วันที่ 25 เมษายน 2024

ปภ.ย้ำ 40 จังหวัด ระวังฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง 13-16 ม.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มกราคม 2567 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นย้ำพื้นที่ 40 จังหวัดภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง เฝ้าระวังสถานการณ์พายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ในช่วงวันที่ 13-16 ม.ค.67

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสภาวะอากาศและพิจารณาปัจจัยเสี่ยง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับที่ 4 (4/2567) ลงวันที่ 13 มกราคม 2567 เวลา 05.00 น. แจ้งว่า คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาจะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในช่วงวันที่ 13-16 มกราคม 2567 ทำให้มีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าในช่วงแรก บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคกลาง จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์พายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ระหว่างวันที่ 13-16 มกราคม 2567 แยกเป็น

ภาคเหนือ ทุกจังหวัด

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น และนครราชสีมา

ภาคกลาง 13 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงได้ประสานแจ้ง 40 จังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยในช่วงดังกล่าว โดยติดตามสภาพอากาศและแนวโน้มสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด และประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้า รวมถึงจัดเตรียมเครื่องมือเครื่องจักรกลสาธารณภัยและทีมปฏิบัติการเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้พร้อมเผชิญเหตุและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ทันที ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนตรวจสอบบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันอันตรายจากการถูกล้มทับ รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า ส่วนเกษตรกรให้จัดทำที่ค้ำยันต้นไม้หรือที่กำบัง เพื่อป้องกันพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย

สุดท้ายนี้ ประชาชนสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM รวมถึงสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือต่อไป

อุตุฯ เตือนเตรียมรับมือ อากาศแปรปรวน ฝนตก-ลมแรง-ลูกเห็บตก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มกราคม 2567 กรมอุตุฯ เตือนอากาศแปรปรวน หลายจังหวัดทั่วไทยมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง

กรมอุตุนิยมวิทยาเผยคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมบริเวณอ่าวไทยตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง รวมถึงดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

เกิดแผ่นดินไหว 7.4 บนเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น “เศรษฐา” สั่งดูแลคนไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มกราคม 2567 โตเกียว – เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.4 เขย่าจังหวัดอิชิกาวะ บนเกาะฮอนชู ทางตอนกลางของญี่ปุ่นในวันนี้ และมีการแจ้งเตือนสึนามิจังหวัดที่อยู่ริมฝั่งทะเลญี่ปุ่นหรือทะเลตะวันออก

เว็บไซต์เกียวโดนิวส์รายงานอ้างประกาศของสำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า เกิดแผ่นดินไหวเมื่อเวลา 16:10 น.วันนี้ตามเวลาญี่ปุ่น ตรงกับเวลา 14:10 น.วันนี้ตามเวลาไทย แผ่นดินไหวมีขนาดเบื้องต้นที่ 7.4 และมีความตื้น ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่จังหวัดอิชิกาวะ และมีความรุนแรงระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตามมาตรวัดความรุนแรงแผ่นดินไหวของญี่ปุ่น

ด้านบรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงแห่งญี่ปุ่นหรือเอ็นเอชเค (NHK) รายงานว่า มีการแจ้งเตือนสึนามิขนาดใหญ่สำหรับจังหวัดอิชิกาวะ และแจ้งเตือนสึนามิสำหรับจังหวัดตามริมฝั่งทะเลญี่ปุ่นอย่าง นีงาตะ โทยามะ ยามากาตะ ฟูกิอิ และเฮียวโงะ

ขณะที่เว็บไซต์สำนักสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐหรือยูเอสจีเอส (USGS) รายงานว่า แผ่นดินไหวมีขนาด 7.5 มีความลึก 10 กิโลเมตร และมีการเตือนภัยสึนามิ

นายกฯ ห่วงเหตุแผ่นดินไหวญี่ปุ่น ขอคนไทยในพื้นที่เฝ้าระวัง

กรุงเทพฯ – นายกฯ ห่วงเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ขอให้คนไทยในพื้นที่เฝ้าระวังการเตือนภัย หากจำเป็นพร้อมอพยพ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีศูนย์กลางในพื้นที่ทางตอนกลางของญี่ปุ่น ซึ่งห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 526 กิโลเมตร โดยกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ประกาศเตือนอาจเกิดคลื่นสึนามิ ความสูง 3-5 เมตร และการเตือนภัยหากต้องอพยพ

ทั้งนี้ นายกฯ ขอใหคนไทยที่อาศัยอยู่ในในพื้นที่ดังกล่าวเฝ้าระวังสถานการณ์ หากมีการแจ้งเตือนให้อพยพออกจากพื้นที่ ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด พร้อมติดตามการแจ้งเตือนอย่างใกล้ชิด

นายกฯ ยังได้สั่งการให้สถานทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น เตรียมความพร้อมคอยช่วยเหลือคนไทย ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจากรายงานในขณะนี้ยังไม่มีรายงานคนไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเนื่องมาจากเหตุการณ์ดังกล่าว

“ขอให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว โปรดดูแลรักษาตัวและเฝ้าระวังสถานการณ์โดยติดตามข่าวสารของทางการญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง กรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ได้ทางหมายเลขโทรศัพท์ HOTLINE +8190-4435-7812” นายกฯ ระบุ

 

รถไฟฟ้า-ท่าอากาศยาน พร้อมบริการช่วงปีใหม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 ธันวาคม 2566 ทำเนียบ – “คารม” เผยช่วงปีใหม่ บีทีเอสขยายเวลาให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว-สีทอง 31 ธ.ค. 66 ถึงเวลา 02.00 น. ท่าอากาศยานฯ จัดให้จอดรถฟรี 4 วัน ตั้งแต่ 29 ธ.ค. 66 – 1 ม.ค. 67

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เนื่องในโอกาสเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางเฉลิมฉลองเทศกาล  บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)ร่วมกับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ขยายเวลาให้บริการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสทุกสถานี  ทั้งสายสุขุมวิทและสายสีลม รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีทอง ในคืนวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 ถึงเวลา 02.00 น. ของวันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 โดยรถไฟฟ้าบีทีเอสขบวนสุดท้ายจะออกจากสถานีต้นทาง เวลา 02.00 น. และขบวนสุดท้ายที่จะออกจากสถานีสยามไปยังทุกสถานี เวลา 02.24 น.

สำหรับตารางเวลารถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายของแต่ละสถานีสามารถตรวจสอบได้ที่แอปพลิเคชัน The SKYTRAINs  หรือห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารทุกสถานี และสำหรับลานจอดรถสถานีหมอชิต จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการที่เดินทางไปร่วมกิจกรรม สังสรรค์ หรือชมแสงสีในคืนแห่งความสุข ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้

นายคารม ยังกล่าวว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กระทรวงคมนาคม ได้มอบของขวัญปีใหม่ 2567 ด้วยการยกเว้นอัตราค่าบริการจอดรถยนต์ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานภูเก็ต

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เตรียมพื้นที่จอดรถยนต์บริเวณลานจอดรถยนต์ระยะยาวโซน C ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2567 สามารถจอดรถยนต์ได้ 718 คัน โดยมีรถ Shuttle Bus ให้บริการรับ – ส่ง ผู้โดยสารภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อไปยังอาคารต่าง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง

ส่วนท่าอากาศยานดอนเมือง จัดเตรียมพื้นที่จอดรถบริเวณระหว่างอาคารคลังสินค้า 2 และอาคารจอดรถยนต์ 5 ชั้น ตั้งแต่เวลา 00.01 น.วันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึงเวลา 23.59 น.วันที่ 1 มกราคม 2567 สามารถจอดรถยนต์ได้ 250 คัน โดยมีรถ Shuttle Bus ให้บริการรับ – ส่งผู้โดยสารระหว่างที่จอดรถยนต์กับอาคารผู้โดยสารทุก ๆ 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง

และท่าอากาศยานภูเก็ต เตรียมพื้นที่จอดรถบริเวณหน้าอาคารสำนักงาน ทภก. ตั้งแต่เวลา 01.00 น. วันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2567 “ช่วงเทศกาลแห่งความสุข ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วยงาน พร้อมทำหน้าที่ส่งความสุขให้ประชาชนทุก ๆ คน เดินทางปลอดภัย และสะดวกสบาย ก้าวเข้าสู่ปี 2567 ไปด้วยรอยยิ้มและความสุข” นายคารม กล่าว

Advertisement

รมว.แรงงานยันปรับค่าแรงแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 ธันวาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – “พิพัฒน์” เผยประชุมคกก.ไตรภาคีชุดใหญ่ 17 ม.ค. 67 ตั้งอนุกก. ศึกษาค่าจ้างขั้นต่ำรายเทศบาล-รายอาชีพ เป็นของขวัญปีใหม่ไทย ลั่น ทั้งจังหวัดขึ้นค่าแรงไม่เท่ากัน

นายพิพัฒน์  รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า วันนี้ได้นำเรื่องค่าแรงขั้นต่ำให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบอีกครั้ง ซึ่งมติคณะกรรมการไตรภาคียังคงยืนยันเหมือนเดิม ซึ่งที่ประชุมครม.รับทราบเรียบร้อย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบว่าในวันที่ 17 มกราคม 2567 คณะกรรมการไตรภาคีจะประชุมอีกครั้ง เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไตรภาคี ซึ่งจะลงไปศึกษาให้ลึกถึงระดับจังหวัด อำเภอ ตำบลและเทศบาล หากประกาศเป็นรายจังหวัดจะสะท้อนภาพที่เป็นจริงมากกว่า อย่างกรณีประกาศค่าแรงขั้นต่ำทางจังหวัดในเทศบาลมีสภาวะเศรษฐกิจที่ดี แต่เมื่อออกจากอำเภอเมืองก็จะเข้าสู่สังคมชนบท ซึ่งเศรษฐกิจคงจะไม่ดีเหมือนกับที่เห็นในตัวอำเภอเมือง

“จะให้คณะอนุกรรมการไตรภาคีขอข้อมูลจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒน์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อเป็นองค์ประกอบการพิจารณาอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะสามารถประชุมแล้วเสร็จ และนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการไตรภาคีชุดใหญ่ภายในเดือนมีนาคม เพื่อจะประกาศให้เป็นของขวัญวันปีใหม่ไทยช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะสะท้อนภาพสาขาอาชีพใดที่ไหนที่สามารถปรับค่าแรงขั้นต่ำให้ได้สูงกว่าปัจจุบัน ซึ่งการหารือระหว่างสภาพัฒน์ กับที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการคณะกรรมการไตรภาคีชุดใหญ่จะไม่เอาปี 2563 และ 2564 มาเป็นตัวคำนวณแน่นอน เพราะเมื่อคำนวณอย่างไรก็จะกลับไปที่เดิม เหมือนที่ประกาศ จึงจะขอเอาข้อมูล ปี 2565 เป็นเกณฑ์และข้อมูลดิบในปี 2566 เป็นตัวชี้วัดอีกแนวทางหนึ่งประกอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า  ส่วนประเด็นข้อกฎหมายไม่ขัดข้อง แต่คณะกรรมการไทยภาคีชุดใหญ่ไม่สามารถก้าวข้ามคณะกรรมการไตรภาคีจังหวัดที่นำเสนอขึ้นมาในการประชุมวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะยืนยันเหมือนเดิม แต่เมื่อตั้งคณะอนุกรรมการมาศึกษาใหม่จะต้องลงไปหารือถึงได้จังหวัดด้วย โดยสรุปว่าภายในจังหวัดจะขึ้นค่าแรงไม่เท่ากัน

Advertisement

กรมวิทย์ฯ อัปเดตสายพันธุ์โควิด-19 ในไทย เผยอาการจริงสายพันธุ์ XBB.1.16* “อาร์คตูรุส”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 ธันวาคม 2566 กรมวิทย์ฯ อัปเดตสายพันธุ์โควิด-19 ในไทย พบ XBB.1.9.2* มีสัดส่วนมากที่สุด 24.5% ส่วนกรณีมีการแชร์และส่งต่อข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ว่า เตรียมพร้อมรับมือโควิด-19 ระลอกใหม่ XBB.1.16* “อาร์คตูรุส” ไม่เป็นความจริง

นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 และสายพันธุ์ที่เฝ้าติดตามในประเทศไทย ว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ติดตามการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 2 ธันวาคม 2566 จากการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 จำนวน 253 ราย พบสายพันธุ์ XBB.1.9.2* มีสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 24.5% ถัดมาคือ EG.5* , XBB.1.16* และ XBB.2.3 โดยพบสัดส่วน 23.3%, 17.80% และ 11.90% ตามลำดับ

สถานการณ์โดยรวมของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า สัดส่วนของสายพันธุ์ EG.5* และ XBB.1.92* มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่สัดส่วนของสายพันธุ์ XBB.1.16* กับ XBB.2.3* มีแนวโน้มลดลง เมื่อเทียบกับช่วงสองเดือนก่อนหน้า

นายแพทย์ยงยศ กล่าวต่อว่า กรณีมีการแชร์และส่งต่อข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ว่า เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ระลอกใหม่สายพันธุ์ XBB.1.16* “อาร์คตูรุส” อาการใหม่ ไม่มีไข้ ตาแดง มีผื่นขึ้น หรือน้ำมูกไหล นั้น จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลสายพันธุ์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระหว่างเดือนกันยายน ถึงพฤศจิกายน 2566 พบเป็น สายพันธุ์ XBB.1.16* จำนวน 83 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 16.4 จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อมูลลักษณะอาการทางคลินิกจากประวัติที่ผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ XBB.1.16* พบว่า ส่วนใหญ่กว่า ร้อยละ 90 มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก เสมหะ ปวดเมื่อย บางรายประมาณร้อยละ 10 มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย/หอบ ร่วมด้วย ไม่พบลักษณะอาการตาแดง มีผื่นขึ้น หรือน้ำมูกไหล

“สำหรับช่วงนี้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนๆ เล็กน้อย เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่จะพบผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ยังคงเป็นมาตรการการป้องกันที่ได้ผลดี ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำเนินการเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยโควิด 19 ทั่วประเทศ มาตรวจสายพันธุ์ เพื่อเฝ้าระวัง การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ต่อไป และขอให้ความมั่นใจว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเครือข่าย ยังคงเฝ้าระวังติดตาม การกลายพันธุ์ของเชื้อ SARS-CoV-2 อย่างต่อเนื่อง และเผยแพร่บนฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างสม่ำเสมอ” นายแพทย์ยงยศ กล่าว

Advertisement

อากาศเย็นแผ่ปกคลุมประเทศไทยอีกระลอก อีสานอุณหภูมิลด 1–3 องศาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 ธันวาคม 2566 กรมอุตุฯ เผยมวลอากาศเย็นแผ่ปกคลุมอีกระลอก ภาคอีสานเตรียมรับลมหนาว อุณหภูมิลดลง 1–3 องศาเซลเซียส ส่วนภาคใต้ยังมีฝนฟ้าคะนอง

กรมอุตุนิยมวิทยา เผยบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมบริเวณประเทศจีนตอนใต้แล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ในวันนี้ (16 ธ.ค. 66) หลังจากนั้นจะแผ่ปกคลุมภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกในระยะต่อไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 1–3 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อนถึงปานกลาง และมีการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี

Advertisement

ก.ศึกษาฯ เริ่มใช้นโยบาย “ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้” มุ่งเน้นลดภาระ สร้างความสุข ปี 67

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 ธันวาคม 2566 “คารม” เผย ศธ.เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายการศึกษา “ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้” มุ่งเน้นลดภาระ สร้างความสุข

วันนี้ (11 ธ.ค.66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  รัฐบาลมุ่งให้นักเรียน เรียนหนังสืออย่างมีความสุข และให้ความสำคัญต่อคุณภาพของครูและเด็กนักเรียนทั้งประเทศ และที่สำคัญที่สุด รัฐบาลจะดำเนินการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่เป็นรากฐานสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสังคมไทย รวมไปถึงการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของนักเรียนทุกคน

นายคารม กล่าวว่า พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ประกาศนโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 – 2568  มุ่งหวังให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาในทุกมิติ โดยเน้นให้ผู้เรียน “เรียนดี มีความสุข” ใช้หลักการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาจากทุกภาคตามคำกล่าว “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” และกำหนดแนวทางให้หน่วยงานในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการนำไปใช้ในการขับเคลื่อนนโยบาย คือ ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษาและลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง

นายคารม กล่าวว่า เพื่อขับเคลื่อนนโยบายลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา และลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง ตามนโยบายของรัฐบาลและเจตนารมย์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทำแนวทาง “การลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้” สำหรับครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางในการมอบหมายการบ้านแก่ผู้เรียนให้มีความเหมาะสม และใช้การบ้านเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้และประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อีกทางหนึ่ง โดยได้แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตเน้นย้ำให้สถานศึกษาในกำกับ ดำเนินการให้การมอบหมายการบ้านแก่นักเรียนเป็นไปอย่างเหมาะสม เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างสูงสุด มุ่งหวังให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข ให้การบ้านเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้และเป็นเครื่องมือประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน

Advertisement

ยูเนสโก ประกาศให้ “สงกรานต์ไทย” เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม รัฐบาลจัดฉลองพรุ่งนี้ (7 ธ.ค.) ที่ลานคนเมือง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 ธันวาคม 2566 เมื่อเวลา 15.00 น. ยูเนสโก ประกาศรับรอง “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นประเพณีปีใหม่ไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เรียบร้อยแล้ว

รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานใหญ่ฉลองสงกรานต์ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (Songkran in Thailand, Traditional Thai New Year Festival) ในโอกาสที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO จะได้ประกาศขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ในประเทศไทย” ประเพณีปีใหม่ไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 ในวันที่ 6 ธันวาคม 2566 (เวลาประเทศไทยประมาณ 15.00 น.) ณ เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา

นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ในวาระที่น่ายินดียิ่งของประชาชนชาวไทยนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ส่งเสริมและดำเนินงานปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ จึงได้กำหนดจัดงานฉลองสงกรานต์ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก (UNESCO) ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่จะเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไทยและต่างชาติได้รับรู้อย่างกว้างขวาง และเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ “สงกรานต์” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกให้เกิดการสงวนรักษา อนุรักษ์ สืบสาน ปกป้อง คุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกันให้กับชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย ก่อให้เกิดการเรียนรู้และยอมรับในระบบสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละชนชาติ

โดยในวันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม 2566 เวลา 18.00 น. กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กำหนดจัดงาน ฉลองสงกรานต์ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (Songkran in Thailand, Traditional Thai New Year Festival) ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และวัดสุทัศนเทพวราราม จึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทย ร่วมแสดงความยินดีในวาระสำคัญยิ่งของประเทศไทย ในโอกาสนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะมาเป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ทูตานุทูต ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานครและจังหวัด 76 จังหวัด พร้อมภาคีร่วมงาน ภายในงานจะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ สรงน้ำพระสงฆ์ 9 รูป และขบวนแห่ฉลองสงกรานต์ ประกอบด้วย ขบวนมหาสงกรานต์จตุรทิศแผ่นดินไทย ขบวนอันเชิญพระพุทธสิหิงค์ ขบวนตำนานนางสงกรานต์ ทั้ง 7 วัน นำโดย “แอนโทเนีย โพซิ้ว” รองอับดับ 1 มิสยูนิเวิร์ส 2023 จะสวมชุด “นางมโหธรเทวี” (นางสงกรานต์ ประจำปี 2567) ตามด้วยขบวนเริงรื่นชื่นสงกรานต์ 4 ภาค ขบวนแตรวงกลองยาว และยังมีการแสดงดนตรีโดยวงสุนทราภรณ์ ในเวลา 19.00 ณ ลานคนเมือง กทม. อีกด้วย

จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนไทย ชาวต่างชาติ ได้ร่วมแสดงความยินดี และมีส่วนร่วมสืบสาน รักษา ต่อยอดมรดกภูมิปัญญาประเพณีสงกรานต์ อันทรงคุณค่าของไทย ให้เกิดการสืบทอดอย่างยั่งยืน และใช้เป็นพลัง Soft power ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศต่อไป

Advertisement

เตือนโรคไอกรน ระบาดใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ให้ระวังเด็กเล็ก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 ธันวาคม 2566 รัฐบาลห่วงใยสุขภาพประชาชนโดยเฉพาะเด็ก เตือนโรคไอกรน ระบาด ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไอกรน ในประเทศไทย มีจำนวนผู้ติดเชื้อโรคไอกรนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ จำนวนมาก มีผู้ป่วยยืนยันมากกว่า 100 ราย ซึ่งผู้ป่วยทุกรายเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน และรายงานข้อมูลยืนยันว่า มีเด็กอายุเพียง 18 วัน เสียชีวิตจากการติดเชื้อไอกรนแล้ว จำนวน 1 ราย

นายคารม กล่าวว่า ไอกรนเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จาม รดกันโดยตรงผู้สัมผัสโรคที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจะติดเชื้อและเกิดโรคเกือบทุกราย โรคนี้พบได้บ่อยในเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากผู้ใหญ่ในครอบครัวซึ่งมีการติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ (carrier) หรือมีอาการไม่มาก โรคไอกรนเป็นได้กับทารกตั้งแต่เดือนแรก ทั้งนี้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากแม่ผ่านมายังลูกไม่ได้หรือได้น้อยมากในเด็กเล็กอาการจะรุนแรงมากและมีอัตราตายสูง ส่วนใหญ่ของผู้ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และเป็นเด็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยทั่วไปแล้ว โรคนี้เป็นได้ทุกอายุถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ในวัยหนุ่มสาว หรือผู้ใหญ่อาจไม่มีอาการหรือไม่มีอาการแบบไอกรน ส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน

“รัฐบาลห่วงใยปัญหาความปลอดภัยในชีวิต และสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผลกระทบจากโรคต่อเด็ก แนะนำให้ประชาชนการสวมหน้ากากอนามัยป้องกันโรคไอกรน สิ่งสำคัญที่สุดคือ การฉีดวัคซีน แต่ถ้ามีการติดเชื้อแล้วก็ต้องรักษาตามอาการ เพราะเป็นโรคที่รักษาได้ แต่จะต้องไปพบแพทย์ให้ทันเวลา เพื่อรับการวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็วป้องกันเชื้อลงปอด“ นายคารม กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics