วันที่ 29 เมษายน 2024

People Unity News : “อสม.อนุทิน”สุดปลื้มได้รับบัตรแล้ว! ประกาศจะเสียสละ อุทิศตน ทำงานเพื่อสุขภาพของประชาชนในชุมชน โดยไม่รับค่าตอบแทน

People Unity News : “อสม.อนุทิน”สุดปลื้มได้รับบัตรแล้ว! ประกาศจะเสียสละ อุทิศตน ทำงานเพื่อสุขภาพของประชาชนในชุมชน โดยไม่รับค่าตอบแทน

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า

อสม.อนุทิน ชาญวีรกูล

ไม่มีวิธีใดที่จะเข้าใจคนทำงานได้ดีเท่าลงมือทำงานด้วยตัวเอง

เพื่อให้ได้รู้ เข้าใจ หัวใจ น้ำใจ เจตนารมณ์ อุดมการณ์ ที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่ง เสียสละ และอุทิศตน เพื่อสุขภาพของประชาชนในชุมชน และ ส่วนรวม ที่เราเรียกว่า อสม. ได้ดียิ่งขึ้น

เราก็ต้องเป็น อสม. ด้วยตนเอง และ ทำงานเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข ด้วยตัวเอง

ต่อไป เวลาเจอกัน เราจะได้ทักทายกันแบบ เพื่อนอสม.
ไม่ใช่แบบ รัฐมนตรี กับ อสม.
และร้องเพลง อสม. ไปด้วยกัน

“..พวกเรา อสม
ไม่เคยย่นย่อ
งานต่อต้านโรคภัย
อสม.ขอทุ่ม จิตเทใจ
ช่วยเหลือคนไทย
ทั่วเมืองไทยให้รุ่งเรือง
โรคร้าย กล้ำกรายเมื่อไรก็ช่าง
พวกเราตั้ง ใจปัดภัยหนุนเนื่อง
อสม ขอชนทั่วมุมเมือง
เข้าใจในเรื่อง
เบื้องต้นการปฐมพยาบาล..”

แค่ได้รับบัตร ก็ภาคภูมิใจแล้ว จะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ อสม. อย่างเต็มความสามารถ ครับ

ปล. อสม.อนุทิน ไม่รับค่าป่วยการ หรือ ค่าตอบแทน นะครับ

สธ.รณรงค์เดือนพฤศจิกายน“ต้านภัยมะเร็งปอด”

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เชิญชวนคนไทยร่วมใจต้านภัยมะเร็งปอดในเดือนพฤศจิกายน แนะประชาชนตรวจคัดกรองในรายที่เสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งปอด เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถค้นพบผู้ป่วยระยะเริ่มต้นให้ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่แรก ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงและลดการเสียชีวิตลงได้

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ได้เล็งเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาโรคมะเร็งปอดที่คนทั่วโลกป่วยและเสียชีวิตมากที่สุด สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบมาก เป็นอันดับที่ 2 ในเพศชาย และอันดับ 5 ในเพศหญิง สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก รายงานว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลก 2 ล้านคนต่อปี และเสียชีวิต 1.7 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบคนไทยป่วยเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นวันละ 42 คน (Cancer in Thailand Vol. IX 2013-2015) และเสียชีวิตถึงวันละ 38 คน (สถิติสาธารณสุข พ.ศ.2560 กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคมะเร็งปอด คือ การสูบหรือรับควันบุหรี่ พันธุกรรม และการสัมผัสสารก่อมะเร็ง อาทิ ก๊าซเรดอน แร่ใยหิน รังสี ควันธูป ควันจากท่อไอเสีย และมลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของมะเร็งปอดที่พบบ่อย ได้แก่ ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ มีเสียงหวีด เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยนไป เจ็บหน้าอกหรือหัวไหล่ ปอดติดเชื้อบ่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หากมีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเกินกว่า 3 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด ที่มีประสิทธิภาพในระดับประเทศ แต่มีคำแนะนำให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งปอดเข้ารับการตรวจ คัดกรองโดยการเอกซเรย์ปอดเป็นประจำทุกปี การรักษาในปัจจุบัน ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสี และการรักษาโดยให้ยามุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะของโรค ดังนั้น การตรวจคัดกรองในรายที่เสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งปอด จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถค้นพบผู้ป่วยระยะเริ่มต้นให้ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและลดการเสียชีวิตลงได้ สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันมะเร็งปอด คือ “เลิกสูบบุหรี่” เพื่อตัวคุณเอง ครอบครัวและสังคมรอบข้าง หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

“พม.”อบรมจิตอาสาพร้อมเป็น “อพม.ที่มีหัวใจ ผู้ให้”

People Unity News : “พม.”อบรมจิตอาสาพร้อมเป็น “อพม.ที่มีหัวใจ ผู้ให้” ตั้งเป้า 5 แสนคน หวังเพิ่มทักษะความชำนาญเฉพาะด้าน

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดโครงการอบรม “อพม.ใหม่” เชี่ยวชาญด้านคนพิการและผู้สูงอายุ และเป็นเครือข่ายต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” ประจำปีงบประมาณ 2563 เพื่อเป็นการอบรมให้ความรู้กับประชาชนทั่วไปที่มีจิตอาสา และสนใจเข้าร่วมเป็นอพม. ซึ่งในระยะแรกมีการดำเนินการอบรม 6 รุ่นๆ ละ 150 คน รวมทั้งสิ้น 900 คน โดยอบรมรุ่นละ 2 วัน

นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. จะมีการขับเคลื่อนนโยบายการบูรณาการงานอาสาสมัครให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้นโยบาย “อ. เดียว” ที่ให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วยเหลือคนพิการ (อพมก.) และอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (อผส.) เป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเป็นพลังสำคัญในการให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทางสังคม และเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานจิตอาสา เพื่อการช่วยเหลือสังคม อีกทั้งร่วมกันสืบสาน รักษา ต่อยอด และสร้างสุขให้กับประชาชนในสังคมภายใต้แนวคิด “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” และเป็น “อพม. ที่มีหัวใจ ผู้ให้” โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ “สังคม ปันความสุข”

นายจุติ กล่าวด้วยว่า โครงการนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหลายกรมในกระทรวงพม. ทุกกรมได้เข้ามาร่วมกันทำงาน เพราะเราต้องการอาสาสมัครพัฒนาสังคมเป็นจำนวนมาก โดยเราจะเป็นวันโฮมคือมีหนึ่งเดียวที่เป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมไม่ได้เป็นของกรมใด แต่อยู่ที่แต่ละคนที่อยากจะทำว่ามีความชำนาญเฉพาะในด้านไหน เช่น ในเรื่องคนพิการ ผู้สูงอายุ เด็ก หรือเรื่องสตรี และเราได้มีการประเมินเพื่อเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

“กระทรวงพม. จะเริ่มอบรมให้ทักษะความรู้กับอาสาสมัครพัฒนาสังคมทั้งประเทศ โดยตั้งเป้าไว้ ประมาณ 5 แสนคน และต้องให้เขาได้รับรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลก รับรู้เรื่องผลกระทบจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เขาจะได้เข้าใจกลุ่มเป้าหมายว่า มีผลกระทบอย่างนี้จะต้องมีการจัดการกับปัญหาอย่างไร หลักที่เราพยายามให้คือให้ทุกคนมีทักษะ และสร้างอาชีพให้ทุกคนพึ่งพาตนเอง อย่าไปพึ่งระบบสงเคราะห์” นายจุติ กล่าว

นายจุติ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน อพม. ที่ทำงานอยู่ขณะนี้มีประมาณ 9 หมื่นคน เรามีข้อตกลงกับ อพม. ว่าในปลายปีนี้ ขอให้ประธาน อพม. จังหวัดช่วยขยายคน โดยจะสอดคล้องกับตัวเลขของกรมกิจการผู้สูงอายุ และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการที่วิเคราะห์ไว้ว่า ถ้าจะดูแลให้ทั่วถึงได้อย่างมีคุณภาพน่าจะมีอาสาสมัครไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน ซึ่งทุกอย่างเป็นจิตอาสาไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีเงินเดือน ทุกคนที่เข้ามาร่วมมีต้นทุนที่เหมือนกันคือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ โดยหวังว่าจะเป็นสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต

มูลนิธิต่อต้านการทุจริตร่วมกับ”ม.สงฆ์ มจร” จัดบรรพชาสามเณรช่อสะอาดแดนพุทธภูมิ

People Unity News : มูลนิธิต่อต้านการทุจริตร่วมกับหลักสูตรสันติศึกษาและวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ “มจร” พัฒนาเยาวชนช่อสะอาด จัดพิธีบรรพชาใต้ต้นศรีมหาโพธิ์พุทธคยาอินเดีย จำนวน 21 รูป พร้อมจาริกตามรอยพระบาทพระศาสดาสังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 16.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์พุทธคยา ประเทศอินเดีย พระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูตสาย ประเทศอินเดีย-เนปาล เป็นพระอุปัชฌาย์บรรพชากุลบุตรจำนวน 21 คน ใน “โครงการพัฒนาเยาวชนแกนนำช่อสะอาดตามแนวทางพระพุทธศาสนา นำเยาวชนไทยไปอินเดียเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าป้องกันการทุจริต ” รุ่นที่ 3 ซึ่งวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และมูลนิธิการต่อต้านการทุจริตจัดขึ้น ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ ประธานกรรมการ ที่มอบหมายให้นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ปปช. และรองประธานกรรมการมูลนิธิ เป็นผู้นำคณะ

สามเณรช่อสะอาด 21 รูปนี้ พร้อมใจกันบวชด้วยศรัทธา ระหว่างวันที่ 24-30 พฤศจิกายน 2562 คณะสามเณรจะออกเดินทางจาริกตามรอยพระบาทพระศาสดาในสังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล โดยได้รับความรู้ตลอดการลงพื้นที่จริง อีกท้ังยังได้รับฟังธรรมบรรยายจากพระธรรมวิทยากรผู้มากด้วยความรู้อีกด้วย

“กนกวรรณ”ตรวจสนามกีฬาร.ร.กีฬาอุบลฯ เตรียมแข่งกีฬา กศน.เกมส์ครั้งที่ 5

People Unity News : “กนกวรรณ” เสมา 3 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมของสนามกีฬาโรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลฯ เพื่อเตรียมการในการแข่งขันกีฬา กศน.เกมส์ ครั้งที่ 5 ปลื้ม กศน.อุบลเดินหน้าจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาสได้ตามเป้า

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะทำงาน รมช. และ นายธฤติ ประสานสอน ผอ.กศน.จังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความพร้อมของสนาม ณ โรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬา กศน. ทั่วประเทศ ครั้งที่ 5 ใน “กศน.เกมส์” ระหว่างวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2563

สำหรับกิจกรรมมีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่  กรีฑาฟุตบอล, วอลเลย์บอล,ตะกร้อ, เปตองผสม และกอล์ฟ ซึ่งการจัดการแข่งขันกีฬาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ นักศึกษา กศน. ผู้บริหารหน่วยงาน/สถานศึกษา ครู กศน. บุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ และข้าราชการพลเรือน ในสังกัดสำนักงาน กศน.ได้เล่นกีฬาและออกกำลังกายอย่างถูกวิธี และเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างนักศึกษา กศน. ผู้บริหารหน่วยงาน/สถานศึกษา ครู กศน. บุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ และข้าราชการพลเรือน ในสังกัดสำนักงาน กศน.

ปลื้ม กศน.อุบลเดินหน้าจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาสได้ตามเป้า

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 23 ดร.กนกวรรณ พร้อมด้วย นายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มเด็กเร่ร่อนที่ชุมชนท่าบ้งมั่ง เทศบาลเมืองวารินชำราบ โดย กศน. อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งในวันนี้ รมช.ศธ.ได้ให้กำลังใจครู กศน.และสอบถาม พูดคุยถึงสภาพปัญหาพร้อมมอบสื่อการเรียน การสอน ผ้าห่มแก่กลุ่มเด็กเร่ร่อนที่มาเรียนในวันนี้จำนวน 20 คน ด้วยความห่วงใย

รมช.ศธ.ได้เปิดเผยว่า ตนมีความตั้งใจในการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบาย ที่เคยมอบให้ผอ.กศน.จังหวัดอุบลราชธานีไปขับเคลื่อนตั้งแต่คราวลงพื้นที่เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและขอบคุณ กศน.จังหวัดอุบลราชธานีที่ได้นำข้อสั่งการ และนโยบายจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเร่ร่อนและผู้พิการ ไปขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองอุบลราชธานี  (กศน.อำเภอเมืองอุบลราชธานี) ได้จัดการศึกษานอกระบบสำหรับ เด็กด้อยโอกาส มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน มีบุคลากรครูที่รับผิดชอบ จำนวน 4 คน กลุ่มเป้าหมาย ทั้งสิ้น จำนวน 101 คน  กระจายอยู่ในพื้นที่ชุมชนแออัดของอำเภอเมืองอุบลราชธานีและอำเภอวารินชำราบ จำนวน 11 ชุมชน  เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมของชุมชนเมือง ที่มีความเหลื่อมล้ำของผู้คนที่มาจากต่างถิ่น เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่  ซึ่งกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวเป็นผู้ด้อยโอกาส  เนื่องจากเข้าไม่ถึงการบริการ  สวัสดิการต่างๆของภาครัฐ ด้วยองค์ประกอบหลายด้าน

“จึงต้องการความช่วยเหลือ การพัฒนา เพื่อสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ  ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือเป็นภาระของสังคม  โดยที่นี่มีการจัดการศึกษานอกระบบสำหรับเด็กด้อยโอกาส ตามกรอบนโยบาย  และภารกิจของสถานศึกษา ประกอบด้วย การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต  การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน และการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย โดยการประสานการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น เทศบาลนครอุบล เทศบาลเมืองวารินชำราบ   โรงเรียนพุทธเมตตา(วัดไชยมงคล)  สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) นับว่าเป็นผลความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติของพื้นที่เป้าหมายได้อย่างดีระดับหนึ่ง” ดร.กนกวรรณ กล่าว

จากนั้น รมช.ศธ.พร้อมคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับผู้สูงอายุ ณ โรงเรียนผู้สูงอายุ กศน.อำเภอเดชอุดม จ.อุบลราชธานี โรงเรียนผู้สูงอายุ กศน.อำเภอเดชอุดม เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 โดยเป็นสถานศึกษาที่เกิดจากการลงนามความร่วมมือในการจัดการศึกษา ระหว่าง เทศบาลตำบลเมืองเดช และ กศน.อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีวัตถุประสงค์มุ่งพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้สูงอายุภายใต้แนวคิด “การศึกษานอกโรงเรียนเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต” โดยมีผู้สูงอายุในพื้นที่เขต อบต.เมืองเดช ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันทุกวันอังคารของสัปดาห์ เน้นการพัฒนาผู้สูงอายุด้วยการเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิต การเรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และการเรียนเพื่อพัฒนาสุขภาพชีวิต ผ่านการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบที่ผู้สูงอายุจะได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน เกิดทักษะด้านการดูแลตัวเอง และพึ่งพาตัวเองได้ในระดับพื้นฐาน ทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดีขึ้น มีสังคม เพื่อน ฝูง ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เกิดประโยชน์แก่ตัวผู้เรียนรวมถึงการพัฒนาความสามารถทางกาย จิต สังคม ปัญญา และ เศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิต และเห็นคุณค่าในตนเองยิ่งขึ้น

ดร.กนกวรรณ ได้กล่าวขอบคุณ ทุกฝ่ายที่จัดกิจกรรม เพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งในอนาคตผู้สูงอายุจะมีศักย ภาพมากขึ้น จึงขอให้ผู้สูงอายุอย่าอายที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ประสบการณ์แก่กัน และเน้นย้ำให้สอดแทรกและปลูกฝังความสำคัญ ความเข้าใจที่ถูกต้องของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมไปในกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย

ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กศน.ได้ตั้งคณะทำงานและประชุมร่างแผนพัฒนาการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส(เร่ร่อน)​และผู้พิการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายในการปฎิบัติของพื้นที่ให้บรรลุเป้าหมายครอบคลุมทุกมิติต่อไป

นายธฤติ ประสานสอน ผู้อำนวยการ กศน.จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน กศน.จังหวัดอุบลราชธานีได้จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการโดยมีการจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 25 อำเภอ ซึ่งมีการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในชุมชน จัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาแบบองค์รวม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าในสังคมต่อไป

สธ.หนุนมรภ.สวนสุนันทา เปิดหลักสูตร”กัญชาเวชศาสตร์”แห่งแรกในไทย

People Unity News :  ปลัดสธ.เปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 2 เรื่อง “เทคโนโลยีการผลิตสารสกัดจากกัญชา” หนุนมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เปิดหลักสูตร “กัญชาเวชศาสตร์”  หลักสูตรแรกในประเทศไทย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 2 เรื่อง “เทคโนโลยีการผลิตสารสกัดจากกัญชา” (Cannabis Extraction Technologies) ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์ ตั้งเป้าหมายบรรจุเข้าบัญชียาหลักและระบบหลักประกันสุขภาพ เพิ่มทางเลือกการรักษาของผู้ป่วย เข้าถึงยากัญชาอย่างปลอดภัย และสนับสนุนการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เปิดหลักสูตร “กัญชาเวชศาสตร์” หลักสูตรแรกในประเทศไทย

ยกเลิกทุกการนัดหมาย ! “อนุทิน”บินด่วน”ร้อยเอ็ด” ทำภารกิจหัวใจติดปีก

People Unity News : ยกเลิกทุกการนัดหมาย ! “อนุทิน” นำทีมแพทย์บินด่วน “ร้อยเอ็ด” ทำภารกิจหัวใจติดปีก ด้าน สธ.หนุนเต็มที่ เชิญประชาชนบริจาคอวัยวะ

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณสุข ได้ขับเครื่องบินนำทีมแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปยัง จ.ร้อยเอ็ด เพื่อปฏิบัติภารกิจรับอวัยวะนำไปส่งแก่ผู้ป่วยที่รอการช่วยเหลือ ทั้งนี้ ที่เฟซบุ๊ก “อนุทิน ชาญวีรกูล” ปรากฏข้อความว่า

“ทีมหัวใจติดปีก
มาร้อยเอ็ด
ภารกิจด่วน
ยกเลิกทุกนัด
ขออภัยเจ้าภาพทุกงาน ที่รับเชิญไว้ด้วยนะครับ”

อีกด้านหนึ่ง ที่เฟซบุ๊ก “นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ” ของนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ปรากฏข้อความเขิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคอวัยวะ พร้อมชื่นชมกิจกรรมของนายอนุทิน ระบุว่า

“เช้าวันเสาร์ และเช้าวันอาทิตย์ แม้เป็นวันหยุด คุณอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขับเครื่องบินและค่าใช้จ่ายส่วนตัว รับอวัยวะมาช่วยชีวิตผู้ป่วย ด้วยภาระกิจ หัวใจติดปีก มาก่อนเรื่องส่วนตนด้วยการเดินทางพร้อมทีมแพทย์ และยังไปกราบขอบพระคุณญาติๆผู้ป่วยด้วยความอ่อนน้อม….

ผู้นำที่ดีของกระทรวงสาธารณสุขที่มีทั้งคุญธรรม ความสามารถ ความยุติธรรม”

ขอชื่นชมท่านเป็นแบบอย่างการทำงาน

ทำเพื่อส่วนรวมมาก่อนส่วนตนเสมอ”ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีให้เราทุกคนชาวสาธารณสุขได้ศรัทธา ให้นึกถึงประโยชน์ประชาชน ประโยชน์ส่วนรวม มาก่อน เรื่องของตนเอง และผมขอชื่นชมให้กำลังใจพี่น้องชาวสาธารณสุขทุกคนที่เสียสละ

ตัวหมอเองก็บริจาคทั้งอวัยวะและดวงตา ร่วมถึงมอบร่างที่เหลือให้ศึกษาเป็นอาจารย์ใหญ่

ไม่ต้องกลัวความเชื่อผิดๆ ว่า “ถ้าตายไปอวัยวะไม่ครบ” จะพิการชาติหน้าได้ หรือเกิดเรื่องไม่ดี ขอรับรองว้าไม่จริง มีแต่ได้บุญมากๆ ด้วยผู้ป่วยหัวใจเทวดาครับ

กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมสร้างกุศลบริจาคอวัยวะ ให้ชีวิตใหม่เพื่อนมนุษย์ ลดความพิการแก่ผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะโดยผู้บริจาค 1 คนจะช่วยผู้ป่วยได้ถึง 8 คน

กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสภากาชาดไทย ได้จัดทำโครงการบริจาคอวัยวะเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 รณรงค์ให้ประชาชนร่วมแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะและดวงตา

จึงเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมบริจาค เป็นการสร้างบุญครั้งย่ิงใหญ่มากในวาระสุดท้ายของชีวิต

นายแพทย์รุ่งเรือง เปิดเผยว่า นายอนุทิน ให้ความสำคัญในการดำเนินงานระบบบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะให้มีความเข้มแข็งพัฒนาระบบบริการสุขภาพ(Service Plan) สาขาการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ร่วมมือกับสภากาชาดไทย

ได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ และพัฒนาทีมจัดเก็บอวัยวะในทุกเขตสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด มีโอกาสเข้าถึงบริการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โดยเฉพาะการปลูกถ่ายไตและดวงตา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

มีผู้ป่วยที่ลงทะเบียนรอรับการบริจาคอวัยวะจำนวน 6,311 ราย แต่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้บริจาคเพียงร้อยละ 9.1 เท่านั้น

ผู้มีจิตศรัทธาต้องการบริจาคอวัยวะและดวงตา ติดต่อได้ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4045, 02 256 4046 ในวันและเวลาราชการ และศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4039, 02 256 4040 ในวันและเวลาราชการและโรงพยาบาลทุกแห่งของประทรวงสาธารณสุข”

กรมควบคุมโรคเผยพบการเสียชีวิตจากจราจรทางถนนกทม.ต่ำลงกว่า 47%

People Unity News : กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองร่วมกับสถาบันนิติเวชศาสตร์ พัฒนาฐานข้อมูล “3 ฐาน พลัส นิติเวช”ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่พบข้อมูลการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร ที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมากถึงร้อยละ 47 ผลจากโครงการ นับเป็นตัวแบบของการจัดการ “ระบบข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรในเขตเมืองใหญ่บนฐานข้อมูลนิติเวช”(Urban forensic based data quality) ที่ครบถ้วน ทันต่อเวลา ลดภาระงาน จัดการได้และยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการป้องกัน ควบคุมโรคในระดับชาติได้อีกด้วย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ ว่า กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศ เป็นเขตเมืองใหญ่ ทุกๆวัน จะเกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิตหรือการบาดเจ็บจากการจราจรทางถนนประมาณ 10 รายต่อวัน และเป็นพื้นที่ที่มีโรงพยาบาลจำนวนมากและหลากหลายสังกัด ยังไม่มีหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลอย่างเป็นทางการและครอบคลุมทุกสังกัด ส่งผลให้ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่นำมาใช้อ้างอิงในขณะนี้ ยังต่ำกว่าข้อมูลที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ไว้

กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม.) ร่วมกับมูลนิธิสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และมูลนิธิบลูมเบิร์ก เพื่อสาธารณประโยชน์ (BIGRS) ได้ขับเคลื่อน การพัฒนาฐานข้อมูล กลไก รูปแบบการเก็บและระบบรายงานข้อมูลผู้เสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งผลของแนวคิดและระบบการจัดการข้อมูลชุดใหม่นี้ (ข้อมูล 3 ฐาน พลัส : ข้อมูลบูรณาการร่วม ตำรวจ มรณบัตร บริษัทกลาง และกลุ่มสถาบันนิติเวชศาสตร์ 7 แห่ง) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2561 ที่เรียกว่า 3 ฐาน พลัส พบว่า ผู้เสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในพื้นที่กทม. จำนวน 4,678 ราย ซึ่งมีมากถึงร้อยละ 47 จากที่ ขาดหายไป หรือค้นพบเพิ่มเติมจำนวนมากถึง 2,202 ราย ที่มาจากสถาบันนิติเวชทั้ง 7 แห่ง ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่พบข้อมูลการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร ที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมากถึงร้อยละ 47 และได้มีการทวนสอบข้อมูลกับกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในทะเบียนมรณะบัตร ส่วนใหญ่ไม่ได้ลงสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน

นพ.ปรีชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อค้นพบที่สำคัญจากโครงการนี้ นับเป็นตัวแบบของการจัดการ “ระบบข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรในเขตเมืองใหญ่บนฐานข้อมูลนิติเวช “(Urban forensic based data quality)ที่ครบถ้วน ทันต่อเวลา ลดภาระงาน จัดการได้และยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการป้องกันควบคุมโรคในระดับชาติได้อีกด้วย

ทั้งนี้ได้สร้างเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย แบบฟอร์มการยืนยันการให้ข้อมูลกับหน่วยงานราชการ digital platformกลาง ระบบการเชื่อมโยงข้อมูล เชื่อมการวิเคราะห์และใช้ข้อมูล ก่อให้เกิดระบบเฝ้าระวัง 3 ฐาน พลัส ที่มีการเชื่อมใช้ข้อมูล การได้มาซึ่งข้อมูลและระบบการทำงานใหม่นี้ ต้องใช้ความพยายามร่วมของสปคม.และ7 สถาบันนิติเวชเป็นอย่างมาก ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการตลอดระยะเวลา 4 เดือน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสู่การนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผน ประเมินนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ แนวทาง การบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างความร่วมมือในการบูรณาการ การดำเนินงานป้องกันการบาดเจ็บและ ลดอัตราการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในพื้นที่เขตเมือง ต่อไป

“กนกวรรณ”มอบบ้านช่วยนักศึกษา กศน. ผู้พิการทางสายตา

People Unity News : “กนกวรรณ” เสมา 3 ชูกศน. ที่พึ่งสำหรับประชาชน มอบบ้านช่วยนักศึกษา กศน. ผู้พิการทางสายตา

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.00 น. ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและมอบนโยบายในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกันนี้ได้ทำพิธีมอบบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์  จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อำเภอเดชอุดม ณ บ้านโคกเจริญ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นายสมเกียรติ  ตันดิลกตระกูล  ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะทำงาน รมช.ศธ. โดยมี ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน. นายณัฐพงษ์  นวลมาก  รองเลขาธิการ กศน. นายอำเภอเดชอุดม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเดช หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

ดร.กนกวรรณ กล่าวตอนหนึ่งในช่วงมอบบ้านให้นักศึกษา กศน. ว่า “ขอชื่นชมผู้บริหาร กศน. ทั้งระดับจังหวัดและอำเภอ ตลอดจนครู กศน.ที่ให้การดูแล ติดตามช่วยเหลือผู้เรียน โดยการจัดกิจกรรมเยี่ยมบ้าน ทำให้ครูและนักศึกษาเกิดความสัมพันธ์ที่ดี และทำให้ครูได้รู้ได้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมต่างๆ และสภาพความเป็นอยู่ทางบ้านของนักศึกษา สามารถนำข้อมูลไปวางแผนพัฒนา ส่งเสริมและแก้ปัญหาของนักศึกษาได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ทำให้ดิฉันรู้สึกปลาบปลื้มยินดีแทนเจ้าของบ้านที่ทุกฝ่าย ได้ให้การสนับสนุนและร่วมมือช่วยเหลือในการก่อสร้างบ้านเป็นอย่างดียิ่ง ได้เสียสละกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ช่วยเหลือการก่อสร้างบ้านจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทำให้บ้านของท่านเป็นบ้านแห่งน้ำใจเอื้ออาทรอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในจิตใจอันดีงามของพี่น้องชาวอำเภอเดชอุดมทุกคน ขอบคุณทุกท่านแทนเจ้าของบ้าน ไว้ ณ โอกาสนี้และขอให้รักษาสิ่งดีงามนี้ไว้ตลอดไป ขอให้เจ้าของบ้านมีความภาคภูมิใจและระลึกอยู่เสมอว่าการที่ท่านได้รับความช่วยเหลือ เพราะท่านประพฤติดี เป็นคนดีที่สังคมยอมรับ ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติแก่ครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ขอให้ท่านได้กระทำความดีต่อไป อย่าได้ย่อท้อ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและคุณความดีที่กระทำไว้ ได้ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดจากภัยอันตรายและดลบันดาลให้ท่านมีความสุข ความเจริญ

สำหรับการสร้างบ้านให้กับนางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อำเภอเดชอุดม นั้น สืบเนื่องจาก นายธฤติ  ประสานสอน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดำเนินการตามนโยบายโดยให้สถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง จัดกิจกรรมออกเยี่ยมบ้านผู้เรียนทุกภาคเรียน เพื่อเป็นการติดตามดูแลช่วยเหลือผู้เรียน ซึ่ง นายอุกฤษฏ์  รินทรามี ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ได้นำนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ครูทุกคนออกเยี่ยมบ้านผู้เรียน เมื่อครูได้ออกเยี่ยมบ้านผู้เรียนจึงได้พบว่า นางสาวอุรักษ์ จงเจริญ นักศึกษาระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นนักศึกษาคนพิการด้านสายตา กลุ่มตำบลเมืองเดช อายุ 64 ปี มีรายได้น้อย ไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่เล้าไก่ของชาวบ้าน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีห้องน้ำ เมื่อฝนตกหลังคารั่ว ฤดูหนาวก็ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม มีรายได้จากเบี้ยผู้สูงอายุและเบี้ยคนพิการ เดือนละ 1,600 บาท เพื่อประทังชีวิต แต่นางสาวอุรักษ์ จงเจริญ เป็นคนดี ประกอบอาชีพด้วยความสุจริตและช่วยเหลืองานส่วนรวมด้วยดีตลอดมา

ด้วยปณิธานและแนวคิดของ ดรกนกวรรณ รมช.ศธ.ที่ว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ” ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม จึงได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองเดช ร่วมระดมทุนจากทุกภาคส่วน เพื่อจัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างบ้าน ในส่วนของแรงงานในการก่อสร้าง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเดชอุดม ได้จัดกิจกรรมจิตอาสาทำความดีจากพี่สู่น้อง โดยนักศึกษา คณะครู กศน.อำเภอเดชอุดม เพื่อนบ้าน ตลอดจนผู้นำท้องถิ่น ได้ช่วยเหลือแรงงานในการก่อสร้าง งานก่ออิฐ งานหลังคา งานฉาบปูน งานเทพื้นและงานก่อสร้างทั่วไป ทุกฝ่ายได้ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำ ทำให้การก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จด้วยความเรียบร้อย  คิดเป็นมูลค่าก่อสร้างประมาณ 90,000 บาท นับเป็นภารกิจหนึ่งที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน อันจะยังประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง

ผู้สูงอายุอุบลฯร้อง”กนกวรรณ”จัดหาห้องเรียนคอมพ์เรียนรู้ข่าวสารยุค4.0

People Unity News : ผู้สูงอายุอุบลฯร้อง”กนกวรรณ”จัดหาห้องเรียนคอมพ์เรียนรู้ข่าวสารยุค4.0 เสมา 3 สั่ง กศน.อำเภอเมืองเร่งดำเนินการ ร้องรับเป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ ( Co – Learning Space)

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน.และคณะ เยี่ยมชมห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี และรับฟังรายงานผลการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนและธนาคารหนังสือ

ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า การเดินทางมาติดตามการดำเนินงานในวันนี้ ทำให้ได้ฟังเสียงสะท้อนจากพื้นที่ในหลายมิติ อะไรที่รัฐบาลเดิมทำดีแล้วก็ขอให้ทำต่อไปและพัฒนาให้ดีขึ้น การรับฟังข้อมูลทุกด้าน ทำให้ได้รับทราบถึงปัญหาในหลายๆส่วนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะในส่วนของการให้บริการ ซึ่งต้องอาศัยงบประมาณสนับสนุนในการบริหารจัดการ และการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ ผ่านการสร้างกิจกรรมต่างๆเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนเข้าสู่สังคมแห่งการอ่าน

วันนี้เข้ามาที่นี่รู้สึกมีความสุข อยากกลับมาอีก อยากให้เด็กๆทุกคนให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือ และขอให้ผู้ปกครองช่วยกันปลูกฝังลูกๆตั้งแต่เด็กให้รักการอ่าน และขอฝากให้ห้องสมุดส่งเสริมการจัดกิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ให้รองรับความต้องการของคนทุกช่วงวัย รวมถึงการเพิ่มจุดบริการอาหารสมองให้มีความหลากหลาย เพื่อเตรียมความพร้อมให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ ( Co – Learning Space) โดยเฉพาะหนังสือและสื่อที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และศาสตร์พระราชา เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้ศึกษาและพัฒนาแนวคิด วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง สามารถคิดเป็น ปฏิบัติเป็น สามารถพึ่งตนเองได้อย่างชาญฉลาด เสริมสร้างการเรียนรู้ทุกช่วงวัย ที่สำคัญในบทบาทของ กศน.ที่จะขาดมิได้ และขอให้พัฒนาให้ดีขึ้น มากขึ้น ก็คือ การแสวงหาเครือข่ายเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งร่วมกัน

“และวันนี้ได้พบกับคุณลุงอ้วน สมาชิกเจ้าประจำของห้องสมุดประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งลุงอ้วนบอกว่าอยากให้ติดแอร์ในห้องสมุด และขอให้ที่นี่มีการจัดห้องเรียนคอมพิวเตอร์สำหรับผู้สูงอายุ จะได้เอาไว้เรียนรู้เทคโนโลยี และข่าวสารต่างๆให้ทันคนรุ่นใหม่บ้าง ซึ่งตนได้รับไว้แล้วจะให้ กศน.อำเภอเมืองอุบลราชธานี ดำเนินการในส่วนนี้ให้ต่อไป เพราะการส่งเสริมการศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นยุคเทคโนโลยี ดิจิตอล ถือเป้าหมายสำคัญที่เราจะจับมือพัฒนาคนทุกช่วงวัยไปด้วยกันอย่างมีความสุข” รมช.ศธ.กล่าว

Verified by ExactMetrics