วันที่ 21 มกราคม 2025

10-13 ม.ค. เหนือ-อีสาน ลดฮวบ 5-7 องศาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มกราคม 2568 กรมอุตุฯ ออกประกาศเตือนอากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทย วันที่ 10-13 ม.ค.นี้ เหนือ-อีสาน เย็นลง 5-7 องศาฯ ส่วน กทม.-ปริมณฑล อุณหภูมิลดลง 3-5 องศาฯ

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยรวมทั้งทะเลอันดามัน มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 10-13 มกราคม 2568 ฉบับที่ 3 (3/2568)

ในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. 68 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีอุณหภูมิลดลงกับมีลมแรง โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอุณหภูมิลดลง 5-7 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบน จะมีอุณหภูมิลดลง 3-5 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่างของภาค ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนทะเลอันดามันทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 2-3 เมตรและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. 68

Advertisement

 

ด่วน รัฐบาลคุมเข้ม “แม่สอด” จ.ตาก เฝ้าระวังอหิวาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 มกราคม 2568 รัฐบาลคุมเข้ม “แม่สอด” จ.ตาก เฝ้าระวังอหิวาฯ “ศศิกานต์” ย้ำ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ วาง 6 มาตรการเข้ม ขอผู้ประกอบการเข้มงวดความสะอาดตามหลักสุขาภิบาล

วันนี้ (2 มกราคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีพบผู้ป่วย ติดเชื้อ “อหิวาตกโรค” ในพื้นที่เขตเทศบาลแม่สอด จังหวัดตาก รัฐบาลโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการฯ เฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด ล่าสุดสถานการณ์ผู้ป่วยในพื้นที่สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดีแล้ว ปัจจุบันมีผู้ป่วยสะสม 4 ราย แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 ราย คนไทย 2 และมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไม่มีอาการ 3 ราย ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว และไม่มีผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ดังกล่าว

นางสาวศศิกานต์  กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดตากจะอยู่ในการควบคุมแล้ว แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังป้องกันอหิวาตกโรคอย่างต่อเนื่อง โดย WHO “องค์การอนามัยโลก” ได้มีการประกาศ “อหิวาตกโรค” ถือเป็นภาวะฉุกเฉินใหญ่ หลังพบมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้มีความตระหนักและร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดและติดต่อของโรค โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงจังหวัดตาก ที่มีพื้นที่อยู่ติดชายแดน ชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันโรค ดังนี้

1.เจ้าของตลาดทุกประเภททุกแห่ง ให้ล้างตลาด ห้องสุขา ตามหลักการสุขาภิบาล รวมทั้งให้มีการฆ่าเชื้อทุกวัน และให้เจ้าของประกอบการร้านอาหาร เครื่องดื่ม รถเข็น หาบเร่ แผงลอยทุกชนิดดำเนินการตามหลักการสุขาภิบาล ปฏิบัติตามสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร รวมถึงผู้สัมผัสอาหารทุกคน 2.หน่วยงานราชการ โรงเรียน ศาสนสถาน องค์กร เอกชน ผู้รับผิดชอบห้องสุขาสาธารณะ ให้ล้างทำความสะอาดห้องสุขาตามหลักการสุขาภิบาล รวมทั้งให้มีการฆ่าเชื้อทุกวัน 3.หน่วยงาน องค์กร เอกชน ผู้รับผิดชอบระบบประปา ให้ปรับปรุงคุณภาพน้ำประปาตามมาตรฐาน โดยกำหนดให้มีค่าคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำต้นท่อจ่ายไม่น้อยกว่า 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) ปลายท่อจ่าย ไม่น้อยกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) 4.ให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันสมควรสงสัยติดเชื้ออหิวาตกโรค มารับการตรวจคัดกรองหรือรักษา จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อของโรค 5.ให้เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้พักอาศัยในบ้าน โรงเรือน สถานที่ เช่น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานที่ผลิตน้ำดื่ม/น้ำแข็ง ที่มีอหิวาตกโรคเกิดขึ้นหรือมีเหตุว่าปนเปื้อนเชื้อ ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในการตรวจคัดกรองโรคและกำจัดเชื้อ หรือทำลายเชื้อ และ 6.ขอความร่วมมือหน่วยงานราชการ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และเครือข่ายภาคประชาชน สื่อสารข้อมูลความรู้การป้องกัน การปฏิบัติตัว ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ทุกช่องทาง

“รัฐบาลห่วงใยสุขภาพประชาชน ขอให้ประชาชนดูแลตัวเอง แนะนำให้ล้างมืออย่างสม่ำเสมอและขอให้ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” และขอให้ผู้ประกอบการอาหารมีความเข้มงวดในเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัยในการนำวัตถุดิบที่นำมาปรุงสุก” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

เตือนระวัง “มิจฉาชีพ” แฝงตัวช่วงปีใหม่ หลอกชวนบริจาค ทำบุญ จัดงานเลี้ยง ซื้อของขวัญ โหลดสติกเกอร์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 ธันวาคม 2567 รัฐบาลเตือนระวัง “มิจฉาชีพ” แฝงตัวหลอกให้กดโหลดลิ้งก์ฟรี อาจสูญเงินหมดบัญชี

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชนช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่ขอให้ระมัดระวังมิจฉาชีพแฝงตัว เข้ามาฉวยโอกาสหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้สูญเสียเงิน โดยพฤติกรรมที่มิจฉาชีพมักใช้ 5 การหลอกลวงหลักๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ดังนี้

1.หลอกว่าโหลดสติกเกอร์เทศกาลปีใหม่ฟรี! โดยมิจฉาชีพเชิญชวนให้โหลดสติกเกอร์ แต่แฝงตัวส่งลิงก์ปลอมให้โหลด อาจมีการหลอกลวงให้ผู้ใช้ไลน์ใส่ชื่อ และรหัสการเข้าใช้ไลน์ รวมถึงข้อมูลส่วนตัว ซึ่งอาจจะเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพนำชื่อและรหัสการใช้งานของท่านไปทำธุรกรรมต่าง ๆ หรืออาจมีการสวมสิทธิเพื่อกระทำผิดได้

2.หลอกรับบริจาค ทำบุญ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายคนต้องการทำบุญเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลกับชีวิต มิจฉาชีพจะมีการประกาศเชิญชวนให้ร่วมทำบุญ โดยอ้างบุคคลหรือกิจกรรมต่าง ๆ จึงควรตรวจสอบรายละเอียดกิจกรรมที่จะร่วมทำบุญว่าเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไร ก่อนจะร่วมบริจาค โดยจำไว้ให้ขึ้นใจว่า “มีสติ” ก่อนโอนเงินทุกครั้ง

3.หลอกให้จัดงานเลี้ยงผ่านการใช้บริการทางออนไลน์ โดยคนร้ายจะมีพฤติกรรมแอบอ้างกับเจ้าของร้านค้าว่า จะจัดงานเลี้ยงโดยให้ส่งของต่าง ๆ ไปไว้ตามสถานที่จัดงาน เมื่อทางร้านค้าส่งของไปที่นัดหมายแล้วคนร้ายจะแอบขนของหลบหนีไป หรือคนร้ายแอบอ้างกับผู้ที่ต้องการจะจัดงานเลี้ยงว่า สามารถสั่งอาหารผ่านทางออนไลน์ได้ในราคาถูกกว่า ส่งผลให้ผู้ที่จะจัดงานเลี้ยงหลงเชื่อยอมจ่ายเงินค่าอาหารให้คนร้าย แต่เมื่อถึงวันจัดเลี้ยงไม่มีการส่งอาหารมาให้แต่อย่างใด

4.หลอกให้ซื้อของขวัญผ่านร้านค้าออนไลน์ จ่ายเงินแล้วไม่ได้ของ หรือสินค้าไม่ตรงปก หรือไม่มีคุณภาพ ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อ ต้องเลือกดูสินค้าและสังเกตราคาก่อนเข้าร่วมโปรโมชันให้ดี รวมทั้งเปรียบเทียบราคาสินค้าชนิดเดียวกันจากหลายร้านค้าเพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด

5.หลอกชวนเล่นการพนันออนไลน์ ลงทุนออนไลน์ มิจฉาชีพจะแอบแฝงหลอกเอาข้อมูลไปใช้ในทางผิดกฎหมาย หรือหลอกล่อให้เสียเงินจนหมดตัว อย่าหลงเชื่อ

“ขอให้ระวังกลโกงจากมิจฉาชีพในช่วงเทศกาลปีใหม่ อย่าคลิก อย่าโหลดข้อความจากบุคคลที่ไม่รู้จัก และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัว อย่าเชื่อคำชักชวน คำกล่าวอ้าง รวมถึงโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับผลตอบแทนสูงๆ ขอเน้นย้ำของฟรีไม่มีในโลก” นายคารม ระบุ

Advertisement

เตือนอย่าเชื่อข่าวปลอม ย้ำ ปปง. มีเฟซบุ๊กเดียว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 ธันวาคม 2567 ทำเนียบ – รองโฆษกรัฐบาล เตือน ปชช. อย่าเชื่อข่าวปลอม ย้ำ ปปง. มีเฟซบุ๊กเดียวไม่เคยเปิดเพจอื่นเพื่อรับคำร้อง-ลงทะเบียนรับเงินคืนช่วยเหลือผู้เสียหายทุกกรณี

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความระบุว่า “ ปปง. ร่วมกับ สอท. เปิดให้ผู้เสียหายคดีฉ้อโกงออนไลน์ลงทะเบียนขอรับเงินคืน เพียง 3 ขั้นตอน ผ่านเพจ Maintain security online” จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

นายคารม กล่าวว่า สำนักงาน ปปง. ไม่เคยเปิดเพจเฟซบุ๊กอื่นเพื่อรับคำร้องหรือช่วยเหลือผู้เสียหายทุกกรณี อีกทั้งเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นเพจปลอมที่มีการนำสัญลักษณ์ของสำนักงาน ปปง. มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยใช้รูปแบบและเนื้อหาตามเพจจริงของสำนักงาน ปปง. ซึ่งสำนักงาน ปปง. มีเพจเฟซบุ๊กเดียวชื่อ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน – ปปง. โดยมีสัญลักษณ์ ติ๊กถูกสีฟ้า (Meta Verified) อยู่ด้านหลังชื่อเพจ ซึ่งผ่านการยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว

“เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ https://www.amlo.go.th/index.php/th/ หรือ โทร. 02-219-3600” นายคารม ระบุ

Advertisement

เตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า พบสารก่อมะเร็ง อย่าหลงเชื่อค่านิยมผิดๆ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 ธันวาคม 2567 “อนุกูล” เตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า พบน้ำยาดองศพ สารก่อมะเร็ง แนะผู้ปกครองสอดส่องพฤติกรรมบุตรหลาน ย้ำเตือนเด็กและเยาวชนอย่าหลงเชื่อค่านิยมผิด ๆ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตือนภัยกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งปัจจุบันพบว่ากลุ่มเด็กและเยาวชนเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น เนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์กับภัยอันตรายที่แฝงมากับผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีการเติมสารปรุงแต่งกลิ่นและรสที่มีส่วนประกอบจากสารพิษและสารเสพติดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “น้ำยาดองศพ” ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายที่ปล่อยออกมาในระหว่างการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้สูบและผู้ได้รับละอองไอจากบุหรี่ไฟฟ้า

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลพบเยาวชนไทยอายุระหว่าง 6 – 30 ปีมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า 18.6% เมื่อจำแนกตามเพศ พบว่า เพศชายสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด 21.49% รองลงมา LGBTQ+ 19.73% และเพศหญิง 16.22% เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจของเยาวชน พบว่ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า คือ เข้าใจว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้สามารถเลิกบุหรี่มวนได้ 61.23% เข้าใจว่านิโคตินส่งผลดีต่อร่างกาย 51.19% เข้าใจว่าน้ำยาของบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีส่วนผสมของนิโคติน 26.28% เข้าใจว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย 23.28% และเข้าใจว่าควันบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีอันตราย 12.53% นอกจากนี้เยาวชนยังมีความเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้า/พอต อันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน 50.2% อีกด้วย

“จากผลการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา พบสารฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า โดยสารฟอร์มาลดีไฮด์สามารถแทรกซึมลึกเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เสี่ยงเกิดมะเร็ง รวมถึงเสี่ยงเกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและผิวหนังได้ แนะนำผู้ปกครองสอดส่องดูแลพฤติกรรมบุตรหลาน ให้รู้ถึงภัยอันตราย อย่าหลงเชื่อค่านิยมที่ผิด ๆ ในกลุ่มวัยรุ่นหากต้องการคำปรึกษาสามารถสอบถามข้อมูลเลิกบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าได้ที่สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

รัฐบาลเตือนผู้กู้ยืม กยศ.หากไม่ชำระคืนตามกำหนด เกิดดอกเบี้ย เบี้ยปรับ รวมถึงถูกฟ้อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 ธันวาคม 2567 รัฐบาลเตือนผู้กู้ยืม กยศ.หากไม่ชำระเงินคืนตามกำหนดจะทำให้เกิดภาระดอกเบี้ยและเสียเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงถูกฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย ย้ำผู้กู้ยืมต้องมีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ

วันนี้ (12 ธันวาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  จากกรณีที่มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อ้างตัวว่าเป็นผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ได้โพสต์รีวิว การบิดหนี้ กยศ. โดยชักชวนผู้กู้ยืมท่านอื่นให้ไม่ชำระหนี้คืน นั้น ขอย้ำเตือนว่า การชักชวนหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นหลีกเลี่ยงการชำระหนี้หรือโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับชำระหนี้ ถือเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบและผิดกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อนักเรียน นักศึกษารุ่นน้องที่ต้องการความช่วยเหลือจาก กยศ. ได้ในอนาคต

นายคารม กล่าวว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นหน่วยงานของรัฐ มีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ โดยใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินและเงินที่ได้รับชำระหนี้ของผู้กู้ยืมรุ่นพี่กลับมาเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อนำไปสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่ผู้กู้ยืมรุ่นน้อง โดย กยศ. มุ่งหวังที่จะช่วยเหลือผู้ที่ต้องการศึกษาต่อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีดอกเบี้ยต่ำ เพียงร้อยละ 1 ต่อปี มีระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 15 ปี และมีเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้ที่ยืดหยุ่น ดังนั้น การชำระหนี้จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผู้กู้ยืมทุกคนควรปฏิบัติเพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้องต่อไป

“หากผู้กู้ยืมไม่ชำระเงินคืนตามกำหนดจะทำให้เกิดภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและเกิดเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงอาจถูกฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายอีกด้วย  ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมคนใดประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ก็สามารถติดต่อกับ กยศ. เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้เพื่อขยายระยะเวลาการชำระหนี้ได้” นายคารม ระบุ

Advertisement

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เตือน กลุ่มเสี่ยงต้องระวัง! เผย “นวดผ่อนคลาย” ต่างกับ “นวดรักษา”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 ธันวาคม 2567 รัฐบาลแนะข้อควรรู้ก่อนนวด กลุ่มเสี่ยงต้องระวัง! เผย “นวดผ่อนคลาย” ต่างกับ “นวดรักษา” ก่อนนวดต้องซักประวัติและควรรู้ข้อห้าม ข้อควรระวังก่อนนวด

วันนี้ (10 ธันวาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุ การนวดไทยเป็นกระบวนการดูแลสุขภาพ ที่ต้องมีหลักการหรือองค์ความรู้ในการนวดตามแนวเส้นประธานสิบ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดเมื่อย สำหรับการนวดไทย แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ การนวดเพื่อผ่อนคลาย หรือนวดเพื่อสุขภาพ และ การนวดเพื่อการรักษา ประกอบด้วย 1. หลักสูตรนวดเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง กลุ่มนี้จะไม่มีการบิด ดัด เป็นการนวด คอ บ่า แขน ขา สะบักและหลัง วัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ 2. หลักสูตรการนวดเพื่อการรักษา เป็นหลักสูตรการเรียนตั้งแต่ 330 ชั่วโมง 372 ชั่วโมง 800 ชั่วโมง และ 1,300 ชั่วโมง เพื่อบำบัดรักษาแต่ละกลุ่มอาการ เช่น กลุ่มปวดกล้ามเนื้อ นิ้วล็อก หัวไหล่ติด เข่าเสื่อม อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

ส่วนผู้ให้บริการด้านการนวดมี 3 ประเภท1) ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพ (หมอนวด) เรียน 150 ชั่วโมง อยู่ในกำกับของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปฏิบัติงานในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ  ร้านนวดเพื่อสุขภาพ และสปา 2) ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย เรียนตั้งแต่ 330 ชั่วโมง 372 ชั่วโมง 800 ชั่วโมง และ 1,300 ชั่วโมง อยู่ในกำกับของสภาการแพทย์แผนไทย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และคลินิก ทั้งภาครัฐและเอกชน 3) แพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่มีใบประกอบวิชาชีพ จากสภาการแพทย์แผนไทย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล  และคลินิกทั้งภาครัฐและเอกชน

สำหรับข้อห้ามและข้อควรระวังในส่วนผู้ให้บริการ

ข้อห้าม ได้แก่ 1. ห้ามนวดบริเวณที่เป็นมะเร็ง 2. ผู้ที่มีไข้สูงเกิน 38.5 องศา 3.บริเวณที่มีอาการอักเสบ บวม แดง ร้อน 4. ผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ 5.กระดูกแตก หัก ปริ ร้าว ที่ยังไม่หายดี และ 6. โรคติดเชื้อทางผิวหนังทุกชนิด

ข้อควรระวัง   ได้แก่ 1. สตรีมีครรภ์ 2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง 3. ใส่อวัยวะเทียมหลังผ่าตัดกระดูก 4. ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน กระดูกบาง และ 5. ผู้ที่เพิ่งรับประทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ (ไม่เกิน 30 นาที)  และก่อนให้บริการนวดไทย

หากท่านใดมีข้อสงสัย หรือสนใจข้อมูลด้านการนวดไทย สามารถสอบถามได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ หรือFACEBOOK  Line@ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือโทร 02 149 5678 ได้ในเวลาราชการ

Advertisement

พยากรณ์อากาศวันนี้ ไทยตอนบนอากาศเย็นลง 1-3 องศาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 ธันวาคม 2567 กรมอุตุฯ เผยมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมไทยตอนบน ทำให้อากาศเย็นลง กับมีลมแรง อุณหภูมิลดลง 1–3 องศาฯ

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นลง กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1–3 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาว ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นลง รวมถึงระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศแห้งและลมแรง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบนมีแนวโน้มของการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันที่ลดลง แต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีถึงปานกลาง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังแรงขึ้นและมีการระบายอากาศที่ดี

พยากรณ์อากาศรายภาค วันที่ 9 ธ.ค.67

กทม.-ปริมณฑล : เมฆบางส่วนกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคเหนือ : อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 5-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง : อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออก : เมฆบางส่วนกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) : มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้นมา : ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป : ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก) : มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร, ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

Advertisement

เปิดทดลองวิ่งมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี ตลอดสาย 26 ธค.67 – 2 มค.68 เป็นของขวัญปีใหม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤศจิกายน 2567 กรมทางหลวง เปิดทดลองวิ่งมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่ – กาญจนบุรี ตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม มั่นใจความพร้อมในการเปิดทดลองให้บริการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) ตลอดเส้นทางระยะทาง 96 กิโลเมตร ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 แก่พี่น้องประชาชน

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของกรมทางหลวง (ทล.) ในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เชื่อมโยงเศรษฐกิจ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน ภายใต้นโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ติดตามและเร่งรัดโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี เพื่อเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการโดยเร็วที่สุด โดย ทล. ได้เปิดทดลองให้บริการมอเตอร์เวย์ M81 ช่วงด่านนครปฐมตะวันตก – ด่านกาญจนบุรี ระยะทาง 51 กิโลเมตร ช่วงสุดสัปดาห์ ตั้งแต่วันศุกร์ เวลา 15.00 น. ถึงวันอาทิตย์ เวลา 21.00 น. มาตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2567 และล่าสุดได้ขยายเวลาเพิ่มจนถึงวันจันทร์ เวลา 12.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ขณะนี้โครงการฯ มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก งานโยธาแล้วเสร็จกว่า 99% และงานติดตั้งระบบต่าง ๆ คืบหน้าไปกว่า 66% ดังนั้น เพื่อเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่คนไทย ทล. จึงได้เร่งรัดดำเนินการก่อสร้างงานโยธาในส่วนที่เหลือ ช่วงบางใหญ่ – นครปฐม อย่างเต็มที่ ซึ่งตามแผนจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมีนาคม 2568 ให้สามารถเปิดทดลองใช้งานได้ก่อนกำหนด โดยมั่นใจว่าจะมีความพร้อมสามารถเปิดทดลองให้บริการมอเตอร์เวย์ M81 จากบางใหญ่ – นครปฐม – กาญจนบุรี ตลอดเส้นทาง ทั้ง 2 ทิศทาง ระยะทาง 96 กิโลเมตร เพื่อระบายการจราจรช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 โดยเป็นการเปิดทดลองให้บริการฟรี ไม่เก็บค่าธรรมเนียม ผ่านทาง และเนื่องจากยังเป็นเส้นทางที่อยู่ระหว่างก่อสร้างไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ จึงจะอนุญาตให้วิ่งได้เฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคล 4 ล้อ เท่านั้น และจำกัดความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง สามารถผ่านเข้า – ออกได้ 6 จุด ได้แก่ ด่านบางใหญ่ ด่านนครปฐมตะวันออก ด่านนครปฐมตะวันตก ด่านท่ามะกา ด่านท่าม่วง และด่านกาญจนบุรี

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย กล่าวเพิ่มเติมว่า มอเตอร์เวย์ M81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรีเปรียบเสมือนเส้นทางแห่งโอกาส เชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจ และพี่น้องประชาชนจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการเดินทางสู่ภาคตะวันตก ช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลถึงกาญจนบุรี เหลือเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งช่วยลดอุบัติเหตุด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานสากล ซึ่ง ทล. มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามอเตอร์เวย์ M81 จะเป็นอีกหนึ่งโครงข่ายคมนาคมที่สำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนต่อไป

Advertisement

บขส. จัดรถโดยสารกว่า 4,800 เที่ยว วิ่ง – เสริม 1,000 คัน ให้ประชาชนเดินทางช่วงปีใหม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 พฤศจิกายน 2567 บขส. จัดรถโดยสารกว่า 4,800 เที่ยววิ่ง – เที่ยวเสริม 1,000 คัน อำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 วันละ 120,000 คน

นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้จัดประชุมแผนปฏิบัติการเดินรถวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2567 – 3 มกราคม 2568 รวม 10 วัน ตามนโยบายกระทรวงคมนาคมที่ต้องการให้ประชาชนเดินทางได้อย่างราบรื่นและมีความสุข ภายใต้แนวคิด “I – SMART” “พัฒนาโครงข่ายและบริการระบบขนส่ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมสร้างระบบเศรษฐกิจ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และตำรวจ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2

สำหรับการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 บขส. คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นจากเทศกาลปีใหม่ 2567 ประมาณ 5% โดยเที่ยวไประหว่างวันที่ 25 – 28 ธันวาคม 2567 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ยวันละ 75,000 – 100,000 คน และใช้บริการมากที่สุดวันที่ 27 ธันวาคม 2567 จำนวน 120,000 คน และการใช้รถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม รถตู้) เฉลี่ยวันละ 4,500 – 4,800 เที่ยว ส่วนเที่ยวกลับระหว่างวันที่ 1 – 3 มกราคม 2568 คาดว่ามีผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ยวันละ 70,000 – 90,000 คน ใช้รถโดยสารเฉลี่ยวันละ 4,200 – 4,500 เที่ยว รวมทั้งประสาน ขสมก. จัดรถโดยสารเข้าจอดรับ – ส่งบริการประชาชน บริการแท็กซี่ ณ จุดจอดที่กำหนด และ บขส. ได้จัดรถ Shuttle Bus บริการฟรี เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต เวลา 04.00 – 07.00 น. นอกจากนี้ ได้จัดเตรียมรถเสริมรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถทะเบียน 30) จำนวน 1,000 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารในการเดินทางให้เพียงพอต่อความต้องการและไม่มีผู้โดยสารตกค้าง

สำหรับผู้โดยสารที่จองตั๋วโดยสาร บขส. ล่วงหน้า ในเส้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ตั้งแต่เที่ยวเวลา 18.00 น. เป็นต้นไป เดินทางวันที่ 25 – 28 ธันวาคม 2567 ให้ไปขึ้นรถที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ประตู 2 โดยผู้โดยสารสามารถเดินทางมายังสถานีกลางฯ ได้ทั้งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟชานเมืองสายสีแดง รถเมล์ และรถแท็กซี่ เพื่อขึ้นรถ บขส. ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และลดความแออัดภายในสถานีขนส่งฯ ทั้งนี้ ในการเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 บขส. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ขบ. ในการตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถก่อนเดินทางทุกคันทุกคน ตาม Checklist และจุด Checking Point รฟท. และ ขสมก. จัดการเดินทางเชื่อมต่อรถไฟ รถทัวร์ รถเมล์ กองบังคับการตำรวจจราจร สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ตลิ่งชัน และทองหล่อ สนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกด้านการจราจร บริเวณโดยรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพทั้ง 5 แห่ง ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์สารเสพติดของพนักงานขับรถก่อนปฏิบัติหน้าที่ และตรวจรถโดยสารบนทางหลวงสายหลัก

นอกจากนี้ ได้กำชับให้ฝ่ายธุรกิจเดินรถ บขส. และผู้ประกอบการรถร่วมฯ ดูแลมาตรการด้านความปลอดภัยของรถโดยสารและพนักงานขับรถอย่างเข้มงวด และเน้นย้ำให้มีการเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง โดยตรวจเช็กรถโดยสารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ควบคุมความเร็วบนรถไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง จัดพนักงานขับรถ 2 คน ในเส้นทางสายยาวที่ใช้เวลาเดินทางเกิน 4 ชั่วโมง และขอความร่วมมือผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทางด้วย ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย บขส. อนุญาตให้ผู้โดยสารที่มีตั๋วโดยสารเข้าพื้นที่ชานชาลาเท่านั้น รวมทั้งห้ามนำสิ่งของมีคมและสิ่งผิดกฎหมายขึ้นรถโดยสารเด็ดขาด โดย บขส. จะมีเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องและมีเครื่องสแกนตรวจเช็กวัตถุต้องห้ามอีกทางหนึ่งด้วย

Advertisement

Verified by ExactMetrics