วันที่ 3 สิงหาคม 2025

ประมูลเลขสวยมือถือ “เลข 8” เบอร์เดียว 10 ล้านบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 ธันวาคม 2567 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ประมูลเบอร์โทรเลขสวยเบอร์เดียว 10 ล้านบาท เลข 8 จำนวน 9 ตัว กสทช.ปลื้มงานประมูลสุดคึกคัก หลังเว้นโควิด 5 ปี รวมเงินประมูลวันเดียว 119,173,000 บาท

วานนี้ (1 ธ.ค.67) นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการ กสทช. สายงานกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้นำเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เป็นเลขหมายสวยมาร่วมประมูลเป็นครั้งแรกของปี หลังจากเว้นช่วงการประมูล 5 ปี ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยผลการประมูลจำนวน 310 เลขหมาย มีผู้สนใจประมูลเลขหมายรวมทั้งสิ้น 99 เลขหมาย คิดเป็นเงินที่ได้จากการประมูลรวม 119,173,000 บาท

สำหรับเลขหมายที่มีการประมูลราคาสูงสุดในวันนี้ กลุ่ม 9 ตัวเหมือน ราคาเริ่มต้น 10 ล้านบาท ได้แก่ เลขหมาย 088-888-8888 ในราคาชนะประมูล 10,000,000 บาท

กลุ่ม 8 ตัวเหมือนติดกัน ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท เลขหมายที่ชนะการประมูลสูงสุด คือ เลขหมาย 064-444-4444 ในราคา 5,600,000 บาท

กลุ่ม 7 ตัวเหมือนติดกัน ราคาเริ่มต้น 1.5 – 3 ล้านบาท เลขหมายที่ชนะการประมูลสูงสุด คือ เลขหมาย 098-999-9999 ในราคา 6,500,000 บาท

กลุ่ม 6 ตัวเหมือนติดกัน ราคาเริ่มต้น 2.5 – 5 แสนบาท เลขหมายที่ชนะการประมูลสูงสุด คือ เลขหมาย 093-899-9999 ในราคา 920,000 บาท

กลุ่ม 4 ตัวเหมือนติดกัน 2 ชุด ราคาเริ่มต้น 5 แสนบาท เลขหมายที่ชนะการประมูลสูงสุด คือ เลขหมาย 095-555-6666 ในราคา 815,000 บาท

กลุ่ม 3 ตัวเหมือนติดกัน 3 ชุด ราคาเริ่มต้น 1.5 แสนบาท เลขหมายที่ชนะการประมูลสูงสุด คือ เลขหมาย 088-866-6888 ในราคา 170,000 บาท

กลุ่ม 2 ตัวเหมือน 2 ชุด ติดกับ 4 ตัวเหมือน ราคาเริ่มต้น 5 หมื่นบาท จำนวน 1 เลขหมาย ได้แก่ 099-988-9999 จบที่ราคาประมูล 705,000 บาท

และกลุ่ม 3 ตัวเหมือน ติดกับ 2 ตัวเหมือน 2 ชุด ราคาเริ่มต้น 2 หมื่นบาท เลขหมายที่ชนะการประมูลสูงสุด คือ เลขหมาย 088-999-8899 ในราคา 402,000 บาท

ทั้งนี้ รายได้จากการประมูลหลังหักค่าใช้จ่าย สำนักงาน กสทช. จะนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน

Advertisement

นายกฯ ตั้งเป้ายกระดับแก้ปัญหายาเสพติด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 พฤศจิกายน 2567 ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ – นายกฯ ตั้งเป้ายกระดับความเข้มข้น แก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด และครบวงจร บำบัดผู้ติดยาเสพติด คืนคนคุณภาพสู่สังคมและครอบครัว

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตรวจติดตามประเด็นยาเสพติด โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม พร้อมด้วยสำนักงานปราบปรามยาเสพติด สหรัฐอเมริกา หรือดีอีเอ ร่วมสังเกตการณ์

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชื่นชมหน่วยงานที่ร่วมแก้ปัญหากันอย่างเข้มแข็ง ซึ่งปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินีทรงห่วงใยประชาชนอย่างมากและทรงติดตามว่า พวกเราที่ทำงานอยู่เป็นอย่างไร

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นเป็นวาระแห่งชาติ รัฐบาลจึงยกระดับความเข้มข้นในการแก้ปัญหา และตั้งเป้าแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด และครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการตัดต้นตอการผลิต การร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทุกประเทศมีความห่วงใยในเรื่องนี้และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกันอย่างแข็งขัน และการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้ายาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ของผู้ค้ารายใหญ่ที่จะต้องทำอย่างเด็ดขาด ไม่ให้กลับมาค้ายาเสพติดอีก

รวมถึงการค้นหาผู้เสพยาเสพติดในชุมชน เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาตลอดจนบำบัดผู้ติดยาเสพติด ซึ่งรัฐบาลชุดนี้มองว่าผู้ที่เสพยาคือผู้ป่วย ไม่ใช่เป็นคนร้าย และพร้อมจะให้โอกาสบำบัดและให้กลับเข้ามาทำงานให้สังคมและประเทศชาติอีกครั้ง พร้อมทั้งจะต้องมีการฝึกอาชีพ เพราะคนเหล่านี้เสพยาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้พลาดโอกาสในการศึกษาและการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับตัวเอง ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนตรงนี้อย่างเต็มที่ ให้คืนคนคุณภาพสู่สังคมและครอบครัวได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราตั้งเป้าประกาศให้เป็นพื้นที่จังหวัดสีขาว เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยจากยาเสพติด และตามแนวพระราชปณิธานของในหลวง ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานพระราชปณิธาน ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เราทำเรื่องนี้ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ขอให้น้อมนำความสำเร็จของโครงการหลวง ด้วยความทุ่มเทและเสียสละของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการพลิกฟื้นพื้นที่ปลูกฝิ่นให้กลายเป็นปลูกพืชเมืองหนาว และสร้างช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านโครงการหลวง โดยทำร้านโกลเด้นเพลสมาเป็นแบบอย่างในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ในการสร้างงาน สร้างอาชีพ และไม่กลับไปหายาเสพติดอีก นี่เป็นแนวทางที่เราทุกคนจะทำอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ และบูรณาการร่วมกัน

Advertisement

เตือนภัย “มิจฉาชีพ” หลอกลงทุนเทรดหุ้นออนไลน์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 พฤศจิกายน 2567 AOC 1441 เตือนภัย “มิจฉาชีพ” หลอกลงทุนเทรดหุ้นออนไลน์ – ข่มขู่ ค้าบัญชีม้า สวมรอยเป็นตำรวจ ลวงเหยื่อ สูญเงินกว่า 10 ล้านบาท

นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 18 – 24 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย

คดีที่ 1 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 7,250,000 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ชักชวนลงทุนเทรดหุ้นสกุลเงินต่างประเทศ ตนสนใจจึงเพิ่มเพื่อนทาง Line สอบถามรายละเอียด จากนั้นโอนเงินเพื่อทำการเทรดหุ้น ช่วงแรกได้กำไรและสามารถถอนเงินได้ ต่อมามีการดึงเข้า Group Lineและให้ลงทุนเทรดหุ้นเพิ่มแต่ไม่สามารถถอนเงินได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าต้องเสียค่าภาษี และค่าประกันบัญชีรับเงิน ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 2 หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 1,417,910 บาท โดยผู้เสียหายพบโฆษณาชักชวนลงทุนหารายได้พิเศษอ้างผลตอบแทนดีผ่านช่องทาง Facebook จึงทักไปสอบถามรายละเอียด มิจฉาชีพแจ้งว่าเป็นการส่งเสริมการขายสินค้าโดยได้รับค่าคอมมิชชันตอบแทน จากนั้นเพิ่มเพื่อนทาง Line แนะนำขั้นตอนการทำงานและดึงเข้า Group Line โดยให้เริ่มลงทุนโอนเงินเข้าไปในระบบก่อนในระยะแรกได้รับผลตอบแทนจริง ต่อมาภายหลังเริ่มให้ลงทุนมากขึ้นจนตนไม่ไหว จึงต้องการขอยกเลิกภารกิจและถอนเงินคืน มิจฉาชีพแจ้งว่าให้ชำระค่าภาษีและค่าปรับเนื่องจากทำผิดกฎบริษัท ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 3 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 1,350,000 บาท โดยผู้เสียหายพบโฆษณาอาหารเสริมผ่านช่องทาง Facebook ตนสนใจจึงจึงทักไปสอบถามรายละเอียดและเพิ่มเพื่อนทาง Line จากนั้นมิจฉาชีพแจ้งว่ามีสินค้าให้ทดลองทานฟรี แต่มีกิจกรรมให้ทำเป็นการโพรโมตแพลตฟอร์มมีค่าคอมมิชชัน แจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงิน เป็นค่าโพรโมต ช่วงแรกตนได้รับเงินค่าคอมมิชชันจริง จากนั้นตนโอนเงินเพิ่มแต่ไม่ได้รับเงินคืน มิจฉาชีพแจ้งว่าตนทำรายการผิดพลาด ต้องโอนเงินเพิ่มเพื่อให้ทางระบบเปิด ให้ทำการแก้ไข ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 4 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 336,390 บาท ทั้งนี้ ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าตนทำการขายบัญชีม้า โดยให้บุคคลอื่นทำการเปิดบัญชีเป็นความผิดกฎหมายอาญา แจ้งขอตรวจสอบเส้นทางการเงินในบัญชี หากไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดตามกฎหมาย ตนหลงเชื่อจึงโอนเงินไป หลังจากโอนเงินไปมิจฉาชีพติดต่อมาอีกครั้งให้ผู้เสียหาย นำทรัพย์สินไปจำนำเพื่อโอนเงินไปตรวจสอบเพิ่ม และให้ตนเดินทางไปสถานีตำรวจหนองจอกเพื่อพบเจ้าหน้าที่สอบสวน ตนเดินทางไปสถานีตำรวจแต่ไม่พบเจ้าหน้าที่ตามที่มิจฉาชีพแจ้ง ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

และคดีที่ 5  หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ มูลค่าความเสียหาย 251,232บาท โดยผู้เสียหายได้พบโฆษณาบริษัทจัดหางานไปทำงานต่างประเทศผ่านช่องทาง TikTok ตนสนใจจึงเพิ่มเพื่อนทาง Line ทักไปสอบถามรายละเอียด มิจฉาชีพให้โอนเงินโดยอ้างว่า เป็นค่าดำเนินการจองโควตาและค่าตรวจสอบยอดเงินในบัญชี ตนหลงเชื่อจึงโอนเงินไป จากนั้นตนรู้สึกผิดปกติจึงนำชื่อบริษัทจัดหางานไปตรวจสอบ จึงทราบว่าบริษัทถูกนำชื่อ ไปแอบอ้าง ตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก

สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 10,605,532 บาท

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงาน ดังนี้

1.สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,237,065 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,188 สาย

2.ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 393,733 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,138 บัญชี

3.ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ (1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 116,950 บัญชี คิด เป็นร้อยละ 29.70 (2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 96,250 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 24.45 (3) หลอกลวงลงทุน  59,631 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 15.15 (4) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 33,650 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 8.55  (5) หลอกลวงให้กู้เงิน 30,684 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.78 (และคดีอื่นๆ 56,568 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 14.37)

“จากเคสตัวอย่างจะเห็นได้ว่า มิจฉาชีพ ใช้วิธีการหลอกลวงผู้เสียหาย ด้วยการหลอกให้ลงทุนเพื่อหารายได้พิเศษ การโพรโมตสินค้า หรือพบโฆษณาหลอกลวงเชิญชวนเทรดหุ้นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย คือ Facebook ,Line และ TikTok ทั้งนี้ขอย้ำว่า กรณีการร่วมลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขอให้ผู้เสียหายตรวจสอบติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด หรือติดต่อผ่านทางสายด่วน AOC 1441 เพื่อยืนยันตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนที่จะมีการดำเนินการใดๆ และความปลอดภัย ต่อการถูกหลอกลวง ดังนั้นขอให้สอบถามรายละเอียดให้แน่ชัดก่อนให้ข้อมูลส่วนบุคคล และทำการเพิ่มเพื่อนหรือดำเนินการใดๆ ในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ควรตรวจสอบการลงทุนในธุรกิจต่างๆ และการถูกข่มขู่จากมิจฉาชีพอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ควรติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด หรือติดต่อผ่านทางสายด่วน AOC 1441 เพื่อยืนยันตรวจสอบข้อเท็จจริง” นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนยึดหลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลด และอัปโหลดแพลตฟอร์ม ที่มีการส่งต่อจากช่องทางที่ไม่แน่ใจ โดย กระทรวง ดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ ผ่านศูนย์ AOC 1441 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง

หากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441

แจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

|  Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.comฃ

Advertisement

 

รัฐบาล รณรงค์หยุดความรุนแรงต่อเด็กและสตรีในครอบครัว ใช้ความรัก เห็นใจ เอื้ออาทร อยู่ด้วยกันด้วยรอยยิ้ม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 พฤศจิกายน 2567 ทำเนียบ – รัฐบาล รณรงค์หยุดความรุนแรงต่อเด็กและสตรีในครอบครัว มุ่งหวังคนในครอบครัวใช้ความรัก ความเห็นใจความเอื้ออาทร อยู่ด้วยกันด้วยรอยยิ้มอย่างสุขใจ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ประจำปี 2567 เพราะสถาบันครอบครัว คือ หน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะครอบครัวอบอุ่นคือเกราะป้องกันให้กับทุกคน ที่จะสร้างความเข้มแข็ง ความรู้สึกปลอดภัย และ ความรู้สึกมั่นคง ทำให้เมื่อเราเจอปัญหา ก็พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ และเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งในปัจจุบันความรุนแรงในครอบครัวมีทั้งรูปแบบทางกายและทางใจ มีสาเหตุสำคัญมาจากค่านิยมในสังคมที่มองว่า ความรุนแรง เป็นเรื่องของคนในครอบครัวไม่ใช่เรื่องของคนในสังคม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วสังคมมีส่วนสำคัญมากในการลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 มีมติเห็นชอบให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี”

โดยในปี 2567 นี้ รัฐบาลกำหนดจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างสุขปลอดภัย ไร้ความรุนแรง” (ACT NOW to end Violence against Women and Girls) มุ่งหวังให้ทุกคนเข้าใจความรุนแรงในครอบครัว พร้อมใช้ความรัก ความเห็นใจ ความเอื้ออาทร และใช้ความรู้ในสิทธิทางกฎหมาย เพื่อปกป้องคุ้มครองทั้งตัวเอง สมาชิกในครอบครัว และคนในสังคมที่กำลังประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

ท้้งนี้นายกรัฐมนตรีขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงประชาชนทุกคน มาร่วมแสดงพลัง ในการยุติความรุนแรงทุกรูปแบบด้วยการไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เพื่อให้ทุกคนในสังคมดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข และหากประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวสามารถขอความช่วยเหลือหรือหากพบเห็นการใช้ความรุนแรงต่อคนในครอบครัวทุกรูปแบบ ขออย่าเพิกเฉย ติดต่อสายด่วน 1300 หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อร่วมกันยุติความรุนแรงในครอบครัวทุกรูปแบบ

Advertisement

ข่าวดี!! สำนักงานประกันสังคมเพิ่มสิทธิผู้ประกันตน ม.33 ม.39

 

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 พฤศจิกายน 2567 “คารม” เผย สำนักงานประกันสังคมเพิ่มสิทธิผู้ประกันตน ม.33 ม.39

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมสุขภาพอย่างคลอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เพื่อให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม  สำนักงานประกันสังคมได้ให้สิทธิประโยชน์  ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ในระบบประกันสังคมที่ป่วย ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ การให้บริการตรวจสุขภาพเชิงรุกบริการ สิทธิการตรวจสุขภาพ 14 รายการ  ดังนี้

ตรวจร่างการตามระบบ

1) การคัดกรองทางการได้ยิน Finger Rub Test

2) การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุข

3) การตรวจตาโดยความดูแลของจักษุแพทย์

4) การตรวจสายตาด้วย Snellen Eye Chart

ตรวจทางห้องปฏิบัติการ

1) ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด CBC

2) ปัสสาวะ UA

การตรวจสารเคมีในเลือด

1) น้ำตาลในเลือด FBS

2) การทำงานของไต Cr

3) ไขมันในเส้นเลือด Total & HEL Cholesterol

การตรวจอื่นๆ

1) เชื้อไว้รัสตับอักเสบ HBsAg

2) มะเร็งปากมดลูกวิธี Pap Smear

3)มะเร็งปากมดลูกวิธี Via

4) เลือดในอุจจาระ FOBT

5)Chest X-ray

ผ่านสถานที่ให้บริการผู้ประกันตนเข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด ได้แก่ โรงพยาบาลตามสิทธิการรักษา 237 แห่งโรงพยาบาล เครือข่าย 469 แห่ง และ โรงพยาบาล MOU 43 แห่ง

พร้อมทั้งได้มอบสิทธิแก่ผู้ ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ในระบบประกันสังคมที่ป่วย สามารถล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องล้างไตอัตโนมัติ (Automated Peritoneal Dialysis : APD) ให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติแม้เวลากลางคืนขณะหลับ ได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้

1.ค่าวางท่อสำหรับการล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องล้างไตอัตโนมัติโดยจ่ายค่าวางท่อ รับส่งน้ำยาเข้า-ออกช่องท้อง พร้อมอุปกรณ์ให้แก่ผู้ประกันตนหรือสถานพยาบาลไม่เกิน 20,000 บาท/ราย/2 ปี

2.ค่าบริการสำหรับบริการทำ APD โดยจะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์จากการบำบัดทดแทนไต กรณีการล้างช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติแก่สถานพยาบาลที่ให้การรักษา ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการล้างช่องท้องด้วยเครื่องล้างไตอัตโนมัติโดยผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 32,700 บาท/เดือน ครอบคลุมค่าตรวจรักษา ค่าเครื่องล้างไตอัตโนมัติค่าน้ำยาและอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วม พร้อมมีเจ้าหน้าที่สถานพยาบาลไปติดตั้งที่บ้าน ผู้ป่วยเพื่อให้พร้อมใช้งาน ค่าซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องเมื่อมีปัญหา ค่าสอนผู้ป่วยและญาติโดยพยาบาล รวมถึงมีบริการ Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

“สนธิ” บอกคดี ​”หมอบุญ” เหมือนแชร์ลูกโซ่​

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 พฤศจิกายน 2567 “สนธิ” บอกคดี ​”หมอบุญ” เหมือนแชร์ลูกโซ่​ เปรียบ​ “บอสพอล-บอสบุญ” แนะจัดการโบรกเกอร์ฐานแนะนำนักลงทุน​ ชี้คดี “ทนายตั้ม” ประกาศสู้สุดฤทธิ์ในคดีฉ้อโกง ​เพราะเหลือแค่ทางเดียว แต่มั่นใจในหลักฐาน รอพิสูจน์ความจริง

นายสนธิ​ ลิ้มทองกุล​ ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิทอล์ค กล่าวถึงกรณี​นายแพทย์บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี​ ถูกออกหมายจับข้อหาฉ้อโกง สมคบกันฟอกเงิน ​มีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นว่า กรณีนี้เป็นแชร์ลูกโซ่อีกแบบหนึ่ง จากบอสพอลมาเป็นบอสบุญ คนที่สมควรโดนมากที่สุดคือโบรกเกอร์ เพราะต้องการค่าคอมมิชชั่น ตามโปรเจกต์ของหมอบุญซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่เลื่อนลอย ฝันเฟื่อง เป็นปราสาททรายอยู่ในทะเล เอาไปขายประชาชน โดยคนถือหุ้นที่ซื้อเพราะเป็นหมอบุญ โดยไม่ได้ศึกษาว่าไม่ได้ต่างจากคนที่ฉ้อโกงหลอกลวงคน

ทั้งนี้ ปัญหาใหญ่ที่ต้องดูคือการใช้ภรรยาตัวเอง ลูกสาวตัวเอง​ อดีตลูกสะใภ้ เซ็นเอกสาร โดยหมอบุญเซ็นอยู่คนเดียว ตนจะขอแนะนำตำรวจว่าถ้าจะเล่นกลุ่มแรกคือกลุ่มโบรกเกอร์ เพราะเหมือนเป็นแม่ข่าย ถ้าไม่มีโบรกเกอร์ คนที่จะมาลงทุนได้อย่างไร มีการนำเสนอโครงการว่าดีและมีการให้ดอกเบี้ย หมอบุญให้ 10% ดังนั้น กรณีนี้อย่าไปดูลึกซึ้ง เพราะมันคือขบวนการแชร์ลูกโซ่ที่ทำโดยหมอ และคนที่ถูกหลอกโดยส่วนใหญ่ก็คือหมอทั้งนั้น แต่ไม่ทราบว่ามีถึงขั้นเจ้าสัวหรือไม่

ส่วนที่หมอบุญออกมายอมรับว่าทำผิด นายสนธิ มองว่า​ เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่อยู่ในประเทศจีน จึงไม่ได้สนใจใครทั้งสิ้น​ ส่วนหมอบุญจะกลับจากจีนหรือไม่ตนไม่รู้ ตอบไม่ได้

“หมอบุญ อายุ 86 ปี จบแพทย์มหิดล ไปเรียนต่างประเทศ โรงเรียนแพทย์อันดบ 1 ของอเมริกา ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ได้ และขอให้อย่าลืมวีรกรรมหมอบุญตั้งแต่สมัยวัคซีน ปั่นข่าวเพื่อให้หุ้นตัวเองขึ้น​ บอกว่าเป็นเอเย่นต์วัคซีนไฟเซอร์ พอคนหลงไปซื้อ หุ้นโรงพยาบาลขึ้นเอาขึ้นเอา ก็บอกว่าตกลงกันไม่ได้ ถ้าต้องโทษก็ต้องโทษหน่วยงานรัฐที่ไม่จริงใจ สรุปง่ายๆ วันนี้ประเทศไทยจะจบหมอมหิดล จบเฉพาะทาง หรือจะเป็นอย่างทนายตั้ม คนถ้ามันจะเลวแล้วมันไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ไม่มีแบ่งวุฒิภาวะ สันดานจะเลวก็เลวทุกคน” นายสนธิ ​กล่าว

เมื่อถามถึงกณีนายษิทรา​ เบี้ยบังเกิด​ หรือ ทนายตั้ม​ ยืนยันจะสู้สุดฤทธิ์ในคดีฉ้อโกง​ นายสนธิมองว่าเป็นทางเดียวที่จะต้องสู้ แต่จะสู้ได้มากน้อยแค่ไหนตนมั่นใจในหลักฐานที่ตำรวจเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จะสู้ได้มากน้อยแค่ไหนต้องจับตาดูที่อัยการและศาล​ และดูว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนมั่นใจ ตนจึงมีหน้าที่อย่างเดียวที่จะทำความจริงให้ปรากฏ ทนายตั้มต้องรอพิสูจน์ความจริง

ส่วนหลังจากนี้จะ​มีการเปิดเผยข้อมูลใครอีกหรือไม่ นายสนธิ​ กล่าวว่า​ ยังไม่รู้ ยอมรับว่ามีข้อมูลเยอะ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็จะไม่พูด

Advertisement

รมว.ดีอี พอใจ ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ความเสียหายลดลง 40%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 พฤศจิกายน 2567 นครราชสีมา – “ประเสริฐ” ระบุพอใจปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ความเสียหายลดลงร้อยละ 40 เตรียมชงมาตรการปราบเพิ่ม โชว์เป็นผลงานรัฐบาล พร้อมเร่งออกพระราชกำหนดปรับกฎหมายให้บริษัทโทรคมนาคม ธนาคารพาณิชย์ร่วมรับผิดชอบ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงการแถลงผลงานของรัฐบาลในส่วนงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมว่าขณะนี้กระทรวงกำลังรวบรวมข้อมูลในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยการดำเนินงานที่ผ่านมาซึ่งได้ทำร่วมกับหน่วยงานอื่นโดยภาพที่ออกมามีความพอใจในระดับหนึ่งเพราะว่าค่าความเสียหายลดลงถึงร้อยละ 40 โดยเงินที่เสียหายลดลงอย่างมีนัยยะแต่ ไม่ใช่ตัวเลขที่พึงพอใจเพราะจะพึงพอใจก็ต่อเมื่อไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นแต่การดำเนินการหนึ่งปีที่ผ่านมาถือว่าลดลงร้อยละ 40 ซึ่งเป็นตัวเลข ที่เห็นว่าการปราบปราม มีความก้าวหน้าในการปราบปราม

ส่วนการดำเนินงานปราบปรามในรูปแบบใหม่นั้นนายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายโดยเฉพาะพระราชบัญญัติป้องกันปราบปรามเพิ่มเติมเป็นพระราชกำหนดและกระทรวงดิจิทัลฯ กำลังจะออกแอปพลิเคชันดิเฟน ที่เตือนประชาชนเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาเบอร์ไหนเป็นมิจฉาชีพโดยมีการเตรียมเครื่องหมาย เครื่องมือไว้ ขณะที่มาตรการต่างๆที่ได้ดำเนินการมาก่อนก็ได้ออกดอกออกผลมีการล้างข้อมูลโดยข้อมูลที่น่าสงสัยได้มีการล้าง แล้วเริ่มต้นใหม่ส่วน SMS ที่มีลิงก์แนบมา และน่าสงสัย ต้องลงทะเบียนใหม่ทั้งหมดโดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคมซึ่งจะทำให้มิจฉาชีพมีช่องทางในการฉ้อโกงประชาชนยากมากยิ่งขึ้นโดยได้รับความร่วมมือจากทุกเครือข่ายโทรศัพท์ ขณะที่กฎหมายที่กระทรวงแก้ไขนั้นได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลคือการมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบของบริษัทโทรคมนาคม ธนาคารพาณิชย์ ในกรณีที่เกิดความเสียหายซึ่งจะออกเป็นพระราชกำหนดขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังตรวจดูรายละเอียด ขณะเดียวกันมีการเพิ่มโทษเยียวยาและการคืนเงินรวมถึงเงินคริปโต เงินดิจิทัล ซึ่งมีการเพิ่มเติมโทษเข้าไปในการแก้ไขกฎหมาย โดยจะนำเสนอเข้าสู่สภาในสมัยหน้าเพราะเป็นกฎหมายสำคัญ

Advertisement

กระทรวง พม.เตรียมขอ ครม. งบปี 69 เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 พฤศจิกายน 2567 “วราวุธ“ เผย พม.เตรียมขอ ครม. งบฯ 69 เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดแบบถ้วนหน้า 600 บาท

วันที่ 23 พ.ย.67 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมยุษย์ (รมว.พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดแบบถ้วนหน้า ว่า ขณะนี้ทางกระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้ส่งเรื่องมายังสำนักงานรัฐมนตรี ซึ่งตนจะเซ็นและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อทำงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 โดยจะเสนอในลักษณะถ้วนหน้า คนละ 600 บาท โดยขั้นตอนจะต้องขอความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกจำนวนไม่มาก เพราะว่าอัตราเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยลดน้อยลงทุกวัน จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลเด็กจำนวนน้อยให้มีคุณภาพ โดยกระทรวง พม. จะเสนอเรื่องเข้าไปให้พิจารณา แต่จะผ่านความเห็นชอบหรือไม่ เราไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่เราจะเสนอเข้าไปให้ทันปีงบฯ 2569 ซึ่งเงินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับหลายๆโครงการตนคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าจะดำเนินการ ปัจจุบันเรามีเด็กที่ได้เงิน 600 บาท ประมาณ 55% เราต้องการให้ได้แบบถ้วนหน้าโดยมีฐานของเด็กที่ได้รับเท่าเดิม ซึ่งกระทรวง พม. จะรีบดำเนินการและเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อไปโดยเร็วที่สุด

Advertisement

“จิราพร” รับลูกนายกฯ หารือ 6 หน่วยงาน จ่อตั้ง คกก.ป้องกันปัญหาธุรกิจหลอกลวง-แชร์ลูกโซ่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 พฤศจิกายน 2567 “จิราพร” รับลูกนายกฯ หารือ 6 หน่วยงาน จ่อตั้ง คกก.ป้องกันปัญหาธุรกิจหลอกลวง-แชร์ลูกโซ่

วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2567) เวลา 17.00 น. นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาการทำธุรกิจหลอกลวงประชาชน ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เข้าร่วมในการหารือ

นางสาวจิราพร เปิดเผยว่า รัฐบาลซึ่งนำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและให้ความสำคัญกับปัญหาการทำธุรกิจที่หลอกลวงประชาชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสร้างความเสียหายต่อพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขและหาแนวทางป้องกันในระยะยาวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการหลอกลวงขึ้นอีก

นางสาวจิราพร กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ตนจึงได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการป้องกันในระยะยาวไม่ให้เกิดการทำธุรกิจหลอกลวงประชาชน โดยเฉพาะในลักษณะของแชร์ลูกโซ่หรือในลักษณะอื่นๆ โดยที่ประชุมเห็นควรให้มีการตั้ง ‘คณะกรรมการ’ หรือ ‘คณะทำงาน’ ขึ้นมาเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการป้องกันเชิงรุกตัดวงจรธุรกิจหลอกลวงประชาชน ไม่ให้ขยายผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งตนมอบ สคบ. ศึกษารูปแบบของการตั้งคณะกรรมการในอดีตเพื่อเป็นแนวทางในการแต่งตั้งที่เหมาะสมกับการทำงานต่อไป นอกจากนี้ ตนยังได้มอบหมายให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เป็นหน่วยงานกลางในการศึกษาและปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เข้ากับบริบทปัจจุบันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

Advertisement

สำนักงานสลากฯ พร้อมทำการออกรางวัลสัญจร จ.เชียงใหม่ งวด 1 ธันวาคม 2567 นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 พฤศจิกายน 2567 การออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ในงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567 นี้ สำนักงานสลากฯ จะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

19 พฤศจิกายน 2567 พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) เปิดเผยว่า การออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ในงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567 นี้ สำนักงานสลากฯ จะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดได้เห็นความโปร่งใสของกระบวนการและวิธีการในการออกรางวัล ตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกรางวัลด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มความรู้ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนผู้ซื้อสลาก จะได้ไม่หลงเชื่อข่าวลือเรื่องเลขเด็ดจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำการหลอกลวงต้มตุ๋น ผ่านทางสังคมออนไลน์ และการส่งจดหมายแอบอ้างว่าสามารถให้ตัวเลขที่จะออกรางวัลได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินได้

สำหรับการออกรางวัลครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นประธานกรรมการออกรางวัล รวมทั้งข้าราชการระดับสูง ผู้แทนภาคประชาชนและผู้แทนสื่อมวลชนในพื้นที่ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการออกรางวัล และในโอกาสนี้ ได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการหรือบุคลากรของจังหวัดร่วมทำหน้าที่หมุนวงล้อสลับกับพนักงานหมุนวงล้อของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอีกด้วย

ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมการออกรางวัลได้ด้วยตนเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรที่ทางราชการออกให้แสดงในวันดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ตั้งแต่เวลา 13.50 น. เป็นต้นไป, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ช่องทาง LINE TODAY, เว็บไซต์สำนักงานสลากฯ www.glo.or.th, แอปพลิเคชันของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล “GLO Lottery official” รวมทั้งการถ่ายทอดเสียงผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเดินทางมาออกรางวัลสลากสัญจรแล้ว สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้จัดกิจกรรมการช่วยเหลือสังคม (CSR) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 โดยจัดกิจกรรมจัดเลี้ยงอาหารและมอบของใช้จำเป็นที่โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารและภารกิจที่น่าสนใจของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ที่  www.glo.or.th, เฟซบุ๊กแฟนเพจ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, Line Official และแอปพลิเคชัน GLO Lottery

Advertisement

Verified by ExactMetrics