วันที่ 1 กรกฎาคม 2025

นายกฯ ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ปกป้องอธิปไตย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มิถุนายน 2568 นายกฯ ขอบคุณกองทัพและทุกคน ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการปกป้องรักษาอธิปไตยของเรา

ที่องค์การบริหารส่วนตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบถุงยังชีพเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ตัวแทนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ซึ่งเป็นราษฎรอาสาสมัครในพื้นที่ที่ผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่กำหนดในการดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบของประชาชนในพื้นที่

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กับ ชรบ.ต่อการปฏิบัติหน้าที่ดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้รับมอบดอกกุหลาบสีแดงจากส่วนราชการ และประชาชนที่มาให้การต้อนรับเพื่อให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ในการทำงานเพื่อประเทศชาติและเพื่อประชาชน

จากนั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางไปยังฐานปฏิบัติการมรกต ตำบลโดมประดิษฐ์ เพื่อพบปะกำลังพลกองกำลังสุรนารีและมอบสิ่งของบำรุงขวัญ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ความมั่นคง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่มาพบปะทหารทุกนายในวันนี้ ตั้งใจมาให้กำลังใจทหารที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ด้วยความกล้าหาญ ด้วยความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน ขอชื่นชมในความเสียสละ ที่ต้องห่างไกลบ้าน ห่างไกลครอบครัว และสิ่งสำคัญต้องขอขอบคุณ แม่ทัพภาคที่ 2 รวมถึงผู้บังคับบัญชา ทหารทุกนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำหน้าที่ปกป้องประชาชน ปกป้องประเทศชาติ ปกป้องอธิปไตยอย่างแน่วแน่ ด้วยความมุ่งมั่น อย่างต่อเนื่อง

“ขอให้คำมั่นว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่ ทุกคนคือคนไทย แผ่นดินนี้คือแผ่นดินไทย จะต้องช่วยกันรักษา ทหารเปรียบเสมือนรั้วของชาติ รัฐบาลต้องการให้รั้วของชาติมีสุขภาพดี ทั้งแรงกาย และแรงใจ มีความสุขในการทำหน้าที่ อะไรที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน รัฐบาลยินดีและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในนามรัฐบาลขอขอบคุณ และขอส่งกำลังใจให้ทหารทุกนาย พร้อมทั้งขอนำกำลังใจจากประชาชนทุกคนมามอบให้ในวันนี้” นางสาวแพทองธาร กล่าว

Advertisement

นายกฯ เสนอร่างงบปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน ตั้งเป้า GDP โต 2.3-3.3%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 พฤษภาคม 2568 นายกฯ นำเสนอร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ต่อสภาฯ วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ตั้งเป้า GDP โต 2.3-3.3% ห่วงภาษีสหรัฐฉุดเศรษฐกิจไทย แจงรายจ่าย 6 ยุทธศาสตร์หลัก ยันใช้งบฯ อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจง ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า การจัดทำงบประมาณอยู่บนพื้นฐานที่คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 69 จะขยายตัวในช่วง 2.3-3.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลกและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย จากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการภาครัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ ด้านภาวะการเงินโดยรวมยังตึงตัว คณะกรรมการนโยบายการเงิน จึงมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี ในการประชุมเดือนเมษายน 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถดูแลภาวะการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป

สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.5-1.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลที่ 2.3% ของ GDP โครงสร้างงบประมาณปี 69 ประกอบด้วย

1.งบประมาณรายจ่าย 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 27,900 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 68 หรือเพิ่มขึ้น 0.7% โดยวงเงินงบประมาณดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วน 18.9% ของ GDP

2.รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท ลดลง 28,135 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 68 หรือลดลง 1% คิดเป็นสัดส่วน 70.2% ของวงเงินงบประมาณ

3.รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 68 ที่ไม่ได้มีการเสนอตั้งงบประมาณ โดยคิดเป็นสัดส่วน 3.3% ของวงเงินงบประมาณ

4.รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท ลดลง 68,284 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 68 หรือลดลง 7.3% คิดเป็นสัดส่วน 22.9% ของวงเงินงบประมาณ

5.รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จัดสรรไว้ 151,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,100 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 68 หรือเพิ่มขึ้น 0.7% คิดเป็นสัดส่วน 4% ของวงเงินงบประมาณ

ทั้งนี้ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุน กรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,519 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ รวม 65 แผนงาน ดังนี้

1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง จัดสรรงบประมาณ 415,327 ล้านบาท เพื่อดำเนินการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งการดูแลความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ขยายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้ภาษาที่หลากหลาย ระงับยับยั้งการบ่มเพาะทางความคิดที่อาจบิดเบือนจากหลักศาสนา

อีกทั้งนำงบประมาณไปดำเนินการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ และเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง เช่น ป้องกันภัยคุกคาม ภัยอาชญากรรมชาติและความมั่นคงทางชายแดนชายฝั่งทะเล และนำไปพัฒนาระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ

2.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน จัดสรรงบประมาณ 394,611 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน เน้นการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยขยายการค้าการลงทุนชายแดนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด่านศุลกากรในเชตเศรษฐกิจพิเศษ

อีกทั้งนำงบประมาณไปใช้ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยตั้งเป้าให้เกิดการลงทุนจริงในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนนส่ง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นต้น ยกระดับและพัฒนาศูนย์การแพทย์ครบวงจรผลิตและพัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 6,000 คน

นอกจากนี้ นำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โดยส่งเสริมการลงทุน และใช้ทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานดิจิทััลร่วมกัน อาทิ การบริการคลาวด์ภาครัฐพร้อมมาตรการเฝ้าระวังภัยคุกคามไซเบอร์และตัดวงจรอาชญากรรมออนไลน์ เป็นต้น

รวมถึง นำไปใช้ในการพัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน ด้วยการจัดหาพลังงานและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งระบบให้มีความมั่นคง โดยรักษาอัตราการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวในประเทศไม่น้อยกว่า 140,000 บาร์เรลต่อวัน สนับสนุนการผลิตและใช้พลังงานทดแทนพลังงานทางเลือก ส่งเสริมพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน

อีกทั้งนำไปขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ หวังผลักดันอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นกไลในการสร้่างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และนำไปใช้ในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน

3.ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ จัดสรรงบประมาณ 605,927 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชน มีความรู้คู่คุณธรรมและคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการเสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี ส่งเสริมการผลิตแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุขไม่น้อยกว่า 42,400 คนและกระจายแพทย์ไปสู่ชนบท ไม่น้อยกว่า 1,000 คนต่อปี ยกระดับระบบสาธารณสุขและระบบบริการสุขภาพที่ทันสมัย

รวมถึงพัฒนาคุณภาพการศึกษา การเรียนรู้ และศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต โดยการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนการสอน สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา

4.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จัดสรรงบประมาณ 942,709 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับสวัสดิการพื้นฐาน บริการสาธารณะอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ด้วยการบริหารจัดการที่ดิน ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก กระจายการถือครองที่ดินให้กับเกษตรกรและประชาชนเข้าถึงได้และเป็นธรรม การรองรับสังคมสูงวัย การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ ผ่านการสนับสนุนการจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แก่นักเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเบี้ยยังชีพคนพิการ

5.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดสรรงบประมาณ 147,216 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาทิ การจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านน้ำเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

6.ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ จัดสรรงบประมาณ 605,441 ล้านบาท เพื่อยกระดับการบริการภาครัฐให้มีสมรรถนะสูง เปลี่ยนผ่านไปสู่ราชการทันสมัยในระบบดิจิทัล อาทิ การแก้ปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้ประเทศไทยปลอดทุจริต โดยปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตสำนึกให้มีพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีเป้าหมายค่าดัชนีรับรู้การทุจริตอยู่ในอันดับ 1 ใน 45 หรือได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 56คะแนน รวมถึงการมีรัฐบาลดิจิทัล หน่วยงานรัฐใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้บริการประชาชนได้เต็มศักยภาพ การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของกฎหมายที่มีอยู่ ลดข้อจำกัดด้านกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังมีรายการค่าดำเนินการภาครัฐ จัดสรรงบประมาณ 669,365 ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ และชดใช้เงินคงคลัง โดยเป็นแผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน123,960.0 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง ภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง รวมทั้งการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงวินัยทางการคลังการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 421,864.4 ล้านบาทเพื่อให้การบริหารจัดการหนี้และการชำระหนี้ภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 123,541.1 ล้านบาท พื่อเป็นรายจ่ายชดใช้เงินคงคลังที่ได้จ่ายไปแล้ว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณที่รัฐบาลเสนอในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ ภายใต้ข้อจำกัดด้านรายได้และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รัฐบาล จึงดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยกำหนดวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ทั้งในด้านความมั่นคง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างแท้จริง และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

Advertisement

ไทยจัดทำแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา ปูทางหลุดบัญชี WL

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 พฤษภาคม 2568 ครม. มีมติเห็นชอบต่อร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่างกรมทัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Thailand intellectual Property Work Plan: IP Work Plan) ระหว่างกรมทัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ

โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้จัดทำรายงานผลการจัดสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ โดยแบ่งสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ประเทศที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามากที่สุด (Priority Foreign Country: PFC) 2) ประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List: PWL) และ 3) ประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List: WL) ซึ่งประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษมาโดยตลอด

นางสาว ศศิกานต์​ กล่าวว่า ในปี 2567 พณ. โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้จัดทำร่างแผนงานฯ เพื่อระบุแนวทางการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การถอดไทยออกจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองและทุกบัญชี ซึ่งร่างแผนงานฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้

ลิขสิทธิ์ (1) เผยแพร่ร่างกฎหมายลิขสิทธิ์และกฎระเบียบหรือมาตรการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในโอกาสที่เหมาะสม

(2) ในส่วนที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ ให้มีการยกระดับการแก้ไขปรับปรุงระบบการชี้แจงหรือระบบแจ้งให้ทราบให้ชัดเจน และนำข้อมูลที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบ หรือปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาที่ละเมิดซึ่งอยู่บนเครือข่าย

(3) ให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติเพื่อเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก

(4) แก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อพัฒนาการป้องกันการหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพให้เสร็จสิ้น

(5) ยกระดับหรือแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อกำจัดช่องว่างที่อาจมีตามข้อยกเว้นของการคุ้มครองข้อมูลบริหารสิทธิ

(6) แก้ไขปัญหาองค์กรจัดเก็บ

(7) แก้ไขปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาต

การบังคับใช้สิทธิ

(1) ให้ข้อมูลสถิติและข้อมูลอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

(2) มีมาตรการบังคับใช้สิทธิทางแพ่งที่มีประสิทธิภาพ

(3) สืบสวนและดำเนินคดีทรัพย์สินทางปัญญาทั่วประเทศให้ประสบผลสำเร็จ

(4) แก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์

(5) ดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการผลิต การกระจายผลิตภัณฑ์ และการขายเภสัชภัณฑ์ปลอมในไทย

เครื่องหมายการค้า ปรับปรุงกระบวนการจดทะเบียน โดยแก้ไขปัญหางานจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าค้างสะสม และเพิ่มจำนวนผู้ตรวจสอบเครื่องหมายการค้า

สิทธิบัตรและเภสัชภัณฑ์

(1) แก้ไขปรับปรุงสิทธิบัตร เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายสิทธิบัตร และกฎระเบียบ หรือมาตรการ รวมถึงให้การบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรในร่างกฎหมายสิทธิบัตรสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย

(2) สร้างระบบที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการใช้ข้อมูลในเชิงพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม

(3) แก้ไขปัญหาคุณภาพในการออกสิทธิบัตรและปัญหางานค้างสะสม

(4) แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติกรรมสารเจนิวา ภายใต้ความตกลงกรุงเฮก ว่าด้วยการจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ

Advertisement

มท.ลุยสำรวจที่ดินลดเหลื่อมล้ำ เล็งเป้าปีนี้ออกโฉนด 86,000 แปลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 พฤษภาคม 2568 “มหาดไทย” เดินหน้าสำรวจที่ดินลดเหลื่อมล้ำ เล็งเป้าปีนี้ออกโฉนด 86,000 แปลง ใน 69 จังหวัด พร้อมเปิดสถิติ 40 ปีออกโฉนดแล้วกว่า 14 ล้านแปลง 71 ล้านไร่

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยเดินหน้าตามนโยบายของรัฐบาลในการกระจายการถือครองที่ดินทำกิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้มอบหมายให้กรมที่ดินเร่งรัดโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศ เพื่อให้การออกโฉนดที่ดินให้กับประชาชนเป็นไปตามเป้าหมาย สร้างความมั่นคงเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สามารถเป็นหลักประกันการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และนำไปลงทุนประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงต่อไป

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กรมที่ดินได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดทำโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน เป้าหมายรวม 86,000 แปลง มีพื้นที่ดำเนินการทั้งสิ้น 69 จังหวัด ยกเว้น 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี แม่ฮ่องสอน สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และภูเก็ต เนื่องจากมีพื้นที่ในการออกเอกสารสิทธิ์หนาแน่นแล้ว และเป็นจังหวัดที่มีเขตป่าไม้ครอบคลุมเกือบทั้งจังหวัด

มีผลการดำเนินงานงบประมาณ 68 ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 67 – เม.ย. 68 แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1)โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน และรังวัดรูปแปลงโฉนดที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศซึ่งมีเป้าหมาย 70,000 แปลง ออกโฉนดแล้ว 42,412 แปลง เนื้อที่ประมาณ 109,914 ไร่ 2)โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในจ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอนาทวี จะนะ เทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งมีเป้าหมายจำนวน 16,000 แปลง ระหว่างเดือน ธ.ค. 67 – เม.ย. 68 ดำเนินการออกโฉนดแล้ว 11,025 แปลง เนื้อที่ประมาณ 14,659 ไร่

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไป ยังคงเหลือเอกสาร ที่ยังไม่เป็นโฉนดที่ดินประมาณ 561,989 แปลง เนื้อที่ประมาณ 2,809,944.5 ไร่ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดินคาดว่าจะดำเนินการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินได้เสร็จสิ้นทั่วประเทศภายใน 7 ปี ซึ่งจะนำข้อมูลตามโครงการบอกดินที่ประชาชนได้แจ้งไว้ เรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ถวายฎีกา และข้อมูลที่สำนักงานที่ดินจังหวัด/สาขา/ส่วนแยก ได้รับแจ้งข้อมูลไว้มาประกอบการพิจารณาดำเนินการ

“ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 – 67 รวมระยะเวลา 40 ปี กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ดำเนินการสำรวจและออกโฉนดที่ดินแล้ว 14,838,692 แปลง เนื้อที่ประมาณ 71,240,052 ไร่” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

“ยิ่งลักษณ์” โพสต์ตัดพ้อ ต้องชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 พฤษภาคม 2568 “ยิ่งลักษณ์” โพสต์หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งชดใช้ 10,028 ล้านคดีจำนำข้าว ตัดพ้อ ต้องชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ รับภาระหนี้จากฝ่ายปฏิบัติ ลั่นหนี้หมื่นล้านชดใช้ทั้งชีวิตยังไงก็ไม่มีวันหมด ทำเพื่อชาวนากลับมีบทสรุปที่เจ็บปวด

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความภายหลัง ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี 10,028 ล้านบาท ว่า “เรียน พี่น้องประชาชนที่เคารพ วันที่ 22 พฤษภาคมปีนี้ เป็นวันครบรอบ 11 ปี รัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนทั้งประเทศ และเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำวินิจฉัยให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้กว่า 10,000 ล้านบาท จากคดีระบายข้าว ทั้งที่ดิฉันไม่ได้เป็นจำเลยในคดีนี้ และศาลปกครองกลางได้เคยวินิจฉัยว่าดิฉันไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในกรณีดังกล่าวมาแล้ว

จากคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในวันนี้ ทำให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ความเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่ต้องมารับภาระหนี้ที่เกิดจากการระบายข้าวของฝ่ายปฏิบัติ โดยที่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านั้นแต่อย่างใด และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็พิพากษาในคดีของดิฉันว่า ปล่อยปละละเลยในการบริหารโครงการรับจำนำข้าวเท่านั้น

นโยบายรับจำนำข้าว เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย และเป็นนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องปฏิบัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศจากฐานราก ผ่านการจับจ่ายใช้สอยของครอบครัวชาวนา กว่า 20 ล้านคน มีเจตนาช่วยเหลือให้พี่น้องชาวนาได้ลืมตาอ้าปาก สามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

รัฐบาลของดิฉันมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือชาวนาที่อยู่อย่างยากจนแร้นแค้น ให้ขายผลผลิตได้ในราคาสูง มีกิน มีใช้ มีเงินเหลือส่งลูกหลานเรียนหนังสือจนจบ ซึ่งที่ผ่านมามีครอบครัวชาวนาได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก แต่หากการดำเนินนโยบายแบบนี้ กลับถูกกล่าวหาว่าทำให้เกิดความเสียหาย ต่อไปใครจะกล้าคิดนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เข้าไม่ถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้อีก

ดิฉันไม่มีเจตนาจะทำให้โครงการเสียหาย การดำเนินโครงการแต่ละขั้นตอน เกี่ยวข้องกับหน่วยงานและบุคลากรหลายฝ่าย มีลำดับขั้นการบังคับบัญชาตามระบบราชการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่หัวหน้าฝ่ายบริหารจะไปก้าวก่ายแทรกแซงในรายละเอียดได้ แต่ดิฉันกลับต้องรับผิดชอบกับความเสียหายเพียงลำพัง หากจะบอกว่าสิ่งนี้คือความเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่งที่ดิฉันจะเข้าใจและยอมรับได้

หนี้ 10,000 ล้านบาท ชดใช้ทั้งชีวิต ยังไงก็ไม่มีวันหมดค่ะ การทุ่มเททำงาน แบกรับแรงเสียดทานทั้งทางการเมืองและอีกหลายรูปแบบ เพื่อค้ำยันราคาข้าวให้สูงและมีเสถียรภาพ เพื่อพี่น้องชาวนาได้มีชีวิตที่ดีกว่า พลิกผืนนาเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของครอบครัว กลับมีบทสรุปที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับดิฉัน

โครงการรับจำนำข้าวเป็นการกระทำทางการบริหารร่วมกันเป็นคณะกรรมการ การตัดสินให้ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ยังมีคำถามว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะหลังรัฐประหารก็มีข่าวว่ารัฐบาลเวลานั้นเอาข้าวดีไปขายเป็นข้าวเน่า

ข้าวที่เหลือในโกดัง 18.9 ล้านตัน ถูกขายในราคาต่ำกว่าที่ควรจะได้รับ คิดเป็นมูลค่าส่วนต่างนับ 100,000 ล้านบาท แต่ไม่ปรากฏความคืบหน้าของการตรวจสอบ และหาคนรับผิดชอบไม่ได้จนปัจจุบัน

ตลอดเวลา 11 ปี นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สิ่งที่ดิฉันจำต้องพบเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือ ยึดอำนาจ ยัดคดี อายัดทรัพย์ และเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาบังคับให้ใช้หนี้

ความรู้สึกแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็คงไม่มีใครรู้ แต่ถึงกระนั้นดิฉันก็จะเรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในชีวิต จนถึงที่สุดตามกฎหมายที่พึงกระทำได้

ถ้านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ยังไม่อาจเข้าถึงความยุติธรรมที่แท้จริง ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ สำหรับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเช่นกันค่ะ

Advertisement

“ประเสริฐ” เชื่อประชาชนเข้าใจ ชะลอแจกเงินหมื่นเฟส 3

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 พฤษภาคม 2568 “ประเสริฐ” เชื่อประชาชนเข้าใจ ชะลอเงินหมื่นเฟส3 ย้ำเรื่องกำแพงภาษีเป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องให้ความสำคัญก่อน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงการชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส3 จะทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างไรว่า เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจเพราะสถานการณ์โลกมีปัญหาเรื่องกำแพงภาษีทั้งหมด ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภูมิภาค ซึ่งเราคิดเรื่องการจัดเก็บภาษีก็อาจมีผลกระทบเรื่องการส่งออกจึงต้องมีการปรับโครงสร้างให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบาย และตนเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ ขอให้มองปัญหาและผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก

ส่วนจะมีผลกระทบต่อการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่เพราะเป็นนโยบายเรือธง ของพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐยืนยันว่า ยังไม่ได้ยกเลิกเพียงแต่ลำดับความสำคัญว่าอะไรก่อนหลัง เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันเป็นแบบนี้ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องนำงบส่วนหนึ่งมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาพัฒน์ ที่ความเห็นว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเรื่องของน้ำและคมนาคมเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อถามว่าจุดเด่นของพรรคเพื่อไทยคือพูดนโยบายแล้วทำได้ เรื่องนี้จะทำให้การหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้ายากขึ้นหรือไม่ นายประเสริฐย้ำว่า เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ ถึงสถานการณ์ภายในประเทศ เพราะไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ต้องปรับแต่ทุกประเทศต้องปรับหมด เพราะได้รับผลกระทบทั้งหมด การรับมือกับภาวะเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็น แต่เราก็ดูเรื่องตัวเลขจีดีพีประกอบด้วย

เมื่อถามว่าการให้ สส.ลงพื้นที่ชี้แจงประชาชน จะต้องชี้แจงในลักษณะใดเพื่อให้เกิดความชัดเจนและประชาชนเข้าใจ ว่าจะต้องรอไปก่อนหรือจะมีโครงการใหม่เข้ามาเสริม นายประเสริฐ กล่าวว่าให้คอยรัฐบาล อะไรที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเราชี้แจงได้ เพราะเราก็ดำเนินการไปแล้วส่วนหนึ่งไม่ใช่ไม่ทำอะไร ในเฟส1และ2 ในกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ ก็ได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้ไปแล้ว

Advertisement

ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 พฤษภาคม 2568 ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจสอบคดีพิเศษ พ.ศ. 2566 เพื่อกำหนดให้คดีความผิดทางอาญาซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 21 (1) เป็นคดีพิเศษเพิ่มเติมจำนวน 3 คดีความผิด ดังนี้

1) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

2) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

3) คดีความผิดกฎหมายว่าด้วยมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมฯ ดังกล่าว เพื่อป้องกัน ปราบปราม สืบสวน และสอบสวนอาชญากรรมที่เป็นการกระทำความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อนหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และความมั่นคงของประเทศ จึงจำเป็นต้องกำหนดคดีความผิดทางอาญาที่มีลักษณะของการกระทำผิดดังกล่าวข้างต้นเป็นคดีพิเศษเพิ่มเติม เพื่อป้องกัน ปราบปราม สืบสวน และสอบสวนได้ทันท่วงที ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของสังคมในปัจจุบัน

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยในหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ

Advertisement

“อนุทิน” หนุนทำประชามติ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 พฤษภาคม 2568 “อนุทิน” เผยจุดยืน “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ย้ำพรรคร่วมต้องเป็นหนึ่ง หนุนทำประชามติ ฟังเสียงประชาชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงประเด็นกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่าเมื่อนายกรัฐมนตรี​ผลักดันแล้วในฐานะนโยบายรัฐบาล ถ้าเป็น ครม. แล้วมันเป็นไปตามกฎหมาย ต้องช่วยกันสนับสนุน แต่ว่ามันไม่ได้จบตรงนี้ จะเข้าไปที่สภา ก็ต้องพิจารณาตามขั้นตอน วาระต่างๆ มีการอภิปราย มีการตั้ง กมธ. และไปแปรญัตติ ซึ่งต้องใช้ข้อมูล ความเห็น สรุปว่ายังมีอีกหลายขั้น และที่สำคัญที่สุด คือ ฟังเสียงประชาชน ถ้าดีที่สุดควรทำประชามติ ให้ประชาชนตัดสินใจ ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ฟังแล้วดี ก็ถามประชาชนเลย พรรคภูมิใจไทย สนับสนุนทางนี้ เคยเสนอนายกฯ ไปแล้ว และท่านก็รับฟัง ถ้ามีประชามติ ทุกคนสบายใจ

“แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น จะต้องไม่มียิงลูกโดด พรรคร่วมต้องโหวตกฎหมายนี้ทุกพรรค ถ้าพรรคหนึ่งมีเงื่อนไข พรรคอื่นก็มีเงื่อนไข แบบนั้น ถือว่าไม่เรียบร้อย ก็ยังไม่ต้องเอาเข้าสภา พรรคร่วมรัฐบาลต้องเป็นหนึ่งจึงจะผลักดันได้ นี่คือเรื่องของสปิริตพรรคร่วมรัฐบาล” นายอนุทินกล่าว

Advertisement

กอ.รมน. แจงดำเนินคดี “ดร.พอล” ตามกระบวนการยุติธรรม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 เมษายน 2568 สวนรื่นฤดี – กอ.รมน. แจงดำเนินคดีกับนักวิชาการ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ย้ำคดี ม.112 เป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐ ขอให้สังคมเคารพกระบวนการและรอการตัดสินจากศาล

พลตรีธรรมนูญ ไม้สนธิ์ โฆษก กอ.รมน. กล่าวถึงกรณีที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 3 ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกันและอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวร นั้น

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.68 คณะกรรมาธิการการทหารของสภาผู้แทนราษฎรได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 3 ได้ให้ข้อมูลตอบคำถามผ่านระบบประชุมทางไกล ทั้งนี้ ทาง กอ.รมน. ทราบว่ายังมีบางประเด็นที่ยังให้คำตอบที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้สังคมและประชาชนอาจเกิดความไม่เข้าใจและสงสัยถึงประเด็นดังกล่าว ในโอกาสนี้ กอ.รมน. ขอเรียนถึงข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้

จากประเด็นที่คณะกรรมาธิการการทหารของสภาผู้แทนราษฎรได้สอบถามถึงการใช้อำนาจใดในการดำเนินการแจ้งความ ต้องขอเรียนว่า การกระทำที่อาจเข้าข่ายผิด มาตรา 112 เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐถือเป็นอาญาแผ่นดิน นอกจากนี้ในประมวลกฎหมาย ป.วิ อาญา ม.2(4) และ ม.8 ผู้พบเห็นการกระทำผิดอาญาโดยเฉพาะถ้าเป็นความผิดอาญาที่กระทบต่อสาธารณะสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ซึ่งบุคคลทั่วไป หรือหน่วยงาน ที่พบเห็นข้อความ การแสดงออก หรือการกระทำที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สามารถเข้าแจ้งความร้องทุกข์ได้ เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งในกรณีนี้ กอ.รมน. ภาค3 ได้รับการแจ้งเบาะแสจึงดำเนินการตรวจสอบตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง และตรวจพบการกระทำที่มีลักษณะอาจเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 จึงได้เข้าร้องทุกข์และแจ้งความต่อตำรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก ในความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ

ขณะนี้ขั้นตอนอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีในชั้นศาล ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริง พยาน หลักฐาน แล้วตัดสินว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดหรือไม่ เมื่อขั้นตอนเข้าสู่กระบวนการศาลแล้วการให้ข้อมูลเกี่ยวกับพยานหลักฐาน หรือองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องอาจทำได้อย่างจำกัด ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปไม่สามารถที่จะตัดสินหรือสรุปเองได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เพราะจะถือเป็นการละเมิดและก้าวล่วงอำนาจศาล

สำหรับประเด็นที่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนถึงบทบาทอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาตรา 7 ขอเรียนว่า อำนาจในส่วนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกลไกในการจัดทำแผนงานเพื่อบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาความมั่นคงที่มีความซับซ้อนต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน จึงต้องได้รับการอนุมัติจากฝ่ายบริหารเพื่อนำไปดำเนินการตามกฎหมาย อาทิ การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง เช่น การแก้ไขปัญหายาเสพติด การเสริมสร้างความมั่นคงสถาบันหลักของชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กรณีคดีของ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส เป็นคดีอาญาไม่ใช่การดำเนินการตามมาตรา 7

ส่วนในกรณีที่มีการสันนิษฐานว่า ห้วงเวลาในการดำเนินคดีกับ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส อยู่ระหว่างการเตรียมการเจรจาเรื่องการขึ้นภาษีกับสหรัฐอเมริกา อาจสร้างผลกระทบหรือสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยหรือไม่ ต้องขอเรียนว่าการดำเนินคดีเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ กับเรื่องภาษีเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มีสถานะทางกฎหมายและผลกระทบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ขณะเดียวกัน กอ.รมน.ภาค 3 เป็นหน่วยงานความมั่นคง มีหน้าที่ปกป้องความมั่นคงของสถาบันของชาติ การกระทำที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าจะโดยคนไทยหรือชาวต่างชาติ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายเช่นเดียวกัน ซึ่งการพิจารณาในชั้นศาลถือว่าเป็นกระบวนยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่าย สามารถนำหลักฐาน ข้อเท็จจริง พยานมาชี้แจงแสดงได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยขอยืนยันว่าการดำเนินคดีกับ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมภายใต้หลักนิติธรรม พร้อมขอให้สังคมรอการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรม และเคารพอำนาจศาลในการพิจารณาคดี

Advertisement

กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ สว. ถกนัดแรก 23 เม.ย. จ่อวางตัวคนนอกนั่ง ปธ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 เมษายน 2568 กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ วุฒิสภา ถกนัดแรก 23 เม.ย. จ่อวางตัว “คนนอก-สายตรงบ้านใหญ่” นั่ง ปธ.กมธ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ประชุมวุฒิสภา ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ​(Entertainment Complex) ตามญัตติที่เสนอโดยนายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สว. ประกอบด้วย กมธ.จำนวน 35 แบ่งเป็นคนนอก 12 คนนั้น ซึ่งพบว่าต่อมานพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว.กลุ่มสาธารณสุข ได้ขอลาออกจากตำแหน่งกมธ.ดังกล่าว ทำให้เหลือ กมธ. 34 คน

ล่าสุดมีรายงานข่าวจากวุฒิสภาแจ้งว่า จะมีการเรียกประชุมนัดแรกในวันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยนัดแรกจะเป็นการเลือกกมธ.ในตำแหน่งต่างๆ ที่สำคัญ อาทิ ประธานกมธ. รองประธานกมธ. เลขานุการ โฆษก กมธ. รวมถึงการวางกรอบการทำงานที่มีกำหนดระยะเวลา 180วัน และจะพิจารณาตำแหน่งที่ว่างลง 1 ตำแหน่ง เนื่องจาก นพ.เปรมศักดิ์ ได้ลาออกไป

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวแจ้งด้วยว่าในฝั่งของ สว.สีน้ำเงินที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ ได้วางตัวบุคคลให้ดำรงตำแหน่งประธานกมธ. เบื้องต้นได้วางตัว นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งเป็นกมธ.สัดส่วนคนนอก และมีสถานะที่รู้กันว่าเป็นสายตรงของบ้านใหญ่บุรีรัมย์ ทำให้เกิดความกังวลว่าการศึกษารายละเอียดดังกล่าวนั้นจะทำให้เกิดความไม่เป็นกลาง ไม่ใช่การศึกษาที่เป็นเชิงวิชาการ แต่อาจถูกใช้เพื่อให้เป็นเกมต่อรองทางการเมือง ระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคที่มีประเด็นข้อขัดแย้งกันในสภาผู้แทนราษฎร คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ… หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อย่างไรก็ดี การวางตัวบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ สว. ยังต้องพิจารณาในแง่ความเหมาะสมอีกครั้ง

Advertisement

 

Verified by ExactMetrics