วันที่ 17 มิถุนายน 2025

‘ดีอี’ ล้างบาง SMS แนบลิงก์หลอกลวง-ดูดเงินประชาชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 ตุลาคม 2567 ‘ดีอี’ ล้างบาง SMS แนบลิงก์หลอกลวง-ดูดเงินประชาชน วางมาตรการจัดระเบียบ สั่งลงทะเบียน ‘Sender Name’ ทั้งระบบ พร้อมกำหนด ‘ผู้ให้บริการ’ ตรวจสอบลิงก์ก่อน หากพบผิดปกติแจ้ง ‘ตำรวจ’ เอาผิดตามกฎหมาย

วันที่ 23 ตุลาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งมาตรการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะกรณีของ SMS แนบลิงก์หลอกลวงจากการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพ ที่ผ่านมา พบว่ามีการใช้ช่องทางของ SMS หรือข้อความแนบลิงก์ ในโทรศัพท์มือถือของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยลิงก์ดังกล่าว อาจเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการติดตั้งระบบดึงข้อมูลส่วนบุคคล หรือดูดเงินในบัญชีของประชาชน ซึ่งสร้างผลกระทบและความเสียหายให้กับประชาชน กระทรวงดีอี จึงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม เร่งดำเนินมาตรการป้องกันการส่ง SMS แนบลิงก์หลอกลวง ดังนี้

1.การลงทะเบียน Sender Name ใหม่ทั้งระบบ ภายในปี 2567 นี้ และต้องมีการลงทะเบียนทุกๆ ปี เพื่อให้สามารถระบุว่า ผู้ให้บริการ และ ผู้ส่ง SMS คือใคร , 2. มาตรการความปลอดภัยสำหรับการส่ง SMS แนบลิงค์ ดังนี้ 2.1 ผู้ส่งข้อความ (Sender Name) SMS แนบลิงก์ จะต้องลงทะเบียนกับผู้ให้บริการเครือข่ายทุกครั้ง , 2.2 สำหรับการลงทะเบียนการส่ง SMS แนบลิงก์ จะต้องระบุรายละเอียดของข้อความ และลิงก์ เพื่อให้ ผู้ให้บริการเครือข่าย ตรวจสอบลิงก์ ก่อนที่จะส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ (End user) และ 2.3 หากกรณีที่มีการตรวจพบ ข้อความแนบลิงก์หลอกลวง ข้อความแนบลิงก์ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน หรือ ข้อความอื่นที่สามารถใช้เป็นช่องทางในการติดต่อถึงบุคคลอื่น เช่น ไอดี Line ทั้งนี้มอบหมายให้ตำรวจดำเนินการ โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 โดยให้ดำเนินการแจ้งผู้ให้บริการเครือข่ายยกเลิกสัญญาบริการกับผู้ส่งข้อความ (Sender Name) และผู้ให้บริการต้องแจ้งข้อมูลการลงทะเบียนของผู้ส่งข้อความให้กับทางตำรวจเพื่อดำเนินคดีตากฎหมายกับผู้ส่งข้อความต่อไป

“สำหรับมาตรการ Cleansing Sender Name ดังกล่าวจะเป็นการป้องกันและปราบปรามมิจฉาชีพในการส่งข้อความ SMS แนบลิงก์หลอกลวงเพื่อใช้ในการติดตั้งระบบดูดเงิน หรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้เป็นจำนวนมาก โดยกำหนดลงทะเบียนให้ผู้ส่งข้อความจบภายในปี 2567 นี้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

นายประเสริฐ ย้ำว่า กระทรวงดีอีห่วงใยพี่น้องประชาชน โดยขอให้ตรวจสอบอย่างละเอียด หากมีการส่ง SMS แนบลิงก์ เข้ามาจากผู้ส่งข้อความ (เบอร์โทร) ที่น่าสงสัย หากมีการแอบอ้างในข้อความว่าเป็นหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือธนาคาร ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่าหน่วยงานราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ไม่มีนโยบายในการให้ ข้าราชการ พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ ส่ง SMS ผ่านเบอร์โทรส่วนตัวถึงประชาชน โดยหากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามผ่านสายด่วน 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ขอให้ประชาชน ยึด ‘หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน

Advertisement

สำนักงานสลากฯ ห้ามขายสลากตัวเลขสามหลัก ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และใกล้สถานศึกษา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 ตุลาคม 2567 สำนักงานสลากฯ ห้ามขายสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และใกล้สถานศึกษา ตรึงจุดทดสอบจำหน่ายเฉพาะโครงการสลาก 80 เท่านั้น เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อรับสมัครตัวแทน

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เวลา 11.00 น. สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) นำโดย พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานฯ พร้อมด้วยนายทวีป วุฒิบาทุกาจิตต์ รองผู้อำนวยการสำนักงานฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 ณ บริเวณจุดจำหน่ายสวนหลวง จ.กรุงเทพฯ และจุดจำหน่ายศรีสมาน จ.นนทบุรี เพื่อเป็นการยืนยันความพร้อมในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ผลิตภัณฑ์ใหม่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

พันโท หนุน กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการออกผลิตภัณฑ์สลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก คือ ต้องการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาผ่านกลไกตลาดเพื่อให้ผู้ซื้อมีทางเลือกในการซื้อ ด้วยจุดแข็งคือ ซื้อสลากฉบับเดียว 20 บาท มีโอกาสถูก 4 ประเภทรางวัล คือ สามตรง , สามสลับหลัก , สองตรง และ รางวัลพิเศษ และสามารถเลือกได้เองทุกหมายเลขที่ต้องการ ซึ่งผลพลอยได้ที่ตามมาก็คือการช่วยบรรเทาปัญหาการพนันนอกระบบ หรือ หวยใต้ดิน ได้อีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ การกำหนดให้จำหน่ายผ่านจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 จำนวน 647 แห่งทั่วประเทศ และชำระเงินด้วยด้วยระบบดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในราคาฉบับละ 20 บาทเท่านั้น เพราะอยู่ในช่วงระบบทดสอบแบบปิด (Sandbox) ซึ่งสำนักงานสลากฯ เป็นผู้จำหน่ายเอง โดยได้รับความร่วมมือจากจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 เป็นช่องทางในการจำหน่าย และขอเน้นย้ำว่า ยังไม่ได้มีการเปิดให้จำหน่ายผ่านตัวแทนแต่อย่างใด จึงขอความร่วมมืออย่าหลงเชื่อว่ามีการเปิดรับสมัครตัวแทนในขณะนี้

อีกประการหนึ่ง นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาสลากเกินราคา และการพนันนอกระบบแล้ว สำนักงานสลากฯ ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเชิงลบในทุกมิติ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการเล่นพนันอย่างกว้างขวาง ซึ่งการกำหนดจำหน่ายเฉพาะจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 จะสามารถควบคุมไม่ให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีสามารถซื้อสลากได้ และไม่มีการจำหน่ายสลากฯ ใกล้กับสถานศึกษาได้อย่างแน่นอน เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคมของผู้ให้บริการเกมเสี่ยงโชค (Responsible Gaming)

พันโท หนุน กล่าวเพิ่มเติมว่า การจำหน่ายและจ่ายเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ดำเนินการภายใต้กฎหมายอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการจ่ายเงินรางวัลแบบผันแปรตามจำนวนผู้ถูกรางวัลในแต่ละหมายเลขของงวดนั้น ๆ ดังนั้น อัตราการจ่ายเงินรางวัล จึงขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อ โดยจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นแตกต่างกันในแต่ละหมายเลข ตั้งแต่ต้นงวดจนถึงช่วงปิดจำหน่าย

ทั้งนี้ ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบจำนวนเงินรางวัลแต่ละประเภทรางวัลได้จาก 1. ตรวจสอบด้วยตนเอง ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังในฟีเจอร์ ‘เช็กเลขขายดีและเงินรางวัลงวดนี้’ ทั้ง 1,000 หมายเลข 2. มีการแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการ ในช่วงการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลักและสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน หรือตามที่สำนักงานสลากฯ กำหนด

“สำนักงานสลากฯ ยืนยันว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ดำเนินการถูกกฎหมาย และจ่ายเงินรางวัลแน่นอนทุกบาททุกสตางค์ หากท่านไม่ถูกรางวัล รายได้จากการจำหน่ายสลากตามกฎหมาย จะถูกนำส่งเป็นรายได้เข้ารัฐ เพื่อดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ของสังคมต่อไป”

สำหรับการออกรางวัล จะใช้ผลรางวัลอ้างอิงจากผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก โดยรางวัลสามตรงและสามสลับหลัก จะมาจากเลข 3 ตัวท้ายของผลรางวัลที่ 1, รางวัลสองตรงมาจากผลรางวัลเลขท้าย 2 ตัว และรางวัลพิเศษจะสุ่มจากผู้ถูกรางวัลสามตรงเท่านั้น โดยจะมีการออกรางวัลพิเศษภายหลังจากการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลักเสร็จสิ้นในแต่ละงวด

โดยผู้ที่ถูกรางวัลจะได้รับการเตือนในแอปพลิเคชันเป๋าตัง และสามารถกดรับเงินรางวัลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ทันที โดยจะต้องมีการชำระค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท ต่อเงินรางวัล 200 บาท หรือเศษของ 200 บาท และการรับเงินโดยวิธีการโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีธนาคาร ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

Advertisement

วธ.เดินหน้า 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ จับมือ 7 มหาวิทยาลัยชั้นนำ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 ตุลาคม 2567 วธ.เดินหน้า 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ จับมือ 7 มหาวิทยาลัยชั้นนำ จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านศิลปะทั่วประเทศ พร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนวงการศิลปะไทยสู่สากล

กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม  ผลักดันนโยบายรัฐบาล สนับสนุนขับเคลื่อน OFOS ศิลปะ ร่วมกับสถาบันการศึกษาภาครัฐและเอกชน 7 แห่ง จัดทำโครงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ครู อาจารย์ นักเรียน ปราชญ์ชาวบ้าน สล่าพื้นเมือง ครูพระ บุคลากรในวงการศิลปะ และผู้ที่สนใจหรือมีความชื่นชอบด้านศิลปะทั่วประเทศ ให้เป็นพลังขับเคลื่อน พัฒนาวงการศิลปะไทยสู่สากล สมัครได้แล้ววันนี้

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล OFOS ด้านศิลปะ โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณงบกลาง ประจำปี 2567 โครงการสนับสนุนเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะตามนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์ วงเงิน 13,686,000 บาท เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมาย ส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ และพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ด้านศิลปะ ให้เป็นไปในทิศทางการพัฒนาประเทศภายใต้นโยบาย THACCA บัดนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา 7 แห่ง ร่วมดำเนินโครงการฯ เพื่อพัฒนาบุคลากรและวงการศิลปะของประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ เผยอีกว่า โครงการเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะฯ กับสถาบันการศึกษา 7 แห่ง ในส่วนภาคกลาง และส่วนภูมิภาค มีกำหนดการดำเนินการ ในระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 ประกอบด้วย

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย คณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการ “Next-Gen Arts : พัฒนาศักยภาพครูศิลปะด้วย Soft Power และ คณะครุศาสตร์ ภายใต้โครงการจัดทำคู่มือส่งเสริมการสอนในด้านสุนทรียภาพในรูปแบบ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของครูผู้สอน สำหรับมัธยมศึกษา 1 – 6 ของวิชาศิลปะและศิลปะการแสดง ประจำปี 2567
  2. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยคณะวิจิตรศิลป์ ภายใต้โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการบุคลากรครูด้านศิลปะเขตพื้นที่การศึกษาภาคเหนือ ประจำปี 2567
  3. มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการฝึกอบรมบุคลากรด้านศิลปะตามโครงการสนับสนุนเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะตามนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์
  4. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการบุคลากรครูด้านศิลปะภาคใต้ ประจำปี 2567
  5. มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ ภายใต้โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการนักเรียนศักยภาพด้านศิลปะระดับสูง ประจำปี 2567 “การพัฒนาศักยภาพด้านศิลปะ ผ่านการเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนและความหลากหลายของวัฒนธรรม”
  6. มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการอบรมออนไลน์เชิงปฏิบัติการ หัวข้อหลักสูตร การจัดการด้านลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญางานศิลปะ ประจำปี 2567
  7. มหาวิทยาลัยรังสิต โดยวิทยาลัยการออกแบบ ภายใต้โครงการอบรมออนไลน์เชิงปฏิบัติการ หัวข้อหลักสูตร Arts Marketing (เข้าสู่ตลาดศิลปะ)

ทั้งนี้ จึงขอเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ปราชญ์ชาวบ้าน สล่าพื้นเมือง ครูพระ บุคลากรในแวดวงศิลปะ และผู้ที่สนใจหรือมีความชื่นชอบด้านศิลปะ ติดตามข่าวสาร สมัครเข้าร่วมโครงการ ตามวัน เวลา สถานที่ ในการดำเนินโครงการ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ โดยสแกนคิวอาโค้ด ใน infographic ที่แนบ

Advertisement

ก.วัฒนธรรม ชวนนักท่องเที่ยวร่วมบุญออกพรรษา ชมขบวนแห่ต้นกระธูปที่สวยที่สุดในโลกและฟ้อนรำถวายเจ้าพ่อพญาแล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 ตุลาคม 2567 “สุดาวรรณ” ชวนนักท่องเที่ยวร่วมบุญออกพรรษา ชมขบวนแห่ต้นกระธูปที่สวยที่สุดในโลกและฟ้อนรำถวายเจ้าพ่อพญาแล สุดยิ่งใหญ่อลังการ ที่ อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ 13 – 16 ตุลาคม 2567 ด้าน วธ.พร้อมยกระดับประเพณีของไทยสู่นานาชาติ โชว์ Soft Power สร้างเสน่ห์วิถีไทย ครองใจคนทั้งโลก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายยกระดับเทศกาลประเพณีที่มีศักยภาพและมีความโดดเด่นของจังหวัดในการส่งเสริมให้มีการยกระดับเทศกาลประเพณีในระดับชาติและนานาชาติเพื่อเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประชาชน รวมถึงในปีนี้วธ. มุ่งขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมเพื่อเสริมสร้างสังคมเข้มแข็งและสนับสนุนเศรษฐกิจวัฒนธรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน สนับสนุนการบูรณาการความกับทุกภาคส่วนและทุกหน่วยงาน ผลักดันการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรม รองรับนโยบายรัฐบาล THACCA (Thailand Creative Content Agency) ขับเคลื่อน Soft Power สร้างเสน่ห์วิถีไทย ครองใจคนทั้งโลก วธ. จึงได้ประกาศการยกระดับเทศกาลประเพณีไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ ของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยจังหวัดชัยภูมิ ได้รับการคัดเลือกเทศกาลประเพณีเพื่อยกระดับชาติและนานาชาติ คือ ประเพณีบุญกระธูปออกพรรษา จังหวัดชัยภูมิ ระหว่างวันที่ 13 – 16 ตุลาคม 2567 ณ ที่ว่าการอำเภอหนองบัวแดง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า การจัดงานประเพณีบุญกระธูปออกพรรษา เกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชัยภูมิ กระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดชัยภูมิ และอำเภอหนองบัวแดง จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ โชว์อัตลักษณ์งานบุญกระธูป ประเพณีโดดเด่นของอำเภอหนองบัวแดง ด้วยพิธีเปิดสุดยิ่งใหญ่ ชมขบวนแห่ศิลปวัฒนธรรม และต้นกระธูปใหญ่ยักษ์ นอกจากนี้กิจกรรมตลอดการจัดงานระหว่างวันที่ 13 -16 ตุลาคม 2567 ประกอบด้วย การรำถวายพระยาภักดีชุมพล จำนวน 1,500 คน การประกวดต้นกระธูปโบราน การแข่งขัน “NBD to be number 1 contest 2024” การประกวดเต้นรำเข้าจังหวะย้อนยุค และการประกวดสวดมนต์หมู่ ทำนองสรภัญญะ และการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากศิลปินชื่อดัง โดยในส่วนของวธ. ร่วมบูรณาการนำกิจกรรมส่งเสริมงานวัฒนธรรมมากมาย ได้แก่ กิจกรรมอบรมพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม อาทิ ต้นกระธูปจิ๋ว ปิ่นปักผม พวงกุญแจ กระเป๋า กิจกรรมถนนสายกระธูป (กระธูปหรรษา) กิจกรรมจัดนิทรรศการองค์ความรู้ประเพณีบุญกระธูป และกิจกรรมรำกระธูปบูชา โดยวิทยาลัยนาฏศิลป์นครราชสีมา สุดตระการตา

“กระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ดำเนินการขับเคลื่อนและส่งเสริมเทศกาลบุญกระธูปในครั้งนี้ มุ่งหวังให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประชาชนในพื้นที่ มีเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงในจังหวัดชัยภูมิ ที่น่าสนใจและเป็นไปในรูปแบบการอนุรักษ์ธรรมชาติ วิถีชีวิตวัฒนธรรมชุมชน ชุมชนสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มและความต้องการของตลาดในทุกรูปแบบ ตลอดจนหวังให้เทศกาลประเพณีบุญกระธูปได้รับการยกระดับจากระดับจังหวัดไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยในเชิงมิติวัฒนธรรม ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 25 ประเทศที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power ในมิติวัฒนธรรมต่อไป และขอเชิญเที่ยวงานบุญกระธูปออกพรรษา 13 – 16 ตุลาคม 2567 นี้ ที่อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ งานบุญกระธูปสุดอลังการตระการตา หนึ่งเดียวในโลก ชมขบวนแห่ศิลปวัฒนธรรม และต้นกระธูปใหญ่ยักษ์ จาก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 9 แห่ง ชมพิธีเปิดและการฟ้อนรำถวายเจ้าพ่อพญาแล สุดยิ่งใหญ่อลังการ แล้วพบกันที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอหนองบัวแดง” นางสาวสุดาวรรณ กล่าว

ทั้งนี้ ประเพณีนี้เกิดจากภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น จังหวัดชัยภูมิอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในเขตอำเภอหนองบัวแดง ซึ่งมีความเชื่อ ความศรัทธา พิธีกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมรวมไปถึงการดำเนินชีวิตสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก การแห่กระธูปเป็นคติความเชื่อโดยมองว่าเป็นการสร้างความร่มเย็นอันยิ่งใหญ่ใต้ร่มพระพุทธศาสนา โดยต้นกระธูปเป็นสัญลักษณ์แทนต้นหว้า ต้นไม้ประจำชมพูทวีป อันมีบันทึกไว้ในหนังสือฎีกาพระมาลัยสูตรว่าลักษณะของต้นกระธูปมีความยาวประมาณ 50 โยชน์ มีกิ่งใหญ่ 4 กิ่ง แผ่ออกไป 4 ทิศทาง กว้างเป็นมณฑลทั้งได้ 100 โยชน์ อันสื่อความหมายถึง พระพุทธศาสนานี้เป็นที่ร่มเย็นแก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เปรียบเอาต้นกระธูปนี้จุดแล้วย่อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรขจายไปยังทิศต่าง ๆ ทำให้เกิดความสุข เป็นคุณค่าทางจิตใจ และเพื่อบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวาระที่พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา

ขั้นตอนการทำต้นกระธูป เริ่มจากเอาขุยมะพร้าวมาผสมกับฝุ่นผงหอมของใบอ้ม ใบเนียม ใบปอสาแล้วห่อด้วยกระดาษเข้ารูปยาวเหมือนธูป นำกระดาษสีมาตัดแปะเป็นลวดลายให้สวยงาม ส่วนใหญ่นิยมแบบลายไทยเช่นเดียวกับลายมัดหมี่ แล้วนำธูปที่ได้มาติดกับดาวที่ทำจากใบลาน มามัดติดกับคันไม้ไผ่ที่มีลักษณะคล้ายคันเบ็ด แล้วเอาไปเสียบไว้กับแกนไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ ความสูงประมาณ 3 – 5 เมตร หรือมากกว่านั้น ขึ้นทรงคล้ายฉัตร พร้อมกับเอาลูกดุมกา ลักษณะคล้ายส้ม แต่มีเปลือกแข็งมาผ่าเป็นสองซีก ใส่น้ำมันพืชลงไปแล้วขวั้นด้ายเป็นรูปตีนกาเพื่อจุดไฟให้แสงสว่างใต้ต้นกระธูป แต่ในระยะหลังเริ่มมีการนำธูปสำเร็จรูปมาใช้แทนเพื่อความสะดวกรวดเร็ว

ประเพณีแห่บุญกระธูปจัดขึ้นในช่วงออกพรรษา โดยมีความสอดคล้องกับความเป็นมาของประเพณีฮีตสิบสอง ซึ่งถือเอาช่วงก่อนวันออกพรรษา 3 วัน คือ ขึ้น 12 – 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ก่อนเทศกาลจะเริ่มผู้นำชุมชนร่วมกับชาวบ้านจะจัดทำต้นกระธูปเพื่อจุดถวายพุทธบูชา  ต้นกระธูปมีหลากหลายขนาด ขนาดเล็กมีความสูงไม่เกิน 3 เมตร ขนาดใหญ่ มีความสูงไม่เกิน 6 เมตร  ภายในงานมีการแห่กระธูป ขบวนนางรำ ธิดากระธูป การแสดงดนตรี การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การประกวดกระธูปสวยงาม การแสดงพื้นบ้าน และมหรสพสมโภชกลางคืน

Advertisement

นายกฯ สั่งตรวจสอบรถติดแก๊ส 13,000 คัน ภายใน 60 วัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 ตุลาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล – นายกฯ สั่งตรวจสอบรถติดแก๊สทั้ง 13,000 คัน ภายใน 60 วัน พร้อมให้ สธ.-มท.-พม.-ศธ. พิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของผู้คน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ครม. ภายหลังเมื่อวานนี้ (7 ต.ค.) ประชุมหารือในเรื่องความปลอดภัยทางถนน ว่า ให้รถที่ติดแก๊ส CNG และ NGV รวมประมาณ 13,000 คัน เร่งตรวจสอบให้ได้ภายใน 60 วัน

ขณะเดียวกัน ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงศึกษาธิการ ไปพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงต่างๆ

ขณะที่ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แจ้งแก่ ครม. ว่า ได้สั่งการกรมเจ้าท่า ให้ตรวจสอบเรือโดยสารทั้งประเทศที่มีทั้งหมด 15,000 ลำ และเรือภัตตาคารที่วิ่งตามลำน้ำต่างๆทั่วประเทศทั้งหมด 108 ลำ ให้ไปตรวจ 2 พลังงาน คือ 1.พลังงานที่ใช้กับการทำครัว ซึ่งเป็นถังแก๊สต่างๆที่วางอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะสม 2.พลังงานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ โดยให้ตรวจสอบละเอียด และกลับมารายงานต่อที่ประชุมต่อไป

Advertisement

“วราวุธ” เปิดงานวันผู้สูงอายุสากล 2567 ย้ำ ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กันยายน 2567 “วราวุธ” รมว.พม. เปิดงานวันผู้สูงอายุสากล 2567 ย้ำ ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์แล้ว ดัน นโยบาย พม. 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร

วันที่ 30 กันยายน 2567 ที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันผู้สูงอายุสากล ประจำปี 2567 (International Day of Older Persons 2024) ภายใต้แนวคิด “การสูงวัยอย่างมีศักดิ์ศรี : ความสำคัญของการเสริมสร้างระบบการดูแล และสนับสนุนผู้สูงอายุทั่วโลก” “Ageing With Dignity: The Importance Of Strengthening Care And Support Systems For Older Persons Worldwide” โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงานถึงการจัดงาน และนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กล่าวถึงความร่วมมือในการจัดงาน พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม.  นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้แทนภาคีเครือข่ายผู้สูงอายุ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน

ในงานมีการกล่าวสาส์นสากล โดยนางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่ง (UNFPA) ประจำประเทศไทยอาจารย์นคร ถนอมทรัพย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล – ประพันธ์และขับร้อง) พุทธศักราช 2554 อายุ 92 ปี ร้องเพลง “สดใสวัยชรา” พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จากนั้นมีพิธีแสดงความยินดี นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ผู้นำขบวนการแพทย์ชนบท” (RURAL DOCTORS MOVEMENT) ได้รับรางวัลรามอนแมกไซไซไซ (Ramon Magsaysay Award) ประจำปี 2567

สำหรับภายในงานมีการจัดกิจกรรมในบรรยากาศย้อนไปในยุคดิสโก้ หรือยุค 70 อาทิ การประกาศเจตนารมณ์วันผู้สูงอายุสากล , นิทรรศการวิชาการ นโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร , นิทรรศการระบบการดูแลและสนับสนุนผู้สูงอายุ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ , การสาธิตผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุศูนย์การเรียนรู้การแสดงทางวัฒนธรรมและการสร้างเศรษฐกิจเพื่อชุมชนอย่างยั่งยืน , การสาธิตดนตรีบำบัด วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล , บริการตรวจสุขภาพฟัน โดยมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ , บริการตรวจสุขภาพ โดยโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง

นายวราวุธ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ซึ่งองค์การสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุสากล ถือเป็นวันเฉลิมฉลองที่สำคัญของผู้สูงอายุทั่วโลก เพื่อแสดงถึงคุณค่าของผู้สูงอายุให้คนทั่วไปตระหนักว่าตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผู้สูงอายุได้สร้างคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง คุณงามความดี รวมทั้งสรรค์สร้างทุกสิ่งให้กับสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก คิดเป็นร้อยละ 20.08 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จึงได้จัดงานมหกรรมวันผู้สูงอายุสากล ประจำปี 2567 เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ ในความสูงอายุยิ่งมีความสูงค่า เพราะผู้สูงอายุเป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิต ผู้มากประสบการณ์ ไม่ใช่ผู้รอรับการสงเคราะห์ สามารถเป็นพลังของสังคมและเป็นส่วนสำคัญและเป็นทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตโครงสร้างประชากรของประเทศไทย ด้วยการใช้ศักยภาพมาร่วมพัฒนาสังคม และมีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองได้อย่างเหมาะสม ตามมาตรการสำคัญ 5 มาตรการ ภายใต้นโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร ของกระทรวง พม. ได้แก่ 1. การมุ่งการป้องกันโรคมากกว่ารักษาโรค 2. การขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้สูงอายุ 3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน 4. การส่งเสริมให้มีสภาพแวดล้อม ทั้งภายในบ้าน รอบบ้าน และในชุมชน และ 5. การส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในทุกมิติ ผู้สูงอายุทุกจะเป็นพลัง เป็นทรัพยากรที่สำคัญ เป็นทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตโครงสร้างประชากรของประเทศไทย ผู้สูงอายุไม่ได้เป็นภาระหรือผู้ไม่มีศักยภาพ

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. และเครือข่ายทุกภาคส่วนจะร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้านการดูแลผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงอายุสามารถอยู่ในชุมชนของตนเองได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน และจะเสริมสร้างศักยภาพของผู้สูงอายุในประเทศไทยให้เป็นกลุ่มคนที่เป็นกำลังหลักคอยสนับสนุนคนรุ่นต่างๆ ในสังคมไทย

Advertisement

“วราวุธ” เผย ครม. อนุมัติงบกลาง กว่า 400 ล้าน ให้ พม. จ่ายค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ที่ค้างจ่ายเกือบ 1.4 แสนราย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 กันยายน 2567 “วราวุธ” เผยมติ ครม. อนุมัติงบกลาง กว่า 400 ล้านบาท ให้ พม. จ่ายค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ที่ค้างมาระยะหนึ่งแล้ว

ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ขอบคุณทางคณะรัฐมนตรีที่ได้มีมติอนุมัติเงินจากงบกลางสำหรับโครงการสนับสนุนการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งค้างจ่ายอยู่มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว และสถานะล่าสุด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 มีการค้างจ่ายอยู่ประมาณ 138,832 ราย ที่ผู้สูงอายุเสียชีวิตแล้วจะต้องได้รับค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ในการนี้จาก 138,832 ราย ทางคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณจากงบกลาง เป็นจำนวนเงิน 416,496,000 บาท ในการที่จะจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ในส่วนของงบประมาณประจำปี 2568 นั้น เราได้ของบประมาณไปแล้ว แต่จากตัวเลขที่มีการเพิ่มขึ้นลดลงของจำนวนผู้สูงอายุที่เสียชีวิตนั้น อาจจะทำให้งบประมาณยังไม่ครบในส่วนของงบประมาณประจำปี 2568 ซึ่งจะทำการของบประมาณในช่วงของปีหน้าเพื่อสมทบให้ครบตามจำนวนต่อไป แต่เบื้องต้นในส่วนของงบประมาณประจำปี 2567 นี้ เรามีความยินดีที่จะได้แจ้งข่าวให้กับพี่น้องประชาชนว่าค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณีนั้น ขณะนี้ทางรัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรี และกระทรวง พม. ได้รับเงินอุดหนุนจากงบกลางมาเรียบร้อยแล้ว และจะเร่งจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศภายในเร็วๆ นี้

Advertisement

เล็งขยายพื้นที่ฟอกไตให้ประชาชนเข้าถึงบริการ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 กันยายน 2567 รัฐสภา – “สมศักดิ์” กางหลักฐานทางการแพทย์ ยัน กินน้ำท่อมไม่ใช่สาเหตุไตวายในวัยรุ่น เล็งขยายพื้นที่ฟอกไตให้ประชาชนเข้าถึงบริการ คู่ขนานกับการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เตรียมผลักดันโครงการ “อสม.ช่วยสังคมไทยห่างไกล NCD”

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าชี้แจงกระทู้ถามแยกต่อสภาผู้แทนราษฎรในประเด็นแนวทางการแก้ไขโรคไตเสื่อมในวัยรุ่น ที่เกิดจากการบริโภคใบกระท่อมและน้ำกระท่อม ที่ถามโดย สส.นายประสิทธิ สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน โดยมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธาน

โดยนายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนบ่งบอกว่าการดื่มน้ำใบกระท่อมทำให้เกิดไตวาย เนื่องจากคนที่มีภาวะไตวายกับมีประวัติการดื่มน้ำกระท่อมเกือบทุกคนมีการใช้ยาเสพติดและสารเคมีอื่นร่วมด้วย การศึกษาพบว่าการรับสารเกินขนาดทำให้เกิดกล้ามเนื้อสลาย และทำให้การทำงานของไต ตับ ล้มเหลวตามมาได้ รวมถึงการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ใบกระท่อมเป็นระยะ 11 ปี จำนวน 88 คน เทียบกับกับปกติ 83 คน อาจทำให้โปรตีนรั่วทางปัสสาวะ ซึ่งบ่งบอกว่าการทำงานผิดปกติแต่ไม่เกิดกับไตหรือไตวาย นอกจากนี้จำนวนผู้ที่ป่วยไตวายในช่วงวัยรุ่นไม่ได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับโรคไตในวัยรุ่น ไตอักเสบ อาจมาจากการได้รับสารเคมีที่เป็นพิษกับตับ ไต เช่น การใช้ยาไม่ถูกวิธี กลุ่มยาแก้ปวดไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนคขนาดสูงและต่อเนื่องหลายสัปดาห์ โรคพันธุกรรมบางชนิด

ส่วนคำถามกรณี กระทรวงสาธารณสุขมีแนวทางการขยายจำนวนและกระจายศูนย์ให้บริการการฟอกไตเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฟอกไตให้ประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศไทยหรือไม่ อย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การฟอกไตปริมาณมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ปัจจุบันมีศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมจำนวนทั้งสิ้น 1,100 แห่ง ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ครอบคลุม 12 เขตสุขภาพ กระจายทุกจังหวัด รวมถึงมีอายุรแพทย์โรคไตทุกเขตสุขภาพ ขยายบริการฟอกไตในโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่าย โดยมีแผน เพิ่มการผลิตพยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านไตเทียม รองรับการขยายตัวของ แผนการมีหน่วยไตเทียมในโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่ายที่รับผิดชอบ ประชากรมากกว่า 50,000 คน เพื่อกระจายการบริการให้ครอบคลุม ทั่วทุกพื้นที่ และทำให้เกิดระบบส่งต่อแบบไร้รอยต่อ เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางไปฟอกไต และมีโครงการเพิ่มการปลูกถ่ายไต โดยทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ จะประหยัดค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ การฟอกไตโดยไปที่ศูนย์ และการล้างไตทางช่องท้อง ใช้งบประปีละ 2.5 หมื่นล้านบาท – 3.1 หมื่นล้านบาท นี่คือปัญหาของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือ NCDs ใช้งบประมาณมากที่สุด 1.3 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามยังพบสาเหตุโรคไตวายเรื้อรังเกิดจาก เบาหวานและความดันโลหิตถึงร้อยละ 60 กระทรวงฯ กำลังจะทำโครงการอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) ช่วยสังคมไทยห่างไกล NCDs ซึ่งกระจายทั่วประเทศ

จากนั้น นายธัญธร ธนินวัฒนาธร สส.กทม.พรรคประชาชน ตั้งกระทู้เรื่อง กระทรวงสาธารณสุขได้มีการพิจารณาถึงความจำเป็นในการให้วัคซีนไข้เลือดออกกับประชาชนที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาแล้วหรือไม่ ผลการศึกษาเป็นอย่างไร นายสมศักดิ์ชี้แจงว่า อยุ่ระหว่างการศึกษาพิจารณาความจำเป็น ปลอดภัย ความคุ้มค่า ของงบประมาณ ไข้เลือดออกที่ระบาดในประเทศไทยมี 4 สายพันธุ์ มีวัคซีนที่ได้ขึ้นทะเบียนในไทยแล้วจำนวน 2 ชนิด แม้ว่าจะมีส่วนดี แต่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ในการป้องกันในบางสายพันธุ์ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาข้อมูลประสิทธิภาพการป้องกันโรคไข้เลือดออกแยกรายสายพันธุ์เพิ่มเติมก่อน การนำมาใช้ในประชาชนในวงกว้างจำเป็นต้องพิจารณาในทุกมิติอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะประเด็นความปลอดภัย

Advertisement

นายกฯ มอบนโยบาย ป.ป.ส. แก้ปัญหายาเสพติด 1 ใน 10 นโยบายเร่งด่วน ดำเนินการทันที ขยายผลทั่วไทย-ตรวจเข้มชายแดน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 กันยายน 2567 นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ ป.ป.ส. เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติด 1 ใน 10 นโยบายเร่งด่วน ประกาศวาระแห่งชาติ ดำเนินการทันที เล็งขยายผลทั่วไทย-ตรวจเข้มชายแดน

วันนี้ (18 กันยายน 2567) เวลา 13.40 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายในการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ 2/2567 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีเเละรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย  พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตํารวจเเห่งชาติ ตัวแทนผู้บัญชาการเหล่าทัพ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมว่า รู้สึกดีใจที่ได้ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพราะปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศ และเป็นพื้นฐานที่จะไปพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปได้ ซึ่งเรื่องยาเสพติดจำเป็นที่ต้องดูแลอย่างดี หลังจากการลงพื้นที่หลายจังหวัดได้รับเสียงสะท้อนในเรื่องปัญหายาเสพติดมาโดยตลอด ทั้งจาก ส.ส. ประชาชน ถือว่าเป็นปัญหาที่หนักหน่วง ทำลายเรื่องของสุขภาพจิตและสร้างปัญหาครอบครัว ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็น 1 ใน 10 นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที โดยจะขยายผลการดำเนินการของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้การป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระเเห่งชาติ

นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามผลการดำเนินตั้งแต่มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2567 ในพื้นที่ 25 จังหวัด  ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร  ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ ภาคกลาง ได้แก่ สมุทรปราการ ชลบุรี และกาญจนบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา กาฬสินธุ์ อุดรธานี นครพนม มหาสารคาม ร้อยเอ็ด หนองคาย มุกดาหาร สกลนคร หนองบัวลำภู เลย บึงกาฬ และ ขอนแก่น  ภาคใต้ ได้แก่ นครศรีธรรมราช ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และสตูล ซึ่งจากการวัดผลพบว่าทุกคนร่วมมืออย่างทุ่มเท จริงจัง ต้องขอบคุณทุกภาคส่วน ภาครัฐ หน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานปกครอง รวมทั้ง ป.ป.ส. ที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ อีกทั้งจากผลการสำรวจความพอใจจากประชาชนใน 25 จังหวัดดังกล่าวยังพบว่ามีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งได้ทราบว่าสามารถจับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หลายราย ทำให้รายเล็กโดนจับด้วย ส่งผลให้ประชาชนมีความปลอดภัยมากขึ้นและพึงพอใจมากขึ้น

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำอยากจะให้จัดเฟสรีบขยายจำนวนจังหวัดให้เร็วขึ้นจะได้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพราะยังมีอีกหลายจังหวัดขอความช่วยเหลือเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องดำเนินการต่ออย่างเข้มแข็ง และดูตัวอย่างพื้นที่ที่ทำไปแล้ว เช่น ธวัชบุรีโมเดล จ.ร้อยเอ็ด และท่าวังผาโมเดล จ.น่าน เมื่อดำเนินการแล้วถือเป็นสิ่งที่ทำแล้วได้ผลมาก รวมถึงประเด็นปัญหาชายเเดน ที่จะต้องป้องกันอย่างเข้มงวด เพื่อทำให้ยาเสพติดจากประเทศอื่นไม่เข้ามาในประเทศ อีกทั้งยังมีการมอบยุทโธปกรณ์ให้กับเจ้าหน้าที่ เช่น กล้องไนท์วิชั่น รถ 4WD เพื่อให้การจับกุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเกิดความปลอดภัยมากขึ้น โดยจะดำเนินการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวต่อไป และจะนำบทเรียนที่ประสบความสำเร็จใน 25 จังหวัดที่ผ่านมามาดำเนินการต่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  “อะไรที่ทำแล้ว เกิดประโยชน์ก็ทำต่อไป” หรือทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ สั้นลงเพื่อให้มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ มุ่งเน้นการปราบปราม และบำบัดเยียวยา ตลอดจนทำให้ผู้เสพสามารถกลับคืนเข้าสู่สังคมได้ และพร้อมประกอบอาชีพหลังจากบำบัดยาเสพติดจนหายแล้ว

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังได้เน้นย้ำให้มีความชัดเจนในส่วนของการ Re-X-ray คนนอกระบบประมาณ 200,000  คน ซึ่งรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ และการศึกษาในเรือนจำ ที่พบว่าคนที่มีเปอเซนต์ติดยาเสพติดคือคนที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา จึงอยากให้มีการทำแผนตั้งโมเดลขึ้นมาพิจารณาช่วยกัน เพื่อขยายผลเรื่องนี้ซึ่งสามารถต่อยอดนโยบายการศึกษา Zero Dropout ได้ พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการสื่อสารสร้างการรับรู้ให้สังคมและประชาชนในกระบวนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งการสื่อสารไม่ใช่แค่การแสดงผลงาน แต่เป็นการสร้างความระมัดระวังให้สังคม ว่ารัฐบาลทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง รวมถึงการป้องกันปราบปรามยาเสพติดไปแล้วจริง ๆ เท่าไหร่

“อยากได้ภาพรวมสรุปทั้งกระบวนการ จับแล้วกี่ราย ยาเสพติดที่จับแล้วไปไหน เพื่อตอบสังคมให้ได้ว่ามีการทำลายยาเสพติดอย่างไร  มีการบันทึกอะไรบ้างที่ตอบข้อสงสัยของประชาชน  อีกทั้งในเรื่องของการยึดทรัพย์ ขอให้ทำเป็นระเบียบให้ชัดเจน ทำอย่างจริงจัง แต่จะยึดเเค่ไหน ตัวกำหนดเป็นอย่างไรจะมีการคุยกันอีกที” นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ

สำหรับที่ประชุมได้มีการหารือและพิจารณาประเด็นสำคัญ ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ระดับจังหวัดปีงบประมาณ พ.ศ. 2568  โดย 25 จังหวัดเร่งด่วน ขยายการปฏิบัติ 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร 8 เป้าหมาย ดำเนินการ 5 จุดเน้นการปฏิบัติ 15 แนวทาง 4 ตัวชี้วัด ภาพรวม  Re-xray  (2) เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินงานป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นคำสั่งเดิมที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการ (3) เห็นชอบการกำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนพื้นที่เพิ่มเติม โดยขออนุมัติประกาศพื้นที่ปฏิบัติการเพิ่มเติม ในปี 2568 พื้นที่ในจังหวัดตาก 3 อำเภอชายแดน ได้แก่ อ.อุ้มผาง อ.แม่ระมาด และอ.ท่าสองยาง เพิ่มเติมจากพื้นที่เดิม 2 อำเภอ คือ อ.พบพระ และ อ.แม่สอด รวมทั้งจัดตั้ง “หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (นบ.ยส.35) และชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  (นบ.ยส.24)

ทั้งนี้ให้ฝ่ายเลขานุการ (สำนักงาน ป.ป.ส) จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่องกำหนดพื้นที่ความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เสนอประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดลงนามต่อไป

Advertisement

“พรหมินทร์” เลขาฯ นายกฯ เผยบทความ The Economist ชื่นชมระบบสาธารณสุขไทยมีประสิทธิภาพที่สุดในโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 กันยายน 2567 “พรหมินทร์” เลขาฯ นายกฯ เผยบทความ The Economist “Why is Thai health care so good?” ชื่นชมระบบสาธารณสุขไทยมีประสิทธิภาพที่สุดในโลก รากฐานจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค

วันนี้ (13 กันยายน 2567) นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นิตยสารด้านเศรษฐกิจโลก The Economist ลงบทความเกี่ยวกับประเทศไทยหัวข้อ Why is Thai health care so good? (https://www.economist.com/asia/2024/07/04/why-is-thai-health-care-so-good) ชื่นชมระบบสาธารณสุขของไทย ระบุว่าระบบดูแลสุขภาพของไทยมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท ที่ริเริ่มครั้งใหญ่ นำมาใช้เมื่อปี 2545 ทั้งนี้ หลายประเทศต้องการนำนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยไปใช้

โดยบทความระบุว่า ระบบสุขภาพไทยสามารถทำให้โดยเฉลี่ยคนไทยคาดหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 80 ปี ซึ่งนานกว่าคนในภูมิภาค (ตัวเลขในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ 73 ปี) ซึ่งมากกว่าคนอเมริกันและยุโรปโดยเฉลี่ยเล็กน้อย (ประมาณ 79 ปี)

ซึ่งข้อมูลล่าสุดจากองค์การสหประชาชาติ ปีที่แล้ว (2566) ประชากร 99.5% ของประชากร 72 ล้านคนได้รับการคุ้มครองโดยประกันสุขภาพ โดยประเทศไทยประสบความสําเร็จในฐานะประเทศกําลังพัฒนาแม้มีรายได้ต่อคนอยู่ที่ประมาณ 7,000 ดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่ารายได้ของคนอเมริกา 11 เท่า

The Economist อธิบายถึงประสิทธิภาพของนโยบายสาธารณสุขของไทยว่า รัฐบาลไทยในปี 2545 ริเริ่มครั้งใหญ่ ผลักดันให้ระบบประกันสุขภาพมุ่งเป้าไปที่คนยากจน โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเพื่อดูแลผู้ที่ทํางานนอกระบบ และทำงานเอกชน ซึ่งให้การดูแลสุขภาพแก่คนยากจน และจ่ายค่าธรรมเนียมเพียง 30 บาท (1 ดอลลาร์) ซึ่งมีการศึกษาอ้างอิงพบว่า ระหว่างปี 2543 – 2545 อัตราการเสียชีวิตของทารกลดลงอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งโครงการฯ ครอบคลุมการรักษาโรคที่หลากหลาย เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน รวมทั้งในปัจจุบันโครงการฯ ได้ขยายความครอบคลุมไปยังการรักษาโรคต่าง ๆ ด้วย ตั้งแต่โรคเอดส์ (HIV/AIDS) ไปจนถึงโรคไต

ซึ่งทำให้โครงการนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ช่วยเพิ่มความนิยมให้กับนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยเป็นนโยบายที่ไม่มีรัฐบาลใดกล้าที่จะแก้ไข แต่ขยายความครอบคลุมการรักษาโรคออกไป อีกประเด็นที่พิเศษคือ โครงการนี้ได้รับเงินทุนจากรายได้ภาษี แต่มีการควบคุมค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ หลายประเทศพยายามที่จะนำนโยบายหลักประกันสุขภาพของไทยไปใช้ โดยเมื่อต้นปีนี้ (2567) ซาอุดีอาระเบียได้ลงนามในข้อตกลงกับรัฐบาลไทยเพื่อร่วมมือในเรื่องสาธารณสุข รวมทั้ง คณะผู้แทนไทยได้เดินทางไปทั่วเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลางเช่นกัน ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีความท้าทายที่คนไทยมากกว่า 1 ใน 5 มีอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งสร้างความท้าทายให้กับระบบสาธารณสุขและการเงินของรัฐบาล โดยรัฐบาลพยายามเพิ่มจำนวนแพทย์ในภาครัฐ ในขณะเดียวกันมีการเปิดตัวนโยบายอื่นๆ เฉพาะสําหรับผู้สูงอายุ อย่างไรก็ดี การดูแลสุขภาพของไทยอาจยังคงเป็นแบบอย่างของโลก

Advertisement

Verified by ExactMetrics