วันที่ 14 กันยายน 2025

กต.แจงทูต 68 ปท. ย้ำ “กัมพูชา” ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา-อธิปไตยไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กรกฎาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันจุดยืนต่อคณะทูตจาก 68 ประเทศ “กัมพูชา” ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ละเมิดอธิปไตยไทย พร้อมยื่นประท้วงต่อประชาคมโลก เพื่อให้กัมพูชารับผิดชอบเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยังไม่ถึงขั้นเรียกฑูตกลับประเทศ

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวหลังบรรยายสรุปแก่เอกอัครราชทูต หรือผู้แทน รวมถึงผู้ช่วยทูตทหาร จำนวน 93 คนจาก 68 ประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และแถลงผลการบรรยายสรุปโดยมีนางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก. พลเอกศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) และนางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ

นายนิกรเดช กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการบรรยายในวันนี้เพื่อบรรยายสรุปให้แก่คณะทูต ในเรื่องกำลังพลของกองทัพบก 3 นาย ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะลาดตระเวนที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี โดยกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ศบ.ทก.ได้แถลงข้อเท็จจริง เน้นย้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย

โดยภาพรวมการบรรยายสรุปวันนี้ เป็น 5 ประเด็น ประกอบด้วย

1.ยืนยันการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วัตถุระเบิดที่พบไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของฝ่ายไทย เป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า เป็นทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา และถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง

2.รัฐบาลไทยได้มีแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถือเป็นการละเมิดอธิปไตย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาว่าอย่างชัดเจน

3.จากหลักฐานทั้งหมดที่ได้มีการรวบรวม และตรวจสอบอย่างรอบคอบ รัดกุม จากฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศได้มอบหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการให้ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อประท้วงกัมพูชาว่า ได้ทำการละเมิดอธิปไตยของไทย ไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาว่า และขอให้ฝ่ายกัมพูชาตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงความรับผิดชอบ เยียวยาผู้เสียหาย รวมทั้งขอให้เก็บกู้ทุ่นระเบิดตามที่เคยได้ตกลงกันไว้

4.กระทรวงการต่างประเทศ โดยเอกอัครราชทูตผู้แทนประจำสหประชาชาติ นครเจนีวา ได้มีหนังสือถึงเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำการประชุมรัฐภาคี ว่าด้วยการลดอาวุธ โดยการประชุมพันธอนุสัญญาว่าด้วยรัฐภาคีตามอนุสัญญาออตตาวา ที่มีเนื้อหาเช่นเดียวกับการประท้วงกัมพูชา ว่าเนื่องด้วยการที่ไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญา ที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ จึงต้องปฏิบัติตามพันธกรณี ในการรายงานเหตุการณ์การละเมิดพันธกรณีของกัมพูชาตามมาตรา 1 ของอนุสัญญา และย้ำว่าไทยต้องการใช้กลไกรัฐภาคีกับกัมพูชาดำรงไว้เพื่ออนุสัญญาออตตาวา ในฐานะรัฐภาคี โดยไทยต้องการใช้การหารือทวิภาคีกับกัมพูชา

5.ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเน้นย้ำจุดยืนของไทย ที่ยึดถือหลักปฏิบัติสากลกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายสหประชาชาติพันธกรณีของประเทศไทยและในขณะเดียวกันไทยยังคงพร้อมที่จะพูดคุยหาทางออกกับฝ่ายกัมพูชา ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่

นายนิกรเดช ยังกล่าวตามที่ให้การแถลงข่าวไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตนเองได้บอกกับสื่อมวลชนว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้เดินทางไปที่นครนิวยอร์ก เพื่อไปร่วมการประชุม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่อยู่ระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมหารือแห่งการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นิวยอร์ก ได้พบผู้แทนระดับสูงต่างประเทศ และจะใช้โอกาสนี้ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะหลักการของไทยที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและเจรจาผ่านกรอบทวิภาคี

ซึ่งล่าสุดวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของปากีสถาน ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และได้พบกับรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมของปานามา ซึ่งจะเป็นประธานคนต่อไป ซึ่งทั้งสองคนเห็นพ้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาของไทย ว่าเราจะใช้กลไกทวิภาคี และหากมีการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาก็จะต้องแก้ไข

เมื่อถามถึงประเด็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วผลกระทบต่อการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการทุนระเบิดแห่งชาติ หรือ T-Mac มากน้อยแค่ไหน นายนิกรเดช ยืนยันว่าไม่กระทบ เพราะยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการปฏิบัติต่อเนื่องบริเวณชายแดนฝั่งไทยมาโดยตลอด เนื่องจากเราไม่เคยมีกลไกที่มีความร่วมมือกับกัมพูชาอย่างเป็นทางการ อย่างเช่น เรื่องทุ่นระเบิดเป็นโปรเจ็คโมเดลที่ได้ทดลอง ดังนั้นตนเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ย่อมทำให้เกิดความตื่นตัวในฝั่งไทย

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของอนุสัญญาออตตาว่านั้น นายนิกรเดช กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เป็นรัฐภาคีทำหน้าที่อย่างถี่ถ้วนสมบูรณ์มาโดยตลอดเช่นกัน และสิ่งที่เราทำวันนี้ คือ การยื่นจดหมายก็เป็นไปตามมาตราที่ 1 ของอนุสัญญา ที่รัฐภาคีจำเป็นต้องรายงานหากพบเจอทุ่นระเบิดก็ต้องรายงานสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ประเทศไทยได้ยื่นสถิติของการมีทุ่นระเบิดในครอบครองทั้งหมด ยืนยันให้เห็นการเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบ ในฐานะรัฐภาคี ยังมีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างสูงสุด

เมื่อถามว่าสถานการณ์ทางแนวชายแดนดูรุนแรง และเกิดการยั่วยุบ่อยครั้งสถานการณ์แบบนี้ จะทำให้กระทรวงการต่างประเทศ ต้องพิจารณามาตรการตอบโต้เข้มข้นกว่าการประท้วงเป็นเอกสารหรือไม่ เช่น เรียกทูตกลับมา หรือส่งทูตกัมพูชากลับไป นายนิกรเดช ยืนยันว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น ในขั้นตอนนี้ได้มีการถาม-ตอบในที่บรรยายเช่นกัน เนื่องจากเราย้ำตลอดว่าเราต้องการแก้ไขปัญหาผ่านช่องทางทวิภาคีและเอกอัครราชทูต เป็นกลไกสำคัญ ที่จะเปิดช่องให้มีการหารือทวิภาคี ดังนั้นฝ่ายไทยยังไม่ได้มีการพิจารณาไปถึงจุดนั้น

Advertisement

เตือน ใช้เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic ด้วยตนเองที่บ้านอันตราย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 กรกฎาคม 2568 เตือนประชาชนใช้เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic ด้วยตนเองที่บ้านอันตราย เสี่ยงติดเชื้อ แนะใช้สิทธิบัตรทองขูดหินปูนที่คลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” หรือที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

นายอนกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าปัจจุบันนี้โซเชียล มีเดีย หรือ สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการวางจำหน่ายเครื่องมือขูดหินปูน Ultrasonic ซึ่งเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัด แต่ความจริงแล้วการขูดหินปูนไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีใดก็ตาม เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้หากอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ โดยการขูดหินปูนจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางที่ผ่านการฆ่าเชื้อตามมาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อให้การขจัดหินปูนเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

นายอนกูล กล่าวว่า เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้หลักการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่สูงและน้ำในการกำจัดคราบหินปูนที่สะสมอยู่บนผิวฟันและใต้เหงือก การใช้งานเครื่องมือชนิดนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั้น ต้องกระทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะการมองเห็น และความเข้าใจกายวิภาคของช่องปาก เพื่อให้สามารถขจัดหินปูนได้อย่างหมดจดโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างฟัน เหงือก และเนื้อเยื่อในช่องปาก ซึ่งการใช้เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic ด้วยตัวเองที่บ้านนั้น ไม่ปลอดภัย เนื่องจากมีความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น จากการใช้เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic ด้วยตนเอง ดังนี้

1.การทำลายผิวเคลือบฟัน มุมการวางหัวขูดที่ไม่เหมาะสม การใช้แรงกดที่มากเกินไป การจิกของหัวขูดหรือการขูดซ้ำๆ อาจทำให้ผิวเคลือบฟันซึ่งเป็นชั้นนอกสุดที่ปกป้องฟันถูกทำลาย เกิดภาวะเสียวฟันและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุในอนาคต

2.การบาดเจ็บต่อเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก: การสอดหัวขูดเข้าไปใต้ขอบเหงือกอย่างไม่ถูกต้องเนื่องจากการมองเห็นที่ชัดเจนและมุมของเครื่องมือที่ไม่เหมาะสม นำไปสู่การฉีกขาด บาดเจ็บ ของเหงือกได้

3.โรคปริทันต์อักเสบลุกลามจากการหลงเหลือหินปูนใต้เหงือก เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic สำหรับใช้เองมักมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและไม่สามารถเข้าถึงบริเวณใต้เหงือกได้อย่างสมบูรณ์ การขจัดหินปูนที่ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะบริเวณใต้เหงือก จะส่งผลให้หินปูนยังคงสะสมตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคปริทันต์อักเสบ ที่อาจลุกลามทำลายกระดูกรองรับฟัน นำไปสู่การสูญเสียฟันได้ หากไม่ได้ รับการรักษาที่เหมาะสมจากทันตแพทย์

และ 4.ความเสี่ยงในการติดเชื้อ เครื่องมือที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อตามมาตรฐานทางการแพทย์ (Sterilization) จะกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ซึ่งเมื่อนำมาใช้ในช่องปาก อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงได้

“เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนกับทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อมั่นใจได้ว่าการขจัดหินปูนที่เป็นสาเหตุของโรคปริทันต์นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย รวมทั้งผู้ป่วยควรได้รับการตรวจวินิจฉัยปัญหาอื่นๆ ในช่องปาก เช่น ฟันผุ รากฟันอักเสบ หรือรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งในช่องปากอย่างเหมาะสมด้วย” นายอนุกูล กล่าว

ทั้งนี้สอบถามเพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพช่องปาก ได้ที่ Facebook : สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ และ LineOA : @iodforfun สำหรับประชาชนสิทธิบัตรทอง สามารถขูดหินปูนที่คลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” หรือที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิ ได้ปีละ 3 ครั้ง ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย และไม่ถูกเรียกเก็บเงินเพิ่ม

Advertisement

19 แพลตฟอร์ม ต้องบอกมาตรฐานสินค้าที่ขายในเว็บ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 กรกฎาคม 2568 รองโฆษกรัฐบาล ย้ำ 19 แพลตฟอร์ม ต้องบอกมาตรฐานของสินค้าที่ขายในเว็บ ตามกฎหมาย DPS ม.20 ป้องกันปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เดินหน้าบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันและรับมือกับปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยเฉพาะการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลภายใต้กฎหมาย DPS ซึ่งราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศเรื่อง กำหนดรายชื่อบริการแพลตฟอร์ม ดิจิทัลประเภทตลาดสินค้า ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 20 แห่งพระราชกฤษฎีกาการประกอบ บริการแพลตฟอร์มที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ.2565 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 10 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป จำนวน 19 แพลตฟอร์ม ดังนี้

ช้อปปี้ (Shopee)

ลาซาด้า (Lazada)

วันทูคาร์ (One2car.com) – ประกาศซื้อขายรถยนต์มือสอง

แกร็บ (Grab)

ขายดี (Kaidee.com)

เอสไอเอ อี-อ๊อกชันซิสเต็ม (SIA E-AUCTION SYSTEM)

ไลน์ช้อปปิ้ง (LINE SHOPPING)

อาลีบาบา (Alibaba)

น็อกน็อก (NocNoc)

อาลีเอ็กซ์เพรส (AliExpress)

ดิสช็อป (Thisshop)

รักเหมา (Rakmao)

เถาเป่า (Taobao)

เอสซีจี โฮม (SCGHome)

วันสยาม แอปพลิเคชัน (ONESIAM Application)

เรดดี้พลาสติก อ็อกชัน (ReadyPlastic Auction)

รูทส์แพลตฟอร์ม (ROOTS Platform)

เทอมู (TEMU)

อีเบย์ (eBay)

โดยทั้ง 19 แพลตฟอร์ม จะต้องมีหน้าที่เพิ่มเติมตาม ม. 20 ภายใต้กฎหมาย DPS ที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมนอกจากหน้าที่ทั่วไป ได้แก่

1.ประเมินความเสี่ยง และจัดทำมาตรการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ

2.ดำเนินการอื่นตามประกาศของคณะกรรมการ เช่น เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ขาย ก่อนอนุญาตให้ขายหรือโฆษณาสินค้าที่ต้องมีมาตรฐาน ตรวจสอบหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเปิดขายสินค้าที่มีข้อกำหนดเรื่องมาตรฐาน

3.แสดงข้อมูลมาตรฐานสินค้า อย่างชัดเจนบนหน้าร้านค้า

4.มีกลไกแจ้งเตือนและนำออกสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

5.กำหนดบทลงโทษ สำหรับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืน

“แพลตฟอร์มดิจิทัลดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นแพลตฟอร์มประเภทตลาดสินค้าออนไลน์ที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงสูง และอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง และมีลักษณะมูลค่าธุรกรรมในราชอาณาจักรเกิน 100 ล้านบาท/ปี หรือไม่ได้จดทะเบียนกับ DBD แต่มีผู้ประกอบการ 100 รายขึ้นไป หรือไม่ได้จดทะเบียนกับ DBD แต่มีผู้ใช้บริการเกินกว่า 5% แต่ไม่เกิน 10% (เฉลี่ยต่อเดือน) หรือผู้ใช้บริการสามารถกระทำการใดโดยไม่มีมาตรการควบคุมดูแลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ยังมีแพลตฟอร์มดิจิทัลอีกจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม หาก ETDA พบว่าเข้าเกณฑ์ข้างต้น ก็จะมีการประกาศรายชื่อเพิ่มเติมต่อไป ตามที่ ม. 24 กำหนดให้ต้องมีการ “ทบทวนรายชื่อ” แพลตฟอร์มเป็นประจำทุกปี ดังนั้น รายชื่อประกาศข้างต้น อาจมีการ เพิ่ม ลด หรือปรับเปลี่ยนได้ตามลักษณะการให้บริการที่เปลี่ยนแปลงไป” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

ข่าวดีผู้ประกันตน ม.33 ปรับเพิ่มเงินทดแทนว่างงาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 กรกฎาคม 2568 “อนุกูล” ย้ำ ผู้ประกันตน ม.33 ปรับเพิ่มเงินทดแทนกรณีว่างงาน จากการถูกเลิกจ้าง เป็นร้อยละ 60 ไม่เกิน 180 วัน รับเงินชดเชยสูงสุด 9,000 บาทต่อเดือน ภายใน 30 วัน นับจากวันที่สิ้นสุดการจ้างงาน

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าข่าวดีสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ถูกเลิกจ้างหรือว่างงาน หลังราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศกฎกระทรวงแรงงานฉบับใหม่ว่าด้วยหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว โดยกฎกระทรวงฉบับนี้ได้ปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนให้สูงขึ้น เพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกันตน และให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ซึ่งสาระสำคัญของกฎกระทรวงแรงงานฉบับใหม่นี้ คือ ให้ลูกจ้างประกันสังคมได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากการเลิกจ้าง เพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 60 จากเดิมร้อยละ 50 ส่งผลให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนสูงสุดไม่เกินเดือนละ 9,000 บาท จากเดิมสูงสุดเดือนละ 7,500 บาท โดยในระยะเวลา 180 วัน (6 เดือน) จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้สูงสุด 54,000 บาท จากเดิมที่จะได้รับสูงสุด 45,000 บาท

สำหรับวิธีลงทะเบียนว่างงาน-เลิกจ้าง เพื่อรับเงินชดเชยจากประกันสังคม ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ลาออก หรือถูกเลิกจ้าง สามารถลงทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th ภายใน 30 วัน นับจากวันที่สิ้นสุดการจ้างงาน โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้

1.กรณีถูกเลิกจ้าง จะได้เงินช่วยเดือนละ 60% ของเงินเดือนเฉลี่ย อย่างเช่น ถ้าเคยได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็จะได้เดือนละ 6,000 บาท โดยจะจ่ายให้ไม่เกิน 6 เดือนใน 1 ปี (รวมกันไม่เกิน 180 วัน)

2.กรณีลาออกเอง หรือหมดสัญญาจ้าง จะได้ 30% ของเงินเดือนเฉลี่ย เช่น ถ้าเคยได้เงินเดือน 10,000 บาท จะได้เดือนละ 3,000 บาท และจะจ่ายให้ไม่เกิน 3 เดือนใน 1 ปี (รวมกันไม่เกิน 90 วัน)

3.ในส่วนของคนที่ว่างงานหลายครั้งในปีเดียว เช่น ถูกเลิกจ้าง 1 รอบ แล้วต่อมาก็ถูกเลิกจ้างอีกหรือลาออกอีกครั้ง สามารถขอรับสิทธิได้ทุกรอบ แต่เงินรวมที่ได้รับในปีนั้น จะได้ไม่เกิน 180 วันสำหรับกรณีเลิกจ้าง และไม่เกิน 90 วันสำหรับกรณีลาออก สำหรับเงื่อนไขการขอรับสิทธิ มีดังนี้ 1) ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในช่วง 15 เดือนก่อนว่างงาน 2) ว่างงานต่อเนื่อง อย่างน้อย 8 วัน 3) ต้องลงทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th ภายใน 30 วันหลังออกจากงาน 4) รายงานตัวผ่านระบบออนไลน์เดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าจะมีงานทำ 5) พร้อมทำงานและไม่ปฏิเสธการฝึกอาชีพที่จัดหาให้ 6) ไม่ถูกเลิกจ้างเพราะความผิดร้ายแรง เช่น ทุจริต ละทิ้งหน้าที่ ฯลฯ 7) ไม่ได้รับสิทธิซ้ำในกรณีชราภาพ ทั้งนี้ เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอรับสิทธิ ประกอบด้วย 1) แบบคำขอ สปส. 2-01/7 2) หนังสือรับรองออกจากงาน หรือ สปส.6-09 (ถ้าไม่มีสามารถขึ้นทะเบียนได้) 3) สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร (เฉพาะธนาคารที่กำหนด) และ4) หนังสือคำสั่งเลิกจ้าง (ถ้ามี)

“รัฐบาลมุ่งมั่น สร้างหลักประกันให้กับผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้างและสูญเสียรายได้ผู้ประกันตนมีรายได้เพียงพอกับภาระค่าใช้จ่าย โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีสิทธิ สามารถยื่นขอรับเงินผ่านระบบออนไลน์ และสามารถขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผ่านเว็บไซต์ https://e-service.doe.go.th หรือยื่นแบบฟอร์มที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข) กรณีเงินทดแทนว่างงาน ไม่สามารถขอย้อนหลังได้ ต้องยื่นขึ้นทะเบียนภายใน 30 วันหลังลาออกหรือถูกเลิกจ้าง หากลาออกหรือถูกเลิกจ้างหลายครั้งในปีเดียว จะนับรวมวันรับเงินสูงสุดไม่เกินที่กำหนด (90 วันสำหรับลาออก / 180 วันสำหรับเลิกจ้าง) โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนประกันสังคม 1506 ซึ่งให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

รัฐบาลย้ำเตือน “ทำบุญออนไลน์ เช็กให้ชัวร์ก่อนโอน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กรกฎาคม 2568 “รัฐบาล” ห่วง ปชช. ย้ำเตือน ไม่ตกเป็นเหยื่อกลโกงมิจฉาชีพ ช่วงวันสำคัญทางศาสนา “ทำบุญออนไลน์ เช็กให้ชัวร์ก่อนโอน” คาดเงินสะพัด ประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบว่า กลุ่มมิจฉาชีพมีวิธีในการสรรหาเหยื่อ เพื่อทำการหลอกลวง โดยบ่อยครั้งมักพบรูปแบบของการหลอกลวงมาในรูปแบบวิธีการ เช่น หลอกให้ลงทุน หลอกหารายได้พิเศษ และหลอกให้หลวงเชื่อใส่ข้อมูลส่วนตัว แต่อย่างไรก็ตามการแอบแฝงและวิธีการหลอกลวงของกลุ่มมิจฉาชีพมักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้งเพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเวลานี้ ที่วันสำคัญทางศาสนา ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพได้เล็งเห็นช่องว่างในการฉวยโอกาสผ่านวิธีการ อาทิ การหลอกโอนเงินไถ่ชีวิตโคกระบือ ช่วยเหลือสัตว์บาดเจ็บ เช่าวัตถุมงคล สะเดาะเคราะห์ หลอกให้ทำใบอนุโมทนาบัตรออนไลน์โดยอ้างเป็นการลดหย่อนภาษี เป็นต้น

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ว่า ประเมินจากวันหยุดยาวตั้งแต่ 10-13 กรกฎาคม รวม 4 วัน จะมีผลต่อการเดินทางเข้าไปทำบุญพร้อมกับการพักผ่อนค้างคืน 1-2 คืน ส่งผลต่อการใช้จ่ายช่วงวันอาสาฬหบูชา ต่อถึงวันเข้าพรรษารวมประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท หรือ ขยายตัวจากปีก่อนประมาณ 2-3% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการสำรวจล่าสุดในปี 2566 ที่มีการใช้จ่าย 2 วันสำคัญนี้ รวม 6,477 ล้านบาท อีกทั้งคนไทยกว่า 80% ยังให้ความสำคัญต่อการทำบุญไหว้พระในเทศกาลวันทางศาสนา

“ผลการสำรวจสถานการณ์การถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ ของศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) ในปี 2566 พบผู้เคยถูกหลอกลวงโดยอาศัยความสงสารหรือความสัมพันธ์ จำนวน 2.65 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายจำนวนรวมสูงถึง 2.3 พันล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งตกเป็นผู้เสียหายถูกหลอกลวงจากการขอรับบริจาคช่วยเหลือหรือการระดมเงินทำการกุศล โดยหากพิจารณาจำแนกตามกลุ่ม Generation จะพบว่า กลุ่ม Gen Z และ Gen Y เป็นกลุ่มที่ถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวอยู่ที่ 13% และ 10% ตามลำดับ มากกว่ากลุ่ม Gen X และ Baby Boomer” นายอนุกูล ระบุ

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า เพื่อสร้างความตระหนักรู้เท่าทันต่อกลโกงของกลุ่มมิจฉาชีพและวิธีการที่กลุ่มมิจฉามักใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ รัฐบาลขอย้ำเตือนประชาชนควรระมัดระวัง ก่อนจะทำบุญหรือโอนเงินช่วยเหลือออนไลน์ ควรตรวจสอบช่องทางการช่วยเหลือหรือทำบุญก่อนทุกครั้ง ห้ามคลิกหรือโอนเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเว็บไซต์และข้อความที่มีการส่งต่อผ่านทางสังคมออนไลน์โดยไม่มีแหล่งที่มา หากไม่มั่นใจสามารถตรวจสอบบัญชีเบอร์โทร หรือเว็บไซต์ได้ที่ www.checkgon.go.th ซึ่งเป็นช่องทางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ ก่อนการโอนเงินอย่าลืมเช็กชื่อบัญชี หมายเลขบัญชีทุกครั้งว่าตรงกับบัญชีที่ได้มีการแจ้งไว้หรือไม่ และหากพบเห็นพฤติกรรมที่อาจเป็นมิจฉาชีพ สามารถเบาะแสได้ที่ https://www.thaipoliceonline.go.th

Advertisement

คิกออฟ “WebD” แพลตฟอร์ม AI สกัดเว็บผิดกฎหมาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลคิกออฟ “WebD” แพลตฟอร์ม AI สกัดเว็บผิดกฎหมาย กวาดล้างเพิ่มกว่า 70% เดินหน้าใช้เทคโนโลยีปกป้องประชาชนจากภัยออนไลน์

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เดินหน้าการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักการการกำกับดูแลด้วยจริยธรรม AI  ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการระงับการแพร่หลายและตรวจสอบการเข้าถึงเว็บไซต์ผิดกฎหมาย หรือที่เรียกว่า “WebD Project” ในรูปแบบแพลตฟอร์มสำหรับ แพลตฟอร์ม “WebD” เป็นแพลตฟอร์มเร่งรัดกระบวนการระงับเว็บไซต์ผิดกฎหมายซึ่งมีมากกว่า 100,000 URLs ต่อปี โดยใช้เทคโนโลยี AI และ RPA ในการค้นหา เก็บหลักฐาน สร้างคำร้องต่อศาลแบบ Paperless และส่งคำสั่งไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) โดยอัตโนมัติ พร้อมมีระบบ “URLs Checker” เพื่อตรวจสอบการปิดกั้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จุดเด่นของแพลตฟอร์มดังกล่าว คือสามารถทำงานได้เร็วกว่าเจ้าหน้าที่ถึง 31.5 เท่า ช่วยลดขั้นตอนการยื่นคำร้องต่อศาลลงได้ 5 วันทำการ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวน URLs ที่ถูกสั่งปิดในปี 2568 ได้ถึงร้อยละ 70.7 จากเดิมในปี 2567 (โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 175 URLs)

นอกจากนี้ “WebD” ยังมีระบบค้นหาและจัดเก็บหลักฐานเว็บไซต์ผิดกฎหมาย (AI Crawler) ซึ่งใช้ในการตรวจสอบ URLs ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย (เทียบเท่าการทำงานโดยเจ้าหน้าที่จำนวน 94 คน) ก่อนส่งต่อไปยังระบบแอปพลิเคชัน สำหรับตรวจสอบ/กลั่นกรองเว็บไซต์ผิดกฎหมาย และเข้าสู่กระบวนการยื่นคำร้องต่อศาล (สร้างคำร้องส่งต่อไปยังศาลอาญาผ่านระบบออนไลน์) กระบวนการสั่งปิด (ระบบส่งคำสั่งศาลไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) และกระบวนการปรับพินัย โดยเป็นการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี AI ร่วมกับการทำงานของเจ้าหน้าที่

การใช้งานแพลตฟอร์ม WebD จะช่วยให้กระบวนการทำงานในการระงับ ปิดกั้นเว็บไซต์ URLs ผิดกฎหมายสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเว็บไซต์ผิดกฎหมายเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของการก่ออาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงดีอี ให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อประเทศชาติและประชาชน

“รัฐบาลมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างมีจริยธรรม เพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย ลดภัยคุกคามทางออนไลน์ และดูแลคุ้มครองประชาชนอย่างรอบด้าน พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนทุกคนใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

ผบ.ทอ. เช็กความพร้อม “ศูนย์สงครามทางอากาศ” กองบิน 1 โคราช

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มิถุนายน 2568 พร้อมส่งด่วน! “ผบ.ทอ.” เช็กความพร้อม “ศูนย์สงครามทางอากาศ” กองบิน 1 โคราช เปิดภาพพฝูงบิน เอฟ-16 คลังจรวดเต็มอัตรา เฝ้าระวังน่านฟ้าฝั่งตะวันออก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force ได้เผยแพร่ ภาพภารกิจของ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ลงพื้นที่ร่วมวางแผน ตรวจความพร้อม และให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ สร้างความเชื่อมั่นขั้นสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยณ ศูนย์การสงครามทางอากาศ / กองบิน 1 จว.นครราชสีมา เพื่อเตรียมพร้อมในทุกสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้กำลังทางอากาศป้องกันประเทศ และพร้อมสนับสนุนปฏิบัติการของทุกเหล่าทัพ ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และความสงบสุขมั่นคงของพี่น้องประชาชนชาวไทย ระบุข้อความว่า “กำลังทางอากาศ เป็นโล่อันแท้จริงอย่างเดียว ที่จะกันมิให้การสงครามมาถึงท่ามกลางประเทศของเราได้” จากวลีดังกล่าว กองทัพอากาศได้ยึดถือเป็นแนวทางในการปกป้องประเทศเสมอมา

นอกจากนั้น เพจยังได้นำเสนอภาพเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 พร้อมทั้งจรวด ที่พร้อม สำหรับการปฏิบัติงานด้วย

Advertisement

มทภ.2 ลั่นทหารยังเป็นเสาหลักไม่เปลี่ยน มุ่งป้องกันประเทศทุกวิถีทาง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มิถุนายน 2568 ท่วมท้น! กำลังใจหลั่งไหลสู่ “พล.ท.บุญสิน” และทหารชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณ ลั่นทหารยังเป็นเสาหลักไม่เปลี่ยนแปลง มุ่งมั่นป้องกันประเทศชาติทุกวิถีทาง ขอให้ประชาชนไว้วางใจ

ช่วงบ่ายวันนี้ (19 มิ.ย.68) ที่สโมสรร่วมเริงไชย กองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา สถานศึกษาและบริษัทเอกชน นำสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมามอบให้กับ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และส่งต่อธารน้ำใจไปยังทหารที่ประจำอยู่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา

นอกจากนี้ นักเรียนจากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย และโรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ ยังนำข้อความจากใจของนักเรียนที่เขียนให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 2 มามอบให้ด้วย

ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณ และบอกว่าจะรีบนำสิ่งของไปมอบให้โดยเร็ว พร้อมยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 2 ยังทำหน้าที่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฝ่ายบริหารก็แก้ปัญหาทางการเมือง ส่วนความมั่นคงของชาติ ทั้ง 3 เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งมั่นป้องกันประเทศชาติทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เสียดินแดน ขอให้พี่น้องประชาชนไว้วางใจ สิ่งที่ตนพูดไปแล้วก็ตามนั้น

Advertisement

สกัดนอมินีใช้คนไทยถือครองที่ดินแทน-จับตาเข้ม 6 ธุรกิจเสี่ยง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มิถุนายน 2568 ผนึกกำลังปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย สกัดนอมินีใช้คนไทยถือครองที่ดินแทน จับตาเข้ม 6 ธุรกิจเสี่ยง เตรียมส่งรายชื่อ 2.6 หมื่นราย ให้กรมที่ดินตรวจสอบต่อไป

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีคนต่างด้าวเข้ามาถือครองที่ดินในไทย โดยใช้วิธีให้คนไทยถือครองที่ดินแทน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของกฎหมายนอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ สำหรับประกอบธุรกิจที่ต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว หรือธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน ซึ่งเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด จนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อให้การตรวจสอบสามารถทำได้ครอบคลุมมากขึ้นนั้น

นายคารม กล่าวว่า กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการ MOU ระหว่างกันด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้คนไทยถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว และเพื่อปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย ป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมายเข้ามาถือครองที่ดิน

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะส่งต่อรายชื่อนิติบุคคลเสี่ยงให้กับกรมที่ดิน ทั้งนี้ ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีนิติบุคคลที่เสี่ยงเป็นนอมินีจากการที่มีคนต่างด้าวเข้ามาถือหุ้นตั้งแต่ 0.001-49.99% ใน 6 ธุรกิจเสี่ยง จำนวน 46,918 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จำนวน 26,038 ราย คิดเป็น 55.49% ของธุรกิจเสี่ยงทั้งหมด โดยจะดำเนินการส่งรายชื่อทั้งหมดให้กรมที่ดิน เพื่อพิจารณาประกอบการอนุญาตให้ถือครองที่ดิน และป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวเข้ามาถือครองที่ดินต่อไป

นอกจากนี้จะมีการพิจารณาเพิ่มโทษการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว จากเดิมที่มีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท ซึ่งเป็นโทษตามกฎหมายเดิมปี 2497 แต่จะมีการปรับให้มีความเข้มข้นและทันสมัยมากขึ้น ล่าสุดสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังยกร่างกฎหมายใหม่ที่ทำร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในการบรรจุฐานความผิดนอมินีเป็นความผิดมูลฐาน และเปิดช่องให้ยึดทรัพย์ได้ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวถือครองที่ดินได้ดีขึ้น

นายคารม ระบุว่ รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาธุรกิจนอมินีอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าการผนึกกำลังของหน่วยงานภาครัฐในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในป้องกันและปกป้องสิทธิของประชาชนไทย ตลอดจนสร้างความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจของประเทศได้

Advertisement

เปิดเทอมแล้ว…แนะผู้ปกครองเด็กเล็ก ระวังอันตราย 5 โรค ที่มากับฤดูฝนช่วงเปิดเทอม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤษภาคม  2568 เปิดเทอมแล้ว… รัฐบาลห่วงสุขภาพเด็ก แนะผู้ปกครองเด็กเล็กระวังอันตราย 5 โรค ที่มาพร้อมกับฤดูฝนในช่วงเปิดเทอม

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเปิดเทอม ผู้ปกครองจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้กับบุตรหลาน สำหรับการขึ้นชั้นเรียนใหม่  โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นช่วงที่ตรงกับต้นฤดูฝน อากาศเริ่มเย็นลง และมีความชื้นสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้เกิดโรคที่มาพร้อมกับฤดูฝนในเด็กเล็กที่มักเสี่ยงต่อโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคติดต่อผ่านการสัมผัส รวมไปถึงกลุ่มโรคที่มียุงเป็นพาหะ  ซึ่งโรคที่พบได้บ่อยในช่วงนี้  ได้แก่

1) โรคมือ เท้า ปาก ที่มักพบในเด็กเล็กวัยก่อนเข้าเรียนหรือในเด็กต่ำกว่า 5 ปี เกิดจากไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรง อาการเด่นชัดคือมีไข้สูง มีแผลในปาก และมีผื่นที่มือและเท้า บางคนถ้าติดเชื้อสายพันธุ์รุนแรงอาจมีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง กล้ามเนื้อ และหัวใจ

2) โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา เด็กจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และอาจมีอาการไอ น้ำมูก อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย หากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวมและสมองอักเสบ

3) โรคปอดบวม เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งอาจพัฒนามาจากไข้หวัดธรรมดา โดยเด็กจะมีอาการไอและมีเสมหะมาก หายใจเร็วหรือหายใจหอบเหนื่อย เสียงหายใจผิดปกติ และในบางรายอาจมีริมฝีปากเขียวคล้ำ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีอาการรุนแรงแล้ว

4) โรคตาแดงจากไวรัส ซึ่งแพร่กระจายได้ง่าย เด็กจะมีอาการตาแดง เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก

และ 5)  โรคไข้เลือดออก ที่มียุงลายเป็นพาหะ ในระยะแรกเด็กจะมีไข้สูง ปวดเมื่อย มีจุดเลือดออกสีแดงตามร่างกาย ส่วนอีกระยะที่ต้องระวังคือช่วงที่ไข้ลดลง เพราะบางคนอาจเกิดภาวะช็อกได้ และอาจมีอาการเลือดออกร่วมด้วย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด ดังนั้น  ผู้ปกครองจึงควรสังเกตอาการของลูกไว้ตลอด เมื่อมีอาการผิดปกติหรืออาการที่เข้าข่ายโรคเหล่านี้จะได้รับมือได้ทันที

“รัฐบาลห่วงใยสุขภาพเด็ก แนะผู้ปกครองควรเสริมภูมิคุ้มกันให้บุตรหลานเพื่อป้องกันโรคระบาด โดยให้เด็กกินอาหารครบ 5 หมู่ รวมถึงผักผลไม้ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และควรนอนหลับอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ ควรฉีดวัคซีน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และมือเท้าปาก โดยเฉพาะช่วงเปิดเทอมนี้เวลาไปโรงเรียนหรือสถานที่ที่มีคนเยอะ แนะนำให้บุตรหลานรักษาความสะอาด ใช้ช้อนกลาง ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์หรือล้างมือบ่อย ๆ และสวมใส่หน้ากากอนามัย ถ้าหากพบอาการเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติที่น่าเป็นห่วงจะได้พาไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้ลูกหลานของเราปลอดภัยมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน” นายคารม กล่าว

Advertisement

 

 

Verified by ExactMetrics