วันที่ 1 สิงหาคม 2025

รัฐบาลห่วง หลังพบข้อมูลวัยรุ่นหญิง มีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มกว่าวัยรุ่นชาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 มีนาคม 2568 รัฐบาลห่วงเด็กและเยาวชนไทยมีค่านิยมผิด ๆ หลังพบข้อมูลวัยรุ่นหญิง มีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มกว่าวัยรุ่นชาย เดินหน้าปราบปรามเข้มข้น ดำเนินคดีทุกราย

วันนี้ (8 มีนาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้รายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชนไทย โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่าวัยรุ่นชาย ซึ่งหากปล่อยให้วัยรุ่นหญิงติดบุหรี่ไฟฟ้าจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากกว่าผู้ชาย

“แม้ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 แสดงอัตราการ ‘สูบบุหรี่มวน’ ของหญิงไทยลดลง เหลือ 1.3%  แต่เมื่อเทียบกับการสำรวจระดับประเทศ เมื่อปี 2565 พบว่าวัยรุ่นหญิงอายุ 13 – 15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้า 15% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าบุหรี่มวน 10 เท่า ในขณะที่ผู้ชายสูบบุหรี่ไฟฟ้า 20.2%  และการสำรวจปีต่อ ๆ มา ในประเทศไทย พบว่า วัยรุ่นหญิงและชายมีอัตราการสูบบุหรี่ที่ใกล้เคียงกัน หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไป จะส่งผลให้อัตราการสูบบุหรี่โดยภาพรวมทั้งบุหรี่ปกติและบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มผู้หญิงเพิ่มสูงอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน” นายอนุกูล ระบุ

ทั้งนี้ จากข้อมูลยังพบว่าหญิงไทยสูบบุหรี่ทุกรูปแบบ จะมีแนวโน้มเลิกได้ยากกว่าผู้ชาย และที่น่าเป็นห่วงคือ ผลของการเสพติดจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพทุกระบบระยะยาวด้วย ซึ่งเป็นผลจากความแตกต่างของฮอร์โมนเพศหญิงกับชาย จึงมีโอกาสเป็นโรคร้ายที่ระบบอวัยวะอื่นที่มากกว่าผู้ชายด้วย หากเป็นผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ จะทำให้สารพิษทั้งนิโคติน ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และสารอื่น ๆ ถูกส่งผ่านระบบทางเดินหายใจของมารดาเข้าไปสู่รก ซึ่งสารพิษเหล่านี้จะทำให้มีการแปรปรวนภายในมดลูก และก่อผลร้ายหลายประการ เช่น การแท้งบุตร การคลอดก่อนกำหนด (ซึ่งทำให้ทารกเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเนื่องจากการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ ยังไม่สมบูรณ์พอ) เป็นต้น

“การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งปราบปราม เน้นย้ำให้ดำเนินตามกฎหมายให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะเป็นรายย่อยหรือรายใหญ่จะต้องจับดำเนินการตามกฎหมายให้หมด ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสงค์จะเลิกสูบบุหรี่ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ https://www.thailandquitline.or.th/site/  หรือ โทร. สายด่วน 1600” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

นายกฯขอให้องค์พระอัลเลาะห์อำนวยพรอันประเสริฐแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 กุมภาพันธ์ 2568 นายกรัฐมนตรีส่งความปรารถนาดีขอให้องค์พระอัลเลาะห์อำนวยพรอันประเสริฐแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ

วันนี้  (28 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 19.50 น.  ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล  นางสาวแพทองธาร   ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี กล่าวเนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำปี พ.ศ. 2568 (ฮ.ศ.1446)   โดยมีใจความว่า

“ในโอกาสอันเป็นมงคลของเดือนรอมฎอน ปีฮิจเราะห์ศักราช 1446 นายกรัฐมนตรีได้ส่งความปรารถนาดีและขอให้องค์พระอัลเลาะห์อำนวยพรอันประเสริฐแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศและชาวไทยมุสลิมที่พำนักในต่างประเทศทุกคน”

รอมฎอนเป็นเดือนความเมตตา ความอดทน และการขัดเกลาจิตใจ เป็นช่วงเวลาที่ชาวมุสลิมทั่วโลกมุ่งมั่นปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามและถือศีลอด เพื่อชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ ยึดมั่นในคุณงามความดี มีความเสียสละและแบ่งปัน รวมทั้งได้น้อมจิตที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา รำลึกถึงพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่พระอัลเลาะห์ได้ประทานให้แก่พี่น้องชาวมุสลิม

“ในวาระมงคลแห่งเดือนรอมฎอน ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1446 นายกรัฐมนตรีขอพรอันประเสริฐแห่งองค์พระอภิบาลโปรดประทานความเมตตา ความสุขกาย สุขใจแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกท่าน ให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ในเดือนรอมฎอนได้ตามเจตจำนง และขอให้ดุอาห์ของทุกท่านบรรลุความปรารถนาทุกประการ ขอความสันติสุข ความสวัสดี จงประสบแก่ทุกท่าน”

Advertisement

เปิดงาน ‘มหกรรมไกล่เกลี่ยเรื่องร้องทุกข์ของผู้บริโภค’ ประเดิมแก้ปัญหาแบบกลุ่ม ช่วยแก้ปัญหาเร็วขึ้นสามเท่า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 กุมภาพันธ์ 2568 ‘รมต.จิราพร’ เปิดงาน ‘มหกรรมไกล่เกลี่ยเรื่องร้องทุกข์ของผู้บริโภค’ ประเดิมแก้ปัญหาแบบกลุ่ม คาดช่วยแก้ปัญหาเร็วขึ้นสามเท่า

วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 09.45 น. นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยเรื่องร้องทุกข์ของผู้บริโภค” ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและพัฒนากระบวนการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในทุกมิติ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิได้รับความช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ

นางสาวจิราพร กล่าวถึงความสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภคว่า “ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งผู้บริโภคต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างเท่าเทียมกันการคุ้มครองดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นสิทธิพื้นฐาน แต่ยังเป็นมาตรฐานที่ทุกคนควรได้รับเพื่อสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาหลักที่พบส่วนใหญ่มีมายัง สคบ. ได้แก่ กรณีการขายสินค้าหรือการให้บริการที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลง ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขเรื่องร้องทุกข์ให้รวดเร็วขึ้น“

“การจัดกิจกรรมนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการส่งเสริมการไกล่เกลี่ยมิติใหม่ ในรูปแบบการไกล่เกลี่ยแบบกลุ่ม ซึ่งเป็นการแก้ไขข้อพิพาทกลุ่มที่มีประเด็นร้องทุกข์ในลักษณะเดียวกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหามากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนการช่วยเหลือผู้บริโภคได้มากขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อเทียบการดำเนินงานในลักษณะการไกล่เกลี่ยรายกรณี ที่ปัจจุบัน สคบ. มีการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคเฉลี่ยเดือนละ 250 เรื่อง แต่เมื่อเริ่มกิจกรรมการไกล่เกลี่ยเป็นกลุ่ม และมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้บริโภคได้เป็นจำนวนมากขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งจะช่วยยกระดับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” นางสาวจิราพร กล่าว

ทั้งนี้ กิจกรรม “มหกรรมไกล่เกลี่ยเรื่องร้องทุกข์ของผู้บริโภค” จัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยนำกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบกลุ่มมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้การแก้ไขปัญหามีความรวดเร็วขึ้น เมื่อเทียบกับการดำเนินการแบบรายกรณี โดยจะช่วยลดขั้นตอน ลดระยะเวลา และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ โดย สคบ. จะดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับกระบวนการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจในอนาคต

นอกจากนี้ สคบ. ยังได้ใช้ระบบ “OCPB Mediate” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มไกล่เกลี่ยออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถยื่นเรื่องร้องทุกข์ และขอความช่วยเหลือได้ทุกที่ ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของ สคบ. ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสะดวกสบายอีกด้วย

Advertisement

นายกฯสั่งเด็ดขาด ภายใน 30 วัน ปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ในเยาวชนและสถานศึกษาต้องเห็นผล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายกรัฐมนตรีสั่งเด็ดขาด ภายใน 30 วัน ปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ในเยาวชนและสถานศึกษาต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม สั่งซีลผู้นำเข้าทุกจุด จับกุมผู้ขายอย่างจริงจัง สั่งฟันหากพบ ตำรวจ-ข้าราชการ เอี่ยวมีโทษทั้งวินัยและอาญา

วันนี้ (26 ก.พ. 68) ณ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือการปราบบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะในเยาวชน-พื้นที่ใกล้โรงเรียน ร่วมกับพล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้เป็นหลัก โดยนายกรัฐมนตรีได้หารือถึงมาตรการคุมเข้มและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน กำชับให้ทุกฝ่ายดูแลอย่างเข้มงวด พื้นที่ใกล้โรงเรียน-สถานศึกษาต้องไม่มีการขายให้เยาวชน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายให้กับประชาชนได้เข้าใจอย่างถูกต้อง โดยเริ่มต้นที่การจัดการกับผู้นำเข้า seal ทุกจุด และจับกุมผู้ขายอย่างจริงจัง ตั้งเป้าหมายภายใน 30 วัน ร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกรมศุลกากรในการปราบปรามอย่างเด็ดขาด

“สำหรับการปราบปรามนี้เป็นการดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน ถือเป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกคนในสังคม ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากทุกคน ทุกภาคส่วน ให้ช่วยดูแลเยาวชนในสังคม หากพบเห็นการขายให้แก่เด็ก และเยาวชน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

Advertisement

พม. ทำ MOU กสทช. ให้สิทธิคนพิการ 7 ประเภทใช้เน็ตฟรี 6 เดือน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 กุมภาพันธ์ 2568 ทำเนียบ – “วราวุธ” เผย พม. ร่วม MOU กสทช. ให้สิทธิ คนพิการ 7 ประเภท ลงทะเบียนใช้เน็ตฟรี หวัง ส่งเสริม-พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รายงานให้ทราบถึง การให้ความร่วมมือของ พก. กับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ได้ดำเนินโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับคนพิการ เป็นการสนับสนุนและสร้างโอกาสให้คนพิการที่มีความยากจนในประเทศไทย สามารถเข้าถึงบริการโทรคมนาคมพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมการพัฒนาภาคการศึกษา สาธารณสุขและบริการภาครัฐ จึงร่วมทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ กสทช. และ บริษัท บางกอก เทลลิ้ง จำกัด เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ตามศักยภาพ โดยคนพิการที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 1.1 ล้านสิทธิ สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ต ฟรี แบบไม่จำกัดปริมาณ ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ตไม่ต่ำกว่า 20 Mbps เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 กรกฎาคม 2568

สำหรับคนพิการที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ได้นั้น เป็นคนพิการที่มีความยากจน จำนวน 1.1 ล้านคน ซึ่งมีบัตรประจำตัวคนพิการ ในฐานข้อมูลของ พก. กระทรวง พม. ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยครอบคลุมคนพิการที่มีสิทธิ 7 ประเภท ได้แก่ 1) พิการทางการเห็น  2) พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย 3) พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย 4) พิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม 5) พิการทางสติปัญญา 6) พิการทางการเรียนรู้ และ 7) พิการทางออทิสติก

โดยคนพิการสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิได้คนละ 1 สิทธิ และไม่สามารถโอนสิทธิให้บุคคลอื่นได้ ยกเว้นกรณีคนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม คนพิการทางสติปัญญา คนพิการทางการเรียนรู้ และคนพิการทางออทิสติก ให้ผู้ดูแลทำบัตรคนพิการสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิได้ อีกทั้ง สามารถเลือกใช้เลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่เดิมหรือรับ ซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตสำหรับเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ทางกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) สนับสนุนเรื่องการจัดทำบัญชีรายชื่อคนพิการที่มีสิทธิร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลให้สำนักงาน กสทช. สำหรับการสนับสนุนซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตให้กับคนพิการ และยังประชาสัมพันธ์การลงทะเบียนเพื่อขอรับซิมการ์ด ติดตาม ประเมิน และสรุปผลการดำเนินงานเพื่อพัฒนากระบวนการช่วยเหลือคนพิการและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มีคุณภาพของคนพิการ

ในขณะที่ กสทช. สนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนของรายการส่งเสริมการขายของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นเงิน 107 บาท ต่อเดือนต่อคน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็นระยะเวลา 6 เดือน อีกทั้งสนับสนุนศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะหรือ USO Net เพื่อนกระตุ้นการเปิดใช้บริการซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตของคนพิการ และ บริษัท บางกอก เทลลิ้ง จำกัด สนับสนุนเรื่องการให้บริการอินเตอร์เน็ตแบบเติมเงินและไม่จำกัดปริมาณ ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ตไม่ต่ำกว่า 20 Mbps โดยใช้ซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตเครือข่ายของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อีกทั้งจัดให้มีคอลเซ็นเตอร์ทางโทรศัพท์และแอพพลิเคชั่น LINE สำหรับช่วยเหลือ ให้ข้อมูล และคำแนะนำการใช้งานต่างๆ รวมถึงจัดทำวิดีโอแนะนำการใช้งานที่มีภาพ เสียง และภาษามือ

หากคนพิการมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับซิมการ์ดและการเปิดใช้บริการอินเทอร์เน็ต ขอให้ติดต่อสอบถามได้ที่ สำนักงาน กสทช. โทร. 1200 และ LINE ID: @netfree_infinite

Advertisement

รัฐบาลชวนร่วมฉลอง ยูเนสโกขึ้นทะเบียน ‘ภูพระบาท’ มรดกโลกทางวัฒนธรรม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 กุมภาพันธ์ 2568 ทำเนียบ – รัฐบาลชวนคนไทยร่วมฉลอง ยูเนสโกยกย่อง “ภูพระบาท” มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของไทย ที่อุดรธานี 28 ก.พ.นี้

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” (Phu Phrabat, a testimony to the Sima stone tradition of the Dvaravati period) โดยเป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานีต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อพุทธศักราช 2535

สำหรับการประกาศดังกล่าวได้ลงนาม รับรองโดย Ms. Audrey Azoulay ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (UNESCO) เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองและติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลกอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี โดยภายในงานมีกิจกรรมและการแสดงมากมาย อาทิ การแสดงศิลปะพื้นบ้าน จากชุมชนไทพวน อำเภอบ้านผือ พิธีปลูกต้นรวงผึ้ง เฉลิมพระเกียรติ พิธีติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลก และป้ายส่งเสริมการท่องเที่ยว พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ โบราณสถานหอนางอุสา การแสดงละครตำนานภูพระบาท เรื่อง “อุสา – บารส” โขนรามเกียรติ์ ตอน “สุครีพถอนต้นรัง

Advertisement

“เลขาฯ สมช.” ยันชาวอิสราเอลแค่มาเที่ยว อ.ปาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 กุมภาพันธ์ 2568 “เลขาฯ สมช.” ยันชาวอิสราเอลแค่มาเที่ยว อ.ปาย เชื่อไม่กระทบความมั่นคง ข่าวลงโซเชียลเกินจริง

นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงปัญหานักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ที่ไปเที่ยว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน หลังคนในพื้นที่ร้องเรียนว่าไปตั้งชุมชนเตรียมยึดพื้นที่ ว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีได้แถลงไปหมดแล้ว อาจเป็นเพราะลงโซเชียลมากเกินไป และได้ถามผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็แจ้งมาแล้วว่ายังอยู่ควบคุมได้ ไม่เป็นอย่างที่โซเชียลเผยแพร่

ส่วนที่มีชาวอิสราเอลมาเที่ยวเดือนละประมาณ 3-4 พันคน ไม่ผิดปกติใช่หรือไม่ นายฉัตรชัย กล่าวว่า ทางผู้ว่าฯ ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว ซึ่งในภาพรวมยังเป็นสถานการณ์ปกติ พื้นที่ดังกล่าวนักท่องเที่ยวยังเที่ยวได้ และอนาคตข้างหน้าไม่น่าจะกระทบความมั่นคงขนาดนั้น เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เหมือนชาวต่างชาติมาเที่ยว โดยการแก้ปัญหาเบื้องต้นทางส่วนราชการได้เข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่

Advertisement

“พิพัฒน์” ยัน สปส. บริหารเงินเหมาะสมโปร่งใส ขอผู้ประกันตนมั่นใจ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 กุมภาพันธ์ 2568 สงขลา​ – “พิพัฒน์” ยันพร้อมแจงทุกเวที​ ขอผู้ประกันตนมั่นใจ สปส. บริหารเงินเหมาะสมโปร่งใส ชี้มีหลักเกณฑ์การเดินทางอยู่แล้ว ระดับเจ้ากระทรวงต้อง Frist class แจงทำปฏิทินยังจำเป็น ยอด 400 ล้านบาท สำหรับ 8 ปี ไม่ใช่ปีเดียว เผยใช้งบประชาสัมพันธ์เพียง 3% จาก 10% เท่านั้น ขออภัยโทรสายด่วนติดยาก เหตุมี 300 คู่สาย ใครโทรฯ แล้วรับเลยถือว่าโชคดี จวกคนออกมาพูดเรื่องหยุมหยิม มีเจตนาไม่ดี

นายพิพัฒน์​ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน​ กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงการใช้งบประมาณของ สำนักงานประกันสังคมแห่งชาติ ฟุ่มเฟือยไปดูงานต่างประเทศ จัดทำปฏิทิน 400 ล้านบาทว่า​การไปดูงาน มีหลักปฏิบัติของแต่ละกระทรวงอยู่แล้ว ว่าผู้บริหารระดับไหนจะนั่งชั้นไหน ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องปฏิบัติกันตามปกติ หากเป็นเจ้ากระทรวงระดับรัฐมนตรีว่าการและสำนักปลัดกระทรวง ก็จะเป็นที่นั่งระดับ Firast Classให้อยู่แล้ว หรือหากเป็นระดับปลัดกระทรวงและอธิบดี ชั้น Business อยู่แล้ว การจะเอาเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ มาโจมตีผ่านสื่อ ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เดือดร้อนหรือกังวล เพราะสามารถอธิบายได้

ส่วนเรื่องบอร์ดประกันสังคมที่เดินทางก็ต้องดู ว่าบอร์ดในแต่ละบอร์ดมีระดับที่นั่งในคลาสไหน หลักปฎิบัติมีให้อยู่แล้ว ในส่วนที่มีการเดินทาง ไม่ใช่ว่ากรรมการในบอร์ดจะมีพรรคใดพรรคหนึ่ง เมื่ออยู่ในบอร์ดก็มีเกือบทุกพรรค โดยเฉพาะที่อยู่ในกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรสภาผู้แทนราษฎรก็มีองค์ประกอบทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลรวมอยู่ด้วย แต่หากอยู่ในบอร์ดประกันสังคมปัจจุบันมาจากการเลือกตั้ง เป็นฝ่ายนายจ้าง 7 คน ลูกจ้าง 7 คน และมีภาครัฐอีก 7 คน ซึ่งลูกจ้างหรือนายจ้างภายในสังกัดหรืออยู่ในกลุ่ม​ไหน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะฉะนั้นไม่กังวลในเรื่องนี้

ส่วนที่ผู้ประกันตนเริ่มกังวลว่า การบริหารงบประมาณของประกันสังคม ที่เป็นงบก้อนใหญ่ นายพิพัฒน์กล่าวว่า ด้วยหลักเกณฑ์ของประกันสังคมสามารถหยิบเงินของประกันสังคมมาเพื่อการบริหารจัดการเพื่อการประชาสัมพันธ์ได้ 10% แต่ขณะนี้ประกันสังคมใช้เพียง 3% คนที่ออกมาพูดต้องดูหลักเกณฑ์ด้วยว่าเขาให้ไว้อย่างไร การที่ประกันสังคมนำมาใช้ 3% คิดว่าพยายามประหยัดงบประมาณให้กับ ผู้ประกันตนทั้ง 3 มาตรา 33 39 40

ส่วนการจัดทำปฏิทินกว่า 400 ล้านบาท นายพิพัฒน์ กล่าวว่า งบประมาณดังกล่าวเป็นการจัดทำปฏิทิน ระยะเวลา 8 ปีไม่ใช่ปีเดียว ดังนั้นการพูดอะไรที่เป็นการเหมารวมและตีขุม ขอให้มีจรรยาบรรณในการพูด การที่พูดจั่วหัวขึ้นมาว่า 400 กว่าล้านบาท เชื่อว่าผู้พูดมีเจตนาไม่ดี ส่วนตัวไม่เคยออกมาตอบโต้ แต่วันนี้ได้จังหวะมาประชุมครม.สัญจร ที่จังหวัดสงขลาซึ่งเป็นบ้านของตนเองจึงถือโอกาส ขอพูดให้กับสื่อมวลชนและผู้ประกันตนทั้งประเทศได้ทราบว่าประกันสังคมมีมาตรฐานในการใช้งบประมาณอย่างประหยัด

ส่วนกรณีเรื่องสายด่วนโทรไปไม่เคยมีคนรับนั้น นายพิพัฒน์ ย้อนถามว่า โทรฯ ไปกี่ครั้ง อาจจะติดสายอยู่ก็ได้ เพราะช่วงเวลาที่มีความเดือดร้อนทุกคนก็พยายามโทรเข้าไป เมื่อไม่มีการรับสายก็คิดว่าไม่รับสาย แต่อาจจะเป็นสายซ้อน ซึ่งจะมีการแจ้งในสายอยู่แล้วว่าโปรดรอสักครู่ อย่าว่าแต่ประกันสังคมเลย ศูนย์ Call Center ที่เป็นศูนย์รวมก็เป็นลักษณะเดียวกัน เพราะมีช่วงเวลาที่สายแน่นมาก อาจทำให้ไม่สามารถโทรศัพท์เข้าไปแล้วรับเลยได้ ถ้าโทรแล้วรับทันทีจะถือว่าเป็นจังหวะว่าง โดยทั่วไปจะมีผู้ประกันตนทั้งหมด 25 ล้านคน ในขณะที่ผู้ให้บริการสายด่วน 300 คู่สาย การโทรไปแล้วรับทันทีถือว่าโชคดีมากๆ บางครั้งต้องขออภัย ขอให้ผู้ประกันตนทั้งสามมาตราสบายใจได้ว่าประกันสังคมทำทุกสิ่งทุกอย่างโปร่งใส ที่สำคัญบอร์ดไม่มีใครเลือกหรือสรรหามา แต่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นคนออกมาให้ข่าวกรุณาทบทวนตัวเองว่าสิ่งที่พูดออกมามีข้อเท็จจริงอย่างไร และตนเองไม่มีปัญหา จะมาพบที่กระทรวงก็ได้ หรือจะทวงถามในสภาก็พร้อมที่จะตอบ หรือจะใช้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ยินดีที่จะตอบคำถามทุกคำถามเพราะมั่นใจ ว่ากระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมของเรามีความโปร่งใส

ทั้งนี้นายพิพัฒน์ มั่นใจว่า งบประมาณจัดทำปฏิทินปีละ 50 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่เหมาะสม เพราะ เกษตรกร 12,000,000 คน อยู่ในพื้นที่ชุมชนชนบทการที่จะสื่อสารผ่านโซเชียลบางครั้งอาจจะไม่ได้ จึงต้องอำนวยความสะดวกในการประชาสัมพันธ์ ทางปฏิทิน ดังนั้นการใช้ปฏิทินยังมีคุณค่าสำหรับคนบางกลุ่ม แต่สำหรับคนบางกลุ่ม อาจไม่มีความจำเป็นแต่บางกลุ่มมีความจำเป็น

Advertisement

พม. ดันนิคมสร้างตนเอง สร้างมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กุมภาพันธ์ 2568 พัทลุง – “วราวุธ” เผย พม. ดันนิคมสร้างตนเอง สร้างมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน ขยายผล ช่วยกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่นิคมสร้างตนเองควนขนุน ตำบลลานข่อย อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง เพื่อติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการพัฒนาทุนมนุษย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสังคม ส่งเสริมอัตลักษณ์ในนิคมสร้างตนเอง (นิคม NEXT) เยี่ยมชมกิจกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว เป็นการส่งเสริมอาชีพด้านเกษตรกรรม มอบวัวให้กับครอบครัวเปราะบางจำนวน 2 ตัว เป็นการส่งเสริมด้านการปศุสัตว์ และร่วมกิจกรรมทักทอผ้าลายโบราณ เป็นการส่งเสริมด้านหัตถกรรม การสาธิตการทอ “ผ้าลานข่อย”

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาสังคม สร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม อีกทั้งส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงในชีวิต สถาบันครอบครัว และชุมชน ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเป้าหมายคนทุกช่วงวัย และในปีนี้ได้มีการกำหนดพันธกิจสำคัญ (Flagship Project ) 9 ด้าน เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ส่งเสริมพันธกิจสำคัญที่ 3 คือการสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนเปราะบาง โดยมีการขับเคลื่อน โครงการนิคม Next เริ่มต้นที่นิคมสร้างตนเองกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแห่งแรก จากนั้นขยายผลไปยังพื้นที่นิคมสร้างตนเองทั้งสิ้น 25 แห่ง โดยในปีหน้าจะขยายผลให้ครอบคลุมครบทุกแห่งทั้งสิ้น 43 นิคม

นายวราวุธ กล่าวว่า ครั้งนี้มาลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนโครงการนิคม Next ที่นิคมสร้างตนเองควนขนุน จังหวัดพัทลุง มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ทุนทางสังคม พร้อมมอบโอกาสและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อคนทุกช่วงวัย ผนวกกับการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ BCG โมเดล การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ โดยใช้พื้นที่นิคมสร้างตนเองที่มีกฎหมายเฉพาะด้านการบริหารจัดการที่ดิน และการดูแลราษฎรในพื้นที่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. เป็นการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านอาชีพและรายได้ของประชาชนที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของกระทรวง พม. กับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

Advertisement

เตือน ระวังมิจฉาชีพแฝงตัวหลอกช่วงวาเลนไทน์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 กุมภาพันธ์ 2568 “ยิ่งรักมาก..ต้องยิ่งเตือนมาก” “อนุกูล”  เตือนระวังมนต์รักออนไลน์ “เทศกาลวันวาเลนไทน์” รวม 8 ข้อหลอกลวงยอดฮิตจากมิจฉาชีพ

วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2568 ) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเดือนแห่งความรักและช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ รัฐบาลห่วงใยประชาชนถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้รัก และหลอกลวงให้สูญเสียเงิน ผ่านสื่อออนไลน์ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมทั้งจากข้อความผ่านSMS  เป็นต้น  โดยขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงกล ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า หากมีการเชิญชวนให้โหลดแอปพลิเคชัน เล่นเกมผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมถึงหากต้องการซื้อช่อดอกไม้จากร้านค้าออนไลน์ช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ ขอให้ตรวจสอบแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และร้านดอกไม้ที่น่าเชื่อถือ ก่อนจะชำระเงินหรือโอนเงินไปยังปลายทาง เพื่อป้องกันความเสียหายในการชำระเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพ

นายอนุกูล กล่าวว่า ปัจจุบันการกระทำผิดบนสื่อออนไลน์ของมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ ถึงแม้รัฐบาลได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการเฝ้าระวัง ติดตาม และป้องกันการกระทำผิดของมิจฉาชีพผ่านสื่อออนไลน์อย่างเข้มงวด รวมถึงเฝ้าระวังและติดตามกลโกงของสื่อรักผ่านออนไลน์ หรือ Romance Scam ซึ่งเป็นการหลอกให้รัก เพื่อหวังแสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อใจของเหยื่อ สำหรับกลอุบายของมิจฉาชีพที่เข้ามาหลอกลวงมักจะมาด้วยกลอุบาย ดังต่อไปนี้ 1. หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (Hybrid scam) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ปลอมด้วยการโอนเงินหรือลงทุนในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัล  2. หลอกให้รักแล้วกดลิงก์/ดาวน์โหลดแอปรีโมท (Remote access scam) ควบคุมสมาร์ตโฟนและทำการดูดเงินในบัญชี 3. หลอกให้รัก ให้ถ่ายรูปลับส่วนตัว แล้วแบล็กเมล์ (Sextortion) ขู่กรรโชกทางเพศ ด้วยการชวนทำกิจกรรมทางเพศผ่านทางออนไลน์ แล้วนำภาพหรือวิดีโอมาขู่เรียกค่าไถ่ หรือบีบบังคับให้กระทำการอื่นๆ 4. มิจฉาชีพที่เป็นชาวต่างชาติจะทำทีมาจีบและให้ความหวังว่าอยากจะมาแต่งงานที่เมืองไทย และส่งทรัพย์สินให้ แต่ต้องชำระเงินค่าภาษีก่อน และขอให้ท่านช่วยชำระภาษีให้ก่อน  5. มิจฉาชีพแสดงตัวว่าได้รับมรดกเป็นเงินมหาศาล แต่ต้องชำระภาษีมรดก ขอให้ท่านช่วยชำระภาษี 6. ป่วยหนัก แต่ประกันยังเบิกจ่ายไม่ได้ 7. ส่งของรางวัลราคาแพงมาให้ แต่ติดอยู่ที่ด่านตรวจ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน ขอให้ท่านโอนเงินเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมรางวัลก่อน และ 8. เป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติที่จะมาลงทุน แต่ต้องการให้ร่วมทุนด้วย

“รัฐบาลย้ำเตือนให้ประชาชนตระหนักรู้เท่าทัน ภัยออนไลน์จากมิจฉาชีพ อย่าหลงเชื่อ หากท่านใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งค์มิจฉาชีพ หรือถูกหลอกลวงออนไลน์ต่าง ๆ หรือพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ทางสายด่วนโทร 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง หากโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 และสามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

Verified by ExactMetrics