วันที่ 18 กรกฎาคม 2025

ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม แนะนำหลักเกณฑ์ตรวจสอบข่าวปลอมให้กับประชาชน

People Unity News : ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม แนะนำหลักเกณฑ์ตรวจสอบข่าวปลอมให้กับประชาชน

นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมทำหน้าที่ในการตรวจสอบข่าวปลอมในสื่อสังคมออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งในช่วงนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ พบว่ามีข่าวปลอมเกี่ยวกับเรื่องนี้จำนวนมากจนทำให้ประชาชนเกิดความสับสน จึงขอฝากเตือนประชาชนให้เสพข่าวอย่างมีสติ ควรตรวจสอบข่าวก่อนแชร์ต่อไปโดยใช้หลัก SPOT คือ ตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าว  ตรวจสอบการหวังผลประโยชน์หรือเจตนาของการส่งข่าว การเสนอข่าวที่เกินความเป็นจริง และควรตรวจสอบเวลาและสถานที่ของข่าวนั้นๆ เพื่อประเมินเบื้องต้นว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมและป้องกันการแชร์ข่าวปลอมต่อไป เน้นย้ำว่า ศูนย์ฯยังคงดำเนินการตรวจสอบข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องโดยจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขี้แจงขอเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีการสร้างการรับรู้เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอมได้รวดเร็วขึ้น โดยสามารถนำข่าวสารต่างๆ ไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ www.Antifakenewscenter.com Facebook เพจศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กลุ่ม Line Antifakenewscenter หรือโทรสอบถามที่หมายเลข 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertising

ถ่ายทอดสด “ประยุทธ์” มอบนโยบายจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 จันทร์ที่ 11 ม.ค.นี้

People Unity News : โฆษกรัฐบาล ชวนติดตาม นายกรัฐมนตรีในการมอบนโยบายจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 เผยเป้าหมายการใช้จ่ายงบฯ 65 ฝ่าวิกฤตโควิด19 ขับเคลื่อนประเทศสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เชิญชวนติดตามรายการพิเศษ “การมอบนโยบายจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565” โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ. 2565  ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) และ Facebook : Live NBT2HD วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 เวลา 08.30-09.00 น. โดยมี นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ร่วมพูดคุย

ในรายการ นายกรัฐมนตรีจะไฮไลท์การใช้จ่ายงบประมาณต้องตอบโจทย์ภารกิจเร่งด่วน คือ -สร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ  เช่น รักษาการจ้างงาน  ช่วยเหลือ SMEs กระจายความเจริญลงไปในเมืองหลัก เมืองรอง และระดับพื้นที่  – ยกระดับขีดความสามารถของประเทศส่งเสริมอุตสาหกรรมและการบริการทางการแพทย์ การท่องเที่ยว ยกระดับภาคการเกษตรอุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ – พัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคน ทั้งการปรับทักษะ ส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาระบบหลักประกันทางสังคมและความมั่นคงด้านสุขภาพ – เน้นปัจจัยในการพัฒนาประเทศ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงกฎหมาย พัฒนาภาครัฐดิจิทัล นวัตกรรม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือของเครือข่ายภาคประชาสังคม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้วางนโยบายอย่างชัดเจนให้ทุกหน่วยงานคำนึงถึงการบริหารงบประมาณต้องคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความจำเป็นกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังให้ความเชื่อมั่นว่า แม้จะจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 วงเงิน​ 3,100,000 ล้านบาทแบบขาดดุล​ ซึ่งจำนวนขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปี 64 อยู่ที่ 91,037.5 ล้านบาท แต่รัฐบาลยึดมั่นในวินัยและความมั่นคงทางการเงินการคลัง โดยงบประมาณขาดดุลจะนำมาขับเคลื่อนประเทศผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 และให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตได้ปกติตามศักยภาพอย่างยั่งยืนต่อไป

Advertising

“อนุชา” จัดเมนูอาหารทะเลเสริฟคณะรัฐมนตรีวันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563

People Unity News : อนุชา เตรียมสุดยอดเมนูกุ้ง หมึก ปลา เสริฟ ครม. อังคารนี้ สร้างความเชื่อมั่น กระตุ้น ปชช.หันมาบริโภคอาหารทะเลมากขึ้น

27 ธันวาคม 2563 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเมนูอาหารทะเล พร้อมเสริฟคณะรัฐมนตรีวันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563 ประกอบด้วย ต้มยำกุ้ง กุ้งเผา กุ้งผัดกะเพรา นอกจากเมนูกุ้งแล้วยังมีเมนูอาหารทะเลอย่างอื่นอีก เช่น ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ปลาหมึกผัดกะปิ ปลากะพงทอดน้ำปลา และข้าวผัดปู  โดยเมนูอาหารข้างต้นจะปรุงสุก จัดแยกเป็นเซตให้ ครม. และผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละท่านแยกกันทาน สำหรับวัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหารสั่งตรงมาจากทะเล และนำมาปรุงสุก ณ ทำเนียบรัฐบาล

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนมั่นใจและหันมาบริโภคอาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้งมากขึ้น พร้อมกล่าวยืนยันว่าโรคโควิด 19 ไม่ได้ติดต่อทางอาหาร แต่ติดจากคนสู่คน ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว ขอให้รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นล้างมือ และใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เชื่อว่าด้วยความรัก ความสามัคคี และความร่วมมือของคนไทยทุกคนจะทำให้ก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

Advertising

“ประยุทธ์” เผยหากสถานการณ์ PM2.5 แย่ลง อาจต้อง work from home หรือให้เรียนที่บ้าน

People Unity News : ประยุทธ์ ติดตามการแก้ปัญหา PM2.5 ห่วงใยกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุและเด็ก ให้ใส่หน้ากากป้องกัน PM2.5

วันนี้ (17 ธ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ได้กล่าวถึงแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) (ฉบับปรับปรุง) ว่า การผลักดันแผนฟื้นฟูมีหลายอย่างที่ต้องดำเนินการทั้งเรื่องทุน รถ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งเชื่อมั่นว่าทุกแผนถ้าทุกคนช่วยกันก็สามารถทำได้ แต่ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกันและขัดแย้งทุกแผนก็ไปไม่ได้ จึงขอให้ช่วยกันลดความขัดแย้งตรงนี้ไปให้ได้โดยยึดผลประโยชน์โดยรวมเป็นที่ตั้’

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างใกล้ชิด โดยมีจะมาตรการเข้มในการดูแลในช่วงที่สภาพอากาศมีปัญหาซึ่งเชื่อว่าจากหลังนี้สภาพอากาศดีขึ้น แต่หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นก็ต้องไปพิจารณาหามาตรการที่เหมาะสม เช่น อาจจะให้มีการ work from home หรือให้เรียนหนังสือที่บ้านหรือไม่ โดยขณะนี้กำลังหารือเพื่อเร่งดำเนินการโดยเร็ว พร้อมย้ำเตือนความห่วงใยไปยังกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจาก PM2.5 คือ ผู้สูงอายุและเด็ก ให้สวมใส่หน้ากากอยู่เสมอซึ่งจะช่วยป้องกัน PM2.5 ได้พอสมควร

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของรัฐบาล ว่าขณะนี้สำนักนายกรัฐมนตรีกำลังอยู่ระหว่างรวบรวมผลการดำเนินงานและความก้าวหน้าต่างๆที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้ว ซึ่งการดำเนินการทุกอย่าง รัฐบาลคำนึงถึงประชาชนต้องได้รับประโยชน์สูงสุดและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมทั้งผู้ประกอบการด้วย

Advertising

กกต.เปิดแอป “ตาสับปะรด” แจ้งทุจริตเลือกตั้ง อบจ. สินบนนำจับสูงสุด 1 ล้านบาท

People Unity News : กกต.เปิดแอป “ตาสับปะรด” รับแจ้งเหตุทุจริตเลือกตั้ง อบจ. ให้ประชาชนมีส่วนร่วมรายงานเบาะแส รางวัลสินบนนำจับสูงสุด 1,000,000 บาท

1 ธ.ค. 63 สำนักประชาสัมพันธ์ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมความพร้อมการเลือกตั้งสมาชิกและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพื่อให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติธรรม โดยเปิดแอปพลิเคชันตาสับปะรดเป็นศูนย์รับแจ้งเหตุทุจริตเลือกตั้ง เพื่อใช้ติดตามสถานการณ์และป้องปรามการทุจริตเลือกตั้ง ส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีส่วนร่วมรายงานสถานการณ์เมื่อพบเห็นการทุจริตหรือการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง สามารถรายงานสถานการณ์ได้ทั้งข้อความ ภาพ เสียง หรือวีดีโอ ผ่านทางแอปพลิเคชันตาสับปะรด โดยแจ้งเหตุได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02141 8860, 02141 8579 และ 02141 8859 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 20 ธันวาคม เวลา 08.30-16.30 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ

สำหรับผู้แจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง จะได้รับเงินรางวัล หากนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิด ไม่เป็นเบาะแสที่ปรากฏเป็นการทั่วไป และผู้แจ้งเบาะแสได้ใช้ความพยายามหรือมีความเสี่ยงในการแสวงหาเบาะแส สามารถแจ้งเบาะแสเป็นหนังสือ ลงชื่อผู้แจ้ง และบอกความประสงค์ขอรับรางวัล หรือแจ้งเบาะแสได้ด้วยตัวเอง และเก็บสำเนาเอกสารการแจ้งเบาะแสไว้เพื่อมาขอรับรางวัล โดยสำนักงาน กกต. จะปกปิดเป็นความลับและจะไม่ระบุชื่อผู้รับเงินรางวัล

ส่วนเงินรางวัล ประกอบด้วย กรณี กกต. มีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) นายก อบจ. เงินรางวัลขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 100,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ส.อบจ. เงินรางวัลขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท กรณี กกต. สั่งระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งชั่วคราว (ใบส้ม) นายก อบจ. เงินรางวัลขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 100,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ส.อบจ. เงินรางวัลขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท

กรณีศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ หรือใบเหลือง นายก อบจ. เงินรางวัลขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 100,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 400,000 บาท ส.อบจ. เงินรางวัลขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และหากศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือใบดำ หรือสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) นายก อบจ. เงินรางวัลขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 100,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท ส.อบจ. เงินรางวัลขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

Advertising

“ประยุทธ์” ออกแถลงความสำเร็จของประเทศไทยในการรับมือโควิด

People Unity News : เมื่อวานนี้ (26 พฤศจิกายน 2563) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงกล่าวถึงเรื่องโควิดและความสำเร็จของประเทศไทย ความว่า

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ วันนี้ ผมขออัพเดทให้ทุกท่านทราบถึงแนวทางที่ประเทศไทยของเรากำลังเดินไปข้างหน้า ในภาวการณ์ที่เรายังจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่กับการแพร่ระบาดของโควิดที่ทำลายทั้งชีวิตและเศรษฐกิจของทั้งโลก

ตอนนี้ โลกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิดมา ปัจจุบันนี้ แต่ละวัน หลายประเทศในยุโรปและที่อื่นๆ มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และในสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตเกือบพันคนต่อวัน นับว่าเป็นวิกฤตที่ทำให้ประเทศต่างๆปั่นป่วน จนเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงในเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก

ล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้ องค์การอนามัยโลกได้ออกคำเตือนว่า มีโอกาสที่โควิด-19 จะเกิดการระบาดอีกเป็นระลอกที่ 3 ในช่วงปีหน้า ถ้าแต่ละประเทศไม่รักษาวินัย และไม่เข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดอย่างเคร่งครัด

ที่สหราชอาณาจักร ตอนนี้มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศไปเรียบร้อย ร้านค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานที่ทำกิจกรรมบันเทิง และกีฬา รวมถึงสถานที่ต่างๆ ต้องปิดให้บริการเกือบทั้งหมด และเมื่อวานนี้ เพิ่งมีการแถลงสถานการณ์เศรษฐกิจที่คาดการณ์ GDP จะหดตัวถึง 11%

ส่วนที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส ก็มีการล็อกดาวน์มาตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคม และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะยิ่งแย่หนัก GDP น่าจะทรุดลงถึง 11% ในปีนี้

ที่ราชอาณาจักรสเปน มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะกินเวลานานหลายเดือน มีการประกาศเคอร์ฟิว มีการจำกัดการเดินทาง และมีการจำกัดเรื่องการรวมตัวกัน ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ก็มีการล็อกดาวน์ ห้ามออกจากบ้าน ถ้าไม่มีเอกสารตามขั้นตอน ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ก็ล็อกดาวน์เช่นเดียวกัน และในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ร้านค้า ร้านอาหาร ปิด และมีการจำกัดเรื่องการรวมตัวกัน สถานการณ์ทางด้านสาธารณสุข และผลกระทบที่ส่งมาถึงเรื่องเศรษฐกิจ ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก

สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุด ไม่ใช่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเพียงอย่างเดียว แต่หากปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายจนถึงขั้นเหนือการควบคุม จะส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมาก คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ หรือป่วยเป็นโรคอื่น ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จะประสบปัญหาเตียงไม่พอ หมอและพยาบาลติดพันอยู่กับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด สิ่งที่แย่ที่สุดที่เราไม่อยากเห็นคือ หมอและพยาบาลมีงานล้นมือ จนถึงขั้นมีเวลาไม่เพียงพอสำหรับรักษาดูแลผู้ป่วยได้ทันทุกคน และจำเป็นต้องเลือกว่า จะรักษาคนไหน และไม่รักษาคนไหน ซึ่งจนถึงวันนี้ นับว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นในประเทศของเราได้สำเร็จ

ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในทุกภาคส่วน ทุกภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และคนทำงานต่างๆ ที่ได้เสียสละ และยอมรับที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำมาหากิน เพื่อที่จะปกป้องบ้านเมืองของเรา ไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่านี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

ความสำเร็จนี้ เป็นสิ่งที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับประเทศไทย ในฐานะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในโลกตัวอย่างหนึ่งในการรับมือกับโควิด อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่า ความสำเร็จของประเทศไทยในการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็น “ความร่วมมือกันของประชาชนทุกระดับและทุกภาคส่วนในสังคม” และด้วย “การบริหารจัดการสรรพกำลังทุกอย่างแบบบูรณาการของรัฐบาล” ซึ่งผมอยากให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจ และร่วมกันรักษาความรู้รักสามัคคี และสิ่งดีๆนี้ไว้

ตอนนี้ผมขอบอกกับทุกคนว่า เรากำลังเตรียมตัวสำหรับเฟสถัดไป ในการบริหารจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้สร้างปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และสร้างความยากลำบากในความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยไปมากกว่านี้

วิธีจัดการกับวิกฤตโควิดในระยะยาวคือ การมีวัคซีนป้องกัน และจะต้องกระจายไปยังประชาชนให้ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่ง 3-4 กลุ่มอยู่ในขั้นตอนที่ก้าวหน้าไปมากแล้ว โดยกำลังทำการทดสอบความปลอดภัยในการใช้ ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้จริง อย่างไรก็ดี เรารู้ว่าประเทศใหญ่ๆในโลกต่างพยายามล็อกคิว เพื่อที่จะได้ใช้วัคซีนเป็นประเทศแรกๆ ทันทีที่วัคซีนได้รับการยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย แล้วผลิตเสร็จออกมา ซึ่งผมเห็นว่าประเทศไทยเราก็สมควรที่จะได้รับโอกาสนั้นด้วย คือการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็วและเพียงพอ เพราะการได้วัคซีนมาใช้นั้น ยิ่งเร็วเท่าไร ก็ยิ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้นด้วย

นั่นคือเหตุผลที่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน ผมได้ตัดสินใจว่า ประเทศไทยต้องเดินหน้าหาพันธมิตร เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทยให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ไปเข้าคิวรอซื้อจากการผลิตในประเทศอื่นเพียงอย่างเดียว เราต้องเลือกจับมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ที่น่าจะมีโอกาสทำสำเร็จได้จริงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเดือนที่แล้ว ความพยายามของเราประสบความสำเร็จ ซึ่งนอกจากเราได้ลงนามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทย หากการพัฒนาวัคซีนสำเร็จลุล่วงแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือประเทศไทยยังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนนี้ด้วย และในวันพรุ่งนี้ จะมีการลงนามเพิ่มเติมในอีกหนึ่งข้อตกลง เพื่อสั่งซื้อวัคซีนนี้ โดยเมื่อ 2-3 วันก่อน เราได้รับทราบข่าวดีว่า ทีมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนแล้ว ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 70-90% อยู่ในระดับที่ “ดีมาก”

นอกจากนั้น วัคซีนที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา พัฒนาขึ้น จะสามารถผลิตออกมาได้ในราคาที่ถูกกว่า หากเทียบกับวัคซีนของที่อื่นๆ และสำคัญมากกว่านั้นคือวัคซีนนี้มีความเหมาะสมกับประเทศไทยมากกว่า เพราะในขณะที่วัคซีนของที่อื่นๆ จำเป็นต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิ -20 ถึง -70 องศาเซลเซียสตลอดเวลา ต้องใช้ตู้แช่เย็นที่ออกแบบพิเศษโดยเฉพาะทำให้มีข้อจำกัดทางด้านการขนส่งที่จะทำได้อย่างยากลำยากมาก แต่วัคซีนนี้ สามารถเก็บรักษาได้ไม่ยากในตู้เย็นธรรมดา ณ อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส สามารถขนส่งเพื่อกระจายวัคซีนไปสู่พื้นที่ต่างๆทั่วทุกจังหวัดของไทยเราได้อย่างทั่วถึงและไม่ยุ่งยาก

เราคาดว่า วัคซีนนี้ น่าจะได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ และผลิตได้ในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งถ้าเราเร่งขั้นตอนต่างๆได้ ยิ่งเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถเปิดรับคนจำนวนมากเข้าประเทศได้ และสามารถเริ่มสร้างฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้ ผมกำลังพิจารณาวางแผนกระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเตรียมการสำหรับการกระจายวัคซีนไปให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ของประเทศ ให้ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เราได้วัคซีน

แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่างๆ ผมขอให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ผู้ที่ได้ร่วมมือ ร่วมใจ เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัว ในการยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้ช่วยกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คน และบรรเทาไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจจนหนักหนาสาหัสในประเทศไทย เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ผมขอให้พวกเราทุกคนยังคงรักษาวินัย ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างทางสังคม ขอให้ทุกคนช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศไทย เพื่อไม่สร้างความทุกข์ยากให้กับประเทศ รุนแรงกว่าที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

ขอบคุณครับ

Advertising

“ประยุทธ์” ขอบคุณประชาชนที่ช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่หลังผู้ชุมนุมทำความเสียหาย

People Unity News : นายกฯ ขอบคุณประชาชน และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่ หลังผู้ชุมนุมทำความเสียหาย

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความชื่นชม อาสาสมัคร และประชาชนทั่วไป รวมทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ได้ช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่ ทาสีใหม่ และทาสีทับสีที่พ่นข้อความไม่เหมาะสม ในส่วนต่างๆของสถานที่ราชการ พื้นที่สาธารณะ รวมถึงส่วนของเอกชนด้วย หลังจากที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมได้รวมตัวกันบริเวณสี่แยกราชประสงค์ และหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และได้ทำความเสียหายแก่ทรัพย์สินของทางราชการ เอกชน และพื้นที่สาธารณะ ทั้งนี้ นายกฯหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างมีขอบเขตภายใต้กฎหมาย และการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ เนื่องด้วยที่ผ่านมากลุ่มผู้ชุมนุมได้มีพฤติกรรมต่างๆที่ไม่เหมาะสม เข้าข่ายผิดกฎหมาย และอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อประเทศชาติ และสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง รวมทั้งความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยทั่วไป ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่างๆเพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย บนพื้นฐานของการรักษาบรรยากาศของความรัก ความสามัคคีปรองดองของทุกคนในชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นสำคัญ

Advertising

นายกฯเยี่ยมชม Samui Smart City Command Center สร้างความเชื่อมั่นประชาชน-นักท่องเที่ยว

People Unity News : นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมระบบติดตามผู้เดินทางเข้าออก ภายในเกาะสมุย Samui Smart City Command Center สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ชื่นชมทุกฝ่ายที่ดูแลความปลอดภัย-สุขภาพของประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาท่องเที่ยวพื้นที่เกาะสมุย

วันนี้ (2 พ.ย.63) เวลา 10.20 น. ณ สำนักงานเทศบาลนครเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมระบบติดตามผู้เดินทางเข้าออกภายในเกาะสมุย ศูนย์ควบคุมกล้องโทรทัศน์วงจรปิด Samui Smart City Command Center โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจเยี่ยมครั้งนี้ด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี รับฟังบรรยายสรุประบบการทำงานของกล้องวงจรปิด Samui Smart City Command Center ที่มีประสิทธิภาพด้านการตรวจจับใบหน้าคนและป้ายทะเบียนรถ เพื่อสนับสนุนการลดและป้องกันอุบัติภัยอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอำเภอเกาะสมุยและนักท่องเที่ยว โดยการดำเนินการของศูนย์ดังกล่าวใช้ระบบเครือข่ายใยแก้วนำแสง และกล้องโทรทัศน์วงจรปิดชนิดเครือข่าย สำหรับใช้ในงานรักษาความปลอดภัยและวิเคราะห์ภาพ จำนวน 1,044 ตัว รอบเกาะสมุย โดยมีห้องควบคุม ณ สำนักงานเทศบาลนครเกาะสมุย พร้อมทั้งมีการติดตั้งฟรี WiFi 26 จุด บนเกาะสมุย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงการใช้ Application SAFE T  (SAFE-Travel) เชื่อมโยงข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเกาะสมุยกับระบบการตรวจจับใบหน้า เพื่อให้การตรวจสอบและเฝ้าระวังด้านสุขภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รองรับสมุยเมืองอัจฉริยะหรือ Smart City โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมและขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการเกี่ยวกับกล้องวงจรปิด Samui Smart City Command Center ในการดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะสมุย

อนึ่ง ในช่วงเช้าที่ผ่านมาเมื่อนายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมมาตรการคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ณ ช่องทางเข้า-ออก ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้กระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่การดูแลด้านสุขภาพให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและปลอดภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงกระบวนการต่างๆในการคัดกรองนักท่องเที่ยวด้วยความสนใจ และขอให้เตรียมความพร้อมหากมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น ก่อนเดินทางไปตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการของโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในระบบ Alternative Local State Quarantine (ALSQ) ณ โรงแรมเชอราตัน สมุย รีสอร์ท ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างในระบบ ALSQ ด้วย ทั้งนี้ เมื่อนักท่องเที่ยวอยู่ใน ALSQ ครบตามกำหนด 14 วัน หากไม่พบเชื้อก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆของเกาะสมุยได้ โดยจะมีการมอบหนังสือรับรองการเข้าพักใน ALSQ และกำไลข้อมือ (Wristband) เพื่อติดตามการเดินทางท่องเที่ยวในอำเภอเกาะสมุย และนักท่องเที่ยวจะต้องอยู่ในอำเภอเกาะสมุยอย่างน้อย 7 วัน โดยจะมีการติดตามผ่าน QR Code Samui Health Pass ในทุกๆวัน แต่หากพบเชื้อก็มีกระบวนการด้านสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานรองรับในการส่งตัวเพื่อรับการรักษาต่อไป  โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้ประกอบการโรงแรมเชอราตันที่ร่วมมือกับรัฐบาลในการดำเนินการดังกล่าวพร้อมแนะให้ปลูกต้นไม้หอมของไทยประเภทต่างๆ เพื่อให้เกิดความผ่อนคลายและลดความเครียดได้ด้วย

สำหรับโรงแรมที่ผ่านการตรวจประเมินเป็นโรงแรมสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ALSQ) ในเขตอำเภอเกาะสมุย ขณะนี้มีจำนวน 8 โรงแรม ได้แก่ โรงแรม เชอราตัน สมุย รีสอร์ท เดอะสปา มีเลีย เอาท์ริกเกอร์เกาะสมุย บีช รีสอร์ท บ้านหินทราย รีสอร์ทแอนด์สปา บันยันทรี รีสอร์ท อิมเพียน่า และโรงแรมออร่า สมุยเบสท์ บีช โฮเทล เป็นต้น

Advertising

“บิ๊กตู่” ระบุข้อเรียกร้องใดของผู้ชุมนุมไม่สอดคล้องกับคนส่วนใหญ่ ขอสงวนสิทธิ์ไม่ทำตาม

People Unity News : นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ละทิ้งหน้าที่โดยการลาออก เห็นพ้องให้ตั้งคณะทำงาน นำไปสู่การพูดคุยหาทางออกร่วมทั้งรัฐบาล รัฐสภา ผู้เห็นต่างเพื่อหาทางออกประเทศอย่างแท้จริง

27 ต.ค.63 เวลา 21.45 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ  ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวขอบคุณสมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. ที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ตลอด 2 วันที่ผ่านมา เพื่อหาทางออกของประเทศร่วมกัน และจะนำข้อคิดเป็นคำเตือนไปพิจารณา

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จำนวนผู้ติดเชื้อที่ต่ำ ผู้เสียชีวิตจำนวนน้อยมากจนได้รับการยอมรับและยกย่องจากต่างประเทศ  ส่วนที่มองว่าเศรษฐกิจไทยแย่ นั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้ติดตามข้อมูลอย่างเป็นธรรม เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวเดินอย่างช้าๆ แต่ถึงแม้เศรษฐกิจจะลดลงก็ลดลงในอัตราที่ช้ากว่าเดิม รวมทั้งมีมาตรการเพิ่มเข้าไปในเรื่องของการด้านการท่องเที่ยว โดยขณะนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งถือวีซ่าพิเศษจำนวน 41 คน ได้เดินทางมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว โดยมีการคัดกรองมาจากต้นทางและมีใบรับรองแพทย์ ตามหลักการมาตรฐานสากล ทั้งนี้ก็จะมีการทยอยเดินทางมาเรื่อยๆ ขณะนี้สามารถเปิดประเทศได้แล้วแต่ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง โดยให้ความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพควบคู่กัน

อย่างไรก็ตามสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง อาจกดทับบรรยากาศเศรษฐกิจในช่วงปลายปีที่กำลังจะดีขึ้น ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีความรักและเอื้อเฟื้อต่อกันด้วยดีมาโดยตลอด จึงไม่อยากให้วัฒนธรรมดีงามของประเทศไทยแตกร้าวเสียหายไปเพราะความไม่เข้าใจระหว่างคนแต่ละรุ่น โดยขณะนี้มีกลุ่มที่ถูกชักชวนผ่านโลกโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก วันนี้โลกของการติดต่อสื่อสารจะมีการถูกบันทึก และถูกกลุ่มคนนำไปจัดเป็นอุปนิสัยของเรา ถูกนำไปใช้ประโยชน์เสมอโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ที่ไม่เคยรับข้อมูลใดๆมาก่อน โดยเฉพาะการป้อนข้อมูลเฉพาะทางให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไปตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยไม่รู้ตัว จึงขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่านแต่อย่าเชื่อทุกอย่างที่เห็น และฟัง ขอให้ใช้สติปัญญาและมีภูมิคุ้มกันที่ดีในการตรวจสอบคัดกรองข้อมูลต่างๆเหล่านั้นขอให้ระมัดระวังในการนำข้อมูลของเราไปเผยแพร่ในต่างประเทศ  รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะดูแลและฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกกลุ่มและยินดีที่จะรับฟังข้อเรียกร้อง พร้อมจะร่วมมือในการแก้ปัญหา แต่ต้องไม่ไปริดรอนสิทธิของคนอื่นยอมรับความเชื่อที่แตกต่างของแต่ละคน คำนึงถึงคนส่วนใหญ่เป็นหลักซึ่งเป็นหลักการส่วนใหญ่ของระบอบประชาธิปไตย

นายกรัฐมนตรีเห็นด้วยให้มีการตั้งคณะทำงาน ศึกษาแนวทางที่เสนอมา เพื่อนำไปสู่การพูดคุยหาทางออก โดยนำทุกภาคส่วน ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาลรัฐสภาผู้เห็นต่าง มารวมกันพูดคุยเพื่อหาทางออกนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริงทั้งนี้ข้อเรียกร้องใดๆของผู้ชุมนุมที่สอดคล้องกับคนกลุ่มใหญ่ ก็พร้อมยินดีจะรับไปดำเนินการ ถ้าข้อเรียกร้องใดไม่สามารถพิสูจน์ได้เป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ก็ขอสงวนสิทธิ์

Advertising

เช้านี้ “ประยุทธ์” พูดในสภา จะทำงานในหน้าที่ให้จบ ยืนยันไม่ได้ต้องการรักษาอำนาจ

People Unity News : นายกรัฐมนตรีระบุคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ต้องทำงานเพื่อสร้างอนาคตไปด้วยกัน ย้ำจะทำงานในหน้าที่ให้จบ พร้อมยืนยันไม่ได้ต้องการรักษาอำนาจ

วันนี้ (27 ต.ค.63)  เวลา 10.22 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) ยืนยันว่าไม่เคยพูดเรื่องการแบ่งชนชั้นระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่เลยสักครั้ง มีแต่บอกว่าคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ต้องทำงานไปด้วยกัน เพื่อจะสร้างอนาคตไปด้วยกัน โดยประวัติศาสตร์ ปัจจุบันและอนาคต เป็นสิ่งที่กำหนดความก้าวหน้าความยั่งยืนของประเทศไทย วันนี้เกิดการทำลายสถาบันครอบครัวในประเทศไทย ลูกไม่เคารพพ่อแม่ ลูกศิษย์ไม่เคารพครูอาจารย์ ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นในครอบครัว  เมื่อตนเข้ามาทำหน้าที่ ต้องทำงานในหน้าที่ให้จบ ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการรักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุด

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่สมาชิกไม่เคยพูดถึงเผด็จการรัฐสภาที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น ซึ่งตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่มีการตรวจสอบการถ่วงดุลที่เข้มข้น วันนี้อยากให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ให้แก้กันไป ขออย่านำไปโยงเรื่องอื่น จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ที่ผ่านมามีการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินมาทุกรัฐบาล

นายกรัฐมนตรียังฝากถึงทุกคน ขอให้อย่าลืมว่าประวัติศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคต ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกสัญชาติ ที่อยู่ในประเทศไทยต้องรักประเทศไทย ซึ่งตนไม่บังคับใครแต่เป็นสิ่งที่ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน มีหลายเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามารับหน้าที่ ทั้งการทุจริตมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ขอให้สมาชิกได้ไปทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 2557 รวมทั้งก่อนหน้านั้นหลายปี และวันนี้ที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายอยู่เพราะอะไร

Advertising

Verified by ExactMetrics