วันที่ 2 สิงหาคม 2025

รัฐบาลห่วงประชาชน “ซึมเศร้าหลังปีใหม่ (New Year Blues)” อย่าคิดมาก แนะประเมินจิตใจผ่านเว็บไซต์ “www.วัดใจ.com”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 มกราคม 2568 อย่าคิดมาก..ถ้าคิดมาก..รัฐบาลเชิญชวนประเมินจิตใจผ่านเว็บไซต์ “www.วัดใจ.com” แนะ 4 แนวทางหลีกเลี่ยงเผชิญอาการ “ซึมเศร้าหลังปีใหม่ (New Year Blues)”

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2568 เวลา  09.00  น. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชน จากการเผชิญภาวะ “ซึมเศร้าหลังปีใหม่ (New Year Blues)” โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงกระทรวงสาธารณสุข  เปิดเผยว่า  จากการติดตามสถานการณ์สุขภาพจิตของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พบว่าประชาชนหลายคนได้พบหลากหลายเหตุการณ์ ทั้งดีและไม่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบต่อการเกิดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เผชิญกับภาวะ Post-Vacation Depression หรือที่เรียกว่าภาวะซึมเศร้าหลังวันหยุดยาว

นายคารม  กล่าวว่า แม้ไม่ใช่โรคทางจิตเวช แต่เป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ต้องให้ความสำคัญ ซึ่งสภาวะดังกล่าวมักจะมีอาการคงอยู่ 2 – 3 วัน แต่ในบางรายอาจยาวนานถึง 2 – 3 สัปดาห์ จนกระทบต่อการใช้ชีวิตโดยอาการสำคัญที่พบ ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า ขาดแรงจูงใจ และความรู้สึกหมดพลัง หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น สามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงเบื้องต้นได้ด้วยแนวทางการดูแลตนเอง 4 ข้อ ดังนี้ 1. เปิดใจพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับคนใกล้ชิด 2. เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลุ่ม 3. กำหนดเป้าหมายชีวิตที่เป็นรูปธรรมและท้าทายอย่างเหมาะสม 4. ขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อพบว่าอาการรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพจิต ตลอดจนเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภาวะทางอารมณ์เบื้องต้น  รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประเมินสภาวะทางจิตใจด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ “www.วัดใจ.com” ซึ่งจะประเมินสภาวะทางสุขภาพจิตครอบคลุมทั้งด้านภาวะซึมเศร้า ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และภาวะหมดไฟในการทำงาน  หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะทางด้านสุขภาพจิตจากการประเมิน จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเพื่อให้คำปรึกษาต่อไป

“การดูแลสุขภาพจิตของประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันการเปลี่ยนทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว  มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงต้องมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตให้เข้าถึงง่ายครอบคลุม และสอดคล้องกับความต้องการ สำหรับประชาชนที่มีอาการดังข้างต้น ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือประเมินสภาวะทางจิตใจและรับคำแนะนำในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมผ่านทางเว็บไซต์ www.วัดใจ.com ” นายคารม ระบุ

Advertisement

นายกฯสั่งเร่งแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์และหลอกลวงทางไซเบอร์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 มกราคม 2568 นายกฯเน้นย้ำเร่งแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์และหลอกลวงทางไซเบอร์ ด้าน สตช.ขานรับเปิดแอปใหม่ช่วยคัดกรองมิจฯพร้อมระดมกำลังกวาดล้าง

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม 2568  เวลา 10.00 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้รับรายงานจาก พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า สตช.ได้นำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับประชาชน เพื่อป้องกัน ปราบปราม และรับมือกับอาชญากรรมที่มีการเปลี่ยนรูปแบบสร้างความเสียหายแก่ประชาชน ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเว็ปหรือแอปพลิเคชันรวมทั้งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน และดำเนินการไปพร้อมกับการกวดขันจับกุม

โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้จัดทำ แอปพลิเคชัน “Thailand Tourist Police ”โดยมีจุดเด่นด้วย ระบบปุ่ม SOS และ GPS ที่สามารถแชร์โลเคชันผู้แจ้ง เพื่อส่งพิกัดขอรับการช่วยเหลือจากตำรวจท่องเที่ยวที่รับผิดชอบพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ปฏิบัติหน้าที่จะได้รับข้อมูลพร้อมกันทุกคน และในกรณีเหตุฉุกเฉิน ยังสามารถใช้เบอร์โทรฯ สายด่วนหมายเลข 1155 ของกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวเป็นช่องทางหลักในการรับเรื่องและประสานการดำเนินการแก้ไขปัญหา โดย สตช.ได้ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีสถานีตำรวจท่องเที่ยวเปิดให้บริการทั่วประเทศ ซึ่งจะมีล่ามช่วยแปลได้ถึง 8 ภาษา คือ อังกฤษ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น รัสเซีย ภาษาฮินดี เยอรมัน และ ฝรั่งเศส โดยสามารถใช้แอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police ได้แล้วทั้งในระบบ iOS , Android และ Huawei AppGallery

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังมี แอปฯ Cyber Check  ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ จะช่วยให้ประชาชน คัดกรองมิจฉาชีพจากเบอร์โทรศัพท์ปริศนาที่โทรเข้ามา รวมทั้งสามารถใช้แอปพลิเคชันนี้ ตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารก่อนจะโอนเงินได้ เพียงนำหมายเลขบัญชีไปใส่แล้วกดโทรออก ซึ่งจุดเด่นของ Cyber Check  คือ ระบบไม่มีการดึงข้อมูลของผู้ใช้งานเหมือนแอปพลิเคชันอื่นๆ แต่ใช้ฐานข้อมูลจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีการร้องเรียนและดำเนินคดีจริง โดยในอนาคตจะเป็นการสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อสินค้าโดยแอปพลิเคชันนี้ จะมีการลงทะเบียนรวบรวมข้อมูลผู้ทำการค้าออนไลน์จริงเพื่อ เพื่อเป็นฐานข้อมูลให้ลูกค้าได้รับความไว้วางใจและเป็นการสร้างความปลอดภัยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อเพื่อจะกระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับหน่วยงานราชการหรือเอกชนที่ถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลไปแอบอ้าง สามารถติดต่อเพื่อขอลงข้อมูลให้ประชาชนทราบว่าผู้ที่แอบอ้างไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือเอกชนที่มีหน้าที่ติดต่อประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งหน่วยงานต่างๆ สามารถติดต่อขอลงทะเบียนข้อมูลได้ที่ บช.สอท. โดยประชาชนสามารถใช้แอปพลิเคชัน Cyber Check ได้แล้วทั้งในระบบ Android และ iOS โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งบน Google Play และ App Store

“นายกรัฐมนตรีได้กำหนดเป้าหมายสำคัญด้านความมั่นคงใน ปี 2568 คือ การป้องกันอาชญากรรมอย่างรอบด้าน  และปราบปรามเชิงรุก บูรณาการร่วมงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความปลอดภัยและเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชน ผ่านนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอบสนองประชาชนอย่างทันท่วงที เพื่อสร้างความสงบสุขให้สังคมและลดอาชญากรรมในทุกมิติ ซึ่งรัฐบาลเชื่อมั่นว่าในปี 2568 นี้อาชญากรรมไซเบอร์และการหลอกลวงจะต้องหมดไป” นายจิรายุกล่าว

Advertisement

รัฐบาลชวนวัยรุ่น เปลี่ยนเงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเงินออม เผยสูญเสียเงินซื้อสูงปีละ 26,944 บาท เฉลี่ยเดือนละ 2,245 บาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มกราคม 2568 ปีใหม่แล้ว..วัยรุ่น.. รัฐบาลชวนเปลี่ยนเงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเงินออม สร้างรากฐานที่มั่นคงของครอบครัวในอนาคต เผยวัยรุ่นกว่าครึ่งได้เงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าจากครอบครัว สูญเสียเงินซื้อสูงปีละ 26,944 บาท เฉลี่ยเดือนละ 2,245 บาท

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดผลสำรวจพฤติกรรมการใช้ “บุหรี่ไฟฟ้า” ของเด็กและเยาวชนไทย พบกว่าครึ่งได้เงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าจากครอบครัว สูญเสียเงินซื้อสูงปีละ 26,944 บาท เฉลี่ยเดือนละ 2,245 บาท ห่วงตัวละครผู้ทรงอิทธิพลออนไลน์มีผลต่อการตัดสินใจ รัฐบาล โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) ชวนวัยรุ่นไทยเริ่มต้นปีใหม่นี้ เปลี่ยนเงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเงินออม ชี้ 30 ปี ได้เงินเก็บถึง 1.8 ล้านบาท ทั้งนี้ จากผลสำรวจการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในเยาวชนไทยปี 2565 พบว่า สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นจาก 3.3% เป็น 17.6% หรือเพิ่มขึ้น 5.3 เท่า

นายอนุกูลกล่าวว่า ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชนใน กทม. จำนวน 400 ตัวอย่าง อายุระหว่าง 13-24 ปี ซึ่งเป็นผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมด พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า 56.5% ได้รับเงินจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง 87.75% มีรายได้ระหว่าง 500-2,000 บาท/สัปดาห์ สำหรับเงินที่นำมาซื้อบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 54.50% ได้จากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ใช้เงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้าเฉลี่ยสูงถึงปีละ 26,944 บาท หรือเดือนละ 2,245 บาท 73% ใช้เงินซื้อบุหรี่ไฟฟ้า 501-1,000 บาท/สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังพบว่า การที่หน่วยงานหรือองค์กรที่มีหน้าที่กำกับกิจการภาพยนตร์หรือละครทางโทรทัศน์หรือสื่อสังคมออนไลน์ปล่อยให้มีตัวละครในภาพยนตร์หรือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์สูบบุหรี่ไฟฟ้า จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากถึงมากที่สุด 16.25% และปานกลาง 38.25% เมื่อรวมกันแล้วคิดเป็น 54.50% ตอกย้ำได้ว่า สื่อบุคคลอย่างผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์หรือตัวละครในภาพยนตร์มีผลต่อการตัดสินใจของเด็กและเยาวชน

“รัฐบาล เห็นความสำคัญของการวางแผนทางด้านการเงินของคนรุ่นใหม่และการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง จึงขอใช้โอกาสเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2568 เชิญชวนเด็กและเยาวชนไทยเริ่มต้นคนใหม่ ในปีใหม่ ตามแนวคิด “Happy New Life” คือ มีความสุขในชีวิตทั้งมิติสุขภาพและมิติทางด้านการเงิน ด้วยการเปลี่ยนเงินที่ซื้อบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าและสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายมาเป็นเงินออมและลงทุนเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงของครอบครัวในอนาคตต่อไป” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

เผยผลสำรวจ พบ เด็ก เยาวชน ประชาชนจำนวนมาก ร้อยละ 41.37 เข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ต้อนรับศักราชใหม่ 2568”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 ธันวาคม 2567 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับศักราชใหม่ 2568 อุทิศถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อความเป็นสิริมงคล

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นของเด็ก เยาวชน และประชาชน ต่อกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ต้อนรับศักราชใหม่ 2568” พบว่า เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 41.37 เข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ต้อนรับศักราชใหม่ 2568” ทั้งนี้ เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 50.87 สนใจร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ณ ศาสนสถานใกล้บ้าน

เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการให้จัดกิจกรรมเพิ่มเติมในพื้นที่จัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” คือ กิจกรรมโรงทาน ร้อยละ 44.09 การแสดงศิลปวัฒนธรรม ร้อยละ 44.04 และตลาดวัฒนธรรม ร้อยละ 39.38 อีกทั้งเสนอแนะจัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ต้อนรับศักราชใหม่ 2568” ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อให้วัยรุ่นเข้าร่วมกิจกรรมได้มากขึ้น พร้อมทั้งให้จัดกิจกรรมที่น่าสนใจช่วงก่อนเริ่มกิจกรรมสวดมนต์ เพื่อดึงดูดประชาชนเข้าร่วมได้มากขึ้น เช่น การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม การจับสลากของขวัญปีใหม่ กิจกรรม Work Shop ทำของที่ระลึก เป็นต้น

“รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมสวดมนต์ข้ามปีภายใต้ชื่อ “สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับศักราชใหม่ 2568” ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค.67 – 1 ม.ค. 68 เพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 รวมทั้งเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาและนำหลักธรรมคำสอนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ลด ละ เลิกอบายมุข เสริมสิริมงคลในช่วงเทศกาล ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พุทธศักราช 2568″ นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

อธิบดีกรมคุก เผย ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ คาดได้ใช้ ม.ค.68 “ยิ่งลักษณ์” ยังไม่เข้าคุณสมบัตินี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 ธันวาคม 2567 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ คาดใช้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำได้ มกราคม 2568 ส่วน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ยังไม่เข้าคุณสมบัตินี้

นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้ามและวิธีการคุมขังในสถานที่คุมขัง สำหรับระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง ครบกำหนดรับฟังความเห็นไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.67

ตอนนี้กรมราชทัณฑ์กำลังประมวลความคิดเห็นของทั้งหมดที่เสนอเข้ามา หลังปรับปรุงแก้ไขแล้วก็จะได้มีการพูดคุยกันภายในกรมราชทัณฑ์ เพื่อลงนามประกาศใช้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำฯ ได้เลย เนื่องจากเป็นอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ คาดว่าน่าจะใช้ได้ในช่วงเดือน ม.ค.68

ต่อข้อถามถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกดำเนินคดี ม.157 นายสหการณ์ กล่าวว่า ความผิด 157 ไม่อยู่ในข้อยกเว้น แต่ประเด็นดังกล่าวจะถูกนำมาพิจารณาทั้งในชั้นกรรมการเรือนจำ และกรรมการระดับกรมราชทัณฑ์

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าหากดูข้อมูลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เหลืออัตราโทษจำคุก 5 ปี หากมีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย แล้วอาจเหลือโทษน้อยลง หรือได้รับการลดโทษ จะเข้าเงื่อนไขโทษต่ำ 4 ปี สำหรับระเบียบคุมขังนอกเรือนจำหรือไม่ นายสหการณ์ เเจงว่า เงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้คือมีอัตราโทษไม่เกิน 4 ปี หรือมีคำพิพากษาจากศาลไม่เกิน 4 ปี ก็จะเข้าเงื่อนไข อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเข้ามาที่กรมราชทัณฑ์ เนื่องด้วยเจ้าตัวยังไม่ได้เข้ามาอยู่ที่เรือนจำ แต่หากเข้ามาที่เรือนจำจึงจะยื่นขออภัยโทษได้

Advertisement

สธ. มอบของขวัญปีใหม่เพื่อสุขภาพคนไทย 7 แพ็กเกจ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 ธันวาคม 2567 “สมศักดิ์” เผย สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อสุขภาพคนไทย 7 แพ็กเกจ ได้รับถ้วนหน้าตั้งแต่ในครรภ์ จนถึงสูงวัย เน้นฉีดวัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ มอบชุดตรวจมะเร็งปากมดลูก-เอดส์ พร้อมดูแลสุขภาพจิต เปิดสายด่วนเลิกบุหรี่

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงของขวัญกระทรวงสาธารณสุขที่มอบให้ประชาชนในช่วงปีใหม่ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มอบของขวัญให้คนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า การจัดบริการ ดูแลตรวจสุขภาพกายใจให้คนไทยทุกสิทธิการรักษา รวม 7 แพ็กเกจ ประกอบด้วย แพ็กเกจที่ 1 หญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด ฝากครรภ์ เจาะเลือด ตรวจแล็บ อัลตราซาวนด์ การคัดกรองดาวน์ซินโดรมและโลหิตจางธาลัสซีเมียในหญิงตั้งครรภ์ การคัดกรองโลหิตจางธาลัสซีเมียและซิฟิลิสในคู่หรือสามีของหญิงตั้งครรภ์ การให้วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ การตรวจและฟื้นฟูสุขภาพหลังคลอด รวมการให้ยาเสริมธาตุเหล็ก โฟลิกและไอโอดีน แพ็กเกจที่ 2 เด็กแรกเกิดถึง 5 ปี คัดกรองภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน และโรคทางพันธุกรรมเมตาบอลิกในทารกแรกเกิด การคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิด การคัดกรองโรคหัวใจพิการ แต่กำเนิดชนิดรุนแรงด้วย Pulse oximeter การคัดกรองสายตาผิดปกติและให้แว่นตาเด็กกรณีสายตาผิดปกติ และการให้วัคซีนที่จำเป็นตามกลุ่มวัย

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า แพ็กเกจที่ 3 เด็กโตถึงวัยรุ่น เป็นบริการคัดกรองและติดตามพัฒนาการเด็ก คัดกรองภาวะโลหิตจาง การให้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV vaccine) และวัคซีนที่จำเป็นตามกลุ่มวัย บริการวางแผนครอบครัวและการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ แพ็กเกจที่ 4 ผู้ใหญ่ (24-59 ปี) เป็นบริการเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด คัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี คัดกรองและค้นหาวัณโรคในกลุ่มเสี่ยงสูง ตรวจมะเร็งปากมดลูก คัดกรองซิฟิลิสในประชาชนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง คัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงในผู้ที่มีอายุ 50-70 ปี การตรวจยีนส์กลายพันธ์มะเร็งเต้านม (BRACA 1/BRCA 2) ในกลุ่มเสี่ยง การตรวจแมมโมแกรม และอัลตราซาวนด์ ในหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม บริการวางแผนครอบครัว และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า แพ็กเกจที่ 5 ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) เป็นบริการให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เจาะเลือดตรวจระดับไขมันในเลือด คัดกรองและค้นหาวัณโรคในกลุ่มเสี่ยงสูง คัดกรองซิฟิลิสในประชาชนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง คัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก คัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงในผู้ที่มีอายุ 50 – 70 ปี การตรวจยีนส์กลายพันธ์มะเร็งเต้านม (BRACA 1/BRCA 2) ในกลุ่มเสี่ยง การตรวจแมมโมแกรม และอัลตราซาวนด์ ในหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม แพ็กเกจที่ 6 การตรวจคัดกรองด้วยตนเอง (Self-test) ได้แก่ ชุดตรวจมะเร็งปากมดลูก ชุดตรวจโรคพยาธิใบไม้ในตับด้วยปัสสาวะ และชุดตรวจเอชไอวี และแพ็กเกจที่ 7 บริการสายด่วนและสุขภาพจิต ได้แก่ การคัดกรองและดูแลสุขภาพจิตด้วยแอปพลิเคชัน Dmind และ Ooca สายด่วนสุขภาพจิต 1323 และสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600

Advertisement

“ทวี” แจง “ดีเจแมน-ใบเตย” ได้เงินเยียวยา แต่ต้องรอคดีถึงที่สุด เผยยอดเงินเยียวยา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 ธันวาคม 2567 “ทวี” แจง “ดีเจแมน-ใบเตย” ได้รับค่าเยียวยา หลังศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่ต้องรอให้คดีถึงที่สุด บอกหากไม่ได้รับความยุติธรรม ฟ้องรัฐได้

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงดราม่า นายพัฒนพล มินทะขิน หรือดีเจแมน ติดคุกฟรี ว่า กระทรวงยุติธรรมมี พ.ร.บ.ค่าตอบแทน สำหรับจำเลยในคดีอาญา จะอยู่ที่ 500 บาทต่อวัน แต่ต้องขอให้คดีนั้นเด็ดขาดก่อน เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลลงโทษบางคน และไม่ได้ลงโทษบางคน ซึ่งถ้าถูกควบคุมจะได้รับค่าตอบแทนที่เรียกว่าเป็นแพะ แต่เนื่องจากในคดีนี้เป็นเพียงการตัดสินของศาลชั้นต้น ไม่จึงยังไม่มั่นใจ ว่าอัยการจะอุทธรณ์หรือไม่ และต้องขอรอดูก่อน ส่วนในอนาคตได้มีการเสนอแก้ไปแล้ว ซึ่ง ครม.เพิ่งอนุมัติ โดยจะมีการเอาผิดถึงชั้นสอบสวนและอัยการด้วย ถ้าอัยการสั่งไม่ฟ้องเราจะเข้าไปเยียวยาฟื้นฟูประชาชน พร้อมย้ำว่ากฎหมายเขียนระบุว่าต้องรอให้คดีถึงชั้นสูงสุด จึงจะพิจารณาชดเชยได้ ขณะเดียวกันการเยียวยาในส่วนของสังคม โดยประชาชนเมื่อศาลยกฟ้อง ก็มีเยียวยาทางจิตใจกันอยู่แล้ว

ส่วนที่สังคมมองว่าไม่คุ้มค่าชดเชยกับที่ติดคุกไป พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เขามีสิทธิที่จะฟ้องรัฐได้ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย การเยียวยาไม่ได้ตัดสินผู้เสียหายที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดได้ เช่นเดียวกับคดีตากใบ

มีรายงานว่า สำหรับการชดเชย ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ โดยจะมีสิทธิได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายดังนี้ ค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 40,000 บาท, ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 20,000 บาท, ค่าทดแทนการถูกคุมขัง วันละ 500 บาท, ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างถูกดำเนินคดี นับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ตามค่าแรงขั้นต่ำของจังหวัดที่ประกอบการงาน, ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินคดี เช่น ค่าทนายความ จ่ายเท่าที่จ่ายจริงตาม แต่ละประเภทคดีที่กฎหมายกำหนด ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดำเนินคดี เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท

ทั้งนี้ ดีเจแมนถูกจำคุกมาแล้ว 1 ปี 7 เดือน คิดเป็น จำนวน 570 วัน หากคณะกรรมการฯพิจารณาอนุมัติช่วยเหลือ ก็จะได้รับ (1) ค่าถูกคุมขัง 570 x 500 = 287,500 บาท (2) ค่าขาดประโยชน์ฯ ช่วงที่ 1 ตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ปี 2566 จำนวน 209 วัน x 353 บาท = 73,777 บาท ช่วงที่ 2 ตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ปี 2567 จำนวน 361 วัน x 363 บาท = 131,043 บาท (3) ค่าทนายความ 75,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 564,820 บาท

สำหรับ น.ส.สุธีวัน กุญชร หรือใบเตย ถูกจำคุกมาแล้ว 191 วัน หากคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติช่วยเหลือก็จะได้รับ (1) ค่าถูกคุมขัง 191 x 500 = 95,500 บาท (2) ค่าขาดประโยชน์ฯ ตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ปี 2566 จำนวน 191 วัน x 353 บาท = 67,423 บาท (3) ค่าทนายความ 75,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 237,923 บาท

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ เป็นการตัดสินในศาลชั้นต้น โดยโจทก์มีระยะเวลา 30 วันในการยื่นอุทธรณ์ หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ไม่มีฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์จึงจะถือว่าคดีถึงที่สุด จึงจะเข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย

Advertisement

การเคหะฯ จัดโปร หั่นราคา 102 โครงการทั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 ธันวาคม 2567 “วราวุธ” เผย พม. รับปีใหม่ 68 การเคหะฯ จัดโปรฯ หั่นราคา 102 โครงการทั่วประเทศ ลด 5-20%

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มอบของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2568 เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เป็น “บ้านคุ้มค่า ราคาโดนใจ รับปีใหม่ 2568” โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) จัดโปรโมชันลดราคาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ 5-20 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 102 โครงการ และลดราคาพิเศษโครงการบ้านเอื้ออาทร จำนวน 47 โครงการ ราคาขายห้องชุดขนาด 24 ตารางเมตร เริ่มต้น 250,000 บาท และราคาขายห้องชุดขนาด 33 ตารางเมตร เริ่มต้น 390,000 บาท

สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินแล้วไม่ได้รับอนุมัติ สามารถยื่นขอสินเชื่อในโครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย พร้อมรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.5 เปอร์เซ็นต์ใน 4 ปีแรก และปีที่ 5 เป็นต้นไป รับอัตราดอกเบี้ย 2.25  เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มเปราะบาง (คนพิการ ผู้สูงอายุ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ประสงค์จะซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่เดิม หรือผู้ที่มีภาระต้องดูแลผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ทุพพลภาพ) ในช่วง 5 ปีแรกรับดอกเบี้ย 1.5  เปอร์เซ็นต์ และปีที่ 6 เป็นต้นไป รับอัตราดอกเบี้ย 2.25  เปอร์เซ็นต์เช่นกัน โดยให้ระยะเวลาผ่อนนานถึง 40 ปี แต่เมื่อรวมกับอายุผู้เช่าซื้อจะต้องไม่เกิน 75 ปี โดยลูกค้าจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 43,000 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน

หรือหากไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อโครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ลูกค้ายังสามารถยื่นขอทำสัญญาเช่าซื้อโดยตรงกับการเคหะแห่งชาติได้อีก โดยปีที่ 1-3 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.25  เปอร์เซ็นต์ ปีที่ 4-5 อัตราดอกเบี้ย 5.25 เปอร์เซ็นต์ ปีที่ 6-10 อัตราดอกเบี้ย 6.50  เปอร์เซ็นต์ และปีที่ 11 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย 6.75 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มเปราะบาง ปีที่ 1-5 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.25  เปอร์เซ็นต์ปีที่ 6-10 อัตราดอกเบี้ย 6.50 เปอร์เซ็นต์ และปีที่ 11 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย 6.75 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 30 ปี

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : การเคหะแห่งชาติ เฟซบุ๊กแฟนเพจ : NHA Marketing หรือ Call Center 1615

Advertisement

นิด้าโพล เผยปี 67 คนไทยเหนื่อยหน่ายกับปัญหา ศก.-ภัยไซเบอร์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 ธันวาคม 2567 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” เผยผลสำรวจพบปี 2567 ประชาชนเหนื่อยหน่ายกับปัญหาเศรษฐกิจ-ภัยไซเบอร์

จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงความสุขในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าตัวอย่าง ร้อยละ 39.92 ระบุว่า ค่อนข้างมีความสุข เพราะมีความสุขทั้งกับตัวเองและครอบครัว ชีวิตการทำงานราบรื่น รองลงมา ร้อยละ 32.52 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความสุข เพราะมีปัญหาทางการเงินที่เกิดจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ร้อยละ 18.17 ระบุว่า มีความสุขมาก เพราะการใช้ชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และร้อยละ 9.39 ระบุว่าไม่มีความสุขเลย เพราะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้สินสะสม

ถามถึงสิ่งที่ประชาชนเหนื่อยหน่ายในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.14 ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ รองลงมา ร้อยละ 28.09 ระบุว่า ปัญหาภัยไซเบอร์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การแฮกข้อมูล เป็นต้น ร้อยละ 27.86 ระบุว่า ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในและนอกสภา ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด ร้อยละ 14.89 ระบุว่า ปัญหาราคาพลังงาน ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยทางธรรมชาติ ร้อยละ 13.44 ระบุว่า ปัญหาสุขภาพ โรคระบาด ร้อยละ 12.98 ระบุว่าปัญหาอาชญากรรม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 12.90 ระบุว่า ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร ร้อยละ 12.75 ระบุว่า ไม่เหนื่อยหน่ายกับอะไรเลย

Advertisement

“สมศักดิ์” ยกระดับหมอนวดไทย สู่ความเชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ ช่วยผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น-หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 ธันวาคม 2567 “สมศักดิ์” ยกระดับหมอนวดไทยเชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งส่งเสริมความเชี่ยวชาญพิเศษให้หมอนวดไทยใน 7 กลุ่มอาการ ทั้งปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด หัวไหล่ติด นิ้วล็อก กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อัมพฤกษ์ อัมพาต และระบบสืบพันธุ์ ช่วยผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจสุขภาพ และเสริมภาพลักษณ์การเป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก

วันนี้ (22 ธันวาคม 2567) ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าว “การส่งเสริมและยกระดับการนวดไทย” โดยมี ดร.โฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ดร.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาการนวดไทย ด้วยการส่งเสริมและยกระดับอาชีพและวิชาชีพการนวดไทยให้มีมาตรฐาน สร้างความมั่นใจให้กับผู้รับบริการ และสนับสนุนให้นำมาใช้เป็นทางเลือกในการรักษาร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสภาการแพทย์แผนไทย ได้เร่งเดินหน้าเพิ่มความเชี่ยวชาญพิเศษให้กับหมอนวดไทย ใน 7 กลุ่มอาการ ได้แก่ กลุ่มปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Office syndrome) โรคหัวไหล่ติด โรคนิ้วล็อกภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (ปวดสลักเพชร) หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อัมพฤกษ์ อัมพาตและกลุ่มระบบสืบพันธุ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังเหล่านี้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพนวดไทยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็จะได้รับค่าตอบแทนหรือรายได้เพิ่มขึ้น

“นอกจากผลตอบแทนที่หมอนวดจะได้รับ การเพิ่มความเชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านของหมอนวดไทยยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านเศรษฐกิจสุขภาพ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางสุขภาพระดับโลกด้วย โดยในอนาคตจะขยายการพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของหมอนวดไทยให้หลากหลายครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” นายสมศักดิ์กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics