วันที่ 27 กรกฎาคม 2024

สธ.เตือนฝุ่น PM 2.5 เริ่มกลับมา แนะปรับการใช้ชีวิตประจำวัน ลดกิจกรรมกลางแจ้ง ใส่หน้ากาก

Smog city from PM 2.5 dust. Cityscape with bad air pollution. PM 2.5 concept

People Unity News : สธ.แนะประชาชนติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ปรับกิจกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ลดกิจกรรมกลางแจ้ง ใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นขนาดเล็กได้

22 พฤศจิกายน 2563 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สภาพอากาศพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบมีปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ในบางช่วงเวลาและบางวัน ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เนื่องจากค่าฝุ่นละอองในแต่ละวันไม่เท่ากัน ควรปรับกิจกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน เน้นความปลอดภัยของตนเอง โดยติดตามได้ที่แอปพลิเคชัน Air4Thai (แอร์ ฟอร์ ไทย) ของกรมควบคุมมลพิษ หรือเพจ “คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM2.5” หากอยู่ในพื้นที่สีเหลือง สีส้ม สีแดง ควรหลีกเลี่ยงหรือลดกิจกรรมกลางแจ้ง แต่หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงค่าฝุ่นสูง ควรใส่หน้ากาก N95 และไม่ควรอยู่เป็นเวลานาน สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กได้

นอกจากนี้ ควรลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่นในบ้าน เช่น กวาด/เผาขยะ จุดธูป ควรปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ดูแลทำความสะอาดบ้านให้ปลอดฝุ่น โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดแทนการกวาด ป้องกันการฟุ้งกระจาย และขอความร่วมมือประชาชนลดการเผาป่า/เผาไร่นา ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการเกิดฝุ่นควันได้อีกทางหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ ประชาชนควรหมั่นสังเกตอาการที่อาจเกิดขึ้น หากมีโรคประจำตัวต้องระมัดระวังเป็นพิเศษควรพักผ่อนให้เพียงพอ ลดการทำกิจกรรมและออกกำลังกายกลางแจ้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

Advertising

ด่วน! แรงงานไทยในลิเบียขอกลับไทย หวั่นโควิดระบาดหนักในลิเบีย สุชาติสั่งสอบไปได้ไง

People Unity News : สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีบริษัทจัดหางานลักลอบส่งแรงงานไทยไปทำงานในลิเบีย หากผิดจริงให้ลงโทษตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

รมว.แรงงาน เผย ได้รับรายงานจากสำนักงานแรงงานไทยในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ว่ามีแรงงานไทยในลิเบีย ร้องขอความช่วยเหลือในการเดินทางกลับประเทศไทยจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม จึงสั่งการ กกจ. ตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน ได้รับรายงาน จากสำนักงานแรงงานไทยในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ว่ามีแรงงานไทยจำนวน 19 คน ที่ทำงานอยู่ในประเทศลิเบียกับนายจ้างบริษัท Mellitah Oil & Gas B.V. Libyan Branch ตั้งอยู่ที่เมือง Awijilah (จาลู) ใกล้ชายแดนอียิปต์ ห่างจากกรุงตริโปลี ประมาณ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้า (Joint Venture) กันระหว่างบริษัท Eni North Africa ของประเทศอิตาลี กับ National Oil Cooperation Noc ลิเบีย ซึ่งแรงงานไทยแจ้งว่าเดินทางไปทำงานโดยการจัดส่งของบริษัทจัดหางาน  เวิลด์พาวเวอร์ เซอร์วิส จำกัด ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ว่าต้องการเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากกลัวจะติดเชื้อโควิด – 19 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศลิเบีย จึงได้สั่งการให้กรมการจัดหางานตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าบริษัทจัดหางานดังกล่าวเป็นผู้จัดส่งจริงหรือไม่ หากพบว่ากระทำผิดจริงจะลงโทษตามกฎหมาย และจะเร่งประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศในการให้ความช่วยเหลือเรื่องการเดินทางกลับประเทศไทยต่อไป

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ได้สั่งการให้กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน ตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อมูลการเดินทางไปทำงานของแรงงานไทยจำนวน 19 คนดังกล่าว พบว่าทั้งหมดไม่ได้แจ้งการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจาก กรมการจัดหางานไม่อนุญาตให้ดำเนินการจัดส่งคนหางานไปทำงานในประเทศลิเบีย เพราะเป็นประเทศที่เกิดภัยสงครามกลางเมือง จึงระงับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศลิเบียทุกกรณี ตั้งแต่ปี 2557 ทั้งนี้ ในวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน ได้เชิญบริษัทจัดหางาน เวิลด์พาวเวอร์ เซอร์วิส จำกัด ซึ่งแรงงานไทยแจ้งว่าเป็นผู้จัดส่งไปทำงานในประเทศลิเบีย มาชี้แจงข้อเท็จจริง หากพบว่าบริษัทจัดหางานดังกล่าวเป็นผู้จัดส่งจริง จะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป

“ขอย้ำเตือนว่า คนหางานที่ประสงค์จะไปทำงานในต่างประเทศ ก่อนตัดสินใจไปทำงาน ควรตรวจสอบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน ว่าตำแหน่งงาน และประเทศที่จะไปนั้น มีอยู่จริงหรือไม่ มีสัญญาจ้าง เงินเดือน หรือสวัสดิการ ตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันการถูกหลอกลวง” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

Advertising

โฆษก ศบค. เผยทหารสหรัฐที่เข้าฝึกในไทย 110 นาย ทุกนายผ่านการตรวจและเข้ากักตัว

People Unity News : โฆษก ศบค. เผย ทหารต่างชาติที่เข้าฝึกในไทย 110 นาย ทุกนายผ่านการตรวจตามมาตรการของ ศบค. และเข้ากักตัวใน ASQ

3 ส.ค. 63 เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโลก มีผู้ป่วยติดเชื้อรวม 18.2 ล้านกว่าคน เฉลี่ยวันละประมาณ 2 แสนถึง 2.8 แสนคน ช่วงเวลา 3-4 วันมีผู้ป่วย 1 ล้านคน ถือว่าเป็นตัวเลขที่ยังเป็นวิกฤตของโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาเป็นสิบวันกว่าจะมีผู้ป่วย 1 ล้านคน ขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตรวมของโลกเพิ่มขึ้นอีก 4,000 กว่าคน รวมจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งโลก 6.9 แสนกว่าคน คาดพรุ่งนี้จะถึง 7 แสนคน โดยสหรัฐอเมริกาเป็น อันดับ 1 รองลงมาคือบราซิล อินเดีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับที่ 110 เท่ากับวานนี้ ด้านตัวเลขผู้ป่วยใหม่ของประเทศในเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซีย 1,519 ราย ฟิลิปปินส์ 4,900 ราย คูเวต 463 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 239 ราย สิงคโปร์ 313 ราย บาห์เรน 346 ราย เวียดนาม มีผู้ป่วยใหม่ 31 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 6 ราย

โฆษก ศบค. รายงานว่า จำนวนคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศวันนี้ มีผู้เดินทางกลับรวม 207 คน วันพรุ่งนี้ 201 คน และรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเที่ยวบินที่นำทหารสหรัฐอเมริกาเข้ามาฝึกในไทย วันนี้จะเดินทางจากกวม 71 นาย และจากโยโกตา 32 นาย และพรุ่งนี้จะเดินทางเข้ามาอีก 7 นาย โดยทหารทุกนายผ่านการตรวจตามมาตรการของ ศบค. และเข้ากักตัวในสถานกักตัวทางเลือก หรือ ASQ

Advertising

ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-สอบสวนโรค ให้ครอบคลุมโรงแรมที่พัก หลังกรณีทหารอียิปต์

People Unity News : ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมที่พักที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว

13 ก.ค. 63 เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,220 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 283 ราย มีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 3,090 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 72 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม ยังคงเดิมที่ 58 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 ถึงปัจจุบันรวม 49 วันแล้วที่ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศคูเวต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงไทยเมื่อ 29 มิ.ย.เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ ตรวจหาเชื้อ 11 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากอียิปต์ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 22 ปี เดินทางถึงไทยเมื่อ 12 ก.ค. ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์ PUI มีไข้ จึงได้ส่งตรวจหาเชื้อวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ และจากบาร์เรน 1 ราย เป็นชายไทย สัญชาติอียิปต์ อายุ 43 ปี อาชีพทหาร เดินทางถึงไทยเมื่อ 8 ก.ค. เข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดระยอง ตรวจหาเชื้อวันที่ 10 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ 12 ก.ค. แต่ไม่มีอาการ ส่วนอีก 30 รายเป็นลูกเรือที่เดินทางมาพร้อมกัน ยังไม่พบผลการติดเชื้อ

โฆษก ศบค. กล่าวถึง Timeline ของผู้ป่วยเพศชาย อายุ 43 ปี อาชีพทหาร (ลูกเรือเครื่องบินทหาร) จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ในวันที่ 6 ก.ค. เดินทางออกจากสนามบินไคโร ประเทศอียิปต์ ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7 ก.ค. เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปปากีสถาน 8 ก.ค. เดินทางถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง 9 ก.ค. ออกจากโรงแรม จังหวัดระยองไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเพื่อบินไปทำภารกิจทางทหารที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ไป-กลับวันเดียวกัน กลับเข้าที่พักในโรงแรมจังหวัดระยอง 10 ก.ค. ได้มีทีมเจ้าหน้าที่ CDCU เข้าคัดกรองอาการของคณะเดินทางและลูกเรือ เพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจ จำนวน 31 ราย และในวันที่ 11 ก.ค. คณะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับอียิปต์  ซึ่งผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ำอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันพบเชื้อ ซึ่งที่ประชุม ศบค. ชุดเล็กมีการหารือว่า ถึงแม้จะเป็นคนที่เป็นลูกเรือที่มาจากต่างชาติเข้ามายังประเทศไทย ในข้อกำหนดที่เป็นลักษณะเฉพาะขึ้นมา และขณะนี้มีการเปิดสายการบินหลายสาย เดิมใช้สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ในครั้งนี้ได้มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา จึงทำให้มาตรการของการคุมเข้มในข้อดังกล่าวต้องมีการทบทวนและปฏิบัติกันใหม่ ซึ่งโรงแรมที่จังหวัดระยองแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่สัมผัสกับผู้ที่พบเชื้อ ดังนั้น มาตรการการเข้าไปสอบสวนโรคจะต้องครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด โดยอธิบดีกรมควบคุมโรคได้รับข้อสั่งการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ออกมาตรการคุมเข้มเรื่องดังกล่าว เพื่อการตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ทีมสอบสวนโรคจะเข้าไปสอบสวนโรคในพื้นที่สัมผัสที่ทางกลุ่มลูกเรือได้เดินทางไป อีกทั้งสำนักงานเขตสุขภาพจังหวัดระยองและทีมส่วนกลางจะเข้าไปร่วมสอบสวนโรคด้วย เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดระยอง

นอกจากนี้ ยังมี Timeline ผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 9 ปี จากภูมิภาคแอฟริกา เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว (คณะทูต) โดยในวันที่ 7 ก.ค. มารดานำผู้ป่วยและครอบครัว รวม 5 คน ไปตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผลตรวจทุกคนไม่พบเชื้อ เดินทางถึงไทยวันที่ 10 ก.ค. เวลา 05.40 น. คัดกรองไม่มีอาการ เก็บตัวอย่างส่งตรวจผลพบเชื้อ แต่บิดานำส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีการตรวจซ้ำ ผลพบเชื้อ สมาชิกที่เหลือกักกันในที่พำนักแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และในวันที่ 11 ก.ค. ผลตรวจพบปอดอักเสบ จึงส่งต่อผู้ป่วยมารักษาต่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ  ซึ่งรายดังกล่าวอยู่ในประเภทที่ 3 คือ คณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศที่มาปฏิบัติงานที่ประเทศไทย ซึ่งจะอยู่ในมาตรการข้อ 4 ให้เข้ารับการกักกันในที่พำนักของบุคคลดังกล่าว ภายใต้การดูแลของหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน  ซึ่งรัฐต้องกำหนดมาตรการโดยละเอียดและครอบคลุมเพราะเป็นความเสี่ยง

Advertising

4 ก.ค. เฮ!! กรมบัญชีกลางจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ 3,000 บาท/คน 1.14 ล้านคน

People Unity News : กรมบัญชีกลางเตรียมจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1.14 ล้านคน ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการใดๆของภาครัฐ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) จำนวน 3,000 บาท จ่ายครั้งเดียว ในวันที่ 4 ก.ค. 63

นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองใช้จ่ายเงินกู้ ที่อนุมัติให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการใดๆของภาครัฐ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิ จำนวนทั้งสิ้น 1.14 ล้านคน โดยผู้มีสิทธิจะได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยา เดือนละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (พฤษภาคม-กรกฎาคม 2563) รวมเป็นเงินจำนวน 3,000 บาท/คน

“สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 1.14 ล้านคนที่ได้รับสิทธิ ต้องไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคม และไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ อีกทั้ง ยังไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการใดๆของภาครัฐ ได้แก่ โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการช่วยเหลือเกษตรกร และโครงการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยกรมบัญชีกลางได้ดำเนินการเบิกเงินแทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิ โดยการโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 3,000 บาท ซึ่งจ่ายเพียงครั้งเดียว ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2563 ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ ” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว

Advertising

ด่วน!การรถไฟฯ เปิดเดินขบวนรถทางไกล และขบวนรถนำเที่ยวแล้ว เริ่มพรุ่งนี้ 1 ก.ค.

People Unity News : การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศเปิดให้บริการขบวนรถทางไกล ขบวนรถนำเที่ยววันหยุด  และขบวนรถพิเศษโดยสารวันหยุดเป็นการเพิ่มเติม จำนวน 40 ขบวน ภายหลังมีการยกเลิกประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิว และการขนส่งสาธารณะข้ามเขตพื้นที่จังหวัด ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป และยกเลิกขบวนรถโดยสารพิเศษที่ให้บริการชั่วคราว

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิว และการขนส่งสาธารณะข้ามเขตพื้นที่จังหวัด ในการผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกและตามผลการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายสาธารณสุข พร้อมทั้งอนุญาตให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงกลับมาดำเนินการได้ แต่ยังควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ โดยกำหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบและกำกับดูแลการขนส่งผู้โดยสารที่เป็นการขนส่งสาธารณะทุกประเภท (รถโดยสารประจำทาง รถปรับอากาศ รถตู้ รถไฟ เรือ เครื่องบิน) โดยผู้ประกอบการต้องจัดระบบและระเบียบต่างๆ รวมทั้งให้มีการจอดพักรถ การเว้นที่นั่ง และการจำกัดจำนวนผู้โดยสารในแต่ละเที่ยว ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะมีประชาชนมีความต้องการในการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกการเดินทางของประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางโดยรถไฟ ทั้งการเดินทางภายในเขตเมือง ระหว่างเมือง และทางไกล ข้ามเขตพื้นที่จังหวัด การรถไฟฯจึงได้ประกาศเปิดเดินขบวนรถโดยสารทางไกลเพิ่มเติม จำนวน 40 ขบวน เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรการผ่อนคลายการเดินทาง ระยะที่ 4 เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป สำหรับขบวนรถที่เปิดให้บริการในเส้นทางต่างๆ มีดังนี้

1.ขบวนรถโดยสารทางไกล จำนวน 34 ขบวน (ไป-กลับ) ดังนี้

1.1 สายเหนือ

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จำนวน 6 ขบวน

ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จำนวน 4 ขบวน

1.2 สายตะวันออกเฉียงเหนือ

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จำนวน 9 ขบวน

ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จำนวน 5 ขบวน

1.3 สายใต้

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จำนวน 7 ขบวน

ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จำนวน 3 ขบวน

2.ขบวนรถนำเที่ยววันหยุด และขบวนรถพิเศษโดยสารวันหยุด เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป จำนวน 6 ขบวน (ไป-กลับ)

2.1 ขบวนรถนำเที่ยว 909/910 กรุงเทพ-น้ำตก-กรุงเทพ

2.2 ขบวนรถนำเที่ยว 911/912 กรุงเทพ-สวนสนประดิพัทธ์-กรุงเทพ

2.3 ขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 997/998 กรุงเทพ-บ้านพลูตาหลวง-กรุงเทพ

นอกจากนี้ ได้ประกาศยกเลิกขบวนรถโดยสารพิเศษที่ได้ขยายระยะเวลาให้บริการผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว 30 วัน โดยจะประกาศยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1 – 17 กรกฎาคม 2563 จำนวน 6 ขบวน (ไป-กลับ) ประกอบด้วย 1. ขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9071 (กรุงเทพ–อุบลราชธานี) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9075 (กรุงเทพ–หนองคาย) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9051 กรุงเทพ- เชียงใหม่ ยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1–16 กรกฎาคม 2563 และ 2. ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9072 (อุบลราชธานี-กรุงเทพ) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9076 (หนองคาย-กรุงเทพ) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9052 เชียงใหม่ – กรุงเทพ ยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1 – 17 กรกฎาคม 2563

การรถไฟฯ ยังคงให้ความสำคัญในด้านมาตรการป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด โดยให้พนักงานด้านปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ถุงมือยางและ Face shield ตลอดเวลาที่ให้บริการ การตรวจคัดกรองผู้โดยสารอย่างเข้มข้น การจัดให้มีแอลกอฮอล์เจลบริการอย่างเพียงพอและทั่วถึง ทั้งบริเวณสถานีและบนขบวนรถ การรักษาระยะห่าง Social Distancing ให้มีจุดยืน /นั่ง ให้ชัดเจน ทั้งที่สถานีและขบวนรถ โดยจำกัดการจำหน่ายตั๋วโดยสารไว้ที่ร้อยละ 50 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด เมื่อจำหน่ายเต็มตามที่ระบุแล้ว จะไม่จำหน่ายตั๋วอีกรวมทั้งตั๋วไม่มีที่นั่ง (ตั๋วยืน) และการงดจำหน่ายอาหารบนขบวนรถ หากผู้โดยสารที่เดินทางไกลเกินกว่า 3 ชั่วโมง ให้เตรียมอาหารไปรับประทานเอง และจะดำเนินการติดตั้ง แอปพลิเคชั่น (application) “ไทยชนะ” ที่สถานีและบนขบวนรถ (เป็นรายตู้/โบกี้) เพื่อใช้ควบคุมการเข้าออกของผู้โดยสารที่มาใช้บริการผ่าน Check-in และ Check-out จากแอปพลิเคชั่นดังกล่าว สำหรับผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะเดินทาง สามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้แต่วันที่ 27 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งกำหนดเวลาต่างๆ ได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ สถานีรถไฟ หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

Advertising

สธ.-มหาเถรแนะประชาชนจัดงานบุญ งานบวชตามแนว New Normal

People Unity News : สธ.แนะประชาชนจัดงานบุญ งานบวชตามแนว New Normal ยึดมาตรการความปลอดภัย ในช่วงเข้าพรรษาไม่นำเชื้อเข้าวัด มติมหาเถรสมาคมให้จัดงานบุญ งานบวช แต่ต้องเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากาก ล้างมือ สร้างความปลอดภัยทั้งพระสงฆ์และญาติโยมจากโควิด 19

22 มิถุนายน 2563 ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ก่อนเข้าพรรษาในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ว่า ในช่วงก่อนเข้าพรรษาขอให้ภิกษุ สามเณร เข้ารับการตรวจสุขภาพ และกักกันตัวเอง 14 วัน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นำเชื้อไปแพร่ให้แก่พระรูปอื่น และญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด ควรทำความสะอาดพื้นที่ภายในบริเวณวัด และสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ มีจุดคัดกรองก่อนเข้าสถานที่สำคัญ เช่น พระอุโบสถ และมีอากาศถ่ายเทสะดวก และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อไปสถานที่สาธารณะ สังเกตอาการผิดปกติ ไข้ ไอ จาม น้ำมูก ให้ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด 19

ในช่วงเข้าพรรษาถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของพุทธศาสนาที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องจำวัด รวมทั้งมีกิจกรรมทางศาสนา ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง มีกิจกรรมออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างน้อยวันละ 30 นาที ฉันอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ทั้งโปรตีน ผักผลไม้ และต้องปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมการระบาดของโควิด 19 สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อปฏิบัติศาสนกิจ ใช้เจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าพิธี เว้นระยะห่างในวัตรปฏิบัติที่ไม่ใกล้ชิดหรืออยู่ในที่แออัดเกินไป สำหรับประชาชนที่ไปทำบุญ ยึดตามมาตรการ การป้องกันอย่างเคร่งครัด การ์ดอย่าตก ให้คำนึงว่าวัดต้องปลอดเชื้อ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้จำวัดอย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา กระทรวงสาธารณสุขพร้อมจัดหน่วยบริการด้านสุขภาพพระสงฆ์ ถวายความรู้ วิธีพยาบาลแด่พระคิลานุปัฏฐาก

นายสาโรจน์ กาลศิริศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักพุทธศาสนาดูแลวัดในประเทศไทย ประมาณ 42,000 แห่ง มีจำนวนพระภิกษุ สามเณรกว่า 3 แสนรูป ที่ผ่านมาในช่วงวิกฤติการระบาดของโควิด 19 มหาเถรสมาคมมีมติให้วัดงดจัดกิจกรรมทุกประเภท แต่ปัจจุบันเมื่อรัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรน มหาเถรสมาคมจึงมีคำสั่งผ่อนปรนให้ทุกวัดจัดกิจกรรมได้เหมือนเดิม อาทิ งานบุญ งานบวช ภายใต้มาตรการความปลอดภัยตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เน้น 6 มาตรการสำคัญ ประกอบด้วย 1.คัดกรองวัดไข้ผู้ที่เข้ามาในวัด 2.การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย 3.ล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ 4.เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลในการเข้าไปในพระอุโบสถ ไม่รวมตัวหนาแน่นในขณะทำกิจกรรม 5.รักษาความสะอาดภายในวัด จัดระบบการระบายอากาศให้ดี และ 6.ลงทะเบียนเข้า-ออก วัดทุกครั้ง

“วันพระใหญ่ในช่วงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ทางวัดสามารถจัดกิจกรรมทำบุญได้ตามปกติ แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด สามารถจัดพิธีเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชาได้ โดยแต่ละวัดอาจกำหนดเป็นรอบ หรือจัดตามความเหมาะสมและมีมาตรการอย่างเข้มงวด สำหรับกิจกรรมของพระภิกษุสงฆ์ การทำวัตรเช้า-เย็น บำเพ็ญภาวนา วัดวาต้องสะอาด เป็นหัวใจสำคัญที่พระสงฆ์จะต้องยึดปฏิบัติ โดยทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดจะติดตามให้เป็นตามเกณฑ์ที่มหาเถรสมาคมและกระทรวงสาธารณสุขกำหนดต่อไป” นายสาโรจน์ กล่าว

Advertising

เงินเยียวยาถึงมือเกษตรกรแล้วกว่า 7 ล้านราย ย้ำยื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันพรุ่งนี้ 5 มิ.ย.

People Unity News : เงินเยียวยา ถึงมือเกษตรกรแล้วกว่า 7 ล้านราย ย้ำยื่นอุทธรณ์ถึง 5 มิ.ย.นี้ พร้อมฝากถึงเกษตรกร นำเงินที่ได้ใช้เพื่อการยังชีพและลุงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นายระพีภัทร์  จันทรศรีวงศ์  เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่าจากที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้ สศก. ในฐานะนายทะเบียน ดำเนินการรวบรวม และจัดทำระบบคัดกรองข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อเร่งช่วยเหลือเกษตรกร โดยจ่ายเงินตรงผ่านบัญชี จำนวน 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 ซึ่ง สศก. ได้ส่งรายชื่อเกษตรกรกลุ่มที่ 1 และ 2 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้วรวม 7.59 ล้านราย

ล่าสุด ธ.ก.ส. ได้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรแล้วตั้งแต่วันที่ 15-31 พฤษภาคม 63 จำนวน 7,103,721 ราย รวมเงิน 35,518 ล้านบาท  ส่วนเกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียนไว้ภายใน 15 พฤษภาคม ธ.ก.ส. จะเร่งโอนเงินให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนมิถุนายน สำหรับเกษตรกรที่ยังไม่เสร็จสิ้นขั้นตอนการขึ้นทะเบียน จะได้รับเงินครั้งเดียว 15,000 บาท ภายใน 15 ส.ค.63 โดยเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนโครงการช่วยเหลือเยียวยา แต่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา สามารถดำเนินการอุทธรณ์ได้แล้วจนถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2563  ส่วนเกษตรกรชุดสุดท้ายสามารถอุทธรณ์ได้จนถึง 15 ส.ค.63

จากการติดตามผ่านหน่วยงานในพื้นที่ทั้ง 8 หน่วยงาน ของ สศก. พบว่า ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. – 31 พ.ค. 2563 ทั้ง 8 หน่วยงานรับเรื่องอุทธรณ์เยียวยา รวมทั้งสิ้น 48,621 ราย จำนวน 49,054 เรื่อง  แบ่งเป็น กรมส่งเสริมการเกษตร 44,881 เรื่อง กรมปศุสัตว์ 2,933 เรื่อง  กรมประมง 439 เรื่อง  การยางแห่งประเทศไทย 742 เรื่อง  สำนักงานคณะกรรมการอ้อย และน้ำตาลทราย 50 เรื่อง กรมหม่อนไหม 6 เรื่อง และกรมสรรพสามิต (ทะเบียนยาสูบ) 3 เรื่อง ผลการดำเนินงาน ณ 31 พฤษภาคม 63 พบว่า ขณะนี้หน่วยงานในระดับพื้นที่ได้แก้ไขปัญหาแล้ว 6,823 เรื่อง อยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานต้นสังกัด 40,598 เรื่อง และเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์ฯ 1,633 เรื่อง

ด้าน นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการ สศก. กล่าวว่า จากการติดตามสอบถามเกษตรกรที่ได้รับเงินเยียวยาไปแล้ว พบว่า ส่วนใหญ่จะนำเงินไปใช้จ่ายค่าครองชีพ ของกิน ของใช้ประจำวัน นำเงินไปต่อยอดทำมาหากิน เช่น จ่ายค่าเช่าที่ทำกิน ซื้อเมล็ดพันธุ์ ซื้อพันธุ์ปลา ซื้ออุปกรณ์จับปลา เครื่องมือทำมาหากิน ฯลฯ ที่เหลือจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของลูกหลาน ค่ารักษาดูแลสุขภาพ  และนำไปใช้อื่นๆ ตามความจำเป็น เช่น ค่ารถ ค่าไฟฟ้า ค่ามือถือ ค่าน้ำ เป็นต้นโดย วันที่ 4 มิถุนายนนี้ สศก. จะประชุมคณะกรรมการติดตามประเมินผลโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพิจารณากรอบ แนวทาง และวิธีการติดตามประเมินผลโครงการ เพื่อให้ทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ภายหลังจากเกษตรกรที่ได้รับเงินเยียวยาแล้ว  โดยจะมีการรายงานความคืบหน้าให้ทราบโดยเร็วต่อไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับเกษตรกรที่ยังมีปัญหา หน่วยงานในระดับพื้นที่ที่เรื่องอุทธรณ์จะได้หาทางแก้ไข หรือ เสนอคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์ฯ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงทุกราย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้กำชับให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ได้เร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรที่มีรายชื่อตกหล่น หรือไม่ได้รับสิทธิ์ หรือไม่เห็นด้วยกับผลการคัดกรอง สามารถมายื่นอุทธรณ์ได้จนถึงวันที่ 5 มิถุนายนนี้ และสามารถเข้าตรวจสอบที่ www.moac.go.th  ซึ่งเป็นเว็บไซต์หลักของกระทรวง ใช้ตรวจสอบข้อมูลได้เบ็ดเสร็จในที่เดียว ทั้งผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ตรวจสอบสิทธิ์เงินเยียวยาเกษตรกร ตรวจสอบผลการโอนเงิน แจ้งช่องทางการรับเงินโอน ของทาง ธ.ก.ส. และตรวจสอบสถานะอุทธรณ์เงินเยียวยาเกษตรกร ทั้งนี้ อยากฝากถึงเกษตรกรทุกท่านที่ได้รับเงินเยียวยา ได้นำไปใช้เพื่อการยังชีพให้เหมาะสม หรือนำไปลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการทำการเกษตรต่อไป

Advertising

นายกฯเผยเริ่มนับการเรียนการสอน 1 ก.ค.63 – 16 พ.ค.64 กรณีเปิดสอนในโรงเรียนตามปกติ

People Unity News : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เผยเริ่มนับการเรียนการสอนตั้งแต่ 1 ก.ค. 2563 – 16 พ.ค. 2564 กรณีเปิดสอนในโรงเรียนตามปกติ ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม มีมาตรการรองรับตามที่ กศจ. และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนด พร้อมจัดงบฯให้ครูออกไปเยี่ยมบ้านนักเรียน พร้อมพิจารณาจ่ายเงินสดให้ผู้ปกครองนักเรียนพิการและด้อยโอกาส

2 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีแถลงถึงแนวทางการเรียนการสอนในช่วงการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19  โดยได้ชี้แจงถึงการนับเวลาการเรียนการสอนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึง 16 พฤษภาคม 2564  พร้อมให้สถานศึกษาเปิดสอนชดเชยให้ครบตามโครงสร้างเวลาเรียน โดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสมทั้งในระดับชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และสถานศึกษาต่างๆ รวมทั้งการเรียนการสอนทางไกล ให้จัดตารางเวลาเรียนที่ชัดเจนเพื่อที่จะสามารถนับชั่วโมงการเรียนได้

สำหรับการจัดการเรียนการสอนทางไกลในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ศธ.ได้นำผลการดำเนินการในระยะที่ 1 (เตรียมความพร้อม) ซึ่งเสร็จสิ้นในวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 และระยะที่ 2 (การตรวจสอบความพร้อมการเรียนการสอนผ่านโทรทัศน์ดิจิทัลและระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม-30 มิถุนายน 2563) มาดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อดำเนินการในระยะที่ 3 ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึง 30 เมษายน 2564 แยกออกเป็น

สถานการณ์ที่ 1 หากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย จะต้องจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ด้วยระบบโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล ระบบดาวเทียม ระบบเคเบิลทีวี และระบบ IPTV จำนวน 17 ช่อง รวมถึงหาวิธีการที่เหมาะสม จัดเตรียมความพร้อมสำหรับอุปกรณ์ ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมีการนำระบบการเรียนออนไลน์เข้ามาช่วยจัดการเรียนการสอน

สถานการณ์ที่ 2 หากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย จะมีการเรียนการสอนปกติในโรงเรียน โดยจะต้องมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) มีมาตรการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

สำหรับการวัดและการประเมินผล จะต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย อาจใช้วิธีการสังเกต การสัมภาษณ์ ให้ข้อมูล ตรวจเยี่ยมบ้านนักเรียน ประสานความร่วมมือจากผู้ปกครอง ใช้การทดสอบรูปแบบต่างๆ อาทิ การประเมินทางอีเมล จัดทำตารางนัดหมายเป็นกลุ่มขนาดเล็ก

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เห็นชอบลดภาระค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน (เพิ่มเติม) ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ในการใช้จ่ายการติดตามและเยี่ยมบ้านนักเรียน อาทิ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกระดับ

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จะพิจารณาดำเนินการจ่ายเงินสดให้แก่ผู้ปกครอง สำหรับนักเรียนพิการ เด็กด้อยโอกาส ทั้งนักเรียนประจำและนักเรียนไป-กลับ อีกด้วย

Advertising

Advertising

การประปาส่วนภูมิภาคยกเว้นเก็บเงินค่าประกันการใช้น้ำ ขอคืนเงินประกันได้ทางออนไลน์

People Unity News : การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ขานรับนโยบายของรัฐบาลและมติคณะกรรมการ กปภ. ยกเว้นการเรียกเก็บเงินค่าประกันการใช้น้ำประปา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานให้แก่ผู้ใช้น้ำ ตั้งแต่ 14 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

นายกฤษฎา ศังขมณี รองผู้ว่าการ (วิชาการ) รักษาการแทนผู้ว่าการ กปภ. เปิดเผยว่า การประปาส่วนภูมิภาค เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในการจัดหาแหล่งน้ำดิบ ผลิตจัดส่งและจำหน่ายน้ำประปาทั่วประเทศ ยกเว้น (กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ) ขานรับนโยบายรัฐบาลและมติคณะกรรมการ กปภ. ช่วยเหลือผู้ใช้น้ำที่ประสบความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยการยกเว้นการเรียกเก็บเงินค่าประกันการใช้น้ำประปา เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้น้ำประเภท 1 ที่อยู่อาศัย และสถานที่ทำการหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สถานทูต และสถานกงสุล

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้น้ำที่มีความประสงค์ขอรับคืนเงินประกันการใช้น้ำ แต่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสามารถยื่นความประสงค์ผ่านช่องทางออนไลน์ของ กปภ. โดยเลือกทำรายการผ่านเว็บไซต์ของ กปภ. www.pwa.co.th,Application PWA 1662 และ Application Line Official Account: @pwathailand ทั้งนี้ ผู้ใช้น้ำสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ PWA Contact Center1662   อ่านต่อที่: https://www.pwa.co.th/news/view/82515

Advertising

Advertising

Verified by ExactMetrics