วันที่ 2 สิงหาคม 2025

กรมอนามัยแนะวิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ-การจัดบ้านให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 กุมภาพันธ์ 2568 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะหลักการเลือกเครื่องฟอกอากาศที่สามารถลดปริมาณฝุ่นละอองได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงวิธีการจัดบ้านให้ปลอดภัยในช่วงที่สถานการณ์ค่าฝุ่นเพิ่มสูงขึ้นและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ

แพทย์หญิง อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 มีค่าเกินมาตรฐานเกือบทุกพื้นที่ และจากการคาดการณ์ของกรมควบคุมมลพิษ ระหว่างวันที่ 7-13 กุมภาพันธ์ 2568 ยังพบว่าสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือระดับสีส้ม (37.6-75.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากคือ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด เป็นต้น เนื่องจากมีความอ่อนไหวมากกว่าประชาชนทั่วไป เครื่องฟอกอากาศจึงกลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ภายในอาคาร

กรมอนามัยจึงขอแนะนำวิธีการเลือกเครื่องฟอกอากาศให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) เลือกเครื่องฟอกอากาศที่ใช้แผ่นกรองฝุ่นชนิด HEPA (High Efficiency Particulate Air Filter) ซึ่งใช้กรองฝุ่นขนาดเล็กที่ผ่านอากาศเข้ามา และปล่อยอากาศที่สะอาดออกมา หรืออาจเครื่องฟอกอากาศชนิดไอออน ซึ่งจะปล่อยอนุภาคประจุลบ จับฝุ่นในอากาศและร่วงสู่พื้น ทั้งนี้ ควรดูดฝุ่นหรือทำความสะอาดเพื่อกำจัดฝุ่นออกจากพื้น

2) เลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้อง หากมีขนาดเล็กเกินไปอาจไม่สามารถลดฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ดูค่าอัตราการส่งอากาศสะอาด หรือค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) ควรมีค่ามากกว่า 3 เท่าของปริมาตรห้อง หากมีค่าสูงจะกระจายอากาศสะอาดได้เร็วและมากขึ้น โดยสามารถตรวจสอบจากรายละเอียดบนกล่องบรรจุสินค้าหรือคู่มือการใช้งาน และ 4) ดูค่าความเร็วลม (Air Flow หรือ Air Volume) ยิ่งมีค่าสูงจะยิ่งฟอกอากาศได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือหากใช้เครื่องฟอกอากาศชนิดแผ่นกรองอากาศ ควรเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศตามระยะเวลาที่กำหนดหรือเมื่อมีการสะสมของฝุ่นมาก โดยสังเกตจากสีหรือลมที่ออกมาจากเครื่อง หากแผ่นกรองมีสีดำหรือลมที่ออกมาจากเครื่องเบาลงควรเปลี่ยนใหม่ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือการใช้งานอย่างเคร่งครัด

นายแพทย์ ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเลือกเครื่องฟอกอากาศแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้บ้านสะอาดปราศจากฝุ่นคือ การจัดบ้านด้วยหลัก 3ส.1ล. คือ 1ส สะสาง คัดแยกและกำจัดสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากบ้าน เพื่อลดการสะสมของฝุ่น โดยเฉพาะห้องที่อยู่เป็นประจำควรมีเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของให้น้อยชิ้นที่สุด เพื่อการทำความสะอาดได้ทั่วถึงทุกซอกมุม

2ส สะอาด หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน เช่น แอร์ พัดลม เครื่องฟอกอากาศ มุ้งลวด โต๊ะ ตู้ เตียง ฯลฯ และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเช็ดถูพื้นและซอกมุมต่างๆ ภายในบ้าน 3ส สร้าง สร้างสุขนิสัยที่ดีในการดูแลและทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ฝุ่นสูง ควรเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดให้มากขึ้น รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีรอบบริเวณบ้าน โดยการปลูกต้นไม้ดักฝุ่น เช่น ทองอุไร ตะขบ โมก สนฉัตร เป็นต้น โดยรอบบ้าน และ 1ล. ลดหรือเลี่ยง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองเพิ่ม เช่น จุดธูป เทียน เผาขยะ ปิ้งย่าง และสูบบุหรี่ รวมถึงหมั่นตรวจเช็กสภาพรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดี ไม่ก่อควันดำอีกด้วย

Advertisement

ตำรวจจับจริง ขับรถปล่อยควันดำบนถนน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กุมภาพันธ์ 2568 ปภ.ช.ย้ำตำรวจจับจริงผู้ขับรถปล่อยควันดำบนถนน ย้ำต้องตรวจสอบรถให้ดี ก่อนนำออกวิ่งบนถนน ขอความร่วมมือ ปชช. พบเบาะแสก่อฝุ่นพิษ โทร. 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ปภ.ช.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขานรับนโยบายรัฐบาลดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 โดยบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องดำเนินการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทรถยนต์ ดังนี้

1.หากฝ่าฝืนนำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่น ควัน ละอองเคมี เกินเกณฑ์มาใช้ในทาง ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ดำเนินการตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ

2.หากใช้รถในการขนส่งที่มีสภาพ ไม่มั่นคงแข็งแรง ไม่มีอุปกรณ์และส่วนควบ ตามที่กำหนด ปรับไม่เกิน 50,000 บาท ดำเนินการตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก ฯ

3.หากฝ่าฝืนคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะที่ก่อให้เกิดมลพิษ เกินกว่ามาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด ปรับไม่เกิน 5,000 บาท ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติฯ

นายคารมฯ กล่าวเพิ่มว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ประกอบการโรงงานที่มีลักษณะปล่อยมลพิษทางอากาศ และการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งผู้ลักลอบเผาป่า พืชไร่ และพื้นที่เพาะปลูกเพื่อทำการเกษตร เผาในที่โล่ง และกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ขับยานพาหนะ ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถบรรทุก และรถโดยสารประจำทาง ควรตรวจสอบควันดำก่อนนำออกวิ่งบนถนน นอกจากนี้ ขอความร่วมมือประชาชน หากพบเบาะแสก่อฝุ่นพิษ โทร.1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

กรมทางหลวง ชวนเที่ยว One Day Trip ชุมชนเก่าแก่กว่า 100 ปี ริมน้ำจันทบูร จังหวัดจันทบุรี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กุมภาพันธ์ 2568 กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ชวนเที่ยวชมแหล่งศิลปวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานเอกลักษณ์ต่าง ๆ ไว้ได้อย่างดี ทั้งรูปแบบอาคารบ้านเรือนเก่า และวิถีชีวิตที่เป็นเสน่ห์เฉพาะถิ่นที่มีอายุกว่า 100 ปี “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” เดิมเรียก “บ้านลุ่ม” เป็นชุมชนเก่าแก่ริมน้ำของจังหวัดจันทบุรีด้านตะวันตก ซึ่งชาวจีนและชาวญวนได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่อมาได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของจังหวัดจันทบุรี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันชุมชนนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดจันทบุรี มีอาคารเก่าแก่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน – โปรตุเกส รวมถึงบ้านขนมปังตั้งเรียงรายตามถนนคนเดินตลอดระยะทาง 1 กิโลเมตร ริมแม่น้ำจันทบุรี

สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงชุมชนริมน้ำจันทบูร ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 7 (กรุงเทพฯ – ชลบุรี หรือมอเตอร์เวย์) ไปถึงอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ระยะทางประมาณ 89 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางออกอำเภอบ้านบึง เพื่อเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 344 วิ่งต่อไปอีกประมาณ 97 กิโลเมตร ถึงอำเภอแกลง จังหวัดระยอง (แยกอำเภอแกลง) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู้ทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) วิ่งต่อไปอีกประมาณ 56 กิโลเมตร ถึงสี่แยกเขาไร่ยา จังหวัดจันทบุรี จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 316 วิ่งต่อไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ถึงสี่แยกพระยาตรัง จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 3150 (ถนนท่าหลวง) วิ่งต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถจอดรถในค่ายตากสินเพื่อสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือวิ่งต่อจากค่ายตากสินไปอีก 500 เมตร เพื่อนำรถไปจอดที่วัดจันทนาราม แล้วเดินข้ามไปยังชุมชนริมน้ำจันทบูร

ทั้งนี้ ทล. ได้มุ่งมั่นที่จะพัฒนาทางหลวงทุกสายให้ความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในทุกเส้นทาง เพื่อรองรับการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจัดให้มีจุดพักรถเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดความมั่นคง เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ทล. ขอให้ประชาชนเดินทางด้วยความระมัดระวัง หากต้องการสอบถามเส้นทางการจราจรหรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วน ทล. โทร. 1586

Advertisement

‘ดีอี’ ระงับ ‘บัญชีม้า’ แล้วกว่า 1,600,000 บัญชี จับกุมเจ้าของบัญชีไปแล้ว 2,495 ราย เตือนประชาชนระวังตกเป็นเหยื่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กุมภาพันธ์ 2568 ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ เผย ‘ดีอี’ ระงับ ‘บัญชีม้า’ แล้วกว่า 1,600,000 บัญชี จับกุมเจ้าของบัญชีไปแล้ว 2,495 ราย เตือนประชาชนระวังตกเป็นเหยื่อ ผู้เกี่ยวข้องโทษหนักจำคุก 3 ปี

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากมาตรการการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกัน ตรวจสอบ และปราบปรามบัญชีม้า ซึ่งเป็นช่องทางหลักการหลอกลวงรับเงินของมิจฉาชีพ  ซึ่งกระทรวงดีอี ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีสถิติการระงับบัญชีม้าจนถึง ธันวาคม 2567 จำนวนรวมกว่า 1,660,000 กว่าบัญชี (ปปง. 630,537 บัญชี ธนาคารระงับ 581,637 บัญชี และ ศูนย์ AOC ระงับ 455,241 บัญชี)

นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ขยายผลดำเนินการจับกุมเจ้าของบัญชีม้าอย่างเข้มข้น โดยมีสถิติผลการจับกุมบัญชีม้า ซิมม้าที่เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 พบว่าในปี 2567 ตั้งแต่เดือน มกราคม – ธันวาคม  (12 เดือน) มีการจับกุมบัญชีม้าจำนวนรวม 2,495 ราย เฉพาะในเดือนธันวาคม 2567 มีผลการจับกุมจำนวน 328 ราย

ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินงานการตามนโยบายปราบปรามภัยออนไลน์ของรัฐบาล เพื่อลดปัญหา พยายามหยุดการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายจากบัญชีม้า โดยตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ได้กำหนดโทษของการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ หรือที่เรียกว่า บัญชีม้า จะถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และยังอาจถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีนั้นไปใช้ ในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด และอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหาย

“กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการป้องกันและปราบปรามบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีธนาคารใหม่ในธนาคารทุกสาขา ซึ่งหากพบความผิดปกติจะดำเนินการตรวจสอบทันที ให้ดังนั้นขอเตือนประชาชนว่า การขายบัญชีธนาคารไม่ว่าจะในรูปแบบใด มีโทษหนักจำคุกถึง 3 ปี ทั้งนี้หากหลงเชื่อขายบัญชีธนาคารให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว ให้รีบติดต่อกับธนาคารเพื่อขอปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อไม่ให้มีรายชื่ออยู่ในลิสต์ว่าขายบัญชี และถูกระงับทุกบัญชีธนาคารของทุกธนาคารที่มี รวมทั้งไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีไปใช้ ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

Advertisement

เตือน!! สวมหน้ากาก N95 ขณะออกกำลังกาย อาจทำให้หายใจไม่ทัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลแนะเลี่ยงออกกำลังกายกลางแจ้ง ยึดหลัก ‘1 เช็ก 3 เปลี่ยน 1 ประเมิน‘ เตือนการสวมหน้ากาก N95 ขณะออกกำลังกาย อาจทำให้หายใจไม่ทัน

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่ากระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำวิธีการออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างปลอดภัยในช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยแนะนำให้ยึดหลัก “1 เช็ก 3 เปลี่ยน 1 ประเมิน” ดังนี้

“1 เช็ก” เช็กค่าฝุ่นก่อนออกกำลังกาย หากค่าฝุ่นสูงกว่า 37.5 มคก./ลบ.ม (สีส้ม) ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพควรหลีกเลี่ยง ส่วนประชาชนทั่วไปให้เลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งช่วงเช้า บริเวณริมถนน หรือบริเวณที่มีการก่อสร้าง หากสูงกว่า 75 มคก./ลบ.ม (สีแดง) ให้ออกกำลังกายในอาคารแทน

“3 เปลี่ยน” คือ เปลี่ยนเวลามาออกกำลังกายในช่วงบ่ายหรือเย็น เปลี่ยนสถานที่จากกลางแจ้งเป็นในร่ม และเปลี่ยนรูปแบบจากการออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน เป็นต้น มาเป็นการออกกำลังกายเบา ๆ

“1 ประเมินตนเอง” ก่อนและระหว่างออกกำลังกายทุกครั้ง หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ให้งดหรือหยุดออกกำลังกายทันที

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนประเมินค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ดังนี้ 1) ค่า AQI อยู่ที่ 0-60 ถือว่าปลอดภัยในการออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor) 2) ค่า AQI 60-100 สามารถออกกำลังกายได้ แต่ลดความถี่ออกกำลังกายกลางแจ้งลง 3) ค่า AQI 100-150 แนะนำให้เข้า ยิม หรือว่ายน้ำในสระว่ายน้ำระบบปิด และ 4) ค่า AQI เกินกว่า 150 แม้ออกกำลังกายในร่ม ก็จำเป็นต้องมีเครื่องกรองอากาศ สำหรับการใส่หน้ากากอนามัยชนิด N95 ขณะออกกำลังกายซึ่งมีความหนา ที่ส่วนใหญ่จะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือการใส่ขณะพ่นสีที่ต้องมีทั้งหน้ากากครอบตาด้วย อาจทำให้หายใจไม่ทัน ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัย ที่มีความหนาขณะออกกำลังกาย จะทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักมากขึ้นและอาจเป็นอันตรายในคนที่มีโรคประจำตัว

“การออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงมีฝุ่น PM 2.5 จำเป็นต้องคำนึงถึงสุขภาพและคุณภาพอากาศเป็นหลัก ขอให้ใช้ดุลพินิจ โดยคำนึงถึงการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและเหมาะสม และติดตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

รัฐบาลย้ำเตือนก่อน พรก.ไซเบอร์ประกาศใช้ 22 เว็บไซต์อันตรายห้ามคลิกเข้าชม อย่าโหลดข้อความจากคนไม่รู้จัก อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มกราคม 2568 รัฐบาล ย้ำก่อน พรก.ไซเบอร์ประกาศใช้ สั่งเร่งจับกุม พร้อมเตือน 22 เว็บไซต์อันตรายห้ามคลิกเข้าชม อย่าโหลดข้อความจากบุคคลที่ไม่รู้จัก อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว โจรออนไลน์ชอบหลอกว่ามีผลตอบแทนสูง

วันนี้ (29 มกราคม 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า ในระหว่างที่รอพระราชกำหนดทางไซเบอร์ประกาศใช้คาดว่าภายในเดือนหน้านี้ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้เร่งดำเนินการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่องโดยได้ออกเตือนประชาชนระมัดระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์ในโลกออนไลน์ เนื่องด้วยปัจจุบันจากความรวดเร็วของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และช่องทางการสื่อสารที่มากขึ้น ทำให้มิจฉาชีพต่างสรรหาวิธีการในการหลอกลวงเหยื่อ โดยมักจะใช้วิธีการที่มาในรูปแบบของการสร้างแรงจูงใจให้ผ่านรูปแบบต่าง ๆ เช่น หลอกให้ลงทุน หลอกหารายได้พิเศษ และหลอกให้หลงเชื่อใส่ข้อมูลส่วนตัว

นายคารม กล่าวว่า ด้วยวิธีการหลอกลวงดังกล่าว กลุ่มมิจฉาชีพจึงมักจะใช้วิธีการแอบแฝงในโลกออนไลน์โดยมาในรูปแบบของการสร้างเว็บไซต์ปลอม ซึ่งจากการตรวจสอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่ามีเว็บไซต์ปลอม 22 เว็บไซต์อันตราย ดังนี้  1. thaigrowthdigitalmarketing .cc 2. www.settradethailand .com 3. m.athur .net/trade 4. www.ezbuy66 .com/ 5. ftc. trade-thai .com 6. okx. hsgi .xyz 7. www. btscswl .com/djvjpw 8. wap.happinessco .cc 9. bitmart.erwz .live 10. tokts .life/ww 11. www. thaibet248 .com/ 12. tiktok.thaipvz .com/ 13. www. shopping-now-maket .com/ 14. pi-moneyloan .com        15. pea.bjgth .cc 16. www. cryptoxj .com/ 17. www. bonanza-store .net 18. hshh-banktt .app         19. dedifeqa-spt .top 20. royaltrad .vip 21. h5.jgol .live และ 22. affilliiate .com/index/login โดยเว็บไซต์อันตรายดังกล่าว ทางด้านตำรวจไซเบอร์ได้ดำเนินการทางคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเว็บไซต์อันตราย 22 เว็บไซต์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเว็บไซต์อันตรายเท่านั้น ยังมีเว็บไซต์อันตรายอื่น ๆ ที่เปิดใช้งานอยู่ ซึ่ง Server ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย

“ย้ำเตือนประชาชนระมัดระวังเว็บไซต์ที่ส่งต่อผ่านทางสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะจากคนที่ไม่รู้จัก ไม่มีแหล่งที่มา เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ หากไม่มั่นใจ อย่าคลิกเข้าชมเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่าโหลดข้อความจากบุคคลที่ไม่รู้จัก อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว ทั้งนี้ กลโกงของมิจฉาชีพมักจะมาในรูปแบบของการโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับผลตอบแทนสูง” นายคารม กล่าว

Advertisement

นายกฯ บอกปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระอาเซียน กต.เดินหน้าคุยเพื่อนบ้าน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 มกราคม 2568 นายกฯ บอกปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระอาเซียน ต้องขอความร่วมมือประชาชนทุกคน กต. เดินหน้าคุยเพื่อนบ้าน รัฐบาลเตรียมแผนรับมือระยะยาวไว้แล้ว เฉพาะหน้าให้นั่งรถไฟฟ้า-รถเมล์ฟรี ลดควันดำ รับ Work From Home เป็นแนวทางแก้ปัญหา ขอหารือก่อน

วานนี้ (25 ม.ค.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงประเทศไทย หลังเสร็จสิ้นการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่าเรื่องฝุ่นไม่ใช่เฉพาะเป็นวาระแห่งชาติ แต่เป็นวาระของอาเซียน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องทำตามกระบวนการ ขั้นตอนของต่างประเทศ ต้องไปคุยขอความร่วมมือจากอาเซียน ซึ่งมีการพูดคุยเรียบร้อยแล้วกับประเทศที่มีการเผา ขณะที่ในประเทศเราก็มีการเผา ทุกประเทศต้องมีมาตรการที่จะช่วยกัน ต้องขอความร่วมมือ เพราะสภาพอากาศที่มีลมพัดไปมา ต้องลดปริมาณการเผาในแต่ละพื้นที่ เช่น ในไทยทุกกระทรวงต้องมีมาตรการ มีการเตรียมการตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ว่าถ้าหากมีการเผาจะต้องมีการปรับหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างไร

ขณะที่ด้านอุตสาหกรรมการเผาก็ลดน้อยลงกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก ส่วนฝุ่นเป็นเรื่องของการสะสมมันถึงเวลาแล้วไม่ใช่คนใดคนหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง ประชาชนทุกคนต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลทำคือการแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นให้ทันการณ์ ให้ดีที่สุด ระยะกลาง ระยะยาวก็ทำแล้ว ระยะสั้นก็ทำอยู่

ส่วนการให้ Work From Home จะต้องมีประกาศจากหน่วยงานราชการหรือไม่ จากเดิมที่ให้มีการพิจารณาเอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ สามารถคุยกันได้ว่าที่ไหนที่ Work From Home แล้วไม่กระทบกับการทำงานมากเกินไป จะช่วยลดเรื่องการเดินทางได้เยอะ

เมื่อถามย้ำว่าหน่วยงานราชการที่ไม่ต้องบริการประชาชน และสามารถทำงานผ่านออนไลน์ได้ รัฐบาลควรจะประกาศให้ Work From Home หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าข อไปคุยรายละเอียดก่อน แต่จากที่คุยกันเบื้องต้น คิดว่าเป็นไปได้ เพราะช่วงนี้ฝุ่นเยอะจริงๆ

สำหรับภาคเอกชนจะมีมาตรการจูงใจเพื่อ Work From Home อย่างไรนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายที่ก็ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว ขณะที่รัฐบาลก็มีมาตรการเร่งด่วน เช่น การขึ้นรถไฟฟ้าฟรี ใช้งบฯ 140 ล้านบาท ซึ่งเอกชนหลายที่ก็ได้ใช้ด้วย ถือเป็นภาพรวมในการแก้ปัญหา

Advertisement

 

รัฐบาลเตรียมจัดงบ 145.63 ล้านบาท เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ “ยาฮอร์โมน” ดูแลกลุ่มคนข้ามเพศ 200,000 ราย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มกราคม 2568 รัฐบาลเดินหน้านโยบายรองรับบริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ เตรียมจัดสรรงบประมาณ 145.63 ล้านบาท เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ “ยาฮอร์โมน” ดูแลกลุ่มคนข้ามเพศจำนวน 200,000 ราย

วันนี้ (25 มกราคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข ขานรับนโยบายกฎหมายสมรสเท่าเทียมของรัฐบาล ให้ความสำคัญนอกจากการดูแลสุขภาพทางกายแล้ว ยังให้ความคุ้มครองสิทธิการดูแลสุขภาพทางใจให้กับประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองฯ ด้วย รวมถึงประชากรในกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศนี้ โดยปัจจุบันด้วยความเข้าใจและเปิดกว้างของสังคม ส่งผลให้สภาวะเพศในวันนี้ ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เพียงเพศชายหรือเพศหญิงเท่านั้น แต่ผู้คนต่างให้การยอมรับเพศที่แตกต่างมากขึ้น อย่างไรก็ตามในกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีจำนวนหนึ่งที่เป็น “กลุ่มคนข้ามเพศ” และมีความจำเป็นต้องได้รับยาฮอร์โมน เพื่อทำให้ร่างกายมีความสอดคล้องกับสภาพจิตใจที่เป็นอยู่ ที่ถือเป็นการบำบัดหรือรักษา

ดังนั้น ในการพิจารณางบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปี 2568 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) จึงได้เห็นชอบให้ สปสช. ดำเนินการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนบริการสิทธิประโยชน์ใหม่ คือ “บริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ” จำนวน 145.63 ล้านบาท เพื่อดูแลกลุ่มเป้าหมายจำนวน 200,000 ราย โดยรวมถึงบริการยาฮอร์โมนบำบัดนี้ด้วย นายอนุกูล กล่าวต่อว่า สิทธิประโยชน์นี้จะเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำสุขภาพ ซึ่งเดิมคนที่จะรับยาฮอร์โมนนี้ จะต้องจ่ายเงินเองเท่านั้น ทำให้มีส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงการรักษา และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เพราะมีจำนวนหนึ่งที่ไปหาซื้อยาฮอร์โมนมากินเองที่อาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ สิทธิดังกล่าวยังเป็นการดูแลด้านจิตใจ ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะเดียวกับจิตที่เป็นอยู่

“นอกจากบริการยาฮอร์โมนแล้ว ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังมีสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่ครอบคลุมดูแลกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศที่ไม่ต่างจากประชากรทั่วไป ซึ่งครอบคลุมทั้งบริการรักษาพยาบาล บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม” นายอนุกูล ย้ำ

Advertisement

รัฐบาลรณรงค์ป้องกันมะเร็งปากมดลูก แนะฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 11-12 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มกราคม 2568 รัฐบาลห่วงใยสุขภาพ รณรงค์ป้องกันมะเร็งปากมดลูก แนะฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 11-12 ปี ชี้กลุ่มเป้าหมาย ป้องกันโรคได้ด้วยการตรวจคัดกรองสม่ำเสมอ

วันนี้ (25 มกราคม2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เดือนมกราคมเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปากมดลูกที่องค์การด้านโรคมะเร็งทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคนี้ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 4 ของผู้หญิงทั่วโลก และอันดับ 5 ของประเทศไทย โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากการติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) ที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการสูบบุหรี่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค ซึ่งการป้องกันมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีน HPV สามารถป้องกันโรคได้ 70-90% อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนนี้แล้วยังคงต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและต้องรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์

นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีใช้ในประเทศไทยมีอยู่ 3 ชนิดหลัก ตามจำนวนของสายพันธุ์ที่บรรจุอยู่ในวัคซีน ได้แก่ วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (bivalent) ประกอบด้วย แอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 16 และ 18 วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (quadrivalent) ประกอบด้วยแอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 6, 11, 16 และ 18 และวัคซีนชนิด 9 สายพันธุ์ (nonavalent) ประกอบด้วยแอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 และข้อห้ามควรระวังของการฉีดวัคซีนเอชพีวี ได้แก่ ผู้ที่ภาวะภูมิไวเกิน (Hypersensitivity) ต่อสารประกอบในวัคซีน โดยเฉพาะเด็กที่มีอาการแพ้ยาง (Latex) หรือยีสต์ (Yeast) ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ผู้ที่มีอาการป่วย ติดเชื้อ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนไปก่อนจนกว่าจะหาย ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ถ้าตั้งครรภ์ในช่วงที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ แนะนำให้ฉีดเข็มที่เหลือจนครบ 3 เข็ม ในช่วงหลังคลอด ทั้งนี้ กลุ่มผู้ที่เหมาะสมกับการฉีดวัคซีน เอชพีวี ได้แก่ 1. กลุ่มที่น่าจะมีประโยชน์สูงสุดจากการฉีดวัคซีนเอชพีวี คือ ผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ได้แก่ เด็กหญิง (วัคซีนชนิด 2, 4 หรือ 9 สายพันธุ์) และเด็กชาย (วัคซีนชนิด 4 หรือ 9 สายพันธุ์) ที่อายุ 11-12 ปี และหากไม่ได้รับวัคซีนในช่วงอายุดังกล่าวสามารถฉีดในช่วงอายุ 13-26 ปีได้ 2. การฉีดวัคซีนในผู้หญิงและผู้ชายอายุ 27-45 ปี ให้พิจารณาฉีดวัคซีนเป็นรายๆ ไป ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนควรได้รับคำอธิบายถึงประโยชน์ที่จะได้รับและอาจไม่เทียบเท่ากับการฉีดในช่วงอายุ 9-26 ปี 3. ผู้หญิงที่เคยเป็น หรือกำลังมีหูดหงอนไก่ หรือรอยโรคก่อนมะเร็งปากมดลูก หรือมีผลตรวจคัดกรองทางเซลล์วิทยาปากมดลูกผิดปกติ หรือตรวจพบเชื้อเอชพีวีกลุ่มความเสี่ยงสูง ยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป 4. ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วสามารถฉีดวัคซีนนี้ได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหรือตรวจหาเชื้อเอชพีวีกลุ่มเสี่ยงสูงก่อนเริ่มฉีดวัคซีน

“รัฐบาลได้ดำเนินแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งมีการกำหนดนโยบายให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีแก่เด็กหญิง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อายุ 11-12 ปี และกลุ่มหญิง อายุ 11 – 20 ปี ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน HPV ทั้งในและนอกระบบการศึกษา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการฉีด 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่ได้รับการฉีดวัคซีนเอชพีวีครบแล้วยังคงต้องรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำ หากมีข้อสงสัยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผ่านทาง Facebook : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ National Cancer Institute และ Line : NCI รู้สู้มะเร็ง” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

นายกฯแสดงความยินดีคู่รัก LGBTQIA+ สมรสถูกต้องตามกฎหมาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มกราคม 2568 นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีคู่รัก LGBTQIA+ สมรสถูกต้องตามกฎหมาย จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่กฎหมายไทยสร้างความเท่าเทียมให้ทุกเพศ เคารพในความแตกต่างทั้งเพศสภาพ เพศวิถี เชื้อชาติ ศาสนา

วันนี้ (23 มกราคม 2568)  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  กล่าวเนื่องในโอกาส กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้วันนี้ว่า   ในนามของรัฐบาลขอแสดงความยินดีกับคนไทยทุกคนที่ต่อจากนี้ ทุกความรักของคนไทย จะถูกรับรองทางกฎหมาย ทุกคู่จะมีชีวิตอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี บนผืนแผ่นดินไทยกว่า 2 ทศวรรษของการต่อสู้ทั้งในทางกฎหมาย การเผชิญหน้ากับอคติ และการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคม ชัยชนะในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จ จากความร่วมมือของทุกคน   พร้อมกันนี้  นายกฯ กล่าวขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นทำงานร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเต็มที่ ตามที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน  ขอขอบคุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน สมาชิกวุฒิสภาที่ร่วมกันผลักดันกฎหมายฉบับนี้ผ่านกลไกของรัฐสภา ขอขอบคุณ สื่อมวลชนที่เป็นกระบอกเสียงในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ช่วยทำลายมายาคติและอคติที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ทำให้เรามาถึงวันนี้  และสำคัญที่สุด ขอบคุณภาคประชาชน พี่น้อง LGBTQIA+ แกนนำสำคัญที่ทำให้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ในวันนี้ได้สำเร็จ รวมถึง ความทุ่มเททำงาน สร้างการรับรู้ต่อสู้กับอคติมาตลอดหลายปี ทำให้สังคมไทยยอมรับความหลากหลายทางเพศด้วยหัวใจได้อย่างแท้จริงทำให้ธงสีรุ้งปักลงบนประเทศไทยอย่างภาคภูมิ ทำให้ประเทศไทยเป็นชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประเทศที่ 3 ของเอเชียที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและยึดมั่นเสมอว่า คนไทยทุกเพศ และความรักทุกรูปแบบควรได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมกฎหมายสมรสเท่าเทียมถือเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยรับรู้และเคารพในความแตกต่างหลากหลายทั้ง เพศสภาพ เพศวิถี เชื้อชาติ ศาสนา ทุกคนมีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เพราะความแตกต่าง ไม่ใช่ข้ออ้างในการเลือกปฏิบัตินายกฯ เชื่อมั่นพลังความรักของทุกคนที่ทำให้ในวันนี้ประเทศไทยได้บันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ทำให้ทั้งโลกได้รู้ว่า ประเทศไทยโอบรับความรักทุกรูปแบบ ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย  พร้อมเชิญชวนให้คนไทยมาร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จนี้ไปด้วยกัน และขอแสดงความยินดีกับคู่สมรสใหม่ทุกคู่

Advertisement

Verified by ExactMetrics