วันที่ 3 สิงหาคม 2025

“สมศักดิ์” ยกระดับหมอนวดไทย สู่ความเชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ ช่วยผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น-หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 ธันวาคม 2567 “สมศักดิ์” ยกระดับหมอนวดไทยเชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งส่งเสริมความเชี่ยวชาญพิเศษให้หมอนวดไทยใน 7 กลุ่มอาการ ทั้งปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด หัวไหล่ติด นิ้วล็อก กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อัมพฤกษ์ อัมพาต และระบบสืบพันธุ์ ช่วยผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจสุขภาพ และเสริมภาพลักษณ์การเป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก

วันนี้ (22 ธันวาคม 2567) ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าว “การส่งเสริมและยกระดับการนวดไทย” โดยมี ดร.โฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ดร.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาการนวดไทย ด้วยการส่งเสริมและยกระดับอาชีพและวิชาชีพการนวดไทยให้มีมาตรฐาน สร้างความมั่นใจให้กับผู้รับบริการ และสนับสนุนให้นำมาใช้เป็นทางเลือกในการรักษาร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสภาการแพทย์แผนไทย ได้เร่งเดินหน้าเพิ่มความเชี่ยวชาญพิเศษให้กับหมอนวดไทย ใน 7 กลุ่มอาการ ได้แก่ กลุ่มปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Office syndrome) โรคหัวไหล่ติด โรคนิ้วล็อกภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (ปวดสลักเพชร) หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อัมพฤกษ์ อัมพาตและกลุ่มระบบสืบพันธุ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังเหล่านี้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพนวดไทยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็จะได้รับค่าตอบแทนหรือรายได้เพิ่มขึ้น

“นอกจากผลตอบแทนที่หมอนวดจะได้รับ การเพิ่มความเชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านของหมอนวดไทยยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านเศรษฐกิจสุขภาพ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางสุขภาพระดับโลกด้วย โดยในอนาคตจะขยายการพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของหมอนวดไทยให้หลากหลายครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” นายสมศักดิ์กล่าว

Advertisement

เผยเส้นทางเลี่ยงรถติดครบทุกภาค สะดวก ปลอดภัย ต้อนรับปีใหม่ 2568

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 ธันวาคม 2567 “ศศิกานต์” ชวนประชาชนวางแผนเดินทางล่วงหน้า พร้อมเผยเส้นทางเลี่ยงรถติดครบทุกภาค สะดวก ปลอดภัย ต้อนรับปีใหม่ 2568

วันที่ 21 ธันวาคม 2567 เวลา  08.30  น. นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญชวนประชาชนเช็คเส้นทางเพื่อเตรียมตัวกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาล ปีใหม่ 2568 เนื่องจากช่วงเทศกาลจะมีผู้ใช้รถยนต์จำนวนมาก เพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง หลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงดังกล่าว จึงขอให้วางแผนการเดินทางล่วงหน้า โดยตำรวจทางหลวงแนะนำเส้นทางเลี่ยง สำหรับผู้เดินทางสายกรุงเทพ – ภาคอีสานกรุงเทพ – ภาคเหนือ  กรุงเทพ – ภาคใต้ และ กรุงเทพ- ภาคตะวันออก ดังนี้

เส้นทางเลี่ยงรถติด ‘ปีใหม่ 2568’ กรุงเทพ – ภาคอีสาน

1.ถนนพหลโยธิน (ถนน ทล.1) เข้าทางแยกต่างระดับบางปะอิน และเข้าสู่จังหวัดสระบุรี

2.ถนน ทล.304 ผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา – นครราชสีมา – บุรีรัมย์

3.เส้นทางสาย ทล.21 และ ทล.205 มุ่งหน้าสู่จังหวัดชัยภูมิ – ขอนแก่น – อุดรธานี

เส้นทางเลี่ยงรถติด ‘ปีใหม่ 2568’ กรุงเทพ – ภาคเหนือ

  1. วงแหวนตะวันออก (ถนน ทล.9) เลี้ยวซ้ายเข้าทางระดับคลองหลวงใช้ทางหลวง 3214 เข้าสู่ทางหลวง 347 และ 32 (สายเอเชีย)
  2. วงแหวนตะวันตก (ถนน ทล.9) เชื่อมต่อทางหลวง 340 และ 32 ผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี – ชัยนาท – อุทัยธานี

เส้นทางเลี่ยงรถติด ‘ปีใหม่ 2568’ กรุงเทพ – ภาคตะวันออก

1.ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์)

2.ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านมีนบุรี – หนองจอก ออกสู่ภาคตะวันออก

3.ใช้ทางหลวงหมายเลข 34 (เทพรัตน) ผ่านบางนา – บางปะกง หรือใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีออกสู่ภาคตะวันออก

4.ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท)

เส้นทางเลี่ยงรถติด ‘ปีใหม่ 2568’ กรุงเทพ – ภาคใต้

1.ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) เส้นทางผ่านจังหวัดสมุทรสาคร – สมุทรสงคราม – เพชรบุรี

2.ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) เส้นทางผ่านจังหวัดราชบุรี – เพชรบุรี – ประจวบคีรีขันธ์

“ไม่ว่าจะเดินทางด้วยเส้นทางไหนในช่วงเทศกาลปีใหม่ อาจจะต้องเจอปัญหาการจราจรหนาแน่น ขอให้ผู้ขับขี่เตรียมใจให้พร้อม และที่สำคัญขับขี่รถด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง

หากต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม หรือแจ้งเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทร. ฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

รองโฆษก รบ.เผย บขส. เปิดตรวจสภาพรถให้ประชาชนฟรี 20 รายการ พร้อมมอบส่วนลดค่าโดยสาร 10%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 ธันวาคม 2567 “อนุกูล” เผย บขส. เปิดตรวจสภาพรถให้ประชาชนฟรี 20 รายการ พร้อมมอบส่วนลดค่าโดยสาร 10% จองตั๋วไปก่อน-กลับทีหลัง เทศกาลปีใหม่ 2568

วันนี้ (21 ธ.ค. 67 ) เวลา 11.00 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่จะถึงนี้ บขส. ได้จัดกิจกรรมพิเศษ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้แก่ประชาชนเกิดความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทาง ตามนโยบายกระทรวงคมนาคม ดังนี้

1.โครงการ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” โดยจะตรวจเช็กสภาพความพร้อมของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ จำนวน 20 รายการ เช่น การตรวจระบบเบรก สภาพยาง อุปกรณ์ปัดน้ำฝน ระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก และการทำงานของไฟส่องสว่าง ไฟสัญญาณต่าง ๆ ก่อนออกเดินทางให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนโดยรอบ ศูนย์ซ่อมบำรุงและตรวจสภาพรถ (รังสิต) สถานีเดินรถรังสิตและประชาชนทั่วไป โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 ธันวาคม 2567 เวลา 08.30-16.00 น. ณ ศูนย์ซ่อมบำรุงและตรวจสภาพรถ (รังสิต) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0-2901-2338

2.จัดโปรโมชั่น “ลดค่าโดยสาร Happy New Year 2025 ลด 10% ไปก่อน-กลับทีหลัง” เพื่ออำนวยความสะดวก และลดความหนาแน่นในการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ของประชาชน โดยมอบส่วนลดค่าโดยสาร 10% (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) ทุกเส้นทางทั่วประเทศ ให้แก่ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์ Application : E-Ticket และ Website : https://tcl99web.transport.co.th เดินทางระหว่างวันที่ 15-24 ธันวาคม 2567 และ ระหว่างวันที่ 7-16 มกราคม 2568

สำหรับผู้โดยสารสามารถจองตั๋ว บขส. ล่วงหน้าได้ทุกช่องทางของ บขส. อาทิ ช่องทางออนไลน์ Facebook Page : บขส. (www.facebook.com/BorKorSor99), Line : บขส.99 (Id : @TCL99), เว็บไซต์ บขส.https://tcl99web.transport.co.th, Application E – ticket และ ช่องจำหน่ายตั๋วโดยสาร บขส. ทั่วประเทศสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 0-2936-3660 ในวันและเวลาราชการ  ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ www.transport.co.th, Facebook Fanpage : บขส. และ Line@บขส หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ งานการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0-2537-8737 หรือ Call center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

รมว. สธ. Kick Off ฉีดวัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ ป้องกันมะเร็งปากมดลูก นร.หญิง ป.5 ครั้งแรกที่ปทุมธานี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 ธันวาคม 2567 สธ. และ สพฐ. ร่วม Kick off ฉีดวัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ครั้งแรกในกลุ่มนักเรียนหญิงชั้น ป.5 ที่โรงเรียนวัดเขียนเขต จ.ปทุมธานี เตรียมขยายคิกออฟอีก 5 จังหวัด ครบทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ยืนยันปี 2568 เดินหน้าให้บริการต่อเนื่อง พร้อมขยายฉีดกลุ่มหญิงอายุ 11 – 20 ปี ที่ยังไม่เคยรับวัคซีนมาก่อน ส่วนที่ฉีดชนิด 2 หรือ 4 สายพันธุ์เข็มแรกไปแล้วให้มาฉีดเข็มสอง เพื่อลดโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกในอนาคต

วันนี้ (20 ธันวาคม 2567) ที่โรงเรียนวัดเขียนเขต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรม Kick off ฉีดวัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายคมสัน ญาณวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้บริหารแต่ละหน่วยงาน และนักเรียน เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในปี 2568 กระทรวงสาธารณสุขยังคงสานต่อนโยบายการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นภัยสุขภาพที่สำคัญของหญิงไทย โดยเป็นมะเร็งอันดับ 2 ที่พบมากที่สุดในหญิงอายุ 15 – 45 ปี รองจากมะเร็งเต้านม มีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยในปีนี้ได้นำวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ มาให้บริการในกลุ่มเป้าหมายเป็นครั้งแรก ซึ่งมีข้อดีคือสามารถป้องกันเชื้อไวรัส HPV ได้ครอบคลุมสายพันธุ์ที่ก่อมะเร็งเพิ่มขึ้นจากเดิมและฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็ม ทำให้ช่วยลดปัญหาการขาดนัดในเข็มที่สอง รวมถึงลดภาระด้านต้นทุนค่าบริการและค่าเดินทาง ส่วนผู้ที่เคยได้รับวัคซีนชนิด 2 หรือ 4 สายพันธุ์ เข็มที่ 1 มาแล้ว ยังสามารถเข้ารับวัคซีนชนิดเดิมได้ซึ่งมีข้อดีเรื่องระดับภูมิคุ้มกันจะสูง ทำให้มีแนวโน้มว่าภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นาน

“การจัดกิจกรรม Kick off ฉีดวัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ จำนวน 1 เข็ม จะเริ่มพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้ และจะขยายการจัดกิจกรรม Kick off ไปอีก 5 จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาค เพื่อให้เกิดกระแสรณรงค์ที่ต่อเนื่อง และมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่กลุ่มเป้าหมาย โดยจะให้บริการในเด็กหญิง ป.5 ปีการศึกษา 2567 ตามสิทธิประโยชน์กว่า 4 แสนคนทั่วประเทศ เป็นกลุ่มแรก และมีแผนฉีดให้แล้วเสร็จก่อนปิดภาคเรียนในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะขยายการฉีดวัคซีนในกลุ่มหญิงอายุ 11 – 20 ปี ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นไป” นายสมศักดิ์กล่าว

ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า การจัดกิจกรรม Kick off ในวันนี้ ได้ร่วมกับ สพฐ. ให้บริการฉีดวัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ แก่นักเรียนหญิงชั้น ป.5 พร้อมให้ความรู้เรื่องมะเร็งปากมดลูกสำหรับนักเรียน ประชาชนทั่วไป รวมทั้ง อสม. ที่จะต้องไปเชิญชวนให้กลุ่มเป้าหมายในชุมชนเข้ารับบริการวัคซีน ทั้งนี้ โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ทำให้ประชากรสูญเสียการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยังส่งผลต่อระบบสาธารณสุข รวมถึงระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขยังคงเดินหน้าฉีดวัคซีน HPV ให้แก่กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เพราะยิ่งฉีดได้มากโอกาสการเกิดมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงในอนาคตก็จะยิ่งลดลง จึงขอเชิญชวนให้ผู้หญิงอายุระหว่าง 11 – 20 ปี ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน HPV ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือวัยทำงาน มารับการฉีดวัคซีนได้ฟรีที่หน่วยบริการใกล้บ้านทั่วประเทศ นอกจากนี้ จะมีการรณรงค์ให้ผู้หญิงอายุ 30 – 60 ปี เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกควบคู่กันไปด้วย เพื่อเป้าหมายสตรีไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัยจากมะเร็งปากมดลูก ตามสโลแกน “หญิงไทย ห่างไกลมะเร็ง ด้วยวัคซีน HPV”หรือ “Save Girls, No Cancer by HPV Vaccine”

Advertisement

“อนุทิน” ร่วมกับ MEA มอบของขวัญปีใหม่ 2568 ถนนสวยไร้สาย @ถนนจรัญสนิทวงศ์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 ธันวาคม 2567 “อนุทิน” ร่วมมอบของขวัญปีใหม่ 2568 ถนนสวยไร้สาย @ถนนจรัญสนิทวงศ์ มุ่งพัฒนาเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ ปลอดภัย คาดสิ้นปีนี้ กฟน. นำสายไฟฟ้าใน กทม. ลงดินเสร็จ 90 กม. จัดระเบียบสายสื่อสาร 32 เส้นทาง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้ (19 ธ.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดงาน “MEA มอบของขวัญปีใหม่ ถนนสวยไร้เสาสายจรัญสนิทวงศ์” ตามโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ณ ลานแขกแพ Meeting Mall บางอ้อ สเตชัน ถ.จรัญสนิทวงศ์ กรุงเทพฯ โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการ กฟน. นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการ MEA ร่วมในงาน

นายอนุทิน มีนโยบายมุ่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ควบคู่การปรับปรุงทัศนียภาพของเมืองให้สวยงามและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) หรือ กฟน. ได้แปลงนโยบายสู่การการปฏิบัติ ดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บนถนนจรัญสนิทวงศ์ รวมระยะทาง 11.4 กม. โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย. 68

“ถนนสวยไร้เสาสายจรัญสนิทวงศ์ นับเป็นของขวัญปีใหม่มอบให้กับพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร ซึ่งหลังจากนี้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. จะขยายโครงการไปให้มากที่สุดเพื่อความสะดวก ปลอดภัยของประชาชน พร้อมไปกับการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ สวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยว นักลงทุน ทั้งไทยและต่างประเทศ เป็น Final Destination ของผู้คนจากทั่วโลก” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินใน กทม. มีแผนดำเนินการรวม 313.5 กม. ภายในปี 2572 ซึ่งในขณะนี้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 73.4 กม. และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 240.1 กม. เช่น ถ.พระราม 3 ถ.รัชดาภิเษก และเส้นทางตามแนวรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ และคาดว่าในสิ้นปี 2567 จะแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นอีก 16.6 กม. ทำให้ภายในปี 67 จะมีระยะทางรวมของสายไฟฟ้าใต้ดินสะสมเป็น 90 กม.

ในส่วนของแผนการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน MEA และหน่วยงานภาคีได้ดำเนินการไปแล้วรวม 32 เส้นทาง ระยะทางกว่า 68 กม. ครอบคลุมถนนสายสำคัญ เช่น ถ.สุทธิสารวินิจฉัย ถ.อโศกมนตรี ถ.ศรีอยุธยา ถ.พระราม 4 ถ.บรรทัดทอง และถ.จรัญสนิทวงศ์ นอกจากนี้ ยังมีการบูรณาการกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดระเบียบสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้า 183 เส้นทาง รวมระยะทางกว่า 570 กม. เฉลี่ยดำเนินงานเดือนละ 45 กม. และในปี 68 มีเป้าหมายจัดระเบียบสายสื่อสารรวมระยะทาง 800 กม. โดย MEA สนับสนุนการติดตั้งคอนสายสื่อสาร เพื่อยึดสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

Advertisement

การรถไฟ จัด 4 มาตรการบริการพิเศษ ส่งประชาชนกลับบ้านปลอดภัยช่วงปีใหม่ 2568

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 ธันวาคม 2567 ‘ศศิกานต์’ เผยการรถไฟแห่งประเทศไทย จัด 4 มาตรการพิเศษ ส่งประชาชนกลับบ้านปลอดภัยช่วงปีใหม่ 2568

วันนี้ (19 ธันวาคม 2567) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม จัดเพิ่มขบวนรถและเจ้าหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่มีวันหยุดยาว 5 วัน ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวด้วยระบบขนส่งสาธารณะจำนวนมาก โดยแบ่งออกเป็น 4 มาตรการ ประกอบด้วย

1.การเพิ่มเที่ยวขบวนรถพิเศษ: เส้นทางสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ ไป-กลับ อีกจำนวน 18 เที่ยว สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มเติมได้อีก 12,000 คน ผู้โดยสารสามารถติดต่อจองตั๋วโดยสารของขบวนรถพิเศษผ่านระบบออนไลน์ D-Ticket หรือสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ มีรายละเอียดขบวนรถ ดังนี้

เที่ยวไป ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 จำนวน 9 ขบวน

  • วันที่ 27 ธ.ค.2567 ขบวน 955 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – ศิลาอาสน์ จำนวน 1 ขบวน
  • วันที่ 27 ธ.ค.2567 ขบวน 977 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – อุบลราชธานี จำนวน 1 ขบวน
  • วันที่ 27 ธ.ค.2567 ขบวน 967 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – อุดรธานี จำนวน 1 ขบวน
  • วันที่ 27 ธ.ค.2567 และ 29 ธ.ค.2567 ขบวน 983 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – ชุมทางหาดใหญ่ จำนวน 2 ขบวน
  • วันที่ 27 ธ.ค.2567 และ 29 ธ.ค.2567 ขบวน 5 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – เชียงใหม่ จำนวน 2 ขบวน
  • วันที่ 28 ธ.ค.2567 ขบวน 973 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – อุบลราชธานี จำนวน 1 ขบวน
  • วันที่ 2 มกราคม 2568 ขบวน 933 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – อุบลราชธานี จำนวน 1 ขบวน

เที่ยวกลับ ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 จำนวน 9 ขบวน

  • วันที่ 28 ธ.ค. 2567 ขบวน 978 อุบลราชธานี – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 1 ขบวน
  • วันที่ 28 ธ.ค. 2567 และ 1 ม.ค. 2568 ขบวน 984 ชุมทางหาดใหญ่ – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 2 ขบวน
  • วันที่ 28 ธ.ค. 2567 และวันที่ 1 ม.ค. 2568 ขบวน 6 เชียงใหม่ – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 2 ขบวน
  • วันที่ 1 ม.ค.2568 ขบวน 962 ศิลาอาสน์- สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 1 ขบวน
  • วันที่ 1 ม.ค.2568 ขบวน 936 อุดรธานี – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 1 ขบวน
  • วันที่ 1 ม.ค.2568 และ 2 ม.ค.2568 ขบวน 934 อุบลราชธานี – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 2 ขบวน

2.มาตรการอำนวยความสะดวกพ่วงตู้โดยสารเพิ่มเต็มหน่วยลากจูง: การรถไฟฯ ได้ทำการพ่วงตู้โดยสารของขบวนรถธรรมดา ขบวนรถชานเมือง ให้เต็มหน่วยลากจูงในทุกเส้นทางทั่วประเทศ สามารถรองรับการเดินทางของผู้โดยสารได้มากกว่า 100,000 คนต่อวัน เพื่อลดปัญหาผู้โดยสารตกค้าง

3.เพิ่มมาตรการความปลอดภัย: กำชับให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดการดูแลผู้โดยสาร ทั้งภายในขบวนรถและสถานีรถไฟเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ ตลอดจนมีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์และสารเสพติดของพนักงานทุกคนต้องเป็นศูนย์ก่อนปฏิบัติหน้าที่ และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังความปลอดภัยจากกล้องวงจรปิด CCTV ตามสถานีและบนขบวนรถทั่วประเทศ

4.กิจกรรมส่งความสุข: กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ จัดกิจกรรมส่งความสุขให้ผู้ใช้บริการโดยมอบของขวัญ เช่น กระติกน้ำเก็บความสุข 2.8 ลิตร จำนวน 5,000 ใบ และแจกเจลอาบน้ำ จำนวน 100,000 ขวด ให้แก่ผู้โดยสารที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และสถานีสำคัญทั่วภูมิภาค ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2567

นอกจากนี้ การรถไฟฯ ได้จัดตั้งศูนย์ปลอดภัยทั่วประเทศ เพื่อดูแลและรับแจ้งเหตุต่าง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2567 นอกจากนี้ ยังได้ประสานขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อาทิ อบต. เทศบาล จัดอาสาสมัคร ร่วมเฝ้าระวังทางผ่านเสมอระดับรถไฟ – รถยนต์ หรือบริเวณชุมชน เพื่อป้องกันเหตุต่าง ๆ รวมทั้งประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจตราความเรียบร้อยบนขบวนรถไฟทุกขบวน

“มาตรการดังกล่าว ถือเป็นของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลตั้งใจมอบให้ประชาชน เพื่อให้การเดินทางกลับภูมิลำเนาเกิดความสะดวก ปลอดภัย และประชาชนรู้สึกอุ่นใจตลอดเส้นทาง” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

รัฐบาลเข้ม ตรวจสารพิษตกค้างในผัก-ผลไม้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 ธันวาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล – รัฐบาลเข้ม ตรวจสารพิษตกค้างในผัก-ผลไม้ ลดความเสี่ยง/อันตราย เน้นกำชับส่วนราชการทำนโยบายเพื่อสุขภาพที่ดีของ ปชช.

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลบูรณาการความร่วมมือแก้ไขปัญหาสารพิษตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตรในผัก และผลไม้ ตั้งแต่ต้นน้ำ (แปลงปลูก/นำเข้า) กลางน้ำ (โรงคัดบรรจุ) และปลายน้ำ (สถานที่จำหน่าย) โดยดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนเพื่อจัดการความเสี่ยงของสารพิษตกค้างในผักผลไม้ การสื่อสารเพื่อลดความเสี่ยงหรืออันตรายจากสารพิษตกค้าง รวมถึงการปรับเกณฑ์มาตรฐานสารพิษตกค้างให้ครอบคลุมชนิดผักผลไม้ และการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรในปัจจุบัน

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลการตรวจวิเคราะห์ผักผลไม้ในประเทศตั้งแต่ปี 2560 ถึง ปี 2567 รวม 2,193 ตัวอย่างผ่าน 81.35% (1,784 ตัวอย่าง) ไม่ผ่าน 18.65% (409 ตัวอย่าง) ซึ่งยังพบปัญหาสารพิษตกค้างในผักผลไม้ โดยปีงบประมาณ 2568 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ) ได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ตรวจเฝ้าระวังความปลอดภัยของผักและผลไม้สด ณ โรงคัดบรรจุทั่วประเทศ จำนวน 854 แห่ง เพื่อกำกับดูแลมาตรฐานการผลิตของโรงคัดบรรจุผักผลไม้สดตามหลักเกณฑ์ GMP และตรวจสอบการแสดงฉลากเพื่อการตามสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มา รวมทั้งเก็บตัวอย่างผักและผลไม้สด ส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการมาตรฐาน โดยมีการสื่อสารความเสี่ยงเป็นระยะ และสรุปสถานการณ์ความปลอดภัยด้านสารพิษตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตร แจ้งต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกำกับดูแลแปลงปลูกในประเทศ เพื่อให้สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า กรณีที่ผลการตรวจประเมิน GMP ไม่ผ่านตามเกณฑ์ อย. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้กลไกการตรวจสอบสารตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตรมีประสิทธิภาพสอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ อย. ยังมีมาตรการเฝ้าระวังการนำเข้าผักผลไม้อย่างเข้มงวดด้วยเช่นกัน โดยการตรวจกัก เก็บผัก ผลไม้กลุ่มเสี่ยง เช่น องุ่น สาลี่ คื่นช่าย ปวยเล้ง เป็นต้น ส่งตรวจวิเคราะห์ หากผลการตรวจไม่ผ่านจะถูกดำเนินคดี และไม่สามารถนำเข้าผัก ผลไม้นั้นได้ ทั้งนี้ ผู้จำหน่าย ตลาดค้าปลีก ควรเลือกผัก ผลไม้จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามาจากแหล่งใด สำหรับผู้บริโภค ควรให้ความสำคัญกับการล้างทำความสะอาดผักและผลไม้ก่อนรับประทานหรือนำมาปรุงอาหาร ซึ่งจากผลงานวิจัยพบว่าการล้างอย่างถูกวิธีด้วยน้ำธรรมดา น้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต (ผงฟู/เบคกิ้งโซดา) หรือน้ำผสมเกลือ มีประสิทธิภาพในลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ ไม่ว่าจะเป็นสารพิษชนิดดูดซึมหรือไม่ดูดซึม นอกจากนี้ ควรเลือกซื้อผักและผลไม้ตามฤดูกาล เลือกให้หลากหลาย และไม่ควรบริโภคชนิดเดียวกันซ้ำ ๆ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากสารพิษตกค้างได้

Advertisement

ศรัทธาประชาชน!! สักการะพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้วเนืองแน่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 ธันวาคม 2567 ศรัทธาประชาชน เพียง 2 วันเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้วเนืองแน่น รัฐบาลแนะนำเตรียมตัวก่อนเดินทางไปสักการะ อย่างไรให้ไม่เสียเที่ยว

วานนี้ (8 ธ.ค.67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพียงแค่สองวันแรกที่เปิดให้ประชาชนได้เข้าสักการะพระเขี้ยวแก้ว พบว่ามี ประชาชนให้ความสนใจเดินทางมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ท้องสนามหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ปี 2568 อย่างเนืองแน่นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวันหยุดนี้  ซึ่งภายในท้องสนามหลวง ยังมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา  6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และมีการจัดกิจกรรมทุกวันอีกด้วย

ทั้งนี้ ขอแนะนำรายละเอียดและข้อปฎิบัติ สำหรับประชาชนที่เดินทางเข้าน้อมกราบพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว ดังนี้

-ประตูเปิดให้เข้าตั้งแต่ เวลา 07.00 – 20.00 น. ของทุกวัน

-แสดงบัตรประชาชน หรือใบขับขี่ หรือพาสปอร์ตต่อเจ้าหน้าที่ประตูทางเข้า (หากไม่มี เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้เข้า)

-ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดเข้าไปภายในบริเวณ

-งดนำดอกไม้ พวงมาลัย พานบายศรี  มาเอง

-รัฐบาลได้จัดดอกบัวประดิษฐ์ไว้ภายใน เพื่อให้น้อมถวาย ผู้เข้าสักการะสามารถหยิบพร้อมบทสวดมนต์ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

-สามารถเดินน้อมสวดมนต์ เดินเวียนเทียนแล้ววางบริเวณจุดวางดอกบัวโดยรอบได้โดยไม่ต้องไปรอวางด้านข้างจุดแรกจุดเดียว

-ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าภายในบริเวณ มณฑลพิธีได้

-แต่งกายสุภาพ ในลักษณะเข้าศาสนสถาน

-ไม่อนุญาตให้ใส่ชุดดำ เข้าบริเวณมณฑลพิธี

-ไม่อนุญาตให้ใส่ขาสั้น สายเดี่ยว เกาะอก เสื้อบาง กางเกงยีนส์ขาด เข้าสักการะ

-ห้ามนำวัตถุมีคม ของไวไฟ ไฟแช็ค มีด คัตเตอร์ นำเข้าไปภายในบริเวณ มณฑลพิธี

นอกจากนี้ยังมีการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ในช่วงเวลา 10.00-12.00 น. และเวลา 16.00 น. เป็นต้นไป และพิธีเจริญจิตตภาวนา ทุกวันพระ โดยจะมีพิธีแสดงธรรมเทศนา 1 กันต์ (ในภาคเช้า) สำหรับในวันที่ 31 ธ.ค. 2567 จะมีกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี และกิจกรรมทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 ม.ค.2568

“ขอเชิญชวนเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งโอกาสที่หาได้ไม่บ่อย นักที่จะได้สักการะพระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศจีน ที่ประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในประเทศไทยจนถึงวันที่ 14 ก.พ. 2568 เวลา 07.00-20.00 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และจะอัญเชิญกลับในวันที่ 15 ก.พ. 2568” นายจิรายุ กล่าวเชิญชวน

Advertisement

“จิราพร” หารือ ผบช.ก. บูรณาการป้องกันธุรกิจแชร์ลูกโซ่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 ธันวาคม 2567 “จิราพร” นำ สคบ. หารือผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บูรณาการป้องกันและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการทำธุรกิจหลอกลวงประชาชน หรือธุรกิจขายตรงแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่

น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค.) ได้ประชุมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาการทำธุรกิจหลอกลวงประชาชน หรือธุรกิจขายตรงแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่ ร่วมกับ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ณ ห้องปฏิบัติการ RTCC (Realtime Crime Center) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) เข้าร่วม

น.ส.จิราพร กล่าวว่า ได้นำผู้แทนจาก สคบ. เข้าร่วมหารือกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานปฏิบัติหลักในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อหาแนวทางและมาตรการในระยะสั้น กลาง และระยะยาว ในการป้องกันไม่ให้เกิดการทำธุรกิจขายตรงแอบแฝงในแบบของแชร์ลูกโซ่หรือในแบบอื่นๆ โดยที่ประชุมเห็นว่าในระยะสั้นควรมีการตั้งคณะทำงานเพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบบริษัทที่จดทะเบียนทั้งหมด รวมถึงตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง โดยอาจมีการศึกษาการนำระบบ AI มาใช้ในการตรวจสอบความผิดปกติในการประกอบธุรกิจร่วมด้วย ควบคู่ไปกับการปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและเข้ากับบริบทในปัจจุบันมากขึ้นต่อไป

“รัฐบาลซึ่งนำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากการทำธุรกิจที่หลอกลวงประชาชน ซึ่งรวมถึงธุรกิจแชร์ลูกโซ่ โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเชิงรุกในการหาแนวทางป้องกัน และแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระยะยาว เพื่อตัดวงจรธุรกิจหลอกลวงประชาชน ไม่ให้ขยายผลกระทบในวงกว้าง จนสร้างผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป” น.ส.จิราพร กล่าว

Advertisement

นายกฯสั่งทุกหน่วยงานบูรณาการแก้ปัญหา PM 2.5 คาดปี 68 สถานการณ์ดีขึ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 ธันวาคม 2567 นายกรัฐมนตรีสั่งการทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานแก้ปัญหา PM 2.5 คาดปี 68 สถานการณ์ลดลงอย่างต่อเนื่อง

วันนี้ (3 ธันวาคม 2567) เวลา 12.10 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าปัญหาฝุ่น PM2.5 และหมอกควัน ได้มีการสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  ร่วมหารือกับทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งกำหนดมาตรการในการป้องกันมลพิษทางอากาศทั้งในส่วนของปัญหาจากการเผาในการเกษตร ควันและไอเสียของรถยนต์ และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม เช่นมาตรการไม่รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรเช่น อ้อย ข้าวโพด ในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่ใช้การเผา ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่จะมีในจุดที่เป็น hotspot และพื้นที่เผาไหม้ลดลงจากปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 50% ดังนั้น แนวโน้มของปี 2568 คาดว่าจะมีแนวโน้มไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับปี 2566 ประกอบกับในส่วนของมาตรการที่ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ ในเรื่องของการครอบคลุมเมืองป่าเกษตรหมอกควันข้ามแดน โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) ที่ได้ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการมีนวัตกรรมอีกมากที่รัฐบาลจะสนับสนุนในเรื่องของการดักฝุ่นควันไม่ให้เกิดปัญหาควันมากยิ่งขึ้น และในส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้มีการสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพ ร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการดำเนินการป้องกันปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยจำนวนในการตรวจพบค่า PM2.5 ที่เกินมาตรฐานเมื่อเทียบกับปี 2566 นับว่ามีแนวโน้มการลดลงถึง 20% โดยคาดการณ์ว่าปัญหาของเรื่องฝุ่นควันในปีนี้ จะมีแนวการทางการจัดการได้ดียิ่งขึ้น

Advertisement

Verified by ExactMetrics