร้าว ขนุน ลองกอง ลำไย และส้มโอ รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูป ผลไม้อบแห้ง และข้าวสาร ให้ผู้บริโภคชาวจีนและต่างชาติได้ลิ้มลอง พร้อมจัดกิจกรรม Business Matching เพื่อเปิดเวทีให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยได้เจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อโดยตรง ทั้งในรูปแบบ B2B และ B2C การเข้าร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดโลก ตอกย้ำภาพลักษณ์ สินค้าเกษตรไทยคุณภาพระดับโลกและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คู่ค้าต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ร้อยเอก ธรรมนัส ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนท้องถิ่นจีนว่า สินค้าที่ไทยนํามาแสดงที่นี่เป็นส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกรดพรีเมี่ยมของประเทศไทยที่เรานําเข้ามาสู่ประเทศจีน ซึ่งในแต่ละปีจะทําให้ประเทศไทยมีรายได้จํานวนมหาศาล ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าพวกผลไม้ อาทิ ทุเรียนมังคุด ลําไย สินค้าจากยางพารา และข้าวที่ส่งมาจากประเทศไทยสู่ประเทศจีน ตนอยากจะบอกพี่น้องชาวจีนว่า สําหรับประเทศไทยแล้ว เราคือเมืองพี่เมืองน้องกัน ปีนี้เป็นปีทองของทั้ง 2 ประเทศ สำหรับผม ผมรักคนจีนและประเทศจีน

Advertisement

ไมโครชิพ ขยายลงทุนไทย ดันไทยศูนย์กลางทดสอบชิปของภูมิภาค

15 ตุลาคม 2568 ไมโครชิพ (Microchip) ยักษ์ใหญ่ชิปจากสหรัฐอเมริกา เดินหน้าขยายลงทุนในไทย ยอดลงทุนสะสมตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทรวมกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ยกระดับสู่ฐานหลักในการประกอบและทดสอบชิปขั้นสูง หนุนไทยสู่เป้าหมาย “ชิปเมดอินไทยแลนด์” แบบครบวงจร

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมชมสายการผลิตและพบหารือกับผู้บริหารบริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด ว่า “ไมโครชิพ” เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่รายแรกจากสหรัฐอเมริกาที่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2538 และได้ขยายการลงทุนต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการของบีโอไอ ได้อนุมัติส่งเสริมการขยายการลงทุนโครงการประกอบและทดสอบชิป (Wafer Testing, IC Packaging and Testing) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโลก มูลค่าลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ทำให้ยอดรวมถึงปัจจุบัน บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 12 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 38,000 ล้านบาท

ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) เป็นบริษัทในเครือ Microchip Technology Inc. ผู้นำระดับโลกด้านเซมิคอนดักเตอร์และระบบควบคุมอัจฉริยะ โดยผลิตชิปประเภทไมโครคอนโทรลเลอร์ ชิปอะนาล็อกและการจัดการพลังงานที่เป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ทั้งยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสารและโทรคมนาคม ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมอวกาศ บริษัทมีลูกค้ากว่า 1 แสนราย ในกว่า 120 ประเทศ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ

ในประเทศไทย ไมโครชิพมีโรงงานประกอบและทดสอบชิปโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 2 แห่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 4,500 คน ในจำนวนนี้เป็นวิศวกรไทย 440 คน ถือเป็นฐานการประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในเครือ โดยกว่าร้อยละ 90 ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของไมโครชิพทั่วโลกจะถูกส่งมาทดสอบที่โรงงานในไทยแห่งนี้ก่อนจำหน่ายให้กับลูกค้า โดยกิจการในไทยครอบคลุมตั้งแต่การทดสอบวงจรรวมบนแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์ การประกอบและทดสอบชิป การเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงการสนับสนุน ด้านวิศวกรรม เทคนิคการผลิต และเทคโนโลยีการตรวจสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์แก่บริษัทในเครือทั่วโลก สำหรับการขยายการลงทุนรอบใหม่นี้ เน้นเพิ่มขีดความสามารถการประกอบและทดสอบชิปขั้นสูง เพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดโลก

นอกจากนี้ ไมโครชิพยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรไทย โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษา 21 แห่ง ทั้งระดับปริญญาตรีและอาชีวศึกษา รวมถึงโครงการสหกิจศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรขั้นสูงด้านเซมิคอนดักเตอร์ โดยองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้สั่งสมในฐานการผลิตในไทย ทำให้โรงงานในไทยเป็นหนึ่งในศูนย์ความรู้ที่ใช้อบรมและพัฒนาวิศวกรของบริษัทจากต่างประเทศอีกด้วย

“การที่บริษัทไมโครชิพ หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมชิประดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ได้ลงทุนและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย จนกลายเป็นศูนย์ประกอบและทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในเครือ อีกทั้งยังสนับสนุนให้วิศวกรไทยมีบทบาทสำคัญในการร่วมออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและทดสอบ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในขีดความสามารถของบุคลากรไทย และศักยภาพของไทยในการเป็นฐานที่มั่นสำคัญสำหรับการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ซึ่งการขยายการลงทุนครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทย และสนับสนุนให้ไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายชิปเมดอินไทยแลนด์” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ บีโอไออยู่ระหว่างการนำเสนอรัฐบาลเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ชุดใหม่ แทนชุดเดิมที่สิ้นสุดพร้อมรัฐบาลเดิม โดยมีวาระสำคัญที่เตรียมนำเสนอบอร์ดชุดใหม่ เช่น ยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (National Semiconductor Strategy) พร้อมข้อเสนอมาตรการสนับสนุนแบบครบวงจร รวมทั้งแผนการพัฒนาบุคลากรทักษะสูงด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เพื่อรองรับการลงทุนที่จะขยายตัวอย่างมากในอนาคต

Advertisement

“รมว.ธรรมนัส” คัมแบ็กประกาศสงคราม “ปลาหมอคางดำ” เผยกำจัดปลาหมอคางดำแล้ว 7.3 ล้านกิโลกรัม

13 ตุลาคม 2568 “รมว.ธรรมนัส” คัมแบ็กประกาศสงคราม “ปลาหมอคางดำ” เผย กำจัดปลาหมอคางดำแล้ว 7.3 ล้านกิโลกรัม พร้อมเดินหน้าปลดล็อกกฎหมาย IUU ช่วยชาวประมงทั่วประเทศ

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชมโครงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยมี นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงพื้นที่ ณ สหกรณ์ประมงแม่กลอง จำกัด ตำบลแหลมใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม

ร้อยเอก ธรรมนัส เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร ผ่านการจัดทำโครงการต่าง ๆ โดยยึดตาม 7 มาตรการสำคัญ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องเกษตรกรภาคประมง และแก้ไขการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างครอบคลุมทั้งระบบ ซึ่งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.ย. 2568) สามารถกำจัดปลาหมอคางดำได้แล้ว รวมทั้งสิ้น 7,325,234.50 กิโลกรัม อีกทั้ง จากรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวม พบว่า จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดพัทลุง ไม่พบการระบาดของปลาหมอคางดำแล้ว ขณะที่การแพร่ระบาดในพื้นที่อื่นมีปริมาณลดลงเหลือเพียง 17 จังหวัด แบ่งออกเป็น

1) พื้นที่พบความชุกชุมในระดับน้อย (ไม่เกิน 10 ตัวต่อ 100 ตร.ม.) จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา

2) พื้นที่พบความชุกชุมในระดับปานกลาง (มากกว่า 10-100 ตัวต่อ 100 ตร.ม.) จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช

อย่างไรก็ตาม ยังคงมอบหมายให้กรมประมงเร่งเดินหน้าขับเคลื่อน “แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำอีก

ด้าน นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมประมง กล่าวเสริมว่า นอกจากการกำจัดปลาหมอคางดำ โดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย อาทิ การยางแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาที่ดิน ในการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อมอบให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ปริมาณถึง 4,938,740.50 กิโลกรัม รวมถึงหน่วยงานภาคเอกชนในผลิตเป็นปลาป่นเพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ปริมาณถึง 2,001,069 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 34 ล้านบาทแล้วนั้น กรมประมง ยังได้สำรวจและศึกษาการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าให้สอดคล้องกับระบบนิเวศเดิม รวมแล้วกว่า 1,130,600 ตัว ตลอดจนมีการส่งเสริมองค์ความรู้การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากปลาหมอคางดำให้แก่เกษตร เพื่อเป็นการสร้างประโยชน์ปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดออกจากระบบนิเวศ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2568 กรมประมงมีแผนการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เช่น กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลานวลจันทร์ทะเล หอยหวาน หอยตลับ  หอยลาย และปูม้า เป็นต้น จำนวนกว่า 78,815,000 ตัว โดยสามารถปล่อยได้แล้วจำนวน 75,705,980 ตัว คิดเป็น 96.6% ของแผนทั้งหมด เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการการชดเชยเรือประมงที่จะนำออกนอกระบบทั่วประเทศ จำนวน 923 ลำ วงเงินรวม 1,622,605,300 บาท ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมประมง จัดทำขึ้นเพื่อบริหารกองเรือให้มีความสมดุลกับทรัพยากรประมงทะเล และเกิดความยั่งยืนในการใช้ประโยชน์จากสัตว์น้ำ โดยวิธีการลดจำนวนเรือประมงให้เหมาะสมกับปริมาณทรัพยากรประมงทะเลส่งผลให้ทรัพยากรประมงทะเลฟื้นคืนสู่ระดับที่สามารถให้ผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน และเปิดโอกาสให้ชาวประมงสามารถนำเรือประมงไปใช้ในกิจการอื่นนอกภาคประมงได้

ทั้งนี้ มีเรือประมงที่ประสงค์จะออกนอกระบบ จำนวน 804 ลำ และไม่ประสงค์ออกนอกระบบจำนวน 119 ลำ โดยทำการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 726 ลำ รวมจำนวน วงเงิน 1,004,956,850 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2568) และจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาต่อไป

“คนที่จุดประเด็นเรื่องการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำคือตัวผมเอง เพราะมันทำให้พี่น้องชาวประมงเดือดร้อนมันขยายพันธุ์ไวและตายยาก กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องหามาตรการจัดการอย่างต่อเนื่อง แม้จะจัดการได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะไม่ยอมแพ้ ต้องปราบให้ได้ ต้องทำให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะใช้เวลากี่วันกี่ปี จากนี้จะนำปลาหมอคางดำมาหมักเป็นปุ๋ย เพราะให้ธาตุอาหารแก่พืช ทั้งไนโตรเจน แคลเซียม และโพแทสเซียม ช่วยให้ต้นไม้เติบโตดีขึ้น โดยพรุ่งนี้ตนจะมีการประชุมประธานสหกรณ์ทั่วประเทศไทยที่เมืองทองธานี เพื่อวางแนวทางลดต้นทุนการผลิต ทั้งพืชไร่ พืชสวน และสหกรณ์จะต้องเป็นแหล่งจําหน่าย ปัจจัยการผลิต และจัดหาช่องทางจำหน่าย รวมถึงส่งเสริมการเป็นตลาดและสถาบันรองรับสินค้าการเกษตรที่ผลิตจากชุมชน เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาหมอคางดำ ผมขอยืนยันกับพี่น้องชาวสมุทรสงครามว่า สิ่งที่ผมเคยให้นโยบายไว้จะเดินหน้าต่อให้ถึงที่สุด ตลอดช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ผลักดันการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของ ไอยูยู (IUU Fishing) ซึ่งสร้างผลกระทบต่อชาวประมงไทย และดำเนินการแก้กฎหมายไปแล้ว 29 ฉบับ และตอนนี้ พ.ร.บ.หลัก ก็ผ่านกระบวนการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว และระหว่างรอประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่ ผมได้มอบหมายให้เร่งจัดทำกฎหมายลูกรองรับ ให้พร้อมบังคับใช้โดยเร็ว” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว

Advertisement

เลขาฯ กอช. ยันปลายปีนี้ เตรียมเปิดขาย “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ”

11 ตุลาคม 2568 เลขาธิการ กอช. บรรยายหัวข้อ Secure Retirement with Thailand’s Big 3: GPF-PVD-NSF” สะสมความมั่งคั่ง สร้างชีวิตมั่นคงด้วยเกษียณ 3 กอง ในงาน Money Freedom Forum 2025 มหกรรมความรู้ สู่อิสรภาพการเงิน จัดโดย Money Coach และ Creative Talk ณ ไอคอนสยาม

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยาย หัวข้อ Secure Retirement with Thailand’s Big 3: GPF-PVD-NSF” สะสมความมั่งคั่ง สร้างชีวิตมั่นคงด้วยเกษียณ 3 กอง ในงาน Money Freedom Forum 2025 มหกรรมความรู้ สู่อิสรภาพการเงิน จัดโดย Money Coach และ Creative Talk ณ TRUE ICON HALL ชั้น 7 ไอคอนสยาม

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า กอช. เป็นกองทุนบำนาญภาคสมัครใจ สำหรับคนไทยที่ไม่มีสวัสดิการบำเหน็จบำนาญจากรัฐ ได้แก่ แรงงานนอกระบบ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร รับจ้าง ค้าขาย นักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุ 15-60 ปี สามารถสมัครเป็นสมาชิก และเริ่มต้นออมเงินกับ กอช. ได้ตั้งแต่ 50 บาทต่อครั้ง สูงสุด 30,000 บาทต่อปี พร้อมรับเงินออมสมทบเพิ่มจากภาครัฐในเดือนถัดไปตามช่วงอายุสูงถึง 100% หรือ 1,800 บาทต่อปี เพื่อสร้างแรงจูงใจและเพิ่มโอกาสให้แรงงานนอกระบบมีเงินบำนาญใช้ในวัยเกษียณ ดังนี้

– อายุ 15-30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออม แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี

– อายุ >30-50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออม แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี

– อายุ >50-60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออม แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี

กอช. ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนออมเงินได้อย่างยืดหยุ่นและได้รับเงินสมทบจากรัฐ แต่ยังมีโอกาสได้รับเงินบำนาญรายเดือนตลอดชีพ เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และรัฐค้ำประกันผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน เฉลี่ย 7 ธนาคาร ซึ่งเงินออมยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 30,000 บาทต่อปี จึงขอเชิญชวนคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เริ่มต้นออมกับ กอช. ตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงและคุณภาพชีวิต  ที่ดีในภายภาคหน้า

นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีนี้ กอช. ยังเตรียมเปิดขาย “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” ซึ่งเป็นสลากขูดดิจิทัล ราคาฉบับละ 50 บาท เป็นทางเลือกในการออมเงินรูปแบบใหม่ ให้แก่ผู้มีสัญชาติไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทุกคน สามารถซื้อได้สูงสุดเดือนละ 3,000 บาท (60 ฉบับ) ผ่านแอปพลิเคชัน กอช. โดยออกรางวัลทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น. ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท (5 รางวัล) รางวัลที่ 2 มูลค่า 1,000 บาท (10,000 รางวัล) ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกรางวัลจะได้รับเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ทันที โดยเงินซื้อสลากทุกบาทจะถูกสะสมไว้เป็นเงินออม และผู้ซื้อสลากจะได้รับเงินออม พร้อมผลประโยชน์เป็นก้อนในครั้งเดียว 4 กรณี ดังนี้ 1) อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ 2) ทุพพลภาพ, เสียสัญชาติไทย 3) เสียชีวิต คืนเงินให้แก่บุคคลที่ระบุไว้ หรือทายาท และพิเศษสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีจะได้รับเงินคืนทั้งหมดเมื่อครบ 5 ปี นับแต่วันที่ซื้อสลาก และสามารถซื้อต่อไปได้คราวละ 5 ปี

“กอช. หวังว่า “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยผลักดันให้สามารถเพิ่มเงินออมของประชาชนทุกคน และจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ประชาชนไทยออมเงินผ่านการลุ้นรางวัลและสร้างระบบการออมที่ยั่งยืนรองรับสังคมผู้สูงอายุของไทย” นางสาวจารุลักษณ์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics