วันที่ 25 เมษายน 2024

รัฐบาลเตือนผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน อย่าลืมขอรับบำเหน็จ-บำนาญ

People Unity News : 12 กันยายน 2565 รัฐบาลเตือนผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39 ที่อายุครบ 55 ปี และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน อย่าลืมเช็กสิทธิและยื่นขอรับบำเหน็จ-บำนาญชราภาพ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้แจ้งเตือนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ซึ่งมีอายุครบ 55 ปี และปัจจุบันมีสถานะสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนแล้ว ให้ตรวจสอบสิทธิการได้รับบำเหน็จ หรือบำเหน็จชราภาพ พร้อมกับยื่นขอรับเงิน ณ สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ใกล้บ้าน หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัด

สำหรับช่องทางการตรวจสอบสิทธิและยอดเงินสมทบชราภาพ หากไม่สะดวกเดินทางไปยังสำนักงานประกันสังคม ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบผ่านช่องทางออนไลน์ได้ 3 ช่องทาง คือ เว็บไซต์ของ สปส. www.sso.go.th, แอปพลิเคชัน SSO Connect สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ iOS และ Android และ Line Official Account ของ สปส. @ssothai

ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบและทราบสิทธิที่จะได้รับแล้ว สามารถยื่นขอรับบำเหน็จ หรือบำเหน็จชราภาพ ได้ที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ใกล้บ้าน หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัด โดยใช้เอกสารเป็นบัตรประชาชนตัวจริง และกรอกใบคำขอ สปส. 2-01 หรือ SSO. 2-01 พร้อมแนบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์ที่จะรับโอนเงิน แต่หากผู้ประกันตนมีบัญชีพร้อมเพย์ที่ใช้เลขบัตรประชาชนผูกกับบัญชีออมทรัพย์ สามารถแจ้งขอรับเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ไปพร้อมการยื่นคำร้องได้ โดยไม่ต้องใช้สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร (บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ไม่สามารถใช้ได้)

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับสิทธิของผู้ประกันตนกรณีชราภาพนั้นจะแยกเป็น 2 กรณี ได้แก่

1) รับบำเหน็จชราภาพ ได้แก่ ผู้จ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 12 เดือน ซึ่งจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบเฉพาะส่วนของผู้ประกันตนที่จ่ายให้กับสำนักงานประกันสังคม แต่หากจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไปแต่ไม่ถึง 180 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบส่วนของผู้ประกันตน รวมกับส่วนของนายจ้างที่จ่ายเงินสมทบให้และผลประโยชน์ตอบแทนประจำปี

2) กรณีรับบำนาญชราภาพ ได้แก่ ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 180 เดือน จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนตลอดชีวิต ในอัตราร้อยละ 20 ของเงินค่าจ้าง (ไม่เกิน 15,000 บาท) เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง และกรณีที่จ่ายเกินกว่า 180 เดือน จะเพิ่มอัตราการจ่ายเงินบำนาญให้อีกร้อยละ 1.5 ของระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุกๆ 12 เดือน

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ผู้รับบำนาญชราภาพเสียชีวิตลงระหว่างรับบำนาญชราภาพยังไม่ถึง 60 เดือน ที่ทายาทสามารถติดต่อเพื่อรับบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนได้ โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sso.go.th หรือสอบถามที่สายด่วน สปส. 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

นายกฯขอบคุณทุกภาคส่วน ทำให้เชียงใหม่ ได้รับคัดเลือก “เมืองเทศกาลโลก”

People Unity News : วันนี้ (4 กันยายน 2565) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมมือกันจนทำให้ จ.เชียงใหม่ ได้รับเลือกจากสมาคมเทศกาลและกิจกรรมระหว่างประเทศ (International Festivals & Events Association : IFEA) เป็น “เมืองเทศกาลโลก” (World Festival and Event City) ประจำปี 2022 โดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)  ร่วมกับกับสมาคมวิศิษฏ์ล้านนาเพื่ออุตสาหกรรมไมซ์และการท่องเที่ยว (Visit Lanna) เป็นผู้ส่งจังหวัดเชียงใหม่เข้าประกวดชิงรางวัลครั้งนี้

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการบูรณาการระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้อง สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ และเครือข่ายภาคเอกชนและประชาชน  เพื่อชูจุดแข็งของประเทศด้าน Soft Power ทั้งงานเทศกาลของประเทศที่มีความโดดเด่นเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาหาร วัฒนธรรม ความงามตามธรรมชาติ และด้านสุขภาพ (wellness)  ซึ่งจากความร่วมมือของทุกหน่วยงานทำให้ เชียงใหม่ได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองเทศกาลโลก โดย IFEA คัดเลือกจากเมืองที่มีงานเทศกาลโดดเด่น มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆอย่างใกล้ชิด และเหมาะสมที่จะเป็นต้นแบบในการใช้งานเทศกาลสร้างเศรษฐกิจ การมีส่วนร่วมในพื้นที่ และการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ นอกจากจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ยังมีอีก 4 เมืองที่ได้รับรางวัลได้แก่ Jinju-South Korea,  McAllen- USA, Penghu County- Taiwan และ Philadelphia- USA

ภายใต้ความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมล้านนา ซึ่งเป็น Soft Power ที่โดดเด่นของภาคเหนือ รัฐบาลได้กำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ หรือ  Northern Economic Corridor: NEC – Creative LANNA ครอบคลุม จ.เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และลำปาง เพื่อพัฒนาเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน เป็นแหล่งผลิตสินค้า และบริการที่ต่อยอดจากฐานวัฒนธรรมล้านนา จากการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่มตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ต่อยอดให้เกิดผลิตภัณฑ์ บริการ และส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้น จังหวัดในภาคเหนือยังสามารถเชื่อมโยงเข้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ สปป.ลาว และจีนตอนใต้ ผ่านระบบโครงข่ายเส้นทางคมนาคม รถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งเส้นทางแม่น้ำโขงออกไปมณฑลยูนนาน ทำให้มีโอกาสทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้นอีกด้วย

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกด้านต้องมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน สอดคล้องกับศักยภาพและการยอมรับของคนในพื้นที่ รางวัล “เมืองเทศกาลโลก” ที่ จ.เชียงใหม่ได้รับ ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งในระยะต่อไป รัฐบาลได้กำหนดโครงการระเบียงเศรษฐกิจ ที่จะสร้าง “พื้นที่เศรษฐกิจ” ใหม่ๆ กระจายไปทั้ง 4 ภาคของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาในทุกภูมิภาค ต่อยอดของดี ที่มีเอกลักษณ์ในแต่ละพื้นที่ ขับเคลื่อน Soft Power ให้เป็นที่รู้จักระดับนานาชาติ สร้างรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืน

Advertisement

กรมอุตุฯ เตือนทั่วไทย 5 – 9 ก.ย. 65 ระวังฝนหนักถึงหนักมาก

People Unity News : 3 กันยายน 2565 กรมอุตุนิยมวิทยา เตือนประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ในวันที่ 5 – 9 ก.ย. 65 บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึง กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ และฝนตกสะสมที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและที่ลุ่ม ชาวเรือทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่ง

เนื่องจากร่องมรสุมกำลังแรงจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ทั้งนี้ ประชาชนติดตามสถานการณ์สภาพอากาศได้ทางเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา www.tmd.go.th

Advertisement

เปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใหม่ 5 ก.ย.-19 ต.ค. 65 ทั้งผู้มีบัตรแล้ว และยังไม่เคยมีบัตร

People Unity News : 2 กันยายน 2565 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานรับลงทะเบียนมีความพร้อมในการเปิดรับลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 ที่จะเริ่มเปิดรับลงทะเบียนวันแรกวันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2565 ถึงวันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 โดยสามารถลงทะเบียนได้ผ่านทาง https://xn--12cm1ane3a8dcb9a6abq9eehm8a4u7e.mof.go.th/ หรือ https://welfare.mof.go.th หรือผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียน 7 หน่วยงาน ได้แก่ สาขาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) สำนักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ สังกัดกรมบัญชีกลาง ที่ว่าการอำเภอทั้ง 878 อำเภอทั่วประเทศ ภายใต้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานเขตกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต และศาลาว่าการเมืองพัทยา เมืองพัทยา รวมจุดรับลงทะเบียนไม่น้อยกว่า 7,000 จุด ทั่วประเทศ สำหรับการลงทะเบียนโครงการฯ ปี 2565 ในครั้งนี้จะเป็นการลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด ดังนั้น ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรฯ) ในปัจจุบันและผู้ที่ไม่เคยมีบัตรฯ จะต้องลงทะเบียนใหม่ทุกคน

การเตรียมการสำหรับผู้ลงทะเบียน

1.การลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ มีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้

1.1 เข้าไปที่เว็บไซต์ https://xn--12cm1ane3a8dcb9a6abq9eehm8a4u7e.mof.go.th/ หรือ https://welfare.mof.go.th เลือกปุ่ม “ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ”

1.2 เลือกปุ่ม “เริ่มลงทะเบียน” กรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชน และ กดปุ่ม “ตรวจสอบข้อมูล”

1.3 กรอกข้อมูลตามบัตรประจำตัวประชาชน ได้แก่ ชื่อ สกุล วันเดือนปีเกิด และเลข laser หลังบัตร

1.4 กรอกข้อมูลผู้ลงทะเบียน ได้แก่ ที่อยู่ วุฒิการศึกษา สถานภาพครอบครัว (หากมีครอบครัว ต้องกรอกข้อมูลสมาชิกในครอบครัว) อาชีพ รายได้ และหนี้สิน

1.5 ตรวจสอบข้อมูลและกดปุ่ม “ยืนยันข้อมูล”

1.6 ผู้ลงทะเบียนที่โสด/ไม่มีครอบครัว กดยอมรับเงื่อนไขและยืนยันการลงทะเบียน เพื่อจบขั้นตอนการลงทะเบียน โดยไม่ต้องไปยื่นเอกสารหรือเดินทางไปหน่วยงานรับลงทะเบียน

1.7 ผู้ลงทะเบียนที่มีครอบครัว (มีคู่สมรส (สามีหรือภรรยาที่จดทะเบียนสมรส) และบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ เฉพาะที่ยังมีชีวิตอยู่ตามข้อมูลของกรมการปกครอง (แต่ไม่รวมบุตรบุญธรรม)) เมื่อกรอกข้อมูลทางเว็บไซต์สำเร็จ จะต้องเลือกหน่วยงานรับลงทะเบียนที่ผู้ลงทะเบียนสะดวก เพื่อไปยื่นเอกสารที่ลงลายมือชื่อครบถ้วนทั้งผู้ลงทะเบียนและสมาชิกในครอบครัวที่หน่วยงานรับลงทะเบียน ถึงจะถือว่าจบขั้นตอนการลงทะเบียน       (หากไม่ได้เดินทางไปยื่นเอกสารที่หน่วยงานรับลงทะเบียน จะถือว่าลงทะเบียนไม่สำเร็จ)

1.8 ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบผลการลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ https://xn--12cm1ane3a8dcb9a6abq9eehm8a4u7e.mof.go.th/ หรือ https://welfare.mof.go.th เลือกปุ่ม “ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน” ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2565 เป็นต้นไป

2.การลงทะเบียนผ่านหน่วยงานรับลงทะเบียนทั้ง 7 หน่วยงาน ผู้ลงทะเบียนจะต้องกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนให้ครบถ้วน พร้อมทั้งลงลายมือชื่อในเอกสารให้ครบถ้วนทั้งผู้ลงทะเบียนและสมาชิกในครอบครัว เพื่อนำไปยื่น ณ หน่วยงานรับลงทะเบียน ซึ่งจะต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงของผู้ลงทะเบียน รวมถึงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของคู่สมรสและบุตรพร้อมลงลายมือชื่อในกรณีที่คู่สมรสและบุตรไม่ได้เดินทางมาแสดงตัวที่หน่วยงานรับลงทะเบียน อย่างไรก็ดี หากคู่สมรสและบุตรของผู้ลงทะเบียนเดินทางมาแสดงตัว ณ หน่วยงานรับลงทะเบียนพร้อมแสดงบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงก็ไม่จำเป็นต้องใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของคู่สมรสและบุตรของผู้ลงทะเบียน ทั้งนี้ แบบฟอร์มการลงทะเบียนสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของโครงการฯ หรือติดต่อขอรับได้ที่หน่วยงานรับลงทะเบียนทุกหน่วย

3.ผู้ลงทะเบียนเป็นผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาลงทะเบียนแทนได้ ทั้งนี้ หนังสือมอบอำนาจสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของโครงการฯ หรือติดต่อขอรับได้ที่หน่วยงานรับลงทะเบียนทุกหน่วย

การเปิดรับลงทะเบียนในครั้งนี้จะจัดให้มีผู้ช่วยอำนวยความสะดวกในการรับลงทะเบียนตามจุดรับลงทะเบียน โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ หรือพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อความคุ้นเคยกับผู้ลงทะเบียนและสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ กระทรวงการคลังมีความร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการขอความอนุเคราะห์ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่กลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ในการลงทะเบียน

โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากลงทะเบียนแล้วผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนได้ทุกวันศุกร์ในแต่ละสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2565 เป็นต้นไป หากผู้ลงทะเบียนพบว่าผลการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์เนื่องจากข้อมูลผู้ลงทะเบียนหรือข้อมูลสมาชิกในครอบครัวไม่ตรงตามฐานข้อมูลกรมการปกครอง ผู้ลงทะเบียนสามารถติดต่อขอแก้ไขข้อมูลได้ ณ หน่วยงานรับลงทะเบียนที่ผู้ลงทะเบียนได้ยื่นแบบฟอร์มลงทะเบียน หากเป็นผู้ลงทะเบียนที่ไม่มีครอบครัวที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์สามารถติดต่อขอแก้ไขข้อมูลได้ ณ หน่วยรับลงทะเบียนที่ผู้ลงทะเบียนสะดวก หากตรวจสอบพบว่าผลการลงทะเบียนสมบูรณ์แล้ว จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนกับหน่วยงานตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป และจะมีการประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติได้ในช่วงเดือนมกราคม 2566 โดยกระทรวงการคลังจะแจ้งวันประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ การใช้สิทธิผ่านบัตรสวัสดิการในรอบใหม่จะเป็นการใช้สิทธิผ่านบัตรประจำตัวประชาชน ดังนั้น หลังการประกาศผล หากผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้ได้รับสิทธิฯ) ผู้ได้รับสิทธิฯ จะต้องไปยืนยันตัวตนผ่าน ธ.ก.ส ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทยฯ ได้ตั้งแต่วันที่ประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติเป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้สนใจเกี่ยวกับโครงการฯ สามารถศึกษาข้อมูล เช่น คุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน ระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ ช่องทางการลงทะเบียน เป็นต้น เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ https://xn--12cm1ane3a8dcb9a6abq9eehm8a4u7e.mof.go.th/ หรือ https://welfare.mof.go.th

โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวเน้นย้ำกว่า ในช่วงเวลาที่มีการเปิดรับลงทะเบียนโครงการฯ ผู้ที่มีบัตรฯ ปัจจุบันยังคงได้รับสิทธิสวัสดิการปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะมีการประกาศให้เริ่มใช้สิทธิสวัสดิการสำหรับผู้ได้รับสิทธิรอบใหม่ ซึ่งกระทรวงการคลังจะประกาศให้ทราบต่อไป

สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร 094-858-9794 (เวลาทำการ 08.30 – 16.30 น.)

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

โทร. 02 273 9020 ต่อ 3502 3503 3506 3536 3542 3518 หรือ

โทร. 08-5842-7102 , 08-5842-7103, 08-5842-7104 ,08-5842-7105

08-5842-7106, 08-5842-7107, 08-5842-7108 (เวลาทำการ 08.30 – 16.30 น.)

ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร. 02-109-2345 (เวลาทำการ 08.30 – 17.30 น.)

Advertisement

วันนี้ ปชช.ใช้คนละครึ่งเฟส 5 ได้แล้ว

People Unity News : 1 กันยายน 2565 รัฐบาลชวนประชาชนใช้สิทธิ “คนละครึ่ง เฟส 5” ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ต.ค. แนะผู้ใช้สิทธิทั้งรายเก่า รายใหม่เร่งลงทะเบียน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิในโครงการ “คนละครึ่ง เฟส 5” ซึ่งเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ต.ค. 65  โดยรัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน  ไม่เกิน 800 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการฯ สำหรับประชาชนรายใหม่ที่ไม่เคยใช้สิทธิ์หรือไม่เคยยืนยันตัวตน ขอให้เร่งยืนยันตัวตนก่อนใช้สิทธิ์ครั้งแรก โดยใช้บัตรประชาชนยืนยันตันตนที่ตู้เอทีเอ็ม สีเทา ของธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารกรุงไทยฯ ทุกสาขา หรือผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT ซึ่งผู้มีสิทธิรายใหม่และรายเดิมจะต้องใช้สิทธิครั้งแรกผ่านเป๋าตังภายในวันพุธที่ 14 กันยายน 2565 เวลา 22.59 น. เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิทธิ์

“สำหรับความคืบหน้าการลงทะเบียนของประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้า ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2565 เวลา 15.00 น. ประชาชนรายเดิมที่เคยใช้สิทธิโครงการฯระยะที่ 4 กดยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 18.76 ล้านราย หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 71.41 ของจำนวนประชาชนรายเดิมทั้งสิ้น 26.27 ล้านราย ส่วนประชาชนรายใหม่ ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมครบ 2.30 แสนรายแล้ว ในส่วนของผู้ประกอบการร้านค้า ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2565 เวลา 23.00น. มีผู้ประกอบการร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมสะสมแล้วทั้งสิ้น 426,328 ร้านค้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ ร้านค้า ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัคร” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งเฟส 5 ใช้วงเงินรวม 21,200 ล้านบาท รัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นรายได้ให้ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านการใช้จ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการทั่วไป รวมถึงบริการขนส่งสาธารณะ จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนใช้สิทธิวงเงิน ตามกรอบระยะเวลา เพื่อร่วมกันสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทุกระดับให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

Advertisement

สธ.คุมเข้มร้านขายยา ตั้งแต่ 1 ก.ย. จ่ายยาต้านโควิด ต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น

People Unity News : 1 กันยายน 2565 รองโฆษกรัฐบาล ย้ำตั้งแต่ 1 ก.ย. 65 ร้านขายยาจ่ายยาต้านโควิด-19 ต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น กำชับหน่วยงานติดตามการบันทึกตรวจสอบเคร่งครัด แนะประชาชนซื้อจากช่องทางที่ได้รับอนุญาต

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ได้มีมติให้ร้านขายยาสามารถจ่ายยาต้านโควิด-19 ทั้งฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ หรือแพกซ์โลวิด ได้ ตั้งแต่วันนี้ (1 ก.ย.) เป็นต้นไป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เน้นย้ำถึงผู้ประกอบการร้านขายยาทุกแห่งว่าจะต้องจ่ายยาเฉพาะกรณีมีใบสั่งแพทย์มาแสดงต่อเภสัชกรเท่านั้น เนื่องจากตามแนวทางการรักษาโควิด-19 ในปัจจุบัน ผู้ป่วยโควิดไม่จำเป็นต้องทานยาต้านไวรัส แต่แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและให้คำแนะนำเพื่อการใช้ยาที่เหมาะสม

น.ส.ไตรศุลี กล่าวอีกว่า นายอนุทิน ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นสำนักงานอาหารและยา (อย.) สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ให้ติดตามเรื่องของการบันทึกข้อมูลการจ่ายยาต้านไวรัสของร้านขายยา เพื่อใช้สำหรับตรวจสอบโดยเคร่งครัด  ซึ่งปัจจุบันร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตจะมีการบันทึกข้อมูลการจ่ายยาควบคุมประเภทต่างๆอยู่แล้ว

“การที่ ศบค. ได้อนุญาตให้เพิ่มช่องทางการจ่ายยาโควิด-19 ได้ที่ร้านขายยาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เพื่อเพิ่มช่องทางและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน แต่เนื่องจากยาต้านไวรัสไม่ได้เป็นยาสามัญทั่วไป ยังเป็นยาที่ต้องควบคุมการใช้ และไม่จำเป็นที่ผู้ป่วยโควิด-19 ทุกคนต้องทานยาต้านไวรัส ดังนั้นจึงยังจำเป็นที่ต้องให้ผู้ป่วยได้พบแพทย์เพื่อมีการวินิจฉัยไม่ว่าจะเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลหรือคลินิกเวชกรรม และให้คำแนะนำที่สอดคล้องกับอาการของผู้ป่วยแต่ละคน” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังมีความห่วงใยและมีข้อแนะนำว่า ขอให้ประชาชนจัดหายาต้านไวรัสจากช่องทางที่ได้รับอนุญาต อย่าซื้อยารับประทานเองโดยไม่มีแพทย์แนะนำ เพราะมีทั้งความเสี่ยงที่อาจจะได้ยาปลอม หรืออาจเกิดการใช้ยาไม่สอดคล้องกับอาการ โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัวควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้ยา

Advertisement

ข่าวไม่จริง!! 22 – 28 ส.ค. 65 เกิดพายุ 9 ลูกพร้อมกัน ทำให้เกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ

People Unity News : 22 สิงหาคม 65 จากกรณีมีการแชร์ข่าวต่อๆกันในโลกออนไลน์ ระบุว่าวันที่ 22 – 28 ส.ค. 65 จะเกิดพายุ 9 ลูกพร้อมกัน และล้อมประเทศไทยจนทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ

กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่ได้มีที่มาจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งจากการวิเคราะห์สภาพอากาศล่าสุดในช่วง 22 – 28 ส.ค. 65 ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะเกิดพายุถึง 9 ลูก ตามที่ปรากฏในสื่อดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศของประเทศไทยขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝนหนักได้แก่ ร่องมรสุม และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หากมีแนวโน้มว่าจะเกิดสภาพอากาศรุนแรง หรือมีพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกหรือทะเลจีนใต้หรืออ่าวเบงกอลจริง และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบกับประเทศไทย จะประกาศเตือนล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน

จึงขอความร่วมมือประชาชนอย่าหลงเชื่อ อย่าส่งต่อหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 ตลอด 24 ชม.

Advertisement

“นิพนธ์” สั่ง ปภ.-ผู้ว่าฯ-อปท.เตรียมรับมือ “พายุมู่หลาน”

People Unity News : 11 สิงหาคม 65 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสภาวะอากาศและพิจารณาปัจจัยเสี่ยง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับที่ 6  ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2565 แจ้งว่าพายุโซนร้อน “มู่หลาน” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 500 กิโลเมตร ทางตะวันออกของเมืองฮานอย ประเทศเวียดนามตอนบน มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

“พายุมู่หลาน” นี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำ และเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในวันที่ 11 ส.ค. 2565 ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและประเทศลาวตอนบน ส่งผลทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ส่วนการเตรียมการรับมือสถานการณ์ “พายุมู่หลาน” ได้สั่งการไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยของกรม ปภ. ที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมงในการช่วยเหลือประชาชนหากได้รับผลกระทบจากพายุ พร้อมทั้งกำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  อาสาสมัคร ประสานการปฏิบัติงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในทุกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายจากพายุ ให้อยู่ในพื้นที่เพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนได้ทันเหตุการณ์หากเกิดความรุนแรงจากผลกระทบ

“การติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ ได้แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยใช้การสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้งหอกระจายข่าวหมู่บ้าน การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน ดังนั้น ยืนยันว่าทุกฝ่ายได้เตรียมความพร้อมเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนในส่วนนี้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ ส่วนประชาชนขอให้ติดตามข่าวสารสถานการณ์พายุอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประชาชนที่ปลูกบ้านเรือนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ราบเชิงเขา อาจได้รับผลกระทบจากสภาวะดินสไลด์ กระแสน้ำป่าไหลหลาก ส่วนที่ลุ่มต่ำ ต้องเฝ้าระวังเตรียมการอพยพให้พร้อม ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้หากสถานการณ์ในพื้นที่มีแนวโน้มรุนแรง ให้สั่งอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงที่จัดเตรียมไว้โดยทันที” นายนิพนธ์ กล่าว

Advertisement

มหาดไทยสั่งสแกนสถานบริการทั่วประเทศ กันซ้ำรอย MOUNTAIN B

People Unity News : 8 สิงหาคม 65 ปลัดมหาดไทย เผยกรมการปกครองสั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงนายอำเภอสัตหีบ ปมไฟไหม้ MOUNTAIN B ขีดเส้นรายงานใน 7 วัน กำชับผู้ว่าฯทั่วประเทศ ตรวจสอบสถานบริการในพื้นที่ ป้องกันเหตุซ้ำรอย

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าหลังกรมการปกครองมีคำสั่งย้ายว่าที่พันตรีชาติชาย ศรีโพธิ์อ่อน นายอำเภอสัตหีบ ไปช่วยราชการที่วิทยาลัยการปกครอง กรณีไฟไหม้ผับ MOUNTAIN B จนมีผู้เสียชีวิต ว่า นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง ได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยมีผู้ตรวจราชการของกรมฯ ประจำเขตพื้นที่ชลบุรีดำเนินการ ให้รายงานผลภายใน 7 วัน ซึ่งจะครบในวันศุกร์ที่ 12 ส.ค.นี้ หากมีมูลว่า นายอำเภอสัตหีบ ปล่อยปละละเลย หรือมีส่วนในการกระทำความผิด จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป เรื่องนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำชับให้ดำเนินการผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเฉียบขาด

“ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่สัตหีบจะไม่เป็นเหมือนดั่งสายลมที่พัดมาแล้วพัดไป แต่จะเป็นประโยชน์ที่เราจะช่วยกันจัดระเบียบสังคม ให้อยู่ในร่องในรอย ตามระเบียบกฎหมายที่ถูกต้อง โดยเฉพาะกรณีร้านดังกล่าวที่ลักลอบดัดแปลงจากร้านอาหารเป็นสถานบริการ ผมจึงทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ นอกจากขอให้ตรวจตราสถานบริการอย่างเข้มงวด และ Re X-ray ร้านอาหารที่เข้าข่ายดัดแปลงเป็นสถานบริการได้ ก็ต้องเข้าไปตรวจสอบ ไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนกรณีสัตหีบอีก เพื่อให้มั่นใจว่า ร้านที่ทำผิดกฎหมายจะเปิดให้บริการไม่ได้ และต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนร้านใดที่ทำดีอยู่แล้วจะได้ยืนยันว่าทำถูกต้อง ขอฝากประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสมายังเจ้าหน้าที่ด้วย” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว

Advertisement

สธ. คาดผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตมีแนวโน้มลดลง ห่วงปรากฏการณ์ Rebound เชื้อดื้อยาต้านโควิด

People Unity News : 3 สิงหาคม 2565 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เผย สถานการณ์โรคโควิด-19 ของไทยเริ่มคงตัว คาดผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตจะเริ่มลดลงใน 2 – 3 สัปดาห์ ซึ่งขณะนี้การระบาดเป็นสายพันธุ์ BA.4/BA.5 ค่อนข้างดื้อต่อวัคซีน การฉีดเข็มกระตุ้นจะช่วยลดการป่วยอาการหนักและเสียชีวิตได้ ดังนั้น หากฉีดเข็มล่าสุดมากกว่า 3 – 4 เดือนขึ้นไป สามารถไปฉีดเข็มกระตุ้นได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน

พร้อมย้ำว่า ผู้ติดเชื้อโควิดไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสทุกราย ซึ่งคนทั่วไปที่แข็งแรง ฉีดวัคซีนครบถ้วน ส่วนใหญ่จะอาการน้อยไม่จำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส และการจ่ายยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ตามมาตรฐานสากล เป็นผู้เลือกยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย ซึ่งยาต้านไวรัสเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง มีทั้งข้อดีข้อเสีย หากรับประทานไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม อาจเกิดผลข้างเคียงหรือการดื้อยาได้

ซึ่งขณะนี้เจอปรากฏการณ์ใหม่ คือ การรีบาวนด์ (Rebound) ดื้อยาและทำให้พบเชื้อซ้ำ เช่น กรณีนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่รับยาต้านไวรัสแต่กลับมาพบเชื้อใหม่ สมมติฐาน คือ อาจเกิดจากรับยาต้านไวรัสเข้าไป และยาไม่สามารถกำจัดเชื้อในร่างกายคนบางคนให้หมดไป เมื่อหยุดยา เชื้อที่ซ่อนอยู่กลับมาแบ่งตัวขึ้นใหม่ จึงมีผลบวกซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขจะติดตามรายละเอียดต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics