วันที่ 29 เมษายน 2024

“ครู กศน.”งง! บรรยายให้ฟัง”หญิงหน่อย”ฟัง โดนย้ายออกนอกพื้นที่เลย

People Unity News : คุณหญิงสุดารัตน์ ประกาศทวงความยุติธรรมให้ครูกศน.บ้านโต้น หลังถูกย้ายออกนอกพื้นที่ เพราะมาบรรยายให้ฟัง ทั้งที่ตั้งใจทำงานให้ประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ได้เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจของตนเอง โดยระบุว่า ทำกันแบบนี้ได้หรือ ข้าราชการที่ทำงานเพื่อประชาชน ต้องถูกกลั่นแกล้ง ทวงคืนความยุติธรรมให้ครูประยุทธ

คุณหญิงสุดารัตน์ ได้เล่ารายละเอียดสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตนเองได้ลงพื้นที่ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เพื่อมาพบกับเกษตรกรกลุ่มเกษตรอินทรีย์ อีสานเขียวบ้านโต้น ที่ทำงานร่วมกันมาหลายปี ในการสนับสนุนพี่น้องที่ปลูกข้าวอินทรีย์ พร้อมทั้งให้กำลังใจ เพราะขณะนี้ ข้าวเปลือกราคาตกต่ำมาก ทั้งที่ปีนี้ ผลผลิตข้าวของชาวนามีปริมาณน้อย จากภัยแล้งและน้ำท่วมภาคอีสาน และยังถูกกดราคาขาย โดยที่รัฐไม่ได้ลงมาเหลียวแลเลย

เกษตรกรกลุ่มเกษตรอินทรีย์ อีสานเขียวบ้านโต้น มีครูประยุทธ ขันหนองโพธิ์ เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งมีความเข้มแข็ง ปลูกข้าวอินทรีย์คุณภาพ ด้วยความตั้งใจ จนได้รับใบรับรองจากกรมการข้าว เป็นข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยนเข้าสู่ปีที่ 3

คุหญิงสุดารัตน์ระบุอีกว่า ครูประยุทธ ขันหนองโพธิ์ เป็นหัวหน้า กศน.บ้านโต้น ครูทุ่มเททำงานให้กับชาวบ้าน พัฒนาการขายข้าวด้วยการใช้ช่องทางออนไลน์ นำเทคโนโลยีเข้ามาสร้างมูลค่าให้กับกลุ่มเกษตรอินทรีย์ของชุมชน ถึงขนาดเคยถูกเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลอีสานทองคำมาแล้ว หน่อยเชื่อว่า ครูมีแต่ความตั้งใจดี ที่จะพัฒนาชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น

เกษตรกรกลุ่มเกษตรอินทรีย์ อีสานเขียวบ้านโต้น ได้เข้าร่วมโครงการข้าวสานธรรม ของมูลนิธิไทยพึ่งไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ได้รับซื้อข้าวคุณภาพจากเกษตรกร เพื่อมาจำหน่ายให้ผู้บริโภคในกรุงเทพฯ ได้รับประทานข้าวออแกนิกซ์ ที่ปลอดสารพิษ และยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย โดยปีนี้ ได้ซื้อข้าวจากเกษตรกรกลุ่มนี้ 6,000 กก. เพื่อช่วยให้เกษตรกรขายข้าวได้ในราคายุติธรรม

“แต่หลังจากตนเองกลับมาจากขอนแก่น ก็มีเรื่องให้เศร้าใจ และรู้สึกถึงความอยุติธรรม ที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เพราะมีการสั่งย้ายครูประยุทธ ข้าราชการน้ำดี ที่ตั้งใจทำงานพัฒนาชุมชนบ้านโต้นมาโดยตลอด ออกจากพื้นที่ เพียงเพราะมาทำงานกับหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ

พร้อมยังบอกอีกว่า หลังจากที่ครูประยุทธถูกย้ายออกจากพื้นที่ คุณแม่ของครูซึ่งอายุมากแล้ว ก็ล้มป่วย เพราะเป็นห่วงลูก มิหน้ำซ้ำ เมื่อ ส.ส.บัลลังก์ อรรณนพพร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้นำเรื่องนี้มาหารือในสภา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ครูประยุทธกลับถูกตั้งกรรมการสอบ ทั้ง ๆ ที่ ไม่มีผู้ร้องเรียน หรือหาเหตุผลใด ๆไม่ได้เลย จึงชัดเจนว่านี่คือการเล่นการเมืองสกปรกของนักการเมืองเลวบางคน ที่มุ่งแต่จะใช้อำนาจเพื่อตัวเอง ไม่มองผลประโยชน์ของประชาชน

ท้ายสุด คุณหญิงสุดารัตน์ประกาศว่า ตนเองและทีมเพื่อไทย จะไม่ปล่อยให้คนดีต้องโดนผู้มีอำนาจกลั่นแกล้ง อย่างไร้ความยุติธรรม และขอยืนเคียงข้างครูประยุทธ พร้อมยืนยันว่า ครูมีแต่ความตั้งใจดีเพื่อชาวบ้านเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

“ขอเรียกร้องความยุติธรรมของครูกลับคืนมา นี่ไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นเรื่องการช่วยเกษตรกร ครูไม่ใช่คนของใคร แต่เป็นคนของชาวบ้านและชุมชนค่ะ แล้วทำไม ผู้มีอำนาจต้องย้ายครูประยุทธ นายกฯ ประยุทธ์ ช่วยตอบให้ชัด ๆ ด้วย” คุณฆยิงสุดารัตน์ระบุทิ้งทาย

“ลุงป้อม” ยิ้ม “น้องกันยา” รอพบ

People Unity News : 11 มกราคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – “พล.อ.ประวิตร” ยิ้มหลัง “น้องกันยา” ที่มาร่วมงานคณะเยาวชนเข้าพบนายกฯแล้ว แต่ยังอยู่ต่อรอขอถ่ายรูป พร้อมบอกเป็นกำลังใจให้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับทูตต่างประเทศ  ก่อนเดินทางกลับได้เปิดโอกาสให้ ด.ญ.กันยกร พลบวรเดชสกุล หรือ น้องกันยา อายุ 8 ขวบ เด็กคณิตศาสตร์โอลิมปิคของสถาบัน WIMO ซึ่งได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของฮ่องกง ได้รับรางวัลคณิตศาสตร์โอลิมปิกสองปีซ้อน ซึ่งมาร่วมกิจกรรมเด็กและเยาวชนดีเด่นและเด็กที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ และได้รับโอวาทจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล แต่ยังอยู่ต่อรอขอถ่ายรูปกับ พล.อ.ประวิตร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ พล.อ.ประวิตรพบน้องกันยา ก็มีท่าทียิ้มแย้มเป็นกันเองและเปิดโอกาสให้น้องกันยา พร้อมกับครอบครัวได้ถ่ายรูปร่วมกัน ขณะที่น้องกันยา กล่าวให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตรว่า “หนูขอเป็นกำลังใจให้นะคะ” ซึ่ง พล.อ.ประวิตรยิ้มและจับศีรษะน้องกันยาอย่างเอ็นดู และมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา จนผู้สื่อข่าวกระเซ้า พล.อ.ประวิตรว่าขอถ่ายรูปได้ไหม เพราะเป็นเด็กเหมือนกัน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวติดตลกกับผู้สื่อข่าวว่า “เด็กอะไรกันแก่จะตายห่าอยู่แล้ว” พร้อมกับอมยิ้ม แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์และออกจากทำเนียบรัฐบาล

Advertisement

ภูมิใจไทยตื่น! “อนุทิน-ศักดิ์สยาม”ยันพร้อมแจงศึกซักฟอก

People Unity : ภูมิใจไทยตื่น! “อนุทิน-ศักดิ์สยาม”ยันพร้อมแจงศึกซักฟอก ชี้เป็นโอกาสที่ดีที่ได้ชี้แจงผลงานที่ทำ ขณะที่ รมว.ศธ. ขอ กมธ.งบประมาณ กรุณาอย่าตัดงบดูแลสุขภาพประชาชน เผย 1 ธันวาฯ ดีเดย์พัฒนาศักยภาพโรงพยาบาล

วันที่ 28 ต.ค.2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่น่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนธันวาคมนี้ ว่า รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยทุกท่านมีความมั่นใจ ได้คุยกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการคมนาคมและเลขาธิการพรรค มั่นใจว่ารัฐมนตรีของพรรคทุกท่านมีความพร้อม เพราะต้องเตรียมตัวอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นการทำงานในระบอบประชาธิปไตย มันต้องมีการตรวจสอบ คนเป็นรัฐมนตรีต้องตอบคำถามให้ได้

เมื่อถามว่าเป็นการอภิปรายที่เร็วไปหรือไม่ เพราะเพิ่งทำงานได้ไม่กี่เดือน นายอนุทิน กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่ทำงาน ฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบ ต่างคนต่างหน้าที่ ถ้าหากเขาไม่ทำหน้าที่ ก็เหมือนเขาละเลยงาน ส่วนในฝ่ายที่ทำงาน ถ้าทำถูกต้อง ทำอย่าซื่อสัตย์ มันต้องมีตัวเลข ข้อมูลมาชี้แจง

“รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่ได้หวั่นไหวกับเรื่องการอภิปรายที่จะเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่โกงเสียอย่าง ก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไร”

ขอ กมธ.งบประมาณ กรุณาอย่าตัดงบดูแลสุขภาพประชาชน

นายอนุทิน ได้โพสต์เฟซบุ๊ค “อนุทิน ชาญวีรกูล” ถึงแนวทางการพัฒนา และปัญหาในระบบให้บริการด้านสุขภาพ ว่า บริการประชาชน คือ งานของเรา ประชุม ระดมสมองหาแนวทางพัฒนาห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล สร้างมาตรการ และมาตรฐานบริการประชาชน จาก ประสบการณ์ทุกๆ ฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง แพทย์ บุคลากรสาธารณสุข ผู้ป่วย และ ญาติผู้ป่วย เริ่มต้นวันที่ 1 ธันวาคม นี้ ปรับปรุงศักยภาพ 21 โรงพยาบาล ก่อน ตามงบประมาณที่มี แล้วรองบประมาณปี 2563 ออกมา เพื่อจะพัฒนาให้ได้มากที่สุด

ปัญหาสำคัญ ประการหนึ่ง ของห้องฉุกเฉิน คือ ประชาชนผู้ใช้บริการ ยังแยกแยะไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจคำว่า ฉุกเฉิน เกือบทุกคนรู้สึกฉุกเฉินกันทั้งหมด แต่บางราย ทางการแพทย์ ยังไม่จัดว่าฉุกเฉิน ส่งผลให้คนไข้ไม่ฉุกเฉิน ล้นห้องฉุกเฉิน และกระทบกระทั่งกันระหว่างญาติผู้ป่วย กับ เจ้าหน้าที่ อยู่บ่อยครั้ง

ปัญหาสำคัญที่สุด คือ งบประมาณยังไม่เพียงพอ ทั้งบุคลากร อาคารสถานที่ เครื่องมือ และ ระบบการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย ทั้ง รถพยาบาล และ Telemed
ต้องขอความกรุณาท่านกรรมาธิการพิจารณาแปรญัตติร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ได้โปรดเห็นใจ และ เข้าใจความจำเป็นของกระทรวงสาธารณสุข ที่มีหน้าที่ช่วยชีวิตของพี่น้องประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ ดูแลสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศ โปรดอย่าตัด และ อยากจะขอเพิ่ม ด้วย ขอขอบคุณล่วงหน้า มา ณ ที่นี้

รมว.คมนาคม พร้อมแจงอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้เป็นโอกาสที่ดีที่ได้ชี้แจงผลงานที่ทำ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ในส่วนของกระทรวงคมนาคมตอนนี้รอฟังข้อมูล เพราะยังไม่รู้ว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายเรื่องใด ขณะนี้ยังเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ ส่วนตัวพร้อมตอบทุกประเด็น ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเหมือนกันว่า มีเรื่องอะไรที่ตนเองทำเพื่อเอื้อประโยชน์กับใคร

“ก็ดี ผมจะได้ชี้แจงให้หมดว่าทำอะไรไปบ้างแล้วถ้ามองในแง่ดี ผมก็จะได้พูดเพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้พูดถึงภาพรวมเป็นฝั่งชี้แจงเสียมากกว่า หรือไม่แน่ ฝ่ายค้านอาจจะมองว่าผมทำงานมากเกินไป” นายศักดิ์สยาม กล่าว

รู้ยัง!”เทพไท”ชี้ผลเลือกตั้งซ่อมกระทบจำนวนส.ส.ของพรรคการเมือง

People Unity : รู้ยัง!”เทพไท”ชี้ผลเลือกตั้งซ่อมกระทบจำนวนส.ส.ของพรรคการเมือง เรียกร้องกกต.ต้องประกาศจำนวนส.ส.ใหม่

วันที่ 24 ต.ค.2562 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ผลการเลือกตั้งซ่อม เขต5 จังหวัดนครปฐม ว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับการเลือกตั้ง คือนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และเป็นกำลังใจให้กับผู้ผิดหวังในการเลือกตั้งทุกคน มีโอกาสแข่งขันกันใหม่ในโอกาสต่อไป แต่ผลที่ตามมาหลังจากการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ก็คือ จำนวนส.ส.ที่พึงจะมีได้ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา91 จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในพรรคการเมืองใดหรือไม่ เพราะถ้าดูจากคะแนนรวมทั้งหมดของพรรคอนาคตใหม่ ที่มีจำนวน ส.ส.พึงจะได้จำนวน81คน เมื่อ ส.ส.ในระบบเขต หายไป1คน ก็จะไม่กระทบต่อจำนวนส.ส.ที่พึงจะได้ คือจำนวน81คนเท่าเดิม ส่วนพรรคการเมืองใดที่จะได้รับผลกระทบ เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องคิดคำนวนและประกาศจำนวนที่นั่ง ส.ส.ของแต่ละพรรคกันใหม่
ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ไม่ผลต่อคะแนนรวมของพรรคการเมืองใดๆที่มีอยู่เดิม เพราะเป็นเพียงการเลือกตั้งซ่อม ต้องปฎิบัติตามมาตรา94 ซึ่งไม่สามารถนำคะแนนจากการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มาคิดรวมได้

อยากจะตั้งข้อสังเกตุว่า จำนวนคะแนนรวม หรือจำนวน ส.ส.ที่พึงจะได้ของพรรคชาติไทยพัฒนา มีจำนวน10คน ซึ่งได้คิดคำนวณจากหลักเกณฑ์ตามมาตรา91 เมื่อมีส.ส.ระบบเขตเพิ่มมา1คน จะต้องลดจำนวน ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อลงหรือไม่

จากกรณีดังกล่าวเชื่อว่าทำให้เป็นปัญหาและข้อโต้เถียงในการคิดสัดส่วนจำนวน ส.ส.ที่พึงจะมีได้ของพรรคการเมืองแน่นอน คงไม่มีพรรคการเมืองใดที่อยากสูญเสียที่นั่งส.ส.ไป นับว่าเป็นอีกปัญหาหนึ่งของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขต่อไป

มท.1 ยันใช้คุณธรรมประเมินความดีความชอบในมหาดไทย

People Unity News : 19 สิงหาคม 2565 มท.1-ปลัด การันตีมหาดไทยยุค “พล.อ.อนุพงษ์” โปร่งใส-ไว้ใจได้ เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วม มีระบบ Ai ประเมินการทำงาน ย้ำแต่งตั้งโยกย้ายใช้ระบบคุณธรรม ดูการกระทำในอดีตด้วย

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเสวนาออนไลน์หัวข้อ “ผู้นำ..กับการปราบโกง!!” และการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ว่าการคอรัปชั่นมีผลต่อการเมืองและแก้ได้ด้วย1.ยุทธศาสตร์ชาติ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกัน ส่วนการปราบปรามต้องใช้วิธีการลงโทษโดยกฎหมายวินัย อาญา  2.ต้องมี แผนแม่บท เน้นระบบให้ประชาชนรับรู้มากขึ้น มีความยุติธรรมในการลงโทษ และ 3.ต้องปฏิรูปพัฒนาระบบยุติธรรม พัฒนาคนเพื่อให้ได้คนดีเข้ามาทำงาน กระทรวงมหาดไทยมีศูนย์ปราบปรามการทุจริต ตั้งแต่ระดับกระทรวงลงไปถึงจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 57 ถึงปี 65 มีการลงโทษผู้ที่กระทำผิดทุจริตไปแล้ว 1,200 ราย

ด้านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า คนที่มารับราชการต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และมีระบบอบรมให้อยู่ในระเบียบวินัย มีผู้บังคับบัญชาคอยประเมิน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยส่งเสริมเรื่องคุณธรรม จริยธรรมตลอดเวลา และสร้างแรงจูงใจโดยคัดเลือกบุคคลต้นแบบบุคคลที่เป็นข้าราชการที่ดี ซื่อสัตย์ ให้รางวัลและปูนบำเหน็จเรื่องความก้าวหน้า ในแต่ละปีข้าราชการมหาดไทยซึ่งมีจำนวนนับแสนคน มีผู้กระทำผิดถูกลงโทษเป็นประจำตลอดเวลา

“ขณะเดียวกันองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ติดตามประเมินผลการทำงานของราชการ รัฐวิสาหกิจ กระทรวงมหาดไทยได้คะแนนความโปร่งใสในการทำงานสูงขึ้นทุกปี ซึ่งตรงกับแนวโน้มที่รัฐมนตรีบอกว่าจำนวนเรื่องร้องเรียนมีแนวโน้มลดลง ซึ่งปีนี้สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยได้คะแนนเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสหรือ  Ita ได้คะแนน 96.11 และรัฐมนตรีได้ให้นโยบายกับข้าราชการประจำให้ทำงานโดยประชาชนมีส่วนร่วม  อย่างเช่นเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างจะมีภาคประชาชนองค์กรต่างๆมีส่วนร่วมในการตรวจสอบตรวจรับงาน จัดทำแผนพัฒนาอำเภอ พัฒนาจังหวัด” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า รัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนทำระบบติดตามประเมินผลในงานนโยบายต่างๆ ว่ามีความก้าวหน้าอย่างไร และยังมีระบบ AI ที่ศูนย์ดำรงธรรมเป็นระบบอัตโนมัติซึ่งประชาชนสามารถร้องเรียนได้ 24 ชั่วโมงทั้งเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ การใช้โทรศัพท์และระบบ AI จะประเมินว่าเหตุใดจังหวัดนี้มีเรื่องร้องเรียนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เห็นว่าข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยเป็นข้าราชการที่สำนึกและมีจิตใจมุ่งมั่นที่จะทำงานด้วยความสุจริตและตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชน โดยอำเภอและจังหวัดสร้างทีมเครือข่ายอำเภอละ 100 คน เพื่อให้สบายใจว่านายอำเภอจะทำงานโดยร่วมคิดร่วมทำและร่วมรับผิดชอบกับประชาชน

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ส่วนระบบการแต่งตั้งโยกย้ายในกระทรวง รัฐมนตรีให้นโยบายว่าให้พิจารณาตามระบบคุณธรรม ดูความประพฤติ ความสามารถและประวัติในอดีต จึงมั่นใจว่ากระทรวงมหาดไทยในยุคของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นกระทรวงมหาดไทยที่โปร่งใส ไว้ใจได้ ขณะเดียวกันกระทรวงมหาดไทยยังมีผู้ตรวจราชการที่จะตรวจสอบหาข้อเท็จจริงและคอยแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบข้อมูลของข้าราชการ

“ระบบการพิจารณาเรื่องความดีความชอบ เรื่องตำแหน่งแห่งหน เราใช้ระบบคุณธรรม ใช้คณะกรรมการที่มอบหมายความไว้วางใจเป็นผู้ช่วยคัดเลือกคนตามความรู้ความสามารถ ตามความประพฤติและตามสิ่งที่ควรจะได้ ดังนั้น ยุคนี้เอาคนไม่ดีให้มามีอำนาจนั้น ไม่มีแน่ ที่สำคัญการลงโทษก็ไม่ช่วยเหลือกัน แต่กระบวนการลงโทษต้องทำตามกฎหมาย ตั้งแต่การสอบข้อเท็จจริง ถ้ามีมูลต้องตั้งกรรมการสอบวินัยและลงโทษ ถ้ามีเรื่องเชิงประจักษ์ก็ไม่รอถึงขนาดนั้น ในเชิงบริหารงานบุคคล เราเรียกมาประจำส่วนกลาง สิ่งเหล่านี้จะทำให้พี่น้องชาวมหาดไทยมีบรรทัดฐานที่เหมือนกันว่าเราประเมิน 360 องศา มีเหตุเราก็ต้องช่วยกันตักเตือนถ้าไม่ดีขึ้นก็ช่วยไม่ได้ก็ต้องลงโทษกันดังนั้นสบายใจได้ถ้ามีอะไรก็ 1567 เชิญใช้ได้ 24 ชั่วโมง” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

Advertisement

“อาเซียน-อินเดีย”ร่วมเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์พัฒนาทุกมิติเป็นรูปธรรม

People Unity News : “อาเซียน-อินเดีย” ร่วมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ “อาเซียน-ยูเอ็น” พร้อมสร้างความร่วมมือบริหารชายแดนในอาเซียน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.15 น. ณ ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีนเรนทร โมที (His Excellency Shri Narendra Modi) ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด อาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 จัดขึ้นเพื่อทบทวนความร่วมมือในกรอบอาเซียน-อินเดียในมิติการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียในอนาคต และเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ

โดยประเทศอินเดียถือเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับอาเซียนที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาค ขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนสร้างความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมมาโดยตลอด อาเซียนยินดีที่นายกรัฐมนตรีอินเดียให้ความสำคัญกับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านนโยบายมุ่งตะวันออกของอินเดีย เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญทำให้ยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน-อินเดียมีพลวัตมากยิ่งขึ้น

ด้านความมั่นคง อาเซียนชื่นชมที่อินเดียสนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียนบนพื้นฐานของภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) และผ่านกลไกที่อาเซียนมีบทบาทนำหลากหลาย อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก(ARF) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา(ADMM plus) ซึ่งนำไปสู่การรักษาสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญก้าวหน้าในภูมิภาค ตลอดจนชื่นชมอินเดียที่ให้การสนับสนุนมุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก โดยเป็นมุมมองที่ตั้งอยู่บนหลักการ 3M ได้แก่ ความเคารพซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ผลประโยชน์ร่วมกัน(Mutual Benefit) และความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดียให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตลอดจนย้ำถึงความร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง อาชญากรรมข้ามชาติและความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์

ด้านการค้าการลงทุน เน้นย้ำการพยายามเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพื่อบรรลุตัวเลขการค้าร่วมกันที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2022 โดยใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ในการนี้ ไทยยินดีที่ได้ริเริ่มการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย (AITIGA) เพื่อทำให้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียสามารถใช้ประโยชน์ได้สะดวกและง่ายในทางปฏิบัติและอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขจัดอุปสรรคทางการค้า พร้อมเน้นย้ำความสำคัญในการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการสรุปการเจรจา RCEP ภายในปี 2019

ด้านวัฒนธรรม ชื่นชมกับความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การท่องเที่ยว การศึกษา การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและเยาวชน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม และไอซีที ทั้งนี้ ไทยส่งเสริมให้อาเซียนและอินเดียเพิ่มความพยายามในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการอาเซียน-อินเดียปี ค.ศ. 2016-2020 และยินดีต่อความสำเร็จของปีความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย 2019

ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณอินเดียในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาเซียน และให้การสนับสนุนไทยและอาเซียนมาโดยตลอด โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันจะพัฒนาในมิติที่หลากหลายเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองภูมิภาคร่วมกัน

อาเซียน-ยูเอ็นพร้อมสร้างความร่วมมือบริหารชายแดนในอาเซียน

ต่อมาเวลา 14.00 น. ที่ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 ภายหลังเสร็จสิ้น นางนฤมล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 เพื่อรับทราบความคืบหน้าและทบทวนความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติ รวมทั้งการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 5 ปี เพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2016-2020 รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์ และร่วมกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการดำเนินความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ โดยเฉพาะการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติตามแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” โดยมีผู้นำ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และเลขาธิการสหประชาชาติเข้าร่วมประชุม

นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมว่า อาเซียนและสหประชาชาติควรร่วมกันสนับสนุนและเสริมสร้างระบบพหุภาคีนิยมและภูมิภาคนิยม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค และขอบคุณเลขาธิการสหประชาชาติที่สนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

โดยไทยได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและสหประชาชาติอย่างรอบด้าน อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ การส่งเสริมบทบาทและสิทธิของสตรี เยาวชน ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง และการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นต้น เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน และความยั่งยืนในทุกมิติแก่อาเซียนและระบบพหุภาคีนิยม

นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามอาเซียน ยินดีและชื่นชมที่ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติปี ค.ศ. 2016-2020 ไปกว่าร้อยละ 93 และเห็นว่า แผนปฏิบัติการฉบับใหม่ควรมุ่งเน้นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติผ่านการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ การส่งเสริมศักยภาพของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ การยกระดับการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาเทคโนโลยี และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย

ทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันรับมือกับความท้าทายข้ามพรมแดน ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนในอาเซียน เสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติ ผ่านความร่วมมือระหว่างศูนย์ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตลอดจนผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งรวมถึง การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเล ปัญหาขยะทะเลและการประเมินผลกระทบต่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติก รวมถึง มลพิษและหมอกควัน

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือกันในการอำนวยความสะดวกทางการค้า สร้างเครือข่ายความเชื่อมโยง การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนส่งเสริมการบริโภค การผลิต การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้บรรลุความพยายามในการสร้าง “ประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต”

ตีกลับ”แก่งกระจาน”ไม่ขึ้นบัญชีรายชื่อมรดกโลก

People Unity News : รับรอง”เมืองโบราณศรีเทพ–กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง” ขึ้นบัญชีมรดกโลกแล้ว ตีกลับ “แก่งกระจาน” ไม่ควรพูดถึงเขตแดน – อุ้มสิทธิมนุษยชน

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า มีการรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 43 ว่าที่ประชุมมีมติรับรองแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมของไทยบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดกโลก 2 แห่ง ได้แก่ เมืองโบราณศรีเทพ และกลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทปลายบัด

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้ส่งกลับเอกสารกรณีการนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ให้ประเทศไทยแก้ไขเรื่องเขตแดน โดยไม่ควรพูดถึงเรื่องเขตแดนในการเสนอเข้าเป็นมรดกโลก เนื่องจากพื้นที่ป่าแก่งกระจานมีเขตแดนที่เชื่อมระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมาร์ รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งไทยได้ดำเนินการแก้ไขตามคำเรียกร้องของคณะกรรมการมรดกโลกแล้ว โดยมีการจัดที่อยู่อาศัยให้กับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณป่าแก่งกระจาน มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งเรื่องสาธาณสุข สาธารณูปโภค และมีการจัดทำข้อตกลงประชาคมร่วมกันว่าหากป่าแก่งกระจานมีการขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลกได้ จะไม่มีการย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทางไทยจะเร่งดำเนินการเรื่องทั้งหมด และส่งข้อมูลกลับไปยังที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกอีกครั้ง

ครม.ให้กู้เงิน 85,000 ล้านบาทบริหารค่า FT

People Unity News : 6 กันยายน 65 “สุพัฒนพงษ์” เผย ครม.เห็นชอบกระทรวงพลังงาน กู้เงิน 85,000 ล้านบาท บริหารค่า FT เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือค่าไฟครัวเรือน เข้า ครม.สัปดาห์หน้า ให้มีผลในรอบบิลนี้

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนการกู้เงินเพื่อบริหารภาระค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ตามนโยบายของรัฐบาล ประจําปีงบประมาณ 2566  วงเงินประมาณ 85,000 ล้านบาท ส่วนการประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า กระทรวงพลังงานจะเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานแก่ประชาชนในด้านค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ให้ที่ประชุมพิจารณา โดยจะสามารถออกมาตรการช่วยเหลือได้ทันในรอบบิลเดือนนี้

“การประชุม ครม.วันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงประชาชน โดยเฉพาะภาระค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลทำควบคู่ไปกับการส่งเสริม การติดตั้ง Solar Rooftop แต่กระบวนการต้องใช้เวลานาน จึงจะบูรณาการทำงาน ทั้งจากกระทรวงพลังงาน  และการไฟฟ้า โดยจะเร่งรัดการดำเนินการให้เร็วขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน สำหรับครัวเรือนที่มีศักยภาพในการติดตั้งหรือลงทุนใน Solar Rooftop ได้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว

Advertisement

โฆษกรัฐบาลลั่นนายกฯพร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภา วอนพรรคเพื่อไทยอย่าเล่นเกมส์นอกสภา

People Unity News : โฆษกรัฐบาลลั่น นายกฯพร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภาฯ วอนพรรคเพื่อไทยอภิปรายในสภาฯ แล้วไม่ควรเล่นเกมส์นอกสภาฯอีก ดักคอแคมเปญชวนคนไทยไล่รัฐบาลมีช่องว่าง ชี้ไม่มีระบบยืนยันตัวตน อาจเปิดช่องให้มีการปั่นยอดให้สูงได้ เผยมีประชาชนขอผุดแคมเปญหนุนนายกฯทำงานต่อ

วันที่ 29 ส.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยผุดแคมเปญเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้นไม่ควรกระทำและไม่เหมาะสม เป็นการเล่นเกมส์นอกสภาฯ เพื่อกดดันรัฐบาลต่อ และการลงชื่อทางไลน์นั้นสามารถปั่นตัวเลขให้สูงได้ตามใจชอบ เพราะไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่เพียงพอ โดยในสมัยที่ตนเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำโครงการชิมช็อปใช้นั้น ก็ยังพบว่ามีรายชื่อผีโผล่มา ซึ่งจะต้องตรวจสอบยืนยันตัวตนจากหลายหน่วยงาน ดังนั้น สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทยก็อาจจะนำตัวเลขสูงๆมาโจมตีรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร น่าจะใช้สภาฯในการตรวจสอบจะดีกว่า

นายธนกร กล่าวอีกว่า มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาหาตน โดยระบุว่าอยากจะขอเปิดแคมเปญสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้อยู่ยาว ทำงานให้ประเทศชาติและประชาชนต่อไป แต่ตนได้ขอร้องไว้ เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน โดยรัฐบาลพยายามทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน คาดว่าอีกไม่นานสถานการณ์จะคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภาฯ ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภาฯ หากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาฯได้ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์พร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง ที่สำคัญ รัฐบาลจะใช้เวทีสภาฯ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนอีกด้วย

Advertising

“บิ๊กตู่”รับแล้ว!โรงงานปิดตัวกว่า 1,000 แห่ง สั่งช่วยคนตกงาน

People Unity News : “บิ๊กตู่”รับแล้ว!โรงงานปิดตัวกว่า 1,000 แห่ง สั่งช่วยคนตกงาน รวมถึงการปรับปรุงการทำงาน “ครม.เศรษฐกิจ” เร่งขับเคลื่อนไตรมาสสุดท้ายครอบคลุมทุกมิติ

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) แถลงผลภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในการประชุมมีหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องของเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจของกลุ่มเกษตรกรต่างๆ รวมถึงแรงงาน ว่าเราจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร หลายอย่างเป็นมิติที่จะต้องหารือร่วมกันในการทำงาน ซึ่งตนได้สั่งการให้พัฒนาปรับปรุงการทำงานของ ครม.เศรษฐกิจ ไปด้วย เพื่อให้ครอบคลุมในหลายๆ มิติด้วยกัน เพราะต้องเดินหน้าไปด้วยกันทั้งเรื่องการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เรื่องการท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เนื่องจากการลงทุนของรัฐบาลมีหลายอย่าง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องของแรงงาน ต้องเน้นในเรื่องทักษะ โดยในส่วนที่ตกงานหรืออะไรต่างๆ ก็ยังมีโรงงานที่เกิดขึ้นใหม่ 2,800 แห่ง และที่มีการเลย์ออฟพนักงานก็มีอยู่บ้างประมาณ 1,000 กว่าโรงงาน ก็ต้องไปดูรายละเอียดของโรงงานที่ลดการจ้างลง หรือยกเลิกคนเพราะอะไร ตรงนี้มันก็มีเหตุมีผลของมันในตัว ขณะเดียวกัน โรงงานใหม่มันก็เกิดขึ้นแล้วคนที่ตกงานจะทำอย่างไร วันนี้ก็ได้สั่งการไปแล้วต้องหาวิธีดำเนินการแก้ปัญหา สิ่งสำคัญที่อยากจะขอร้องคือ ทำอย่างไรให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ ถ้าเราพูดถึงเพียงความขัดแย้งอย่างเดียวและอะไรที่ไม่ดีมากนัก ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายเงินก็ลดลง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในเรื่องการส่งออกมีการสรุปมาว่าดีขึ้น แม้จะไม่มากนัก แต่ถ้าเราไปถามรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มก็อาจมีปัญหาอยูบ้าง ต้องดูในรายละเอียดว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ยากของการเป็นรัฐบาลในเวลานี้ ย่อมมีผลกระทบทั้งสิ้น จึงต้องดูทั้งปัจจัยภายในภายนอก ถ้ามองภายในอย่างเดียว อาจมองว่ารัฐบาลทำงานไม่ได้ผล ขอให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลด้วย วันนี้พยายามทำอย่างเต็มที่ ขอให้ช่วยกันสู้ไปด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาซึ่งกันและกัน เรื่องใดที่ยังไม่มีข้อยุติตามกฎหมาย หากเอามาวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เรื่องที่มีการทุจริตก็มีกระบวนการตรวจสอบ ถ้ายังไม่เข้ากระบวนการศาล หรือกระบวนการยุติธรรม ก็ถือว่ายังไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น ตรงนี้คือความเป็นธรรม ฝากให้ช่วยกันคิดด้วย ประเทศไทยหลายอย่างดีขึ้น แต่ถ้าเรามองสิ่งที่ยังไม่ดีมีปัญหาก็ทำลายความมั่นใจความเชื่อมั่น กำลังใจซึ่งกันและกันมันจะหมดลงเรื่อยๆ หลายประเทศให้ประชาชนนึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะเป็นแกนหลักสำคัญในการนำพาประเทศชาติผ่านพ้นช่วงวิกฤติ

Verified by ExactMetrics