วันที่ 28 มีนาคม 2024

นายกฯ ขอคนไทยเชื่อมั่นในศักยภาพประเทศ แม้จะเชื่อมั่นรัฐบาลหรือนายกฯ หรือไม่ก็ตาม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ปาฐกถาพิเศษ “44 ปี ฐานเศรษฐกิจ: ก้าวใหม่ประเทศไทย” ขอ ปชช.เชื่อมั่นศักยภาพของประเทศ ย้ำรัฐบาลจะสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแรง นำเงินสู่ประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิต แก้ปัญหาทุกมิติ – หวังทุกฝ่ายพาประเทศไทยก้าวใหม่สู่อนาคต

วานนี้ (23 ก.พ.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานครบรอบ “44 ปี ฐานเศรษฐกิจ” ในหัวข้อ ”Thailand New Era : ก้าวใหม่ประเทศไทย” โดยขอให้ประชาชน ไม่ว่าจะเชื่อมั่นใจรัฐบาล หรือตนหรือไม่ แต่ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย โดยย้ำว่า รัฐบาลจะเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแรง นำเงินมาสู่ประชาชน ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคน และเสริมสร้างศักยภาพด้านจิตใจของประชาชนก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ประเทศไทยจะอยู่กับวังวนความขัดแย้ง จนมาบดบังแสงสว่างของประเทศ จนประเทศตกต่ำไม่ได้ ซึ่งในการเสริมสร้างศักยภาพจิตใจของประชาชนนั้น รัฐบาลได้ส่งเสริมสิทธิต่าง ๆ ที่ประชาชนพึงจะได้เป็นก้าวใหม่ประเทศไทย ผ่านการเสนอร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา เพื่อให้ประชาชนทุกเพศ สามารถอยูในประเทศนี้ได้อย่างเท่าเทียม และรัฐบาลจะยังคงเดินหน้าให้เสรีภาพในเพศสภาพแก่ประชาชน และจะส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ไม่มีอาชีพใดที่ต้องถูกด้อยค่า รวมถึงการสมัครใจเกณฑ์ทหาร ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของพรรคร่วมรัฐบาล จึงได้มีการพูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพถึงปัญหาดังกล่าว เพราะต้องให้สิทธิประชาชนเลือก และให้สิทธิแก่กองทัพ เพิ่มบุคลากรในแขนงที่มีความจำเป็น รวมถึงสิทธิอากาศสะอาด ที่ขณะนี้ ฝุ่น PM2.5 จังหวัดเชียงใหม่ สามารถลดปริมาณไปได้มาก จากการทำงานร่วมกันของหน่วยงานรัฐ และประชาชนให้ความสำคัญ จนทำให้ฝุ่นละอองลดลงไป แม้จะมีอยู่บ้าง แต่ก็จะต้องมีการบริหารจัดการในพื้นที่ที่มีปัญหาให้มากกว่านี้ พร้อมยืนยันว่า หากประเทศเพื่อนบ้านใด เผาซากวัชพืชเกษตร รัฐบาลจะไม่ซื้อสินค้าจากประเทศนั้นเด็ดขาด

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่ประชาชนกู้เงินนอกระบบ 80,000 บาท แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงถึงวันละ 4,000 บาท ดังนั้น ประเทศไทยมิติใหม่ หนี้นอกระบบต้องหมดไป และฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และภาครัฐต้องให้ความช่วยเหลือประชาชน อย่ายอมแพ้ เพราะปัญหาเหล่านี้ บั่นทอนศักยภาพประเทศไทย รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งรัฐบาลคาดหวังให้ประชาชนมีที่ดินทำกินที่ถูกต้อง สามารถนำไปเป็นหลักทรัพย์ หลักประกันเสริมสร้างความคล่องตัวทางการเงินได้ จึงขอให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวกับที่ดิน ที่ต้องการให้ประชาชนมีที่ดินทำกิน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีด้วย

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ผ่านศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยว่า การท่องเที่ยวไทยมีศักยภาพ รัฐบาลได้มีการเปิดฟรีวีซ่าให้กับหลายประเทศ ซึ่งในสัปดาห์หน้า วันที่ 1 มีนาคมนี้ ประชาชนคนไทย สามารถเดินทางไปประเทศจีนได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว และรัฐบาลจะยังคงเดินหน้า เพื่อขอยกเว้นวีซ่าแก่ประเทศอื่น ๆ ต่อไป รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ที่แต่ละจังหวัด ที่มีซอฟต์พาวเวอร์ มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แต่การเดินทางยังลำบาก ค่าเดินทางบางจังหวัดแพงกว่าการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งก็จะต้องมีการแก้ไขปัญหา และพัฒนาต่อไป และรัฐบาลจะพัฒนา และยกระดับสนามบินทั่วประเทศ ให้มีระบบการเข้าออกที่สะดวกสบาย รวดเร็ว ไม่มีขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน เพื่อให้นักท่องเที่ยวประทับใจ และสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ รวมถึงการแก้ปัญหาในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแก้ปัญหาครบทุกมิติ ให้เป็นโอกาสดึงดูดการท่องเที่ยวระดับสูง และยกระดับสนามบินของประเทศ รวมถึงยังตั้งใจพัฒนาสายการบินไทย ให้กลับมาเป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยที่มีศักดิ์ศรีได้อีกครั้ง

นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยอีกว่า ในต้นเดือนมีนาคมนี้ ตนเองมีกำหนดการเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส เพื่อหารือทวิภาคี ร่วมกับ นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้นำ “ผ้าย้อมคราม” ของภาคอีสาน ไปนำเสนอกับประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านแฟชั่น เพื่อสร้างโอกาสให้กับผ้าครามของภาคอีสานไทย และจังหวัดอื่น ๆ เพื่อให้เกษตรกร และผู้ประกอบการ มีรายได้ และมีกำลังใจในการประกอบอาชีพ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรว่า ประเทศไทย มีเกษตรกรกว่า 10 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายจะยกระดับรายได้เกษตรกร 3 เท่า ภายใน 4 ปีผ่านนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อให้เกษตรกร มีผลตอบแทนต่อไร่สูงขึ้น รวมถึงการเปิดตลาดเกษตรแห่งใหม่ ๆ ในต่างประเทศ เช่น ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงการปลูกพืชหลากหลาย ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น ถั่วเหลือง, โปรตีนจากพืช หรือ แพลนท์เบส เพื่อให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหาร และสามารถฉายศักยภาพของประเทศไทยได้ รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาล ที่ประชาชนมุสลิมมีการเจริญเติบโตทางประชากรมาก และอาหารฮาลาลจะกลายเป็นสินค้าที่สำคัญสำหรับประเทศอาหรับ ซึ่งในสัปดาห์หน้า ตนเองจะลงพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อดูโอกาสในพื้นที่ และนำโอกาสไปให้ประชาชน 3 จังหวัดชายแดนใต้ นำจุดขายของจังหวัดชายแดนใต้ไปขาย และนำเสนอบนตลาดโลก เช่น ปลานิลน้ำไหล ผังเมืองยะลา ศิลปวัฒนธรรมชายแดนใต้ เพื่อสร้างโอกาส และอนาคตก้าวใหม่ประเทศไทยสู่ชายแดนใต้ เพื่อลดความขัดแย้ง และก่อนหน้านี้ ประเทศไทย ได้หารือกับประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมกันตั้งศูนย์ฮาลาล เพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ และแก้ปัญหาความไม่สงบ

นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงสาเหตุที่รัฐบาลชุดนี้ ไม่ดำเนินนโยบายประกันราคา การจำนำ ว่า เนื่องจากรัฐบาล ไม่ต้องการบิดเบือนราคาตลาด เพราะในประเทศที่เจริญแล้ว จะใช้นโยบายเหล่านี้เมื่อประสบภัยพิบัติ และเกษตรกรต้องการมีเกียรติ และศักดิ์ศรี สามารถขายสินค้าได้ตามกลไกตลาด แต่ประเทศไทยกลับต้องประสบปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ตนจึงลงพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาในจังหวัดที่มีปัญหา เช่น อุบลราชธานี จนสามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้น ตนจะลงพื้นที่อีกทุกจังหวัด เพื่อแก้ปัญหา ใส่ใจปัญหา ยกระดับชีวิตประชาชน และเกษตรกรให้ดีขึ้น

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ จะแก้ไขลำพังโดยนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยการรวมพลังของภาครัฐ ภาคเอกชน ฝ่ายความมั่นคง และทุก ๆ ภาคส่วน ช่วยกันนำพาประเทศไทยไปถึงจุดที่จะต้องไปให้ถึงได้ เพราะประเทศไทยมีศักยภาพ ดังนั้น ก้าวใหม่ประเทศไทย จึงถือเป็นหัวข้อการปาฐกถาที่เหมาะสมต่อสถานการณ์เป็นอย่างมากและตนอยากให้ประเทศไทย โลดแล่นไปในโลกอนาคตได้อย่างมีเกียรติ และศักดิ์ศรี และเชื่อว่า ประชาชน ก็อยากเห็นประเทศไทย มีมุมมองความสว่างไสว เหมือนที่ตนอยากจะเห็นเช่นเดียวกัน

Advertisement

นายกฯ ลั่น ไม่ไว้หน้าใคร​ หากพบผู้พิทักษ์​สันติ​ราษฎร์​ เอี่ยวผิด กม.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ยืนยัน​ไม่ไว้หน้าใคร​ หากพบผู้พิทักษ์​สันติ​ราษฎร์​ เอี่ยวผิดกฎหมาย​ ชี้​ไม่เหมาะสม​ หลังตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใช้พื้นที่สื่อตอบโต้​กัน บอกต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง​ 2 ฝ่าย​

นายเศรษฐา​ ทวีสิน​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์​ หักพาล​ รองผู้บัญชาการ​ตำรวจ​แห่งชาติ​ แถลงข่าวตอบโต้​ หลังถูกแจ้งข้อกล่าวหาในมาตรา​ 157 และ​มาตรา​ 149 ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่ประเด็นการเมือง​ แต่เป็นประเด็นการกระทำผิดกฎหมายที่ต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด  รัฐบาลนี้ยึดตามหลักการทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมก่อนทั้งสองฝ่าย

ส่วนการที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข้าไปมีส่วนพัวพันเรื่องที่ผิดกฎหมาย​ จะทำให้ความไว้วางใจของประชาชนลดน้อยลงหรือไม่​นั้น นายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า​อยากให้ดำเนินการพิสูจน์โดยเร็ว หรือยึดกฎหมายเป็นหลัก​ โดยต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกๆฝ่ายที่ถูกกล่าวโทษด้วย ส่วนจะส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของตำรวจหรือไม่​ นายเศรษฐา​ ระบุว่า ตนเชื่อว่า​ทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว คงทราบว่าอะไรควรทำหรือไม่

เมื่อถามย้ำว่าการที่ผู้รักษากฎหมายทำผิดกฎหมาย​เสียเอง นายกรัฐมนตรี​สวนกลับทันทีว่า อย่าเพิ่งพูดว่าเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย ส่วนการออกมาใช้พื้นที่ในการตอบโต้ผ่านสื่อฯ เหมาะสมหรือไม่​ นายกรัฐมนตรี​ ระบุว่า ตนก็ไม่อยากให้ทำ ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากมีการกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น​ ตนก็ไม่ไว้หน้าอยู่แล้ว ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

Advertisement

กำชับทุกจังหวัดเข้มใช้ กม.แก้ฝุ่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 กุมภาพันธ์ 2567 กระทรวงมหาดไทย  – โฆษก มท. เผย “อนุทิน” สั่งตามความคืบหน้าแก้ฝุ่นทั่วประเทศ กำชับทุกจังหวัดใช้กฎหมายเคร่งครัด ย้ำโทษถึงคุก

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตามนโยบายนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการเชิงรุก หยุดการเผา ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ล่าสุดผู้นำชุมชนใช้วิธีทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ทำให้การเผาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเน้นย้ำว่า นอกจากทำงานเชิงรุกแล้ว ยังต้องมีช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการเผา และหากพบการเผาให้ใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด  ทั้งนี้ พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ.2535 การเผาทำให้เกิดเหตุรำคาญ เข้าข่ายประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท และความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท

“นายอนุทินเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และกำลังใช้ทุกองคาพยพในการแก้ปัญหาอย่างสุดความสามารถ เพราะคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสิ่งที่หน่วยงานให้ความสำคัญและใส่ใจ ตามแนวทางของกระทรวงมหาดไทย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

ประธาน ป.ป.ช. แจงทักท้วงเงินดิจิทัล ทักท้วงตามหน้าที่ ไม่ได้ชี้ว่าจะทุจริต

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 กุมภาพันธ์ 2567 ประธาน ป.ป.ช. แจงทักท้วงเงินดิจิทัลตามหน้าที่ ไม่ใช่ชี้ขาดทุจริต โอ่ลุยสางทุจริตพันเรื่อง หลายเรื่องชนะคดีที่ฟ้องเอง

พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวตอนหนึ่งในการเสวนา ” ศาลรัฐธรรมนูญ​และองค์กรอิสระมีความสำคัญต่อประเทศและประชาชน อย่างไร” ว่า กฎหมายป.ป.ช.ฉบับใหม่ กำหนดระยะเวลาการทำงานในแต่ละภารกิจของป.ป.ช.ไว้ ซึ่งจะมีผลให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้น เช่น เรื่องที่ป.ป.ช.มีมติให้ฟ้อง กฎกมายก็กำหนดไว้ว่าต้องส่งไปยังอัยการภายใน 30 วันนับแต่วันที่ ป.ป.ช.มีมติ และอัยการสูงสุดเห็นว่า สำนวนมีความสมบูณณ์ สามารถฟ้องได้ ก็ต้องมีคำวินิจฉัยและยื่นต่อศาลภายใน 180 วัน แต่หากเห็นว่า สำนวนไม่สมบูรณ์ ควรตั้งกรรมการร่วมระหว่างป.ป.ช.และอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการภายใน 90 วัน ซึ่งที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่อัยการสูงสุดเห็นไม่สั่งฟ้อง แต่ป.ป.ช.เห็นว่าพยานหลักฐานที่ป.ป.ช.ตรวสอบแน่นหนาจะฟ้องเอง ที่ผ่านมา ยื่นฟ้องต่อศาลเองไปแล้วกว่า 331 เรื่อง โดยมี 70% ที่ศาลลงโทษตามที่ ป.ป.ช.ยื่น

“ที่ผ่านมา ป.ป.ช.เก็บสถิติทั้งเรื่องร้องเรียน เรื่องที่ดำเนินการเสร็จแล้วไว้อย่างละเอียด และติดตามทุกเรื่อง เหมือนวอร์รูมของทหารว่า แต่ละเรื่องไปถึงขึ้นตอนไหน ติดขัดปัญหาตรงไหน โดยช่วงที่ผ่านมาสามารถสะสางคดีค้างเก่าได้มากพอสมควร จนทำให้มั่นใจได้ว่าในปี 2567 จะสามารถพิจารณาเรื่องที่ร้องเรียนมาได้เสร็จพันกว่าเรื่อง ล่าสุดป.ป.ช.ยังได้รับการบรรจุพนักงานสอบสวนอีก 200 อัตรา อยู่ระหว่างการเปิดสอบ หากได้รับกำลังพลเพิ่มเข้ามาจะยิ่งทำให้การทำงานของ ป.ป.ช.รวดเร็วยิ่งขึ้น” ประธานป.ป.ช. กล่าว

พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวถึงการจัดทำข้อเสนอแนะมาตรการป้องกันทุจริตตามมาตรา 32 พ.ร.ป.ว่าด้วยป.ป.ช.ว่า ที่ป.ป.ช.มีข้อเสนอแนะเรื่องเงินดิจิทัล วอลเล็ต มีการหาข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ เป็นการไปตามมาตรา 32 เพื่อป้องปราม ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 35 ซึ่งกำหนดว่า หากมีเหตุอันควรสงสัยว่า อาจจะมีการดำเนินการที่นำไปสู่การทุจริต ให้ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว และถ้าผลการตรวจสอบพบว่า มีเหตุอันควรต้องระมัดระวัง ป.ป.ช.อาจมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการเท่าที่มีอยู่ มีหนังสือแจ้งหน่วยงานของรัฐดังกล่าวและคณะรัฐมนตรีทราบ พร้อมด้วยข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข เพราะถ้าจะดำเนินการตามมาตรานี้ จะต้องมีข้อสงสัยเรื่องการทุจริต ต้องศึกษาให้มากกว่านี้

Advertisement

นายกฯ ย้ำ บอร์ด Digital Wallet เดินหน้าภายใต้ รธน. และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบ – บอร์ด Digital Wallet เดินหน้าใช้เงิน 5 แสนล้านบาท ภายใต้กฎหมายเกี่ยวข้อง ตั้งอนุกรรมการด้านการตรวจสอบ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีปละรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 1/2567 โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและวางรากฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศในอนาคต เพื่อให้โครงการฯ นี้ ให้สำเร็จ รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณ 500,000 ล้านบาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะดำเนินการโครงการฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยจะปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม รวมทั้งรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด

ที่ประชุมไม่ต้องการให้เกิดข้อห่วงกังวลเรื่องความโปร่งใส ในการดำเนินโครงการ คณะกรรมการไม่ต้องการให้มีข้อครหา ในการดำเนินนโยบายนี้ จึงได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายฯ (กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์) เป็นอนุกรรมการร่วมหารือกับฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อตอบข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา และมอบหมายให้กระทรวง DES และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) ศึกษาและดำเนินการตามข้อหารือ และข้อเสนอแนะของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางการขยายขอบเขตการพัฒนาระบบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้เพื่อป้องการการทุจริต และยังได้แต่งตั้งอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำอันเข้าข่ายการผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ

ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานฯ ได้รับฟังข้อคิดเห็นของทุกหน่วยงานที่ร่วมการประชุมอย่างทั่วถึง และหลากหลาย โดยทุกส่วนได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างเป็นประโยชน์ ถึงขอบเขตปัญหาทางเศรษฐกิจของประชาชน ข้อห่วงกังวล และการออกแบบมาตรการนี้ ที่ประชุมพร้อมนำไปพิจารณา ประมวลความคิดเห็น เพื่อข้อสรุปนำมาหารือกันอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในช่วงท้ายว่า ตลอดเวลาของการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใกล้ชิด เข้าถึงประชาชน เห็นแววตา ความลำบากของประชาชน และต้องการให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่ต้องการให้โครงการนี้เกิดการทุจริต จึงตั้งใจที่จะควบคุม เพื่อให้เป็นมาตรการที่เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ และประชาชน

Advertisement

“สุริยะ” แจงคมนาคมไม่เกี่ยวการบินไทยซื้อเครื่องบินใหม่ เผยถ้ามีอำนาจ จะหยุดไว้ก่อน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบรัฐบาล – “สุริยะ” ปัดไม่เกี่ยวการบินไทยซื้อเครื่องบินใหม่ รับกังวล แต่เบรคไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ ห่วงสุวรรณภูมิลำเลียงกระเป๋ามีปัญหา ไม่ตอบโจทย์ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค จี้ เจ้าของสัมปทานเร่งแก้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมจัดซื้อเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 787 ฝูงใหม่ จำนวน 47 ลำ ว่าขณะนี้การบินไทยอยู่ในระยะการฟื้นฟู ผู้บริหารแผนฟื้นฟูจึงเป็นผู้ดำเนินการ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม เราไม่มีอำนาจเข้าไปทำ เพียงแต่สอบถามการจัดซื้อครั้งนี้มีความคุ้มค่าหรือไม่ แต่ยอมรับว่ากระทรวงคมนาคมมีความเป็นห่วงอย่างมาก

เมื่อถามว่า ภาระการจัดซื้อฝูงบินดังกล่าวจะเกี่ยวพันมาถึงรัฐบาลหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้การบินไทยล้มละลายและกำลังอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ รัฐบาลรวมถึงกระทรวงคมนาคมจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้เราจะอยากแสดงความคิดเห็นไป แต่อำนาจอยู่ที่เขา และหากถามว่าสบายใจหรือไม่ เราก็เป็นห่วงแต่ไม่มีอำนาจตรงนั้น เพราะเรื่องนี้เป็นอำนาจของคณะกรรมการที่ฟื้นฟูอยู่ และว่า “เห็นในโซเชียลมีเดียบอกว่าเป็นคนอนุมัติจัดซื้อเครื่องบินฝูงใหม่นี้ มันตรงกันข้ามเลย ถ้าผมมีอำนาจผมจะหยุดไว้ก่อน เพื่อดูว่าคุ้มทุนหรือไม่ แต่ผมไม่มีอำนาจ“

ส่วนเครื่องบินที่ถูกจอดทิ้งไว้มีจำนวนมาก แต่ยังมีแผนซื้อเพิ่ม นายสุริยะ  กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับการบินไทย เรื่องเครื่องบินเก่าที่จอดอยู่ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องบิน A380 ตอนนั้นค่าน้ำมันเพิ่มขึ้นเยอะ ดังนั้น การใช้เครื่องบิน A380 ซึ่งลำใหญ่ ทำให้การบินไม่คุ้มค่า จึงต้องหยุดไป แต่ส่วนหนึ่งที่การบินไทยควรจะทำคือรีบขาย เหมือนสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ และแลกเปลี่ยนเครื่องขนาดเล็กลงซึ่งเขาไม่ได้ทำ และถ้าหากขายตอนนี้ก็เป็นชิ้นส่วนเศษเหล็ก

นายสุริยะ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมต้องการทำตามนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ขณะนี้มีความเป็นห่วงเรื่องการบริหารจัดการกระเป๋าภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งทราบปัญหาจากสายการบินต่าง ๆ ว่ามีความไม่สบายใจเกี่ยวกับระบบขนส่งกระเป๋าภายในสนามบิน โดยช่วงที่ตนเป็น รมว.คมนาคมครั้งที่แล้ว ได้ให้สัมปทานการจัดการกระเป๋าแก่บริษัทการบินไทย โดยไม่ต้องประมูล เพราะในขณะนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ พร้อมกับเอกชนอีกรายหนึ่ง

“ผมสอบถามกับดีดีการบินไทย ถึงปัญหาดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันว่าไม่มีปัญหา จึงจัดให้ประชุมเพื่อรับฟังความเห็นทั้งสองฝ่าย ซึ่งทางสายการบินต่างๆ ยืนยันว่า บุคลากรไม่เพียงพอ อุปกรณ์ในการขนส่งกระเป๋าก็ไม่เพียงพอ มีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงขอให้การบินไทยไปปรับปรุง หากไม่ปรับปรุงกระทรวงคมนาคมอาจพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าว

เมื่อถามว่า ถึงขั้นต้องปรับเปลี่ยนผู้ดูแลเรื่องดังกล่าวเลยหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ตามสัญญาระบุว่าหากไม่สามารถดำเนินการได้ตามข้อกำหนดก็มีสิทธิ์จะยกเลิกสัญญาสัมปทานดังกล่าวโดยขณะนี้เข้าใจว่าสัมปทานดังกล่าวของการบินไทยยังเหลือระยะเวลาอีก 10 กว่าปี และตรงนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีได้เห็น ในการลงพื้นที่สุวรรณภูมิก่อนหน้านี้

Advertisement

นายกฯ ลั่นขั้นตอนดูแลขบวนเสด็จเป็นเรื่องสำคัญ ควรทำตามกฎ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ลั่นขั้นตอนดูแลขบวนเสด็จเป็นเรื่องสำคัญ ควรทำตามกฎ มองเหตุปะทะ “ทะลุวัง-​ศปปส.” กลางห้างฯ ในสายตาต่างชาติอาจมองไม่ดี ชี้ควรมีพื้นที่ปลอดภัยพูดคุยระหว่างผู้เห็นต่าง กำชับฝ่ายความมั่นคงดูตลอด

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ กล่าวถึงกรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มทะลุวัง กับ ศปปส. ว่า ยังไม่ทราบเรื่อง

เมื่อถามว่า มีการปะทะกันกลางศูนย์การค้าสยามพารากอน และเหมือนเป็นการขัดแย้งระหว่างผู้รักสถาบันกับกลุ่มทะลุวัง นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าควรจะพูดคุยกันดีๆ ไม่น่าจะใช้กำลัง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ดี และวันนี้เป็นวันปีใหม่ เป็นวันที่มีการท่องเที่ยว ในสายตาต่างชาติก็อาจจะมองไม่ดี ควรที่จะมีการระมัดระวังให้ดี หลังจากนี้จะสอบถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า จำเป็นต้องกำชับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่เ พราะกลายเป็นการปะทะกันระหว่างผู้เห็นต่าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องสำคัญที่สุด อยากให้บรรยากาศที่มีความขัดแย้ง พูดจากันได้ในพื้นที่ปลอดภัย

เมื่อถามว่า กลุ่มที่เห็นต่างเขาไม่พอใจที่มีการก่อกวนขบวนเสด็จ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีขั้นตอนในการที่จะปกป้องดูแลผู้นำของประเทศ และพระราชวงศ์ ในเรื่องของขบวนเสด็จ ก็ควรที่จะต้องทำตามกฎ

เมื่อถามว่า มีการกำชับเจ้าหน้าที่แล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ก็กำชับมาตลอด”

Advertisement

รบ.เดินหน้าปราบยาเสพติด มุ่งเป้ารายใหญ่ ไม่ให้กระจายต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐสภา – นายกฯ รับ ตกใจยาเสพติดแพร่หลายขายตามสี่แยก สั่งด่วนให้ตำรวจเร่งปราบ ชี้มุ่งเป้ารายใหญ่เพื่อไม่ให้กระจายต่อ ระบุนอกจากยาบ้า ยาไอซ์ ปัจจุบัน 4 คูณ 100 และบุหรี่ไฟฟ้า ก็น่าห่วง ย้ำจับมือเพื่อนบ้านแก้ปัญหา PM 2.5

นายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ตั้งกระทู้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 3 เรื่องสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยหากเปรียบกับผู้ป่วย คืออยู่ในขั้นโคม่า ดังนั้นต้องปฏิรูปทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งหมด เพราะแม้สถิติการแก้ไขจะลด แต่สวนทางกับความเป็นจริง หากมองให้ลึกลงไป จากปกติปัญหายาเสพติดเกิดกับผู้ใช้แรงงาน แต่ปัจจุบันกลับพบไปถึงนักเรียน นอกจากยาบ้า ยาไอซ์ โดยเฉพาะขณะนี้การนำกระท่อมมาทำเป็นสูตรที่เรียกว่า 4 คูณ 100 กำลังเป็นแฟชั่น กับ บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งยาเสพติดมีหลายประเภท หาง่าย ราคาถูก การแก้ไขไม่จริงจัง จนเป็นปัญหาสังคม ขณะที่กฎหมายก็ไม่เอื้อต่อผู้ปฏิบัติ จับแล้วก็ปล่อย จึงมองว่าปัญหายาเสพติดในขณะนี้อาจจะเป็นวิกฤต เท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจหรือการศึกษา รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้นและระยะยาว และจากการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ จะมีแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไร โดยเฉพาะการแชร์นักท่องเที่ยวจากเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ไปสร้างรายได้ให้กับจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเมืองรอง

โดยนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ประเด็นยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนห่วงใย เพราะจากตัวเลขการจับกุม 4 เดือนสุดท้ายเมื่อปลายปี 2566 สามารถจับผู้ค้ารายย่อยเพิ่มมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 32,000 เคส ยาบ้าจับได้มากกว่าปีก่อน 2 เท่า คือ กว่า 250 ล้านเม็ด โดยเน้นจับผู้ค้ารายใหญ่ไม่ให้ไปกระจายต่อ ซึ่งรายใหญ่ที่ขายมากกว่า 500,000 เม็ดขึ้นไป จับได้ 62 เคส ยึดทรัพย์แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท

“หากพูดถึงปัญหาจริง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลขเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นที่น่าสบายใจ เพราะแม้ผู้ค้ารายใหญ่จะถูกจับไป แต่ไม่ได้ส่งผลให้ราคายาบ้าแพงขึ้น จึงเป็นการบ้านของรัฐบาลที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องยอมรับรากเหง้าของปัญหามาจากเศรษฐกิจ การที่ประชาชนประสบปัญหารายจ่ายสูง รายได้น้อย อาจหมดหวังมาหลายปี รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะตระหนักปัญหาที่เกิดขึ้น” นายเศราฐา กล่าว

ส่วนเรื่องยาเสพติดที่จับได้แล้วใช้เวลานานในการทำลายนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะจับและพิสูจน์ทราบ และเก็บตัวอย่างเล็กๆ ไว้ ส่วนที่เหลือให้ทำลายล้างโดยเร็ว เพื่อตัดปัญหาที่สังคมสงสัยว่าอาจมีการรั่วไหล ขณะที่เรื่องน้ำกระท่อม ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ที่วัยรุ่นให้ความสำคัญ และแพร่กระจายไปเร็ว

“ยอมรับว่า ไม่เคยทราบว่ามีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายตามสี่แยก จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพูดคุย เพื่อให้ดำเนินการกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ร่วมกับฝ่ายปกครอง จนสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 สัปดาห์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังได้พบกับ สส.ในจังหวัด พร้อมกันนี้ยังพยายามกระจายให้ดำเนินการต่อในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ย้ำว่า หาก สส.ในพื้นที่มีปัญหา ขอให้แจ้งรัฐบาลเพื่อจัดการอย่างทันควัน” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี มองว่า ปัญหายาเสพติดโยงไปถึงประเทศเพื่อบ้านด้วย เพราะต้องยอมรับว่า ประเทศที่มีปัญหาภายในอย่างมาก คือ ประเทศเมียนมา ที่มีพรมแดนติดต่อกัน 2,500 กม. ไทยจึงได้รับมอบหมายจากประเทศอาเซียน ที่จะเข้าไปเจรจากับฝ่ายเมียนมา จึงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่สัปดาห์ที่ผ่านมา มหาอำนาจ 2 ประเทศ ส่งผู้นำมาเจรจาพูดคุยในหลายๆ ปัญหา ตนเองก็ได้เจรจาพูดคุยเรื่องปัญหาที่ส่งผลกับประเทศไทย ทั้งปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามาตามแนวชายแดน และต้องขอขอบคุณกองทัพไทยและความร่วมมือระหว่างฝ่ายปกครอง สส.พื้นที่ และกองทัพบก โดยแม่ทัพภาคที่ 3 กำจัดออเดอร์ได้อย่างมาก ซึ่งการที่ประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหาภายใน เรื่องเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ง่ายสุดคือผลิตยาแล้วส่งกลับมาขายกับเรา เราก็ไม่ยอม และพยายามพูดคุยและชี้แจงให้มหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ประเทศไทยมีส่วนได้เสียเป็นอย่างมาก ส่วนในอนาคตต้องสกัดการเข้ามาตามแนวชายแดนต่อไป เพราะปัจจุบันทางภาคเหนือทำได้ดี แต่ไปเจอที่ภาคกลาง เช่น กาญจนบุรีที่พบปัญหา จึงต้องสู้กันไป สำหรับการบำบัดคืนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ก็เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งจะเรียกรัฐมนตรีสาธารณสุข มาหารือบ่ายนี้

ส่วนเรื่องของฝุ่นละออง PM 2.5  ก็เป็นปัญหาที่มีรากเหง้าจากปัญหาเศรษฐกิจ ยังมีการเผาทำลายวัชพืชด้วยการใช้ไม้ขีดเพียงก้านเดียว ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด

“จะเห็นได้ว่า จุดความร้อนที่เกิดขึ้นปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าลดลงอย่างมีนัย แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะยังเข้าใจการแก้ปัญหาน้อยหรือขาดปัจจัยบางอย่าง แต่เมื่อวานนี้ก็ได้มีการหารือกับผู้นำของกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องนี้” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ตนได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรยังใช้วิธีการเผาอยู่ อาจจะมีการใช้บังคับกฎหมายโดยกระทรวงมหาดไทย หรือตัดความช่วยเหลือจากรัฐบาล

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนี้ลงทุนมากในการออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีมาก ไม่ใช่แค่ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน หรือกรุงเทพฯ อย่างเดียว แต่เมืองรองก็ถือเป็นส่วนสำคัญ รัฐบาลอยากสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวไปเมืองรอง เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ผ่านทางซอฟต์พาวเวอร์ด้วยการจัดเทศกาลต่างๆ ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะไฮซีซั่นเท่านั้น

“แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของนโยบายอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเมืองรองได้ การคมนาคมที่สะดวกสบายก็เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะอัพเกรดสนามบินทั่วประเทศ เพื่อให้การเดินทางของนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและต่างประเทศ สามารถเดินทางเข้าสู่เมืองรองได้” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกัน เราก็ได้มีการประสานพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางต่อได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เพราะเราไม่ได้มองเพื่อนบ้านเป็นคู่แข่ง แต่จะมาช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน จึงมั่นใจว่าสิ่งนี้จะพัฒนาเมืองรอง สามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวได้แน่นอน และวันที่ 1 มีนาคมนี้ ก็จะมีการเปิดวีซ่าฟรีกับจีน อีกทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการประสานพูดคุย เรื่องขอฟรีวีซ่าเชงเก้นเข้ายุโรป

นายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่ได้ให้ความสำคัญกับจังหวัดใหญ่เพียงอย่างเดียว เพราะตนเองก็ได้เดินทางไปทั่วประเทศไทย เข้าใจถึงวัฒนธรรม และสิ่งดีๆ ที่เมืองรองสามารถนำเสนอให้กับนักท่องเที่ยวได้ โดยปลายเดือนนี้ก็จะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูเรื่องของวัฒนธรรม อาหารการกิน มีอะไรบ้างที่รัฐบาลสามารถสนับสนุนสร้างโอกาสพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ แต่ทั้งหมดยังเป็นยังมีการบ้านที่ต้องทำต่อ เพื่อปรับปรุงให้ดีที่สุด

Advertisement

นายกฯ ตั้งเป้าใช้มวยไทยเป็นจุดดึงดูดนักมวยทั่วโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 กุมภาพันธ์ 2567 “เศรษฐา” ตั้งเป้าใช้มวยไทยเป็นจุดดึงดูดนักมวยจากทั่วทุกมุมโลก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความถึงการไปร่วมงานวันมวยไทยโลก ประจำปี 2567 “Amazing MuayThai World Festival 2024” ที่อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เห็นพลังของแม่ไม้มวยไทย ผ่านการแสดงของคนรักมวยไทยทั่วโลกกว่า 5,000 คน ซึ่งทางกองทัพบกจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อบันทึก Guinness World Records ทุกปี

มวยไทย คือ มรดกของไทย ที่เราคนไทยได้ร่วมกันรักษาและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น มากว่า 300 ปี วันนี้เรากำลังทำให้มวยไทยเป็นมรดกของโลก ซึ่งต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีงาน WBC Amazing Muay Thai ที่รวมนักมวยกว่า 60 ประเทศ

“ความยิ่งใหญ่ที่เราร่วมกันถ่ายทอด และความงดงามของการไหว้ครูมวย ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักมวยจากทุกมุมโลก ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องเดินทางมาร่วมไหว้ครูมวยที่นี่ครับ” นายเศรษฐา กล่าว

Advertisement

ประธานสภาฯ ระบุ ข้อบังคับการประชุมสภาห้ามพูดเรื่องสถาบัน-คนภายนอกอยู่แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐสภา – ประธานสภาฯ ขอดูคำวินิจฉัยศาล รธน.ละเอียดก่อน เพื่อทำความเข้าใจกับสมาชิกว่าอะไรทำได้-ไม่ได้ แต่ข้อบังคับเดิมห้ามพูดเรื่องสถาบัน-คนนอกอยู่แล้ว ย้ำต้องยึดหลัก กม.-ข้อบังคับการประชุม

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการทำความเข้าใจกับสมาชิกในการยื่นแก้ไขกฎหมาย หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ที่ไม่สามารถใช้กระบวนการสภาฯ ได้ และก่อนหน้านี้มีการยื่นกฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ว่า ต้องรอดูคำวินิจฉัยทั้งหมดของศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อนำมาประกอบและให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงฝ่ายกฎหมายของประธานสภาผู้แทนราษฎรดูรายละเอียดและเสนอกลับมาอีกครั้ง

ส่วนที่อาจจะมีผู้ยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เกี่ยวกับ สส.พรรคก้าวไกลที่เคยเสนอร่างกฎหมายเมื่อปี 2564 จะส่งผลอย่างไรหรือไม่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวว่า เป็นเรื่องนอกสภาฯ เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของผู้ที่ร้องและผู้ถูกร้องต่อองค์กรอิสระทั้งหลาย ไม่อาจก้าวล่วงได้

เมื่อถามถึงการควบคุมการประชุมสภาฯ อย่างเข้มงวดหรือไม่ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำวินิจฉัยวานนี้ (31 ม.ค.) นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า สภาฯ มีฝ่ายกฎหมายคอยกลั่นกรองอยู่ ก็ดูตามขั้นตอน ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไป ไม่มีอะไรเข้มงวดหรือไม่เข้มงวด เป็นไปตามกฏหมายข้อบังคับของสภาฯ ปกติแล้ว  มีข้อบังคับที่กำหนดไว้ไม่ให้พูดถึงเรื่องสถาบัน ห้ามพูดถึงบุคคลภายนอก หากพูด ผู้พูดต้องรับผิดชอบ ทางสภาฯ จะถือข้อบังคับและกฎหมาย

เมื่อถามย้ำว่าจากนี้เรื่องมาตรา 112 จะไม่สามารถนำมาพูดถึงในสภาได้อีกแล้วใช่หรือไม่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ไม่สามารถวิจารณ์ได้ ต้องขอดูรายละเอียดของคำวินิจฉัยทั้งหมด และฝ่ายกฎหมายจะเสนอให้ประธานและรองประธานสภารับทราบต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics