วันที่ 2 สิงหาคม 2025

‘กฎหมายฟ้องชู้’ บังคับใช้แล้ววันนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องหย่าด้วยเหตุมีชู้ สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 มกราคม 2568 ‘กฎหมายฟ้องชู้’ บังคับใช้แล้ววันนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องหย่าด้วยเหตุมีชู้ สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากได้

วันนี้ (22 มกราคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (21 มกราคม 2568) มีมติรับทราบการแก้ไขมาตรา 1523 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ที่แก้ปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 13/2567

โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปัจจุบัน) สาระสำคัญ ดังนี้ มาตรา 1523 เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่อง หรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไปในทำนองชู้ หรือจากผู้ซึ่งแสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงตนว่ามีความสัมพันธ์กับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งในทำนองชู้ก็ได้  ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำการตามมาตรา 1516 (1) หรือให้ผู้อื่นกระทำการตามวรรคสอง คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้

ทั้งนี้ การแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติดังกล่าว เป็นการแก้ไขข้อความจากเดิมที่ใช้คำว่า “สามีหรือภริยา” และ “ชู้สาว” เป็น “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”  และ “คู่สมรสฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งในทำนองชู้” ซึ่งการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้การเรียกค่าทดแทนของคู่สมรสแต่ละฝ่าย เกิดความเท่าเทียมกัน และสร้างความเป็นธรรมต่อบุคคล โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

Advertisement

รัฐบาลพร้อมแล้ว จดทะเบียน “สมรสเท่าเทียม” พฤหัส 23 ม.ค.นี้ ทั่วไทยทั่วโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มกราคม 2568 จดทะเบียน “สมรสเท่าเทียม” พร้อมแล้วพฤหัส 23 ม.ค.นี้ รัฐบาล อำนวยความสะดวกเต็มที่ จดได้ทั้งที่ อำเภอ/เขต และสถานทูตไทยในต่างประเทศทั่วโลก

วันนี้ (20 มกราคม 2568 ) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีความพร้อมสำหรับการ อำนวยความสะดวก ในการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม พร้อมกันทั่วประเทศ แล้วในวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคมนี้ บนหลักการความเสมอภาคและเท่าเทียม  ภายใต้แนวคิด “สมรสเท่าเทียม ยินดีกับทุกความรัก 878 อำเภอ ทั่วไทย (Embracing Equality : Love Wins in 878 Districts)” รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานตาม กฎหมายฉบับนี้ที่ประกาศใช้

นายคารม กล่าวว่า กรมการปกครองในฐานะนายทะเบียนกลาง ได้เตรียมความพร้อมซักซ้อมการปฏิบัติกับสำนักทะเบียน และอำเภอ 878 แห่ง พร้อมทั้งสำนักงานเขต ใน กทม. 50 เขต รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลไทยในต่างประเทศ 94 แห่งซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวัน พฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2568 ใน 4 ด้าน คือ

ด้านระเบียบ โดยได้ร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 เพื่อรองรับการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวระหว่างบุคคลเพศหลากหลาย ทำให้คู่รักสามารถหมั้นและสมรสกันได้ ซึ่งจะทำให้ทราบสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางครอบครัวที่เท่าเทียมกัน และเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่าย

สำหรับด้านระบบ โดยได้มีการแก้ไขระบบทะเบียนสมรสและทะเบียนหย่า และมีการทดสอบระบบเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งจัดเตรียมผลิตแบบพิมพ์ ใบสำคัญการสมรส (คร.3) และใบสำคัญการหย่า (คร.7) เพื่อรองรับการให้บริการที่เพิ่มสูงขึ้น

ด้านบุคลากร โดยได้จัดทำชุดความรู้และอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทะเบียนใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด การปรับกรอบความคิดในการให้บริการประชาชน และการบริการที่เป็นสากลบนหลักความเสมอภาคและเท่าเทียม คำนึงถึงมารยาทสากลและหลักสิทธิมนุษยชน

ด้านการจัดกิจกรรม ได้แก่ กิจกรรม Kick Off ในวันนี้ และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่จะจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ณ ที่ว่าการอำเภอ ทั้ง 878 แห่ง ในวันที่ 23 ม.ค. 68 ซึ่งเป็นวันแรกที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับทุกความรักตามแนวคิด “กรมการปกครองยินดีเป็นนายทะเบียนให้กับทุกความรัก”

“วันที่ 23 มกราคม 2568 นี้เป็นวันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับ รัฐบาล โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พร้อมอำนวยความสะดวกให้คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าจดทะเบียนสมรส เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติในฐานะประเทศที่ยอมรับและเคารพสิทธิมนุษยชน รวมถึงสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ เชิญชวนคู่รักทุกคู่เข้ารับบริการจดทะเบียนสมรสได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ และสำนักงานเขตทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ” นายคารมกล่าว

Advertisement

เตือน ผู้สูงวัย-ผู้ใหญ่วัยเกษียณ!! มิจฉาชีพ คอลฯ จ้องหลอกกลุ่มนี้มากขึ้น ขอลูกหลานช่วยดูแล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มกราคม 2568 รัฐบาลเตือน ผู้ใหญ่วัยเกษียณ หลังพบ มิจฉาชีพ คอลฯ หลอกกลุ่มนี้มากขึ้น ขอลูกหลาน ช่วยดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว ตรวจสอบเบอร์โทรก่อนรับ เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อและสูญเสียทรัพย์สิน

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 เวลา 09.00 น. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพมีจำนวนมากขึ้น มีการเตรียมการเป็นอย่างดี และทำกันเป็นขบวนการเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินจากทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็น SMS หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเป้าหมายหลอกลวงไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ และผู้เกษียณเพิ่มขึ้น ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การหลอกลวงซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยหลอกให้ซื้อขายสินค้าแต่ไม่มีเจตนาที่จะส่งสินค้าให้จริง การหลอกลงทุน โดยหลอกชักชวนให้ลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงในเวลาอันสั้น ที่ไม่มีอยู่จริง การหลอกให้รัก โดยหลอกเข้ามาตีสนิท สร้างความสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อหวังเอาทรัพย์สิน การหลอกให้กลัว หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งว่าท่านเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด หลอกให้โอนเงินให้ตรวจสอบ การหลอกขายยาและอาหารเสริม โดยหลอกขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยา อ้างว่าสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งอาจไม่ได้ผลจริงและเป็นอันตราย การหลอกขายประกันสุขภาพ โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนจากบริษัทประกันสุขภาพ เพื่อขอข้อมูลส่วนตัวหรือขายประกันที่ไม่เป็นความจริง หรือการหลอกให้รับสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการที่ดูแลเรื่องบำนาญหรือสวัสดิการผู้สูงอายุ และขอข้อมูลส่วนตัวหรือขอให้โอนเงินเพื่อดำเนินการ ส่งผลทำให้ผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงทางออนไลน์เพิ่มขึ้น

นายคารม ย้ำเตือนประชาชนให้ระมัดระวังจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในรูปแบบดังกล่าว และขอให้บุตรหลานคอยสอดส่องดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบและป้องกันตนเอง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ๆ ดังนี้ 1. นำเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา เช็กใน Google ตรวจสอบประวัติเบอร์ผู้ใช้ 2. ค้นหาใน Facebook หากเบอร์โทรนั้นเคยผูกกับบัญชีเฟซบุ๊ก 3. ค้นหาทาง Line “เพิ่มเพื่อน” เลือกจาก “หมายเลขโทรศัพท์” ถ้าเบอร์โทรนั้นผูกกับไลน์ 4. โหลดแอปพลิเคชัน WHOSCALL เพื่อช่วยในการค้นหาตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ หรือเบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ โดยแอปจะแจ้งเตือนได้ว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของใคร

นอกจากนั้น หากประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ สถานีตำรวจในพื้นที่ และสำหรับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 (ได้ตลอด 24 ชั่วโมง)

Advertisement

 

นายกฯ ชมเปาะ “บ้านเพื่อคนไทย” สะดวกสบาย เหมาะกับครอบครัวที่มีลูก 1 – 2 คน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 มกราคม 2568 นายกฯ ยืนยัน “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” สะดวกสบาย เป็นโครงการที่ดีเพื่อผู้มีรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตนเอง

วันนี้ (17 มกราคม 2568) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณด้านหน้า โถงกลางประตู 1 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทย ว่า วันนี้ได้ชมห้องตัวอย่างรวมถึงห้องน้ำรู้สึกว่ามีความสะดวกสบาย ขนาดพื้นที่ของโครงการถือว่ามีความเหมาะสมกับครอบครัวที่มีลูก 1 – 2 คน อายุไม่เกิน 10 ขวบ ซึ่งรัฐบาลมุ่งให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงโครงการบ้านเพื่อคนไทย หากประชาชนให้ความสนใจเพิ่มขึ้น รัฐบาลพร้อมพิจารณาแนวทางต่าง ๆ สำหรับการขยายโครงการระยะต่อไป

ส่วนประเด็นที่ว่าโครงการฯ จะส่งผลดีหรือเสียในตลาดอสังหาริมทรัพย์หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลไม่ได้แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน และโครงการดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยให้มีสิทธิ์มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้

Advertisement

นายกฯ เปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทย ให้เป็นบ้านหลังแรก ราคาถูก ปลอดภัย ใกล้รถไฟฟ้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 มกราคม 2568 นายกฯ เปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทย หวังสร้างที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย ให้เป็นบ้านหลังแรก ราคาถูก ทำเลใกล้รถไฟฟ้า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้ใช้แรงงานรายได้น้อย

วันนี้ ( 17 มกราคม พ.ศ. 2568) เวลา 14.15 น. ณ โถงกลางประตู 1 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดชมห้องตัวอย่าง และจองสิทธิ์โครงการบ้านเพื่อคนไทย ตามนโยบายรัฐบาลที่มีแนวคิดว่าการมีบ้านเป็นของตนเองจะช่วยให้ประชาชนสามารถพัฒนาตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังส่งเสริมเศรษฐกิจโดยรวม รัฐบาลจึงเลือกใช้พื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ตั้งอยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟ ซึ่งสะดวกต่อการเดินทาง และมีการเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในอนาคต ซึ่งมีเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ คือ ผู้สมัครต้องเป็นผู้ไม่มีบ้านหลังแรก และยังไม่เคยขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน เพื่อป้องกันการเก็งกำไรในอนาคต โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานพิธีเปิดชมห้องตัวอย่าง และจองสิทธิ์โครงการบ้านเพื่อคนไทยว่า คนไทยกว่า 5.87 ล้านครอบครัว หรือคิดเป็นประมาณ 27% ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง รัฐบาลจึงได้เน้นย้ำเรื่องของการช่วยเหลือสนับสนุนพี่น้องประชาชน ผ่านการดำเนินนโยบายที่จะดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หรือทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมั่นคงขึ้น ซึ่งโครงการบ้านเพื่อคนไทยจะช่วยสนับสนุนผู้ที่เริ่มทำงาน First Jobber หรือคนที่อยู่ในวัยทำงานที่กำลังพยายามเก็บเงินซื้อบ้าน มีบ้านเป็นของตัวเอง บนทำเลใกล้รถไฟฟ้า เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทางไปทำงาน ทำให้มีแรงกาย แรงใจในการทำงานเพื่อขับเคลื่อน และพัฒนาประเทศ และเพื่อให้พี่น้องคนไทยทุกคนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า บ้านเพื่อคนไทยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับชีวิตของพี่น้องประชาชน ทำให้ประชาชนมีที่ดินเป็นของตัวเอง มีที่อยู่อาศัยอย่างปลอดภัย เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการจะมอบให้ประชาชน โดยหลังจากนี้จะมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับประชาชนที่สนใจโครงการบ้านเพื่อคนไทยผ่านช่องทางต่าง ๆ ของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนติดตาม Social Media ของรัฐบาลไว้ เพื่อให้ประชาชนไม่พลาดข้อมูลสำคัญ นอกจากนั้น ประชาชนยังสามารถเดินทางเข้ารับชมบ้านตัวอย่าง ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 31 มกราคมนี้

“ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันดำเนินโครงการบ้านเพื่อคนไทยในระยะนำร่อง ทุกหน่วยงานมีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนประชาชน แต่ยังต้องร่วมมือ ร่วมใจผลักดันนโยบายของรัฐบาลในมิติอื่น ๆ เพื่อประเทศชาติและเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป” นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีเปิดชมห้องตัวอย่าง และจองสิทธิ์โครงการบ้านเพื่อคนไทย ก่อนไปรับชมห้องตัวอย่าง และโมเดลบ้าน ณ บริเวณโถงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์

สำหรับโครงการบ้านเพื่อคนไทยช่วยเพิ่มการใช้ประโยชน์จาก ที่ดินของ รฟท. ที่เคยรกร้างว่างเปล่าหรือถูกใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างชุมชนที่มีคุณภาพโดยการวางแผนที่อยู่อาศัยถึง 100,000 ยูนิตในรูปแบบคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวจะช่วยกระตุ้น GDP ของประเทศรวมถึงสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึงได้

Advertisement

รัฐบาลแนะ 8 ข้อ เด็กยุคใหม่รู้ทันภัยออนไลน์ ไม่ตกเป็นเหยื่อ “มิจฉาชีพ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 มกราคม 2568 วันเด็ก..เด็กยุคใหม่..ต้องตามโลกยุคใหม่ให้ทัน เตือนผู้ปกครองต้องเฝ้าระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อภัยออนไลน์ แนะ 8 ข้อ เด็กยุคใหม่รู้ทันภัยจากการใช้สื่อออนไลน์ ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวก “มิจฉาชีพ”

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเทศกาลวันเด็กหรือช่วงเวลาอื่น ๆ “ของขวัญ” มักจะเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ลูกหลานเฝ้ารอคอยเสมอ การเลือกซื้อของเล่นให้เด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่เลือกแค่สีสวยงามหรือราคาถูกเพราะของเล่นที่ดีจะต้องช่วยส่งเสริมพัฒนาการให้เด็ก และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ของเล่นชนิดนั้นจะต้องปลอดภัย มีมาตรฐาน ขอฝากเตือนถึงผู้ปกครองที่จะพาบุตรหลานไปเที่ยวเล่นตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงงานวันเด็กหรือเทศกาลอื่น ๆ รวมทั้งการไปเที่ยวเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากของเล่นที่ไม่มีมาตรฐานที่อาจทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บหรือเป็นพิษ และขอย้ำเตือนภัยพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มีบุตรหลานอยู่ในความดูแล ให้หมั่นตรวจสอบ และระมัดระวังบุตรหลานของท่าน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพในโลกออนไลน์ ที่มีเป้าหมายหลักเป็นเด็กและเยาวชน ดังต่อไปนี้

1.การล่อลวงออนไลน์ คนร้ายจะสร้างความไว้วางใจกับเด็ก ผ่านเกมหรือสื่อสังคมออนไลน์ แล้วพยายามนัดพบตัวจริง เพื่อล่วงละเมิดทางเพศ 2. การหลอกถ่ายคลิปลามก คนร้ายหลอกล่อเด็กให้ถ่ายภาพหรือคลิปลามกส่งให้กับคนร้าย จากนั้นนำภาพหรือคลิปลามกไปขาย หรือนำมาแบล็กเมล์ เรียกเอาเงินจากผู้ปกครอง 3. การกลั่นแกล้งทางออนไลน์ การที่เด็กถูกกลั่นแกล้งในสื่อสังคมออนไลน์ จากการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพที่ทำให้เสียหาย 4. การหลอกลวงซื้อขายสินค้า คนร้ายหลอกลวงให้เด็กโอนเงินซื้อสินค้า ผ่านเกมหรือสื่อสังคมออนไลน์ แล้วไม่ส่งของให้ 5. การเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะสม การที่เด็กเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น ความรุนแรง ภาพลามก การพนันออนไลน์ ซึ่งมักจะเกิดจากการคลิกโฆษณา หรือการค้นหาโดยไม่ตั้งใจ

ทั้งนี้ สามารถสอนน้อง ๆ ให้รู้ภัยจากการใช้สื่อออนไลน์ได้ง่าย ๆ ด้วย 8 ข้อ ดังนี้  1. สอนให้รู้จักตนเอง และต้องรับผิดชอบต่อการกระทำทุก อย่างบนโลกออนไลน์ 2. สอนให้ใช้เวลาออนไลน์อย่างพอเหมาะพอดี ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ การงาน และชีวิตด้านอื่น 3. สอนให้ยืดหยุ่น เข้มแข็ง รับมือกับการกลั่นแกล้งได้ดี 4. สอนให้รักษาความปลอดภัย ตั้งรหัสผ่าน ป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ และการโจมตีระบบ 5. สอนให้รักษาความเป็นส่วนตัว ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ 6. สอนให้คิดวิเคราะห์ สืบค้น แยกแยะ ไม่เชื่อทุกอย่างที่เห็นหรือรับมา 7. สอนให้ตระหนักการกระทำบนโลกออนไลน์ ย่อมมีร่องรอยให้ตามสืบตามตัวได้เสมอ และ 8. สอนให้เข้าใจให้อภัย เห็นอกเห็นใจคนอื่น บริหารจัดการอารมณ์ตนเองบนโลกออนไลน์

“รัฐบาลห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ทั้งนี้ หากบุตรหลานของท่านตกเป็นเหยื่อ หรือได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่ เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือ สายด่วน 1441 ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

นายกฯขอเด็กห่างไกลยาเสพติด มั่นใจทุกอาชีพ สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 มกราคม 2568 นายกฯ คุยกับตัวแทนน้องๆ โรงเรียนในสังกัด ศธ.จากทั่วประเทศ ดีใจที่ประชาชนได้ประโยชน์จากนโยบาย พร้อมขอเด็กห่างไกลยาเสพติด มั่นใจทุกอาชีพ สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติได้

วันนี้ (11 มกราคม 2568) เวลา 10.30 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยกับผู้แทนเด็กและเยาวชนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จากกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์

นายกรัฐมนตรี กล่าวทักทายตัวแทนเด็กและเยาวชน พร้อมแนะนำตัวว่าเรียนจบจากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วน และคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาโทที่  MSc International Hotel Management, University of Surrey, Weybridge, United Kingdom สาขาการโรงแรม เพราะตั้งใจจะสานต่อกิจการโรงแรม แต่ไม่ได้เป็นตามแพลน   เหมือนคำขวัญวันเด็กในปีนี้ จึงขอให้เด็กๆ พร้อมปรับตัวตามสถานการณ์

โอกาสนี้ ผู้แทนนักเรียนกล่าวถามนายกรัฐมนตรีว่า  นายกรัฐมนตรีเหนื่อยหรือไม่ กับการทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบว่า   ทุกอาชีพ ทุกตำแหน่งเหนื่อยคนละแบบ การเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีความเหนื่อยเป็นปกติ  แต่ไม่ค่อยเหนื่อยเพราะมีกำลังใจที่ดี  เมื่อผลงานที่ทำด้วยความตั้งใจ ออกมาดี มีคนได้รับประโยชน์ทำให้รู้สึกอิ่มใจ รู้สึกใจฟู ทั้งนี้ รัฐบาลจะดำเนินโครงการเรื่องของทุนการศึกษา เพื่อทำให้นักเรียนได้มีโอกาสการศึกษาเพิ่มขึ้น และเมื่อสื่อสารว่าได้รับโอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้นจากรัฐบาล ก็จะทำให้หายเหนื่อย  เพราะฉะนั้น ตนเองตั้งใจทำงานขับเคลื่อนนโยบายเพื่อให้ประชาชนจำนวนมากได้รับประโยชน์

นายกรัฐมนตรียังตอบคำถามถึงนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำหญิงที่อายุน้อยที่สุด มีความยากหรือไม่ในการทำงานว่า  ทุกช่วงอายุมีล้วนมีความสามารถแตกต่างไป การเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ด้วยเนื้องานของการทำงานไม่มีความต่างจากผู้ชาย และคิดว่าคนที่มีความตั้งใจตรงนี้สามารถทำได้แน่นอน แต่ว่าอาจจะได้รับผลกระทบบ้างด้วยความที่เป็นผู้หญิง หากสังคมเปิดกว้างขึ้น โลกเปิดกว้างขึ้น มีการพัฒนาในเรื่องนี้มากขึ้น ก็จะเข้าใจกันมากขึ้น ตนเองเคยได้อ่านหนังสือและมีการบอกว่า นักการเมืองหญิงทั่วโลกจะถูกบุลลี่ในเรื่องต่าง ๆ สิ่งที่ยากคือ ผู้หญิงก็จะโดนบุลลี่ในเรื่องดังกล่าว เพราะฉะนั้น ต้องรู้คุณค่าของตัวเราก่อน  ต้องการกำหนดให้ชัดเจนว่าจะทำงานในส่วนตรงนี้เพื่ออะไร มีความตั้งใจอย่างไร และมีข้อดีอย่างไรบ้าง จะต้องมีสติให้มาก ซึ่งเมื่อโตขึ้นจะมีความท้าทายเข้ามาในชีวิต จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

นายกรัฐมนตรี ยังตอบถึง แรงบันดาลใจว่า  คุณพ่อตนเองเคยเป็นนายกรัฐมนตรีและได้วางนโยบายไว้ให้ประเทศชาติจนถึงทุกวันนี้คือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล แต่นโยบายนี้ยังอยู่  ไม่จำเป็นต้องพูดถึงชื่อคุณพ่อ แต่ประชาชนรับรู้ได้ว่ารับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ซึ่งตนเองต้องการทำนโยบายที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็สร้างประโยชน์ต่อประชาชน หากทำได้จะรู้สึกมีความภูมิใจ ไม่ต้องประกาศอะไรทั้งสิ้น แต่ประโยชน์อยู่ที่ประชาชน ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม ส่วนนี้คือแรงบันดาลใจที่ 1

ส่วนแรงบันดาลใจที่ 2 คิดว่า การที่มีโอกาสมานั่งอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีโอกาสที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้ สิ่งนั้นคือแรงบันดาลที่สำคัญใจ เช่น การทำให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ได้รับเงินเยียวยาเร็วขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหาเรื่อง ถนน ดูแลชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น และสิ่งสุดท้าย ที่แรงบันดาลใจเล็ก ๆ คือ ครอบครัว และลูก ๆ คือความหวัง คืออนาคต  เช่นเดียวกับน้อง ๆ ที่จะเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงาม ทำให้คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจในสิ่งดี ๆ  ลูก คือ แรงบันดาลใจ การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้สร้างอะไรดี ๆ ไว้ให้กับประเทศ ก็เหมือนกับการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของลูกอีกอย่างหนึ่ง

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำหรับวันเด็กปีนี้ ต้องการให้เด็กทุกคนใช้วัยเด็กให้เต็มที่ ตั้งใจเรียน สนุกกับเพื่อนให้เต็มที่ ซึ่งเพื่อน ๆ เป็นทั้งความรู้และการปรับตัว เนื่องจากเราต้องพบเจอเพื่อนใหม่อยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีน้ำใจกับคนรอบข้าง ทั้งนี้ ปัจจุบันสังคมเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนต้องพร้อมที่ปรับตัวและสร้างโอกาสในการเรียนรู้จากทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคุณครู เพื่อน หรือพี่น้อง เพื่อให้เรามีประสบการณ์ในชีวิตเพิ่มมากขึ้น

สำหรับปัญหาความคิดที่ไม่ตรงกันของเด็กและผู้ปกครองนั้น เป็นปัญหาที่ทุกครอบครัวต้องพบเจอ แต่ต้องพูดคุยและรับฟังทั้งผู้ปกครองและเด็ก ๆ ผู้ปกครองจะมีมุมมองที่กว้างกว่าเด็ก ๆ แต่ในอนาคตเด็ก ๆ ก็จะมีมุมมองที่กว้างเช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องปรับตัวและเรียนรู้ไปด้วยกัน สิ่งสำคัญ คือ การสื่อสาร เพื่อทำให้การแก้ไขปัญหานั้นง่ายขึ้น

ส่วนความท้าทายที่เด็กและผู้ปกครองต้องเจอในตอนนี้ ตนเองคิดว่ามีหลายเรื่อง เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม การคบเพื่อน  ถ้าสถาบันครอบครัวเข้มแข็ง รับฟังซึ่งกันและกัน จะทำให้เกิดจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับความท้าทายในปัจจุบันได้

นายกรัฐมนตรียังตอบคำถามจะช่วยเหลือประชาชนได้หรือไม่ว่า  หน้าที่ของรัฐบาล ความตั้งใจของคณะรัฐมนตรีและ ส.ส. หรือหน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่พยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และที่ได้รับผลจากอุทกภัย  เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบเป็นหลัก ซึ่งอยากจะแก้ปัญหาให้ได้ในระยะยาวด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้ปัญหานั้นหายหรือลดน้อยลงหากต้องรอการสร้างก็อาจจะใช้วิธีการอื่น ๆ อย่างการจ่ายค่าเยียวยาหรือถุงยังชีพ แต่ไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า เด็กในวันนี้สามารถทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ น้อง ๆ  ไปโรงเรียนตั้งใจเรียน มีเพื่อน ถือว่าได้ทำเพื่อประเทศแล้ว เพราะการหาความรู้  จะเป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ มีความรู้มากขึ้น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะสามารถช่วยประเทศสิ่งสำคัญจะต้องไม่ยุ่งกับยาเสพติด เพราะจะทำให้ประเทศชาติมีคนที่มีคุณภาพน้อยลง หากไม่มีใครยุ่งกับยาเสพติดก็ช่วยประเทศชาติได้แล้ว สำหรับน้อง ๆ ที่ตั้งใจเรียนต่อ ในอนาคตอาจจะทำงานอะไร ก็จะทำให้เงินเข้ามาประเทศไทย ถือเป็นการช่วยเหลือประเทศไทยประสบการณ์ในชีวิตช่วยให้น้อง ๆ เติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น มีความรู้แน่นขึ้น และสามารถหาความรู้ได้ในทุกโอกาส ทุกพื้นที่ จึงต้องใจเรียน  ทั้งหมดคือสิ่งที่น้อง ๆ ได้ช่วยประเทศชาติแล้ว

Advertisement

กรมการจัดหางานเร่งช่วย 250 แรงงานไทยถูกหลอกไปออสเตรเลีย ขณะที่อิสราเอลต้องการชายไทยไปทำงาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 มกราคม 2568 “คารม” เผยรัฐบาลเตือนคนหางาน “ไม่ชัวร์ให้เช็ก..ก่อนโอน..” ด้านกรมการจัดหางานเร่งช่วย 250 แรงงานไทยถูกหลอกไปออสเตรเลีย ขณะที่อิสราเอลประกาศต้องการชายไทยไปทำงานผ่านกรมแรงงาน

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2568  เวลา 11.00 น.  นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ปรากฏ เป็นข่าวว่าแรงงานไทย 250 คน มาร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่า ถูกหลอกลวงไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย มีค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน คนละ 60,000 – 120,000 บาท นั้น กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว โดยได้ส่งเจ้าหน้าที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน รับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้เสียหายดังกล่าว ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ ได้มีการสืบสวนจนทราบตัวบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวงคนหางานกลุ่มดังกล่าวแล้ว โดยจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำการหลอกลวงคนหางานตามกฎหมาย นอกจากนี้ เพื่อป้องกันปัญหาการหลอกลวงขึ้นอีก กระทรวงแรงงานได้สั่งการให้ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคนหางานที่มีพฤติการณ์ รวมทั้งการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบุคคล/กลุ่มบุคคลที่มีลักษณะเป็นสาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อน ที่นำพาคนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศแบบผิดกฎหมาย พร้อมทั้งมีหนังสือเเจ้งถึงสายการบินตรวจสอบความผิดปกติ ซึ่งอาจจะมีการลักลอบไปทำงานต่างประเทศ รวมถึงมีหนังสือถึง สถานีตำรวจ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อขอให้ช่วยแจ้งเบาะแสกรณีมีบุคคลมาแจ้งความร้องทุกข์ถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ เพื่อกระทรวงแรงงาน จะได้ร่วมดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

นายคารม กล่าวต่อไปว่า มีการหางานที่ถูกต้องของกระทรวงแรงงานโดยวันนี้ กรมการจัดหางาน ได้เปิดรับสมัครคนทำงานชาย เพื่อไปทำงานในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (TIC) ครั้งที่ 18 ทางเว็บไซต์  toea.doe.go.th  ระหว่างวันที่  4 – 8 มกราคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง มีระยะเวลาการจ้างงานตามสัญญาจ้าง 2 ปี ต่อได้ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำก่อนหักภาษีเดือนละ 5,880 เชเกลอิสราเอล หรือ ประมาณ 52,920 บาท

“แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ขอให้ไปด้วยวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอเน้นย้ำถึงคนไทยที่กำลังหางานในต่างประเทศ ต้องตรวจสอบก่อนไป จะได้ไม่เสียใจ และไม่เสียเงิน ก่อนตัดสินใจโอนเงินให้ใคร ต้องตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตให้จัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศจากกรมการจัดหางาน ทางเว็บไซต์กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน doe.go.th/ipd  ทั้งนี้ หากคนหางานได้รับความเดือดร้อนจากการถูกสาย/นายหน้าหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ สามารถขอรับคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0 2248 4792 และ โทร. 0 2245 6763 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694“ นายคารม กล่าว

Advertisement

นักวิจัยไทย พัฒนาจุลินทรีย์ย่อยสลาย “ตอซังข้าว” โดยไม่ต้องเผา ลดมลพิษจากการเผา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 มกราคม 2568 “เกษตรกร” ขอบคุณนักวิจัยไทย พัฒนาจุลินทรีย์ย่อยสลาย “ตอซังข้าว” โดยไม่ต้องเผาจนได้รับการยอมรับ ช่วยลดมลพิษจากการเผา มั่นใจช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ได้มาก

วันจันทน์ที่ 6 มกราคม 2568  เวลา 10.00 น.  นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความสำเร็จของนักวิจัยไทย โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ที่ได้ศึกษาและพัฒนากลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายตอซังข้าว “BioD I วว.”  และการออกแบบชุดบ่มเลี้ยงฯ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร เป็นแนวทางให้เกษตรกรไทยนำไปใช้กับพื้นที่นาข้าวของตน ภายหลังการเก็บเกี่ยว ช่วยลดการเผาตอซังข้าวหรือฟางข้าว  ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพของประชาชน

สำหรับประสิทธิภาพของกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายตอซังข้าว “BioD I วว.” จะใช้ระยะเวลาประมาณ 5-10 วัน ทำให้ตอซังข้าวนิ่ม ไถกลบได้ง่าย และไม่ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของข้าวและเป็นมิตรต่อระบบนิเวศ ซึ่งมีการนำร่องใช้งานเบื้องต้นแล้ว มากกว่า 10 พื้นที่ในจังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค. – ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา และสามารถนำไปใช้ได้ทุกพื้นที่ ตามความสะดวกในการใช้งานของเกษตรกรแต่ละราย อาทิ การใช้โดรนในการฉีดพ่น ใช้ถังฉีดพ่น หรือละลายน้ำและขังน้ำไว้เพียง 7 วัน ก็จะสามารถทำให้ตอซังข้าวและฟางข้าวนุ่ม เปื่อยยุ่ย ไม่ติดล้อรถ อีกทั้ง ยังส่งผลให้ลักษณะของน้ำในแปลงนาที่หมักด้วยจุลินทรีย์ชนิดนี้ จะมีสีฟางข้าว ไม่มีกลิ่นเหม็น โดยรวมจะใช้เวลาน้อยกว่าการขังน้ำโดยไม่มีการเติมจุลินทรีย์ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถเริ่มการทำนาได้เร็วขึ้นจากเดิม

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า วว. ได้ยื่นจดอนุสิทธิบัตรชุดบ่มเลี้ยงหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพย่อยสลายตอซังข้าวเรียบร้อยแล้ว และพร้อมให้คำแนะนำปรึกษาแก่วิสาหกิจชุมชน พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย  เพื่อการสนับสนุนให้ภาคการเกษตรลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ call center  โทร. 0 2577 9000

“รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจในการมุ่งแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่นละออง PM 2.5 จากภาคเกษตร การพัฒนาและวิจัยการใช้กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพฯ เพื่อลดการเผาในพื้นที่เกษตร ถือเป็นการส่งเสริมการใช้ซังข้าวอย่างสร้างสรรค์ ถือเป็นความสำเร็จของนักวิจัยไทยในการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ วว. คาดการณ์ว่าการใช้กลุ่มจุลินทรีย์ฯ จะทำให้เกษตรกรลดการใช้ปุ๋ยเคมีในนาข้าวลงได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 และปรับเปลี่ยนกลุ่มเกษตรกรที่เคยเผาตอซังข้าวก่อนไถกลบให้มาทดลองใช้กลุ่มจุลินทรีย์ฯ ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างยั่งยืน”  นายอนุกูล ย้ำ

Advertisement

 

รัฐบาลห่วงประชาชน “ซึมเศร้าหลังปีใหม่ (New Year Blues)” อย่าคิดมาก แนะประเมินจิตใจผ่านเว็บไซต์ “www.วัดใจ.com”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 มกราคม 2568 อย่าคิดมาก..ถ้าคิดมาก..รัฐบาลเชิญชวนประเมินจิตใจผ่านเว็บไซต์ “www.วัดใจ.com” แนะ 4 แนวทางหลีกเลี่ยงเผชิญอาการ “ซึมเศร้าหลังปีใหม่ (New Year Blues)”

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2568 เวลา  09.00  น. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชน จากการเผชิญภาวะ “ซึมเศร้าหลังปีใหม่ (New Year Blues)” โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงกระทรวงสาธารณสุข  เปิดเผยว่า  จากการติดตามสถานการณ์สุขภาพจิตของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พบว่าประชาชนหลายคนได้พบหลากหลายเหตุการณ์ ทั้งดีและไม่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบต่อการเกิดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เผชิญกับภาวะ Post-Vacation Depression หรือที่เรียกว่าภาวะซึมเศร้าหลังวันหยุดยาว

นายคารม  กล่าวว่า แม้ไม่ใช่โรคทางจิตเวช แต่เป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ต้องให้ความสำคัญ ซึ่งสภาวะดังกล่าวมักจะมีอาการคงอยู่ 2 – 3 วัน แต่ในบางรายอาจยาวนานถึง 2 – 3 สัปดาห์ จนกระทบต่อการใช้ชีวิตโดยอาการสำคัญที่พบ ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า ขาดแรงจูงใจ และความรู้สึกหมดพลัง หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น สามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงเบื้องต้นได้ด้วยแนวทางการดูแลตนเอง 4 ข้อ ดังนี้ 1. เปิดใจพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับคนใกล้ชิด 2. เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลุ่ม 3. กำหนดเป้าหมายชีวิตที่เป็นรูปธรรมและท้าทายอย่างเหมาะสม 4. ขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อพบว่าอาการรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพจิต ตลอดจนเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภาวะทางอารมณ์เบื้องต้น  รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประเมินสภาวะทางจิตใจด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ “www.วัดใจ.com” ซึ่งจะประเมินสภาวะทางสุขภาพจิตครอบคลุมทั้งด้านภาวะซึมเศร้า ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และภาวะหมดไฟในการทำงาน  หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะทางด้านสุขภาพจิตจากการประเมิน จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเพื่อให้คำปรึกษาต่อไป

“การดูแลสุขภาพจิตของประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันการเปลี่ยนทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว  มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงต้องมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตให้เข้าถึงง่ายครอบคลุม และสอดคล้องกับความต้องการ สำหรับประชาชนที่มีอาการดังข้างต้น ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือประเมินสภาวะทางจิตใจและรับคำแนะนำในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมผ่านทางเว็บไซต์ www.วัดใจ.com ” นายคารม ระบุ

Advertisement

Verified by ExactMetrics