วันที่ 2 กรกฎาคม 2025

อว. ใช้ AI รับรองมาตรฐานหลักสูตร

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 มิถุนายน 2568 อว. ใช้ AI รับรองมาตรฐานหลักสูตร เพื่อให้มีคุณภาพ ถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็วขึ้น เปิดช่อง Fast Track

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ออกประกาศเรื่อง การรับรองมาตรฐานการอุดมศึกษาของหลักสูตรการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2568 ซึ่งผ่านประชาพิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้อง และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) ต้องการให้มีการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและรับรองหลักสูตรการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทันต่อความเปลี่ยนแปลง และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้เรียน สังคม และผู้เกี่ยวข้อง

นายคารม กล่าวว่า คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษาพิจารณาความถูกต้องเพื่อรับรองผลใน 3 มิติ ได้แก่ 1.ความสอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร 8 ข้อ 2.ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา และ 3 การดำเนินการจัดการศึกษาที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์การเรียนรู้และระบบบริหารหลักสูตรอย่างมีคุณภาพ สำหรับหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจะได้รับการรับรองนาน 5 ปี และหลักสูตรระดับปริญญาตรีที่มีระยะเวลาการศึกษาเกิน 5 ปี จะได้รับการขยายเวลารับรองเพิ่มอีก 1 ปี นอกจากนี้ ต้องมีระบบติดตามผลการดำเนินงานของหลักสูตร ภายในภาคเรียนที่ 1 หลังผู้เรียนรุ่นแรกจบการศึกษา โดยให้สถาบันอุดมศึกษารายงานข้อมูลผลการเรียนรู้ของนักศึกษาและการบริหารหลักสูตรผ่านระบบ CISA โดยกำหนดช่องทาง “Fast Track” เป็น 2 กรณีคือ หลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานนานาชาติก่อนส่งเอกสาร ให้ยื่นตรวจเฉพาะความสอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐาน 8 ข้อ และหลักสูตรที่ได้รับการรับรองภายหลังจากที่ได้รับการรับรองโดย กมอ.แล้ว ให้ยื่นขอยกเว้นการติดตามผลการจัดการศึกษา

“รัฐบาลผลักดันการศึกษาไทยให้มีความทันสมัย ปรับหลักสูตรฉบับใหม่ ให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โดยใช้ระบบ AI ช่วยตรวจสอบ พร้อมเปิดช่องทาง Fast Track หรือช่องทางด่วนพิเศษสำหรับหลักสูตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานต่างประเทศที่มีชื่อเสียง เพื่อลดความซ้ำซ้อน และลดภาระของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับนักศึกษาในอนาคต” นายคารม ระบุ

Advertisement

“มหาดไทย” ขับเคลื่อน สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤษภาคม 2568 ปลัด มท. “อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ สนองนโยบาย “อนุทิน” ดำเนินการเชิงรุก ขับเคลื่อนมหาดไทยสีขาว สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด เดินหน้าตรวจหาสารเสพติดบุคลากร มท.-อปท. ทั่วประเทศภายในเดือน มิ.ย. 68 นี้

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและนโยบายหลักของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้เน้นย้ำทุกกลไกของกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า ตนได้มอบหมายให้กรมการปกครองจัดทำโครงการมหาดไทยสีขาว สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด (Safe Zone No Drugs) เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดในทุกรูปแบบ

“สำหรับแนวทางการดำเนินการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกประเภท ได้พิจารณาให้ความยินยอมและสมัครใจเข้ารับการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะโดยปราศจากการบังคับ พร้อมทั้งประสานผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด (ศอ.ปส.จ.) จัดหาชุดทดสอบสารเสพติดเพื่อสนับสนุนการตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอ (ศป.ปส.อ.) และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ศป.ปส.อปท.) ในพื้นที่ให้เพียงพอ” นายอรรษิษฐ์ กล่าว

นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีหากพบว่าบุคลากรมีสารเสพติดในร่างกาย ให้หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้นสังกัดของบุคลากรรายนั้น ๆ พิจารณาสอบถามความสมัครใจและยินยอมเข้ารับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพในระบบของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้โอกาสตามหลักนโยบาย “ผู้เสพคือผู้ป่วย” และปกปิดข้อมูลของบุคลากรดังกล่าวเป็นความลับ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของบุคลากรและครอบครัวเป็นสำคัญ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดในระหว่างการเข้ารับการบำบัดรักษาฯ เช่น การรายงานตัวต่อต้นสังกัดเป็นระยะ เพื่อให้คำแนะนำ สอบถามอาการ หรือความต้องการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากต้นสังกัด หรือหน่วยงานอื่นเพื่อเลิกพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด และเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาของการบำบัดรักษาหรือระยะเวลาที่หน่วยงานต้นสังกัดและบุคลากรผู้นั้นตกลงร่วมกันแล้ว แต่ก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาฯ หลบหนีการบำบัดรักษา หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการแสดงออกว่าไม่ยินยอมเข้ารับการบำบัดรักษาฯ ตามข้อตกลงของหน่วยงานต้นสังกัด ให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยตามกฎหมายเกี่ยวกับวินัยของข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ และดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท

Advertisement

“ประเสริฐ” เผย ‘ดีอี’ ระงับเบอร์โจรออนไลน์แล้วกว่า 7,000 เลขหมาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 พฤษภาคม 2568 “ประเสริฐ” เผย ‘ดีอี’ ระงับเบอร์โจรออนไลน์แล้วกว่า 7,000 เลขหมาย เดินหน้าเคาะมาตรการสกัดช่องทางหลอกลวงประชาชนซ้ำอีก

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยผลการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 4/2568 ที่มีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธานกรรมการฯ ,นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอี เป็นเลขานุการคณะกรรมการฯ พร้อมตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) , สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) , สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) , กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ , สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ร่วมหารือเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาเพื่อดำเนินงานการตามนโยบายปราบปรามภัยออนไลน์ของรัฐบาลว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ได้ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมฯ พ.ศ. 2566 เพื่อกำหนดให้คดีความผิดทางอาญาซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 21 (1) เป็นคดีพิเศษเพิ่มเติมจำนวน 3 คดีความผิด 1.คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล , 2.คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และ 3.คดีความผิดกฎหมายว่าด้วยมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า 2 ใน 3 ของคดีพิเศษที่กำหนดเพิ่มเติมนั้น เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ และมีความสอดคล้องกับ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

นายประเสริฐ กล่าวว่าที่ประชุมได้มีการพิจารณาผลดำเนินการและมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ 7 เรื่องสำคัญ ที่มีผลการดำเนินงาน ถึง 30 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดย 1.การปราบปรามจับกุมคดีอาชญากรรมออนไลน์ เดือน เมษายน 2568 (ข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) , การจับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทุกประเภท ตั้งแต่ เดือน ตุลาคม 2566 – เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 59,279 ราย โดยในเดือน เมษายน 2568 มีการจับกุมจำนวน 1,965 ราย , การจับกุมคดีพนันออนไลน์ คดีพนันออนไลน์ ตั้งแต่ เดือน ตุลาคม 2566 – เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 25,519 ราย โดยในเดือนเมษายน 2568 มีการจับกุมจำนวน 823 ราย โดยผลการจับกุมบัญชีม้า ซิมม้า และความผิดตาม พรก.ฯ ตั้งแต่ เดือน ตุลาคม 2566 – เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 6,386 ราย โดยในเดือนเมษายน 2568 มีการจับกุมจำนวน 277 ราย

2.การปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ (ปีงบประมาณ 2568 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 – 30 เมษายน 2568) , การปิดกั้นเว็บไซต์พนันออนไลน์ จำนวน 52,106 (URLs) หลอกลวงออนไลน์ จำนวน 1,167 (URLs) และอื่นๆ 39,657 (URLs) รวมทั้งสิ้น 92,930 (URLs) , การประสานแพลตฟอร์มเพื่อขอปิดกั้นเกี่ยวกับหลอกลวงออนไลน์ ที่มีคำสั่งศาล จำนวนแจ้งขอการปิดกั้น 10,148 (URLs) ที่ไม่มีคำสั่งศาล มีจำนวนแจ้งขอการปิดกั้น 29,526 (URLs) (เฉพาะในส่วนของกระทรวงดีอี)

3.การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน ผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 30 เมษายน 2568 มีดังนี้ AOC ระงับบัญชีชั่วคราว จำนวน 383,552 บัญชี , ปปง. ทำการอายัดบัญชีไปแล้วจำนวน 767,755 บัญชี (ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2568)

4.มาตรการแก้ไขปัญหาซิมม้า และ SMS แนบลิงก์

-มาตรการแก้ไขปัญหาซิมม้า (ซิมของบุคคลต่างด้าว) กสทช.จะมีการควบคุมการลงทะเบียน ซิมของของบุคคลต่างด้าว โดยจะจำกัดไว้ที่ จำนวน 3 ซิม ต่อ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ทั้งนี้ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะมีระยะเวลาในการปรับปรุงระบบให้แล้วเสร็จภายในเดือน สิงหาคม 2568 โดยการบริหารจัดการ SMS แนบลิงก์ กสทช. ได้กำหนดให้ ผู้ใช้บริการที่มีความประสงค์จะส่ง SMS แนบลิงก์ ลิงก์ดังกล่าวต้องได้รับการตรวจสอบความถูกต้องจาก สกมช. ก่อนส่งข้อความสั้น โดยลิงก์ที่ส่งจะต้องนำไปสู่เนื้อหาที่ต้องการสื่อสารเท่านั้น เช่น สำนักงาน กสทช. จะต้องไปยังเว็บไซต์ www.nbtc.go.th ห้ามนำไปสู่แพลตฟอร์มอื่น และห้ามไม่ให้มีข้อความที่ระบุช่องทางในการติดต่อถึงบุคคลอื่น เช่น การ Add Line

สำหรับมาตรการลงโทษ กรณีพบว่าผู้ใช้งาน Sender Name ใด มีการส่งลิงก์ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ หรือผู้ส่งปลอมแปลงลิงก์ระหว่างการส่ง SMS หรือข้อความอื่นที่สามารถใช้เป็นช่องทางในการติดต่อถึงบุคคลอื่น ผู้ให้บริการจะต้องยกเลิกสัญญาการให้บริการ ขณะเดียวกัน พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ตามมาตรา 4/1 วรรคสอง ได้กำหนดให้ผู้ให้บริการมีหน้าที่ตรวจสอบเพื่อคัดกรองเนื้อหาข้อความสั้น (SMS) ที่อาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตามมาตรการที่สำนักงาน กสทช.กำหนดด้วย ดังนั้น หากตรวจสอบพบการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมติที่ประชุมสำนักงาน กสทช. และพระราชกำหนดดังกล่าว สำนักงาน กสทช. อาจใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายกับผู้ให้บริการที่กระทำความผิด และ/หรือนำส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

5.มาตรการระงับหมายเลขโทรศัพท์ที่มีการลงทะเบียนด้วยชื่อของบุคคลต้องสงสัย ตามที่ศูนย์ AOC 1441 หรือ ศปอท. ได้รับแจ้ง/ร้องเรียนทางโทรศัพท์จากผู้เสียหายว่ามีการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ได้มีการบันทึกข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของมิจฉาชีพ (ตัดหมายเลขซ้ำออก) ที่มี Bank Case ID จำนวน 7,173 เลขหมาย และยังไม่มี Bank Case ID จำนวน 425 เลขหมาย

ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันมิจฉาชีพใช้เบอร์หรือเลขหมายโทรศัพท์ดังกล่าวในการติดต่อผู้เสียหายรายอื่น ๆ โดยการกำหนดเป็นหลักเกณฑ์การระงับเลขหมายโทรศัพท์ที่มีการลงทะเบียนด้วยชื่อของบุคคลต้องสงสัย ซึ่ง AOC 1441 หรือ ศปอท. จะแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ ข้อมูลการใช้บริการโทรคมนาคม ให้สำนักงาน กสทช. (ตามมาตรา 8/5 (7)) แล้วให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการตามมาตรา 5 วรรคสอง โดยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ระงับการให้บริการโทรคมนาคมของบุคคลหรือนิติบุคคลนั้น รวมถึงเบอร์โทรศัพท์หมายเลขอื่นของบุคคลหรือนิติบุคคลนั้นทั้งหมดในทุกผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์

6.การเร่งรัดบูรณาการข้อมูลหน่วยงานร่วมกันเพื่อดำเนินการตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยมอบหมายให้ ศปอท. ร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปปง. กสทช. ก.ล.ต. ธ.ป.ท. สมาคมธนาคารไทย ฯลฯ ในเรื่องขั้นตอนการจัดการบัญชีม้าและการใช้อำนาจตามมาตรา 4/1 การดำเนินการตามเหตุอันควรสงสัย ขั้นตอนการทำงานรับเรื่องร้องเรียนและตรวจสอบติดตามของ ศปอท. รวมทั้งเรื่องการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามพระราชกำหนดฯ ในขั้นตอนปฏิบัติ (SOP) และระยะเวลาการดำเนินการ (SLA)

7.มาตรการแก้ไขปัญหาบัญชีม้าคริปโทในเดือน มิถุนายน 2568 ก.ล.ต. และ สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) จะหารือร่วมกับ ปปง.ในการออกแนวทางปฏิบัติการใช้ข้อมูลบัญชีม้า HR-03 และแนวทางการพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมฐานข้อมูล HR-03 กับผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัล (DA) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำประกาศกำหนดให้ผู้ประกอบการฯ ระงับการเปิดบัญชี/ให้บริการกับบัญชีม้า รวมทั้งการหารือร่วมกันกับกระทรวงดีอี ในขั้นตอนการส่งรายชื่อแพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับอนุญาต

“ในวันที่ 28 – 29 พฤษภาคม 2568 พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อพิจารณาเห็นชอบ โดยขณะนี้ คณะกรรมการฯ ได้เร่งรัดการดำเนินการกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับ ในการดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมออนไลน์ อย่างมีประสิทธิภาพ และการบังคับใช้ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้าและซิมม้า และเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดีย หลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งการเยียวยาผู้เสียหาย” รองนายกรัฐมนต่และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

Advertisement

ยันหน้ากากอนามัยไม่ขาดแคลน เตือนอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 พฤษภาคม 2568 รองโฆษกรัฐบาลยืนยัน หน้ากากอนามัยไม่ขาดแคลน เตือนคนขายอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคา สั่งหน่วย ฉก.ลงจับกุมข้อหาขายเกินราคาควบคุม ชี้ โควิดยังคงอยู่ ขอหมั่นดูแลสุขภาพ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่า ยังมีการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อยู่บ้างทำให้ประชาชนมีความกังวลเรื่องหน้าการอนามัยขาดแคลน ซึ่งรัฐบาล โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ติดตามสถานการณ์การจำหน่ายชุดตรวจโควิด-19 (ATK) หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ล้างมือ จากโดยมีผู้ผลิต ผู้นำเข้า ห้างค้าส่งค้าปลีก ผู้ประกอบการกว่า 20 รายอย่างใกล้ชิด ขอยืนยันว่ามีสินค้าพอเพียงและราคาปกติ ไม่มีการปรับขึ้น มีแต่การลดราคาและโปรโมชันต่อเนื่อง ขอประชาชนอย่าเป็นกังวล

นายอนุกูล กล่าวว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยอยู่ที่ 50-60% ของความสามารถทั้งหมด และสามารถเพิ่มได้ และวัตถุดิบหลักในการผลิตยังคงเพียงพอ ส่วน ATK ยังต้องนำเข้าทั้งหมด แต่สินค้ามีเพียงพอสำหรับจำหน่ายและมีการนำเข้าเพิ่มเติมต่อเนื่อง รองรับความต้องการของประชาชน ซึ่งประชาชนยังคงหาซื้อสินค้าได้จากหลายช่องทาง เช่น ห้างค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาเก็ต ร้านขายยา และแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรเปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า เนื่องจากราคาจะขึ้นอยู่กับชนิด ยี่ห้อ และคุณภาพของสินค้า

“ยืนยันข่าวลือเกี่ยวกับการขาดแคลนหน้ากากอนามัยไม่เป็นความจริง ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ามี ATK หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ล้างมือเพียงพอ ย้ำเตือนร้านค้าที่กักตุนสินค้า หรือขายเกินราคามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) และมาตรา 25 (5) ไม่แจ้งต้นทุนซื้อขายสต๊อก มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มาตรา 28 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ข้อหาขายแพงเกินสมควร (มาตรา 29) มีอัตราโทษจำคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบการฉวยโอกาสหรือกักตุนสินค้า ราคาสูงเกินจริง สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569 หรือไลน์ @MR.DIT” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

รัฐบาลเร่งช่วยลูกหนี้ กยศ. ขยายเวลาตัดยอด ปรับโครงสร้างหนี้ถึง 24 พ.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤษภาคม  2568 เปิดเทอมแล้ว…รัฐบาลเร่งช่วยลูกหนี้ กยศ. ขยายเวลาตัดยอด ปรับโครงสร้างหนี้ถึง 24 พ.ค.นี้ แนะผู้กู้เข้าระบบลงทะเบียน เพื่อไม่พลาดสิทธิตามกฎหมายใหม่

วันนี้ (18 พฤษภาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง ความคืบหน้าในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ตาม พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566  ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดภาระของผู้กู้ และเปิดโอกาสให้สามารถชำระหนี้ได้อย่างเหมาะสม

โดยมาตรการใหม่นี้ถูกออกแบบให้เป็นผลดีต่อผู้กู้ยืมทุกคน ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ และเงื่อนไขการผ่อนชำระ  ซึ่งพบว่ายังมีผู้กู้จำนวนมากที่ยังไม่เข้ามาลงทะเบียนหรือดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ตามสิทธิที่ได้รับ ส่งผลให้บางรายอาจต้องรับภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น หากไม่ได้เข้าระบบตามเวลาที่กำหนด

กยศ. ได้ประกาศขยายระยะเวลาในการตัดยอดประจำเดือนพฤษภาคม 2568 จากเดิมวันที่ 17 เป็น 24 พฤษภาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กู้ที่ยังไม่ลงทะเบียน ได้เข้าระบบลงทะเบียนเพื่อขอคืนเงิน และปรับยอดหนี้ก่อนต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มหรือเกิดค่าปรับในอนาคต

“รัฐบาลขอความร่วมมือจากผู้กู้ กยศ. ทุกคน ให้เร่งดำเนินการภายในระยะเวลาที่ขยายออกไป จนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 นี้ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ และลดภาระทางการเงินของตนเองในระยะยาว หากผู้กู้ยืมไม่ชำระเงินคืนตามกำหนดจะทำให้เกิดภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและเกิดเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงอาจถูกฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายอีกด้วย” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

นายจ้าง-สถานประกอบการ จ้างงานคนพิการ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลมุ่งส่งเสริมผลักดันให้คนพิการมีงานทำ หนุนนายจ้าง สถานประกอบการ จ้างงานคนพิการ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เดินหน้าผลักดันการมีงานทำของคนพิการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการ ตามกฎหมายมาตรา 33 , 34 และ 35 โดยกำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐ รับคนพิการเข้าทำงาน ในอัตรา 100 : 1 (คนปกติ 100 คน ต่อคนพิการ 1 คน) เศษเกิน 50 คน ต้องจ้างเพิ่มอีก 1 คน เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาศักยภาพคนพิการ และการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่จ้างคนพิการเข้าทํางาน มาเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวน 2 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป กรณีการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวน 3 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป เมื่อจ้างคนพิการเข้าทํางานเกินกว่าร้อยละ 60 ของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้น โดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่าหนึ่ง 180 วัน ในปีภาษี หรือรอบระยะเวลาบัญชีที่มีเงินได้

“หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ไม่มีการรับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน และไม่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ แต่มีการให้สัมปทาน จัดสถานที่จําหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน หรือจ้างเหมาบริการ ให้ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์ หรือสิ่งอํานวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ โดยค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจการของตนเอง นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น มีสิทธินําค่าใช้จ่ายนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ แต่รายจ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินจํานวนเงินที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

รัฐบาลย้ำนโยบายพัฒนาคน-พัฒนาชาติ ให้โอกาส นร.-นศ.ที่กู้เงิน กยศ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลย้ำนโยบายพัฒนาคน พัฒนาชาติ ต้องให้โอกาสนักเรียน นักศึกษา ที่กู้เงิน กยศ. ย้ำหนี้ลด-ผ่อนยาว-ไม่บีบคั้น ทยอยคืนเงินผู้จ่ายเกิน ขอเชิญรุ่นพี่กลับเข้าระบบ เพื่อประวัติและโอกาสที่ดีในอนาคต

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของ กยศ. เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถเรียนจนจบการศึกษาเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ ขณะนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เดินหน้าการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ตาม พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 สาระสำคัญคือ การตัดลำดับการชำระหนี้ใหม่เป็น “เงินต้น-ดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ” แทนแบบเดิม พร้อมลดอัตราเบี้ยปรับจากสูงสุด 18% เหลือเพียง 0.5% ยืนยันผู้กู้ทุกคนจะเห็นยอดหนี้ลดลงทันที

การคำนวณหนี้แบบใหม่นี้ครอบคลุมผู้กู้ประมาณ 3.5 ล้านราย ขณะนี้ กยศ. ดำเนินการได้แล้วกว่า 2.3 ล้านราย หรือราว 70% ซึ่งผู้กู้สามารถตรวจสอบยอดหนี้ใหม่ได้ผ่านเว็บไซต์ www.studentloan.or.th สำหรับผู้กู้ที่เคยทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ก่อนการคำนวณหนี้แบบใหม่ แม้อาจเห็นยอดหนี้สูงขึ้นในช่วงแรก แต่ระบบจะปรับยอดหนี้ให้อัตโนมัติ หลังจากระบบใหม่แล้วเสร็จ

ทั้งนี้ กยศ. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ เนื่องจากแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” ยังไม่สามารถรองรับระบบใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ และเมื่อระบบใหม่แล้วเสร็จแล้ว ผู้กู้จะสามารถตรวจสอบยอดหนี้ที่แท้จริงได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.th

สำหรับระบบการหักเงินเดือนผ่านองค์กรนายจ้าง ที่ผ่านมา กยศ. ได้ดำเนินการหักเฉพาะยอดหนี้ปีปัจจุบัน ไม่รวมยอดหนี้ค้างในปีก่อนหน้า ซึ่งบางรายจะมียอดหนี้ค้างเก่า ทำให้ในเดือนเมษายน 2568 มีผู้กู้ที่ถูกหักเงินเดือนเพื่อชำระยอดหนี้ค้างเก่า จำนวน 490,225 ราย (510,716 บัญชี) และในเดือนพฤษภาคม อีกจำนวน 251,083 ราย (258,151 บัญชี)

ในส่วนของการรองรับผู้กู้ที่ได้รับผลกระทบจากการหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาทต่อบัญชี กยศ. มีแนวทางดูแลเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้กู้ยืมเงินที่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับ กยศ. ในเดือนพฤษภาคม 2568 จะต้องชำระตามยอดหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ในงวดแรกด้วยตนเอง และต้องแจ้งให้นายจ้างทราบเพื่อจะได้ไม่ถูกหักเงินเดือนเพิ่มอีก 3,000 บาท ในเดือนนั้น ซึ่งนายจ้างจะเริ่มหักเงินเดือนตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป

ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และยังคงมียอดหนี้ค้างชำระ หากผู้กู้ยืมเงินไม่สามารถให้หักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาท ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2568 จะต้องยื่นขอปรับลดจำนวนการหักเงินเดือนทางเว็บไซต์ กยศ. ภายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะมีผลปรับลดจำนวนหักเงินเดือนเฉพาะเดือนพฤษภาคมนี้เท่านั้น หากดำเนินการไม่ทันสามารถยื่นขอปรับลดการหักเงินเดือนได้อีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2568 โดยจะต้องยื่นขอปรับลดจำนวนการหักเงินเดือน ภายในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 และ กยศ. จะแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้กู้ยืมเงินทราบทาง SMS พร้อมแจ้งให้นายจ้างทราบในระบบ e-PaySLF ต่อไป

ด้านความคืบหน้าในการคืนเงินให้ผู้กู้ที่จ่ายเกิน หลังคำนวณหนี้ตามกฎหมายใหม่นั้น ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 มีบัญชีที่มียอดชำระเกิน 286,362 บัญชี เป็นเงิน 3,399.13 ล้านบาท กยศ. คืนแล้ว 2,528 บัญชี เป็นเงิน 73.81 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคม 2568 จะคืนเงินเพิ่มเติมอีก 1,215 บัญชี เป็นเงิน 2.95 ล้านบาท และจะทยอยคืนทั้งหมดภายในเดือนกันยายน 2569

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือน เมษายน 2568 ระบุว่า จังหวัดที่มีผู้ค้างชำระสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (129,146 บัญชี), นครราชสีมา (78,816 บัญชี), นครศรีธรรมราช (77,687 บัญชี), ขอนแก่น (73,409 บัญชี) และเชียงใหม่ (63,346 บัญชี)

กลุ่มอายุที่ค้างชำระมากที่สุด คือ ช่วงวัยทำงาน 30-39 ปี (1,132,339 บัญชี) รองลงมาคือ อายุ 40-49 ปี (675,184 บัญชี), อายุ 20-29 ปี (356,209 บัญชี), อายุ 50-59 ( 25,906 บัญชี), มากกว่า 59 ปี (3,396 บัญชี)

อย่างไรก็ตาม หากผู้กู้ยืมเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ทั้งแบบสัญญากระดาษและแบบออนไลน์ จะได้รับสิทธิพิเศษโดยการปลดภาระผู้ค้ำประกันทันที พร้อมทั้งให้ผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือนได้นานถึง 15 ปี หรือไม่เกินอายุ 65 ปี นอกจากนี้ผู้กู้ยืมจะได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อผู้กู้ชำระหนี้งวดสุดท้ายเสร็จสิ้น แต่หากผู้กู้ยืมผิดนัดชำระหนี้สะสมเกิน 6 งวด จะถือว่าสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สิ้นสุดลงและผู้กู้ยืมจะไม่ได้รับส่วนลดเบี้ยปรับดังกล่าว

สำหรับผู้กู้บางรายประสบปัญหาในการเข้าระบบปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ เช่น อินเทอร์เน็ตช้า มือถือสเปกต่ำ หรือขั้นตอนยืนยันตัวตนในระบบ ThaiD ใช้เวลานาน ขอให้ผู้กู้ติดตั้งและยืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน ThaiD ให้เรียบร้อยล่วงหน้า เพื่อป้องกันความล่าช้าในการปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์

นอกจากนี้ กยศ. ยังมีมาตรการลดหย่อนหนี้เพื่อจูงใจให้ผู้กู้ยืมชำระเงินคืน เพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างระยะเวลาปลอดหนี้ และผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ที่ กยศ. ยังไม่ฟ้องคดี โดยจะได้รับส่วนลดต้นเงิน 5-10% และส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว โดยผู้กู้ยืมสามารถตรวจรายละเอียดและลงทะเบียนขอรับสิทธิได้ที่ www.studentloan.or.th ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม-31 พฤษภาคม 2568

“กยศ. เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนไทย โดยเฉพาะผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ต่อปี และไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ผู้กู้สามารถเริ่มชำระหนี้หลังจบการศึกษา 2 ปี และผ่อนชำระได้นานถึง 15 ปี

สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ อีเมล์ : self-debt@studentloan.or.th, LINE กยศ.หักเงินเดือน https://lin.ee/oecrHbM, LINE กยศ.องค์กรนายจ้าง https://lin.ee/HwgODCW

รัฐบาลขอเชิญชวนผู้กู้ กยศ.ทุกท่านที่เคยได้รับโอกาสทางการศึกษาให้หันกลับมาชำระหนี้ตามกำลัง เพื่อร่วมกันส่งต่อโอกาสให้รุ่นน้องได้เรียนต่ออย่างทั่วถึง และขอย้ำว่า กยศ. ไม่มีนโยบายกดดันหรือฟ้องร้องหากไม่จำเป็น แต่ขอเพียงให้ทุกคนกลับเข้าระบบ มาช่วยกันรักษาระบบที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับสังคมไทยให้คงอยู่ต่อไป” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

เข้มรถรับ-ส่งนักเรียน ต้องผ่านการรับรองจากขนส่งจังหวัด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลเข้ม “รถรับ-ส่งนักเรียน” ต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานขนส่งจังหวัด คนขับต้องมีใบอนุญาตมาแล้ว 3 ปี และต้องมีผู้ดูแลประจำรถ ละเลยโทษหนัก

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลจากสภาองค์กรของผู้บริโภค รายงานสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถรับ-ส่งนักเรียน ช่วงปี 2565 – 2566 เกิดเหตุรวมเฉลี่ย 30 ครั้ง ขณะที่ปี 2567 เพียงปีเดียวเกิดเหตุมากถึง 40 ครั้ง และมีเด็กเสียชีวิตมากถึง 10 คน และตั้งแต่ต้นปี 2568 พบ เดือน ม.ค. – ก.พ. เกิดเหตุแล้วมากถึง 6 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเดือน ก.พ. มากถึง 5 ครั้ง มีเด็กได้รับบาดเจ็บ 60 – 70 ราย

นายคารม กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลโดยสภาองค์กรของผู้บริโภคยังพบว่า รถรับ-ส่งนักเรียนส่วนใหญ่ยังเป็น “รถที่ไม่ได้ขออนุญาตจากนายทะเบียน” โดยจากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ณ วันที่ 31 พ.ค. 2566 ระบุว่า มีรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์สาธารณะที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นรถรับส่งนักเรียนเพียง 3,342 คัน ขณะที่มีการประมาณการว่า มีรถรับ-ส่งนักเรียนมากกว่า 45,000 คัน ที่รับ-ส่งโดยไม่ได้ขออนุญาต หรือเท่ากับมีนักเรียนกว่า 540,000 คน (เปรียบเทียบรถรับ-ส่งนักเรียน 1 คัน บรรทุกนักเรียน 12 คน ตามกฎหมายกำหนด) ที่มีความเสี่ยงในการเดินทางด้วยรถรับ-ส่งนักเรียนที่ไม่มีมาตรการจัดการความปลอดภัย

รัฐบาลห่วงใยความปลอดภัยเด็ก นักเรียน เน้นย้ำให้ผู้ประกอบอาชีพรถรับ-ส่งนักเรียน ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของกรมการขนส่งทางบกที่ได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน โดยอนุญาตให้นำรถที่จดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน ทั้งรถสองแถวและรถตู้มาใช้เป็นรถรับ-ส่งนักเรียนได้ ต้องมีการรับรองจากโรงเรียนหรือสถานศึกษา สำหรับมาตรฐานตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ดังนี้

ห้ามติดฟิล์มกรองแสงที่กระจกรอบคัน

ที่นั่งผู้โดยสารต้องยึดแน่นอย่างมั่นคงแข็งแรง และต้องไม่มีพื้นที่สำหรับนักเรียนยืน โดยรถสองแถวต้องมีประตูและที่กั้นป้องกันนักเรียนตก ส่วนรถตู้ต้องจัดวางที่นั่งเป็นแถวตอน ตามความกว้างของตัวรถเท่านั้น

รถที่รับส่งต้องผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานขนส่งจังหวัดที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัดที่อยู่

มีเครื่องมือที่จำเป็นกรณีฉุกเฉิน อาทิ เครื่องดับเพลิง หรือค้อนทุบกระจก วัสดุภายในรถส่วนของผู้โดยสารต้องไม่มีส่วนแหลมคม

รถรับ-ส่งนักเรียนทุกคันต้องติดแผ่นป้ายพื้นสีส้ม มีข้อความตัวอักษรสีดำว่า “รถโรงเรียน” ติดอยู่ด้านหน้าและด้านท้าย พร้อมไฟสัญญาณ

ผู้ขับต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะต้องได้รับแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีผู้ดูแลนักเรียนประจำอยู่ในรถ

เช็กชื่อนักเรียนทั้งขึ้นและลงพร้อมมีคนคอยดูแลนอกจากคนขับรถตลอดเส้นทาง

“ใกล้เปิดเทอม ปี 2568 นักเรียนจำนวนมากจำเป็นต้องใช้บริการรถรับ-ส่งไปโรงเรียน/สถานศึกษา ผู้ประกอบการรถบริการรับ-ส่งนักเรียน ต้องตรวจสอบสภาพรถและการบริการให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย มีการรับรองการใช้รถจากโรงเรียน ตามมาตรฐานตามที่กรมการขนส่งกำหนด รวมทั้งขอให้สถานศึกษาทุกแห่ง ตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงสร้างพื้นฐานทางการจราจรที่ปลอดภัยทั้งในสถานศึกษาและบริเวณโดยรอบ เช่น การติดตั้งไฟสัญญาณและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ” นายคารม กล่าว

Advertisement

ประกาศผ่อนคลายขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางพื้นที่ในวันสำคัญทางศาสนา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 พฤษภาคม 2568 โฆษกรัฐบาล เผยราชกิจจาฯ ประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 วัน สำคัญทางศาสนา ยกเว้น 5 กรณี-สถานที่ “โรงแรม -สนามบินระหว่างประเทศ-สถานบริการ-ย่านธุรกิจและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว” หนุน ปีท่องเที่ยวไทย มีผล 10 พ.ค.68

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 เห็นชอบ ให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางพื้นที่ในวันหยุดพิเศษ 5 วันทางศาสนา ซึ่งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้สรุปผลการพิจารณาในทุกมิติเพื่อดูความเหมาะสมกับโลกปัจุบัน และที่ประชุมได้เห็นชอบให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากนั้นจะเป็นขั้นตอนในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ดังกล่าวในวันศุกร์ ที่9 พฤษภาคม 2568 ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ

โดยประกาศดังกล่าวฉบับนี้ ยังห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วันเป็นการทั่วไปแต่ยกเว้นอนุญาตให้ขายได้เฉพาะ

(1) ในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ

(2) ในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

(3) ในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

(4) ในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

(5) ในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ทั้งนี้ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามในข้างต้น จะต้องจัดให้มีการคัดกรองและมาตรการที่จำเป็น เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

“การออกประกาศดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศนโยบายของรัฐบาลที่ให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย Amazing Thailand Grand Tourism and Sports year 2025 ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้สามารถจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการศึกษาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว โดยได้คำนึงถึงความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ” นายจิรายุ ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป) พร้อมให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ. 2567 ลงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567 และห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นการขายในกรณีข้างต้น

สำหรับประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ก่อนถึงวันวิสาขบูชา ที่จะมาถึงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

Advertisement

ลุยปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ขันนอต จนท.คุมเข้ม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 พฤษภาคม 2568 “จิรายุ” ชี้ ยังมีพวก “2-3 ดาวมงกุฎครอบ” ไม่สนใจนโยบายรัฐบาลปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” แถมอ้างว่าเคลียร์ผู้ใหญ่แล้ว ย้ำต้องขันนอต หลังพบผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้าปรับรูปแบบจากรุ่นสูบจากปากมาเป็นสูบทางจมูก คล้ายยาดมและของเล่น เร่งจับกุมอย่างต่อเนื่อง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันแม้นายกรัฐมนตรีจะมีข้อสั่งการในที่ประชุม เรื่องการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าไปแล้ว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกส่วนราชการเป็นอย่างดี ซึ่งจากผลการดำเนินงานปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ส่งผลให้ร้านค้าที่เปิดขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างโจ่งครึ่ม ปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่ยังพบว่ามีการลักลอบใช้วิธีการขายทั้งทางโซเชียลมีเดียและแบบไดเร็คเซลล์คือการขายตรงระหว่างคนขายกับคนซื้อ ทำให้ผู้เสพต้องไปซื้อด้วยตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันยังพบว่ามีการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายอยู่

“หน่วยข่าวรายงานว่า ยังมีหลายจังหวัดโดยเฉพาะรอบกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 2-3 ดาวมีมงกุฎครอบ อ้างว่าเคลียร์ผู้ใหญ่แล้วยังเปิดขายอยู่ในพื้นที่ได้ รัฐบาลขอยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน หากเข้าไปพัวพันมีส่วนเกี่ยวข้องรัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายทันที โดยได้กำชับให้สืบสวนเพื่อหาบุคคลมีสี และผู้มีอิทธิพลที่แอบอ้างผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งนี้หน่วยเฉพาะกิจอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการหากลงพื้นที่จับกุมแล้ว เจ้าหน้าที่ในท้องที่จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าล้ำหน้าพัฒนาไปไกลจาก Gen 5 Toy pod ที่ใช้ปากสูบ ไปเป็นบุหรี่ Gen 6 หน้าใหม่ที่แตกต่างจากบุหรี่ทุกรุ่นที่ผ่านมา คือ “พอดจมูก” หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่สูบทางจมูก แทนการสูดควันทางปาก โดยบุหรี่ Gen6 “พอดจมูก” นี้ ถูกพัฒนามาเพื่อให้สูบทางจมูกทดแทนการสูบทางปาก บางรุ่นสามารถสูบได้ทั้งสองทางเพียงเปลี่ยนหัว เป็นบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง ชาร์จได้ ขนาดเล็ก บางรุ่นหน้าตาคล้ายยาดมสองหัว บางรุ่นมีสายคล้องคอ มีนิโคติน 5 % กลิ่นรสถูกพัฒนาให้มีความหลากหลาย โดยกลุ่มผู้ลักลอบขายจะโฆษณาว่ารุ่น Gen6 นี้ปลอดภัยกว่าบุหรี่ไฟฟ้าชนิดสูบทางปากนั้น ทางการแพทย์ระบุชัดเจน พอดจมูกยังคงมีนิโคตินสูงถึง 5% ทำให้เสพติดได้ ไม่ว่าจะเป็นการสูบทางใด นิโคตินยังคงก่อการเสพติด ทำร้ายร่างกายได้เสมอ จึงขอเตือนภัยพ่อแม่ผู้ปกครอง สถาบันการศึกษาและเยาวชน ควรรู้เท่าทันอันตรายบุหรี่ไฟฟ้าที่ปัจจุบันถูกผลิตในรูปลักษณ์ที่ลวงตามากยิ่งขึ้น จนดูไม่ออกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบ ยิ่งพอดจมูกหน้าตาและหัวสูบบางรุ่นดูคล้ายยาดม กลิ่นรสหอมหวาน บรรจุภัณฑ์น่ารักเหมือนกล่องของเล่น จึงขอเตือนไม่ให้เยาวชนริลอง เนื่องจากนิโคตินก่อการเสพติดและก่อโรคปอดอักเสบได้ และถึงตายได้ ทั้งนี้รัฐบาลขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกัน กวดขันการนำเข้าทุกด่านชายแดน รวมทั้งฝ่ายปราบปรามต้องเร่งดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของรัฐบาล

Advertisement

 

Verified by ExactMetrics