วันที่ 14 กันยายน 2025

ภูมิใจไทย กดดันรัฐบาลยุติกาสิโนถาวร แฉจีนเตือนแล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กรกฎาคม 2568 ภูมิใจไทย กดดันรัฐบาลยุติกาสิโนถาวร แฉจีนเตือนแล้ว ไทยไม่ฟัง สุดท้ายธุรกิจท่องเที่ยวล่ม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยโพสต์ Facebook ส่วนตัว ในประเด็นการถอนร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจรออกจากการพิจารณาในสภา ระบุว่า

พรรคภูมิใจไทยยินดีและพร้อมสนับสนุนให้มีการถอนญัตติ การนำเสนอร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายกาสิโน ออกจากวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ หากรัฐบาลยืนยันว่าจะยกเลิกนโยบายนี้และไม่นำกลับเข้าสู่การพิจารณาอีกต่อไป

นโยบายสถานบันเทิงครบวงจรเป็นสิ่งที่ถูกอ้างว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ให้ความร่วมมือกับพรรคแกนนำรัฐบาลและเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นที่มีความคิดจะกดดันให้พรรคภูมิใจไทยต้องออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่พร้อมที่จะให้การสนับสนุนร่างกฏหมายนี้เพียงแต่ไม่พูดออกมาเพราะเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้อย่างชัดเจนแล้ว จึงพร้อมใจกันให้พรรคภูมิใจไทยรับบทเป็นผู้ร้ายต่อพรรคแกนนำรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งถึงวันที่มีความพยายามจะพิจารณากฎหมายฉบับนี้ในสมัยประชุมสภาที่แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลแทบทุกพรรคก็ได้แสดงท่าทีที่ไม่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ และถึงขั้นที่มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนต่อสาธารณชน โชคดีที่นายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจชะลอการนำเสนอกฎหมายในวันนั้นและได้ขอให้เลื่อนการพิจารณาออกไปอีกสมัยประชุมหนึ่ง

ถึงแม้ว่าวันนี้รัฐบาลจะมีการเสนอให้ถอนญัตตินี้ออกไปแต่ก็ถือว่ามันสายไปเสียแล้ว การดำเนินนโยบายนี้มาอย่างต่อเนื่องได้สร้างความเสียหายอย่างยับเยินแก่ภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างรุนแรงที่สุดจนไม่อาจเยียวยาได้อีก

รัฐบาลทราบเป็นอย่างดีว่าจีนมีท่าทีไม่เห็นด้วยที่ทางการไทยจะผ่านกฎหมายให้มีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรพร้อมกับอนุญาตให้มีการเล่นการพนันได้และได้มีการพูดตอกย้ำถึงสามครั้งในที่ประชุมระดับผู้นำของทั้งสองประเทศว่าขอให้ยกเลิกนโยบายนี้เสีย มิฉะนั้นรัฐบาลจีนมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการต่างๆที่จะทำให้คนจีนและกิจการต่างๆของจีนปรับท่าทีต่อการท่องเที่ยวรวมไปถึงท่าทีต่อการค้าและการลงทุนกับไทยให้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ นี่คือการหารือในระดับผู้นำประเทศทั้งสองคือ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนและนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งผมได้ร่วมประชุมอยู่ด้วยและได้จดบันทึกการประชุมในประเด็นนี้อย่างละเอียดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้ซึ่งจะต้องมีความเกี่ยวข้องเป็นอันมากต่อการดำเนินนโยบายนี้ แต่ท่าทีของรัฐบาลไทยออกไปในทางเมินเฉยและไม่ให้ความสำคัญต่อคำเตือนจากผู้นำของจีนในวันนั้น และยังดำเนินการผลักดันเร่งรัดให้ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร(กาสิโน) ได้รับการบรรจุอยู่ในวาระแรกของสมัยประชุมสภานี้

นายอนุทินระบุเพิ่มเติมว่า ผลพวงอันเลวร้ายที่ได้เกิดขึ้นมาจนถึงบัดนี้ก็คือ การหายไปของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนกว่าร้อยละ 90 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ประชาชนที่อยู่ในภาคธุรกิจบริการ กิจการโรงแรม ที่พัก การขายสินค้าไทย ของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม ร้านค้าปลีก แผงขายของ ทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน นี่เพียงแค่อยู่ในขั้นตอนการบรรจุญัตติเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายเท่านั้นนะ เขายังส่งสัญญาณเตือนมาขนาดนี้ คงไม่ต้องนึกถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นหากกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาและมีผลบังคับใช้ ซึ่งหากการถอนญัตตินี้ รัฐบาลไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะไม่นำกลับเข้ามาอีกแล้ว ความสูญเสียและความเสียหายของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและภาคส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็จะยังคงดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่มีใครทราบว่าจะฟื้นสภาพขึ้นมาได้อีกเมื่อใด ผู้คนที่อยู่ในภาคส่วนนี้ก็คงจะต้องประสบสภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างสาหัสที่สุดเป็นแน่แท้ คนจีนที่ยังคงอยู่ในเมืองไทยก็คงจะเป็นพวกจีนเทาเสียเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่จะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเรา

นายอนุทินระบุอีกว่า ช่วงนี้รัฐบาลดำเนินการผิดพลาดหลายเรื่องซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่ประมาณค่าความเสียหายไม่ได้ ทั้งเรื่องความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน การเปลี่ยนนโยบายแจกเงินประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และล่าสุดการยืนยันของประธานาธิบดีสหรัฐในเรื่องภาษี ดังนั้นวันนี้ขอรัฐบาลอย่าทำผิดพลาดอีกเลย อย่านึกถึงกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่มแล้วแลกด้วยความเสียหายย่อยยับของพี่น้องประชาชนที่เขาเคยได้รับรายได้เลี้ยงชีพจากนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมหาศาลก่อนที่จะมีคำว่าสถานบันเทิงครบวงจรซึ่งแฝงด้วยบ่อนการพนันหรือคาสิโนมาทำลายชีวิตและธุรกิจของพวกเขาโดยสิ้นเชิง รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความมั่นคง สร้างรายได้ให้กับประชาชนของประเทศ ไม่ใช่ให้กับกลุ่มทุนซึ่งมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของเรา รัฐบาลต้องไม่ผลักดันนโยบายที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศและต่อคู่ค้าที่มีสถานะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอีกด้วย เราควรต้องให้ความสำคัญต่อความเห็นและท่าทีของประเทศที่มีทัศนคติที่ดีต่อเราและยังมีการสานต่อสายสัมพันธ์อันดี จนมีคำกล่าวว่า “จีนและไทยมิใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน” หากการยกเลิกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรจะมีส่วนทำให้นักท่องเที่ยวและการค้าการลงทุนจากจีนพลิกฟื้นกลับขึ้นมาแล้วส่งผลให้ประชาชนของเราได้สร้างรายได้อย่างที่เคยเป็นมา รัฐบาลก็ต้องนึกถึงโอกาสของพวกเขาเป็นลำดับแรก

นายอนุทิน ระบุ แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะอยู่ในซีกฝ่ายค้านในวันนี้ แต่ผมในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ยืนยันเสมอว่า พรรคพร้อมที่จะให้การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล หากนโยบายนั้นเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ขอให้พรรคภูมิใจไทยได้สนับสนุนการถอนญัตติกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรหรือ Entertainment Complex และได้ยินการประกาศยกเลิกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรของรัฐบาลชุดนี้ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเถิดครับ พรรคภูมิใจไทยพร้อมยกมือเห็นด้วย และเชื่อว่าสิ่งที่เป็นมงคลก็จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราในที่สุด

Advertisement

เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สะท้อนพิรุธ 3 ด้าน ชี้การพนันไม่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กรกฎาคม 2568 กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ สว. รายงานผลกระทบสะท้อนพิรุธ 3 ด้าน ชี้การพนันไม่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เสี่ยงเป็นแหล่งบ่มเพาะอาชญากร ด้าน “จรัญ” เบรก เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ส่อขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน ยก 4 มาตรา ค้ำคอ ไม่เป็นนิติธรรม ขาดมาตรการป้องกันการทุจริต ไม่สอดคล้องหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามยุทธศาสตร์ชาติ

ในการประชุมวุฒิสภา มี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ วุฒิสภา โดยมี นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. เป็นประธานกมธ.ฯ

นพ.วีระพันธ์ รายงานข้อสังเกตุและความเห็นเบื้องต้นว่า กมธ.ฯได้ศึกษาตมกรอบอำนาจหน้าที่อย่างรอบด้าน โดยได้พิจารณาข้อมูลจากเอกสารวิชาการงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อมูลที่สืบค้นได้จากสื่อมวลชนต่างๆ และยังได้เชิญบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี นักวิชาการ ภาคประชาชน เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลให้ทันต่อสถานการณ์

นพ.วีระพันธุ์ กล่าวว่า กมธ.ฯมีข้อสังเกตและความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ในเบื้องต้น แบ่งเป็น 3 ด้านสำคัญ แต่ละด้านมีข้อย่อย ที่สะท้อนถึงข้อพิรุธหรือความไม่ชัดเจน และควรติดตามตรวจสอบพิจารณาอย่างต่อเนื่องต่อไป คือ1. ด้านเศรษฐกิจ พบว่า กิจกรรมการพนันไม่ใช่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะเป็นการโอนเงิน อุตสาหกรรมกาสิโนมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะขาลง และถูกแทนที่ด้วยการพนันออนไลน์ ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการพนันออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่ควรทำในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่รัฐบาลจีนมีจุดยืนเห็นว่าการพนันขัดต่อจริยธรรม หากประเทศไทยยืนยันจะมีกาสิโน ก็อาจถูกรัฐบาลจีนกีดกัดไม่ให้พลเมืองเดินทางมาท่องเที่ยว

นพ.วีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ การดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ไม่จำเป็นต้องใช้กาสิโน ประเทศไทยมีศักยภาพหลายด้านที่ส่งเสริม เช่น อุตสาหกรรมการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม หรือ Wellness Industry รวมถึงคาดการณ์รายได้จากผู้เล่นคนไทยสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท นั้นเกินจริง เพราะต้องมีผู้เล่นเป็นจำนวนมาก ขัดกับเงื่อนไขที่คนไทยต้องมีเงินฝากในบัญชี 50 ล้านบาท ติดต่อกัน 6 เดือน

นพ.วีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า 2. ด้านสังคม และด้านอื่นๆ พบว่าการติดการพนันเป็นโรคชนิดหนึ่ง ที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง กาสิโนยังเป็นแหล่งบ่มเพาะอาชญากรรมที่ซับซ้อนขึ้น มีการจ้างงานที่ไร้ทักษะอาชีพ ควรทำประชาพิจารณ์และถามประชามติให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจสุดท้าย ว่าควรมีการเปิดกาสิโนในประเทศไทยหรือไม่ และ 3. ด้านกฎหมาย พบว่าร่างกฎหมายดังกล่าวมีแนวโน้มขัดต่อหลักนิติธรรม หน้าที่ของรัฐ และแนวนโยบายแห่งรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หมวดที่ 5 และ 6

ด้านนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะ กมธ.ฯ อภิปรายในประเด็นผลกระทบด้านกฎหมาย ว่า ไม่มีข้อกังวลเรื่องสถานบันเทิง แต่เมื่อมีการให้เปิดบ่อนกาสิโนที่ชอบด้วยกฎหมาย เปิดกว้างให้ทั้งผู้เล่นชาวไทยและต่างชาติ จะก่อให้เกิดผลกระทบด้านรัฐธรรมนูญ โดยมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ระบุไว้ว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติกฎหมายหรือการกระทำใดๆ จะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ ถือเป็นหลักพื้นฐานของประเทศไทยที่สอดคล้องกับหลักสากล

นายจรัญ กล่าวว่า เมื่อร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงฯ ที่กำหนดให้การเปิดกาสิโนชอบด้วยกฎหมาย จะเกิดปัญหา เนื่องจากมาตรา 3 วรรค 2 ระบุว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐทั้งหมด ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามหลักนิติธรรม คือ ธรรมะของกฎหมาย เป็นการเชิดชูหลักสุจริต เป็นปฏิปักษ์ต่อพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบ รวมถึงมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งระบบ และหลักนิติธรรมยังได้คำนึงเข้าไปคุ้มครองถึงศีลธรรมอันดีของพี่น้องประชาชน

นายจรัญ กล่าวต่อว่า ในหมวดที่ 5 ของรัฐธรรมนูญ ยังได้บัญญัติว่า รัฐต้องมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน มาตรา 58 ระบุว่า รัฐจะกระทำกิจการใด หรืออนุญาตให้บุคคล คณะบุคคลใด ดำเนินการที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน และชุมชน หรือสิ่งแวดล้อม จะต้องมีการทำประเมินเรื่องผลกระทบทางสุขภาพ ก่อนจะดำเนินการได้ เช่นเดียวกับมาตรา 63 บัญญัติว่า รัฐมีหน้าที่ต้องสร้างกลไก มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อมโยงกับช่องโหว่ว่า หากมีสถานบันเทิงที่มีกาสิโนขึ้น จะเปิดช่องให้มีการทุจริตประพฤติมิชอบมากกว่าสถานประกอบธุรกิจอื่นๆ จึงควรต้องมีมาตรการหรือกลไกเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตให้เข้มข้นกว่าการประกอบธุรกิจปกติทั่วไป แต่ในร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ หาได้มีมาตรการเหล่านั้นให้เราเห็นเลย

นายจรัญ กล่าวว่า มาตรา 65 ในหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ บัญญัติไว้ว่า รัฐพึงจะให้มียุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปได้อย่างยั่งยืน โดยใช้กระบวนวิธีการบริหารตามหลักธรรมาภิบาล และในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า การพัฒนาประเทศจะยั่งยืนต้องเชื่อมโยงกับมาตรฐานทางจริยธรรม สำนึกในจริยธรรมอันดี และไม่ปรากฏในประเทศอื่น คือ หลักเศรษฐกิจพอเพียง

“กาสิโนเป็นแหล่งหาเงิน หาทรัพย์สมบัติ ที่ไม่พอเพียง เต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงนานัปประการ ด้วยเหตุของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญไทย 4 มาตราดังกล่าว ผมจึงเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน” นายจรัญ กล่าว

ขณะที่ นพ.วีระพันธุ์ กล่าวสรุปการเสนอรายงานว่า การศึกษาของกมธ.ฯ ยังไม่จบ แค่ศึกษามาถึงตรงนี้ก็พบแล้วว่า ยังมีข้อพิรุธและความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง กมธ.ฯ ยังมีระยะเวลาเหลือ ต้องการทำให้ครบ แม้จะได้ยินว่ารัฐบาลเตรียมจะถอนร่างนี้ออกไป แต่ต้องรอดูครม.วันที่ 8ก.ค.ก่อน เพราะเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ เรายืนยันว่าจะศึกษาต่อไปให้ครบรอบด้าน เพราะในอนาคต แม้จะมีรัฐบาลใดที่นำร่าง พ.ร.บ. ในลักษณะนี้กลับมาอีก คิดว่าการศึกษาของกมธ.ฯ จะเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของไทยในอนาคต

Advertisement

เอาแล้ว!! Interpol ตั้ง “War Room” ในไทยเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กรกฎาคม 2568 ไทยผนึกกำลังตำรวจสากล (Interpol) กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ผอ.ฉก.88)  และ หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ UNODC ได้เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่องค์การตำรวจสากล (Interpol) ณ เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เพื่อบรรยายและแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์อาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสมาชิกขององค์การตำรวจสากล (Interpol) รวมทั้งได้ยื่นหนังสือและหารือกับนาย Cyril GOUT ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายกิจการตำรวจ และ นาย Abdulaziz OBAIDALLA ผู้อำนวยการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และการสนับสนุนส่วนภูมิภาค เพื่อนำเสนอข้อมูลและสถานการณ์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ซึ่งมีฐานที่มั่นในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกัมพูชา ที่ได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจของไทยและนานาชาติ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยรายได้จากอาชญากรรมเหล่านี้มีมูลค่าสูงกว่า 60% ของรายได้ประเทศกัมพูชา (แหล่งที่มา: UNODC) Interpol ตอบรับตั้ง “War Room” ในไทยเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการ

ผลจากการหารือเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง โดยองค์การตำรวจสากล (Interpol) ได้ยืนยันที่จะร่วมมือกับทางการไทยอย่างเต็มศักยภาพ โดยจะสนับสนุนทั้งเครื่องมือ, ข้อมูลเชิงลึก, การวิเคราะห์ และการวางแผนปฏิบัติการ เพื่อเปิดฉากกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ จะมีการส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ Interpol มาประจำการที่ “ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ของประเทศไทย (War Room)” ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการนำองค์กรระหว่างประเทศและประเทศต่างๆ เข้ามาร่วมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทย

พล.ต.อ.ธัชชัย ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า องค์การตำรวจสากล (Interpol) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2466 และมีสมาชิกรวม 196 ประเทศทั่วโลก มีประเทศไทยและกัมพูชาเป็นสมาชิกอยู่ด้วย รวมทั้งประเทศต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ ซึ่งองค์การตำรวจสากล (Interpol) จะทำหน้าที่ในการเป็นศูนย์กลางประสานงานความร่วมมือระหว่างตำรวจนานาชาติ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายในประเทศสมาชิก แลกเปลี่ยนข้อมูลคนร้ายและข้อมูลอาชญากรรม ทำให้การขับเคลื่อนการปราบปรามผ่านกลไกของ องค์การตำรวจสากล (Interpol)  จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ โดยมีประเทศไทยเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนและสามารถปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด

พล.ต.อ.ธัชชัย มั่นใจว่า การจัดตั้ง “ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ของประเทศไทย (War Room)”  ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ และจะเป็นกลไกทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆทั่วโลกที่มีความสัมพันธ์กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกัมพูชา ซึ่งจะทำให้การติดตามจับกุมคนร้ายและการอายัดเงินที่ถูกหลอกลวงสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและทันต่อรูปแบบการกระทำความผิดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยรัฐบาลไทยได้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ภายใน 3 เดือนนับจากนี้ ปัญหาอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ในประเทศไทยต้องลดลงมากกว่า 50% และที่สำคัญคือ ต้องไม่ให้กลุ่มคนร้ายใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเด็ดขาดอีกต่อไป

Advertisement

เตือน 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจ “วัยรุ่น-วัยทำงาน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กรกฎาคม 2568 เตือน 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจในวัยรุ่นและวัยทำงาน แนะ ลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยง ตรวจสุขภาพประจำปี ป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เตือนคนรุ่นใหม่ถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่อาจเป็นสาเหตุสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ โดยโรคหัวใจไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นที่อาจมีพฤติกรรมเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว โดยโรคหัวใจนั้นเกิดได้จากทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม อายุ และเพศ ซึ่งหากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุน้อย ก็จะทำให้บุคคลนั้นมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป และเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายย่อมเสื่อมถอยตามธรรมชาติ ส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยในภาพรวมพบว่าเพศชายมีแนวโน้มเป็นโรคหัวใจมากกว่าเพศหญิง

นายอนุกูล กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ คือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง เช่น อาหารประเภททอด อาหารมันจัด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ รวมถึงของหวานจำพวกเค้กและเบเกอรี่ หากรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่องก็อาจส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดสูง และนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันได้ในที่สุด นอกจากนี้ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องระวัง เนื่องจากกลุ่มนี้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและอันตรายต่อการทำงานของหัวใจ ไม่ว่าจะโรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง ซึ่งล้วนส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หากไม่ดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดได้ รวมถึงความเครียดสะสมจากการทำงาน ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากความเครียดจะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมา

ขณะเดียวกัน การพักผ่อนไม่เพียงพอและการขาดการออกกำลังกาย อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว รวมทั้ง พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้สูบเอง หากอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่มือสอง ก็ยังมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้เช่นเดียวกัน

“โรคหัวใจสามารถป้องกันได้ หากประชาชนมีความตระหนักรู้ในการดูแลสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองเกี่ยวกับโรคหัวใจ เพื่อค้นหาความผิดปกติในระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ การลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยงถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลหัวใจให้แข็งแรง” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

มหาวิทยาลัยไทย 5 แห่ง ติดอันดับ Top 100 ของโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มิถุนายน 2568 สุดยอดมหาวิทยาลัยไทย 5 แห่งติด Top 100 โลกใน THE Impact Rankings 2025 และคว้าอันดับ 1 ของโลก ด้านความเท่าเทียมทางเพศอีกรางวัล

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลชื่นชมพร้อมแสดงความยินดีกับมหาวิทยาลัยของไทยที่ติดอันดับ Top 100 ของโลก จากผลการจัดอันดับของ Times Higher Education (THE) หน่วยงานด้านการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของโลก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) หรือ THE Impact Rankings ประจำปี 2568 โดยในปีนี้มีสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก เข้าร่วมการจัดอันดับทั้งหมด 2,526 แห่ง จาก 130 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก

ซึ่งผลการจัดอันดับปรากฏว่า มี 5 สถาบันอุดมศึกษาไทยอยู่ในอันดับ Top 100 ของโลก แบบคะแนนรวม ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับที่ 44 มหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันดับที่ 64 และมีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อันดับที่ 93

นายอนุกูล กล่าวว่า ความสำเร็จของสถาบันอุดมศึกษาไทยในเวทีโลกครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาไทยทั้งผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาทุกคน ในการร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผลงานที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของสถาบันอุดมศึกษาไทยในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านการศึกษา งานวิจัย การบริการวิชาการ และการบริหารจัดการที่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมบทบาทของอุดมศึกษาไทยในฐานะกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนและแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและประเทศชาติในทุกมิติ

ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดอันดับความยั่งยืนในแต่ละด้าน มีสถาบันอุดมศึกษาไทยที่ติดอันดับ ดังต่อไปนี้ SDGs 1 เรื่อง ขจัดความยากจนทุกรูปแบบในทุกพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อันดับที่ 32 ของโลก SDGs 2 เรื่อง ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการและส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) อันดับที่ 18 ของโลก SDGs 3 เรื่อง สร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 3 ของโลก SDGs 4 เรื่อง สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับที่ 17 ของโลก SDGs 5 เรื่อง บรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเสริมอำนาจให้แก่สตรีและเด็กหญิง ได้แก่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อันดับที่ 1 ของโลก SDGs 6 เรื่อง สร้างหลักประกันว่าจะมีการจัดให้มีน้ำและสุขอนามัยสำหรับทุกคนและมีการบริหารจัดการที่ยั่งยืนคน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อันดับที่ 44 ของโลก SDGs 7 เรื่อง สร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ที่ยั่งยืนในราคาที่ย่อมเยา ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลา

“รัฐบาลพร้อมผลักดันการศึกษาไทยให้มีมาตรฐานเดียวกับระดับโลก เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ร่วมกันขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืนและความเท่าเทียมทางเพศไปพร้อม ๆ กัน ผลการจัดอันดับในครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของประเทศ และเป็นแรงบันดาลใจให้มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

รัฐบาลเตือนเด็กเล็กระวัง! โรคมือเท้าปาก ระบาดมากช่วงฤดูฝน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มิถุนายน 2568 รัฐบาลเตือนเด็กเล็กต้องระวัง! โรคมือเท้าปาก ระบาดมากในช่วงฤดูฝน พบผู้ป่วยแล้ว 2.1 หมื่นราย ย้ำ สธ.พร้อมรับมือ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศเตือนให้ระวังโรคมือเท้าปาก โรคระบาดในเด็กเล็กช่วงหน้าฝน ผู้ปกครองและคุณครู จะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้กับบุตรหลาน โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นช่วงที่ตรงกับต้นฤดูฝน อากาศเริ่มเย็นลง และมีความชื้นสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้เกิดโรคที่มาพร้อมกับฤดูฝนในเด็กเล็กที่มักเสี่ยงต่อโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคติดต่อผ่านการสัมผัส พบผู้ป่วย จำนวน 21,315 ราย แยกเป็นเด็กแรกเกิด – 4 ปี จำนวน 15,753 ราย เด็กอายุ 5 – 9 ปี จำนวน 4,658 ราย เด็กอายุ 10 – 14 ปี จำนวน 544 ราย (ข้อมูลสถานการณ์ระบาด วันที่ 1 มกราคม – 25 มิถุนายน 68)

นายอนุกูล กล่าวว่า โรคมือเท้าปาก เป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ แม้เคยป่วยแล้วก็สามารถป่วยซ้ำได้อีก พบการระบาดมากในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย สัมผัสผื่น ตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแผล รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้หรือภาชนะสิ่งของที่ใช่ร่วมกับผู้ป่วย

อาการที่พบบ่อย มีไข้ต่ำ ๆ มีตุ่มหรือแผลในปาก บริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นในเด็กเล็กสังเกตได้จากการไม่ยอมดูดนม ไม่รับประทานอาหาร มีน้ำลายไหล หรือบ่นเจ็บปาก มีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลำตัว กัน หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีไข้สูง รับประทานอาหารและน้ำได้น้อยมาก ซึมลง ชักเกร็งหายใจหอบเหนื่อย อาเจียนมาก ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ผู้ปกครองควรเฝ้าระวัง ดังนี้ ให้เด็กล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ ทั้งก่อน-หลังรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำและหลังเล่นของเล่น หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่น และพื้นที่ที่เด็กใช้ร่วมกันเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดหน้า

คุณครูควรเฝ้าระวัง ดังนี้ 1) คัดกรองเด็กทุกเช้าอย่างเคร่งครัด หากพบเด็กป่วยให้แยกออกจากเด็กปกติ แจ้งให้ผู้ปกครองรับกลับบ้านเพื่อพาไปพบแพทย์และให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายดี 2)หากมีเด็กป่วย 2 รายขึ้นไป ในห้องเดียวกันภายใน 1 สัปดาห์ ควรปิดห้องเรียนอย่างน้อย 1 วันเพื่อทำความสะอาดและเฝ้าระวังคัดกรองเด็กในห้องเรียนที่มีการระบาดให้เข้มข้นต่ออีก 1 สัปดาห์ 3) ปฏิบัติตามคำแนะนำทั่วไป

“รัฐบาลห่วงใยสุขภาพเด็ก แนะผู้ปกครองควรเสริมภูมิคุ้มกันให้บุตรหลานเพื่อป้องกันโรคระบาด โดยให้เด็กกินอาหารครบ 5 หมู่ รวมถึงผักผลไม้ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และควรนอนหลับอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ ควรฉีดวัคซีน และแนะนำให้บุตรหลานรักษาความสะอาด ใช้ช้อนกลาง ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์หรือล้างมือบ่อย ๆ และสวมใส่หน้ากากอนามัย ถ้าหากพบอาการเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติที่น่าเป็นห่วงจะได้พาไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้ลูกหลานของเราปลอดภัยมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

พบเด็กไทย เป็นโรคอ้วน อันดับ 3 อาเซียน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มิถุนายน 2568 รัฐบาลเตือนผู้ปกครองร่วมกันดูแลสุขภาพเด็กไทย พบเป็นโรคอ้วน อันดับ 3 ของอาเซียน เดินหน้าร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น เพื่อสร้างสังคมสุขภาวะที่เข้มแข็ง ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากข้อมูลสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ประเทศไทยมีเด็กที่เป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศในกลุ่มอาเซียน จากพฤติกรรมบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และการเสียชีวิตอันดับ 1 ของการเสียชีวิตทั้งหมดของคนไทยหรือเกือบ 4 แสนคนต่อปี โดยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คือ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งจะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ค่อยๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรคเบาหวาน โรคมะเร็งต่างๆ โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคอ้วนลงพุง

นอกจากนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการการสื่อสารเรื่องการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ยาและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ยาที่ถูกต้อง ระบุว่า คนไทยป่วยโรคไตเรื้อรังทะลุ 1.13 ล้านคน ทั้งนี้ จากการสำรวจความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในบุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชน ปี 2567 กองบริหารการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ภาพรวมประชาชนมีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพียง 64.9% ส่วนใหญ่มีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลที่เพียงพอระดับดี 43.9% ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัวจากการวินิจฉัยของแพทย์ 52.5% และมีการซื้อยาใช้เอง 50.6%

นายอนุกูล กล่าวว่า ปัญหาการใช้ยาไม่เหมาะสม การใช้ยาเกินความจำเป็นและการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ เช่น อาการแพ้ยาปฏิชีวนะ อาการไม่พึงประสงค์ และปัญหาการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะยากลุ่มต้านการอักเสบ (NSAIDs) ยาชุด และสมุนไพรบางชนิด อาจมีฤทธิ์หรือคุณสมบัติทำให้ไตทำงานได้ลดลง ซึ่งจากรายงานภาวะสังคมไตรมาส 3/2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า คนไทยมีการป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังและมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น จากจำนวนผู้ป่วย 0.98 ล้านคน ในปีงบประมาณ 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 1.13 ล้านคน ในปี 2567

นายอนุกูล กล่าวว่ารัฐบาล โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มุ่งส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาวะและพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ทั้งในเรื่องการใช้ยาอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงโรคไตในกลุ่มวัยทำงาน และการปรับพฤติกรรมบริโภคของเด็กไทยเพื่อป้องกันโรค NCDs ตั้งแต่วัยเยาว์ เดินหน้าร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น สร้างสังคมสุขภาวะที่เข้มแข็ง และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพ โดยใช้แนวคิด “สามเหลี่ยมสมดุล” เสริมสร้างศักยภาพเด็กนักเรียน ให้ตระหนักต่อการสร้างเสริมสุขภาวะ ผ่านเมนูอาหารกลางวันที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ตลอดจนพัฒนาโครงการอาหารปลอดภัยในผู้สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ลดอัตราของโรค NCDs โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 จะมีการขยายผลโครงการไปสู่กลุ่มแกนนำผู้สูงอายุต่อไป

Advertisement

รัฐบาลแนะ 5 วิธีรับมือภาวะเครียดจากการเมืองอย่างสร้างสรรค์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 มิถุนายน 2568 รองโฆษกรัฐบาล แนะ 5 วิธี รับมือภาวะเครียดจากการเมืองอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเผยวิธีดูแลใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ชีวิตดีมีความสุข

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น รัฐบาลขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนร่วมดูแลสุขภาพจิตของตนเองและคนรอบข้าง โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวสารและความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์มีความหลากหลายและรุนแรงมากขึ้น

รัฐบาลโดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศเตือนให้ระวัง “ภาวะเครียดจากสถานการณ์การเมือง” หรือ Political Stress Syndrome (PSS) ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับบุคคลที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด หรือมีความโน้มเอียงไปทางความคิดเห็นใดทางหนึ่งมากเกินไป จนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ภาวะ PSS ไม่ใช่โรคทางจิตเวชโดยตรง แต่เป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่สะท้อนความตึงเครียดที่ผู้คนมีต่อสถานการณ์รอบตัว โดยมีลักษณะสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่

1.อาการทางร่างกาย เช่น ปวดตึงศีรษะ หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น นอนไม่หลับ

2.อาการทางจิตใจ เช่น หงุดหงิด โกรธ เบื่อหน่าย ฟุ้งซ่าน หมกมุ่นกับข่าว

3.พฤติกรรม เช่น การโต้เถียงหรือใช้ถ้อยคำรุนแรงในครอบครัวหรือบนโลกออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลาย

ทั้งนี้ การสื่อสารที่รุนแรงอาจสร้างผลกระทบต่อบุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ส่งสาร ที่อาจพลาดพลั้งใช้ถ้อยคำรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ 2) ผู้รับสาร ที่อาจรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล และ 3) สังคมโดยรวม ที่เสี่ยงต่อการเกิดบรรยากาศของความแตกแยก ความเกลียดชัง และความไม่น่าไว้วางใจ

กรมสุขภาพจิตขอแนะนำ 5 แนวทางดูแลใจ เพื่อลดความเครียดและสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ดังนี้ 1.รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองขณะเสพข่าว 2.จำกัดเวลาในการติดตามข่าวสาร 3.ดำรงชีวิตอย่างสมดุล ไม่ละเลยหน้าที่ 4.เคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง 5.พักผ่อนและผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การนอนหลับ ออกกำลังกาย ทำสมาธิ หรือฝึกหายใจลึกๆ

สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าอาการเครียดส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ขอให้รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ณ สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง

“รัฐบาลขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “สติ” ในการเสพและสื่อสารข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในช่วงที่สังคมมีความอ่อนไหวสูง การรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ พูดจาอย่างสร้างสรรค์ และเคารพความคิดเห็นที่หลากหลาย จะช่วยสร้างสังคมที่น่าอยู่ และร่วมกันประคับประคองประเทศให้ก้าวข้ามทุกความขัดแย้งไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

“จิราพร” สั่ง สคบ. ยกระดับคุ้มครองผู้บริโภคขนานใหญ่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มิถุนายน 2568 “จิราพร” สั่ง สคบ. เดินหน้าแก้ กม. ยกระดับคุ้มครองผู้บริโภคขนานใหญ่ เน้นทันสมัย-ป้องกันผู้ประกอบการเอาเปรียบ

นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่ากฎหมายที่ใช้บังคับในการดูแลคุ้มครองผู้บริโภค เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค 2522 พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 มีข้อจำกัดในการรองรับบริบทเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จึงได้สั่งการให้ สคบ. เร่งการทบทวน และแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีความทันสมัย สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี พร้อมยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมและเข้มแข็งยิ่งขึ้น

โดยเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษาและจัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่..) พ.ศ. … โดยมีหน้าที่วิเคราะห์ปัญหา ศึกษาข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน และยกร่างบทบัญญัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2568 สคบ. ได้จัดโครงการประเมินผลสัมฤทธิ์ชองพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 โดยเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สคบ. ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย สอดรับกับสภาพการค้าขายและกลไกทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

“การปรับปรุงตัวกฎหมายครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคของ สคบ. ครั้งใหญ่ เป็นการปฏิรูปทั้งกฎหมาย ทั้งกลไกการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้การช่วยเหลือผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และมีบทลงโทษผู้กระทำผิดที่เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป” นางสาวจิราพรกล่าว

Advertisement

รัฐบาลเปิดตัว “บริการแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 มิถุนายน 2568 รัฐบาลเดินหน้ายกระดับความปลอดภัยอีกขั้นให้ประชาชน ผ่าน “บริการแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพ” ฟีเจอร์ใหม่บน LINE Official “BAAC Family” เช็ก แจ้ง เตือนภัย สะดวกปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มีความรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้ทิศทางของการทำธุรกิจ และการทำธุรกรรมทางการเงินล้วนแต่จำเป็นต้องใช้งานผ่านบนแพลตฟอร์มดิจิทัลหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพเล็งเห็นช่องว่าง ในการคิดค้นกลยุทธ์วิธีใหม่กลโกงใหม่ ๆ ในการคุกคาม หลอกลวงเหยื่อให้ทำบัญชีธุรกรรม ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์หรืออาชญากรรมทางไซเบอร์ รัฐบาล โดย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กระทรวงการคลัง บูรณาการความร่วมมือกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พัฒนาซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน เปิดตัว “บริการแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพ” ฟีเจอร์ใหม่บน LINE Official “BAAC Family” เพื่อเป็นช่องทางในการช่วยเหลือผู้ใช้บริการของธนาคาร โดยในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการและติดต่อสื่อสารผ่านระบบดิจิทัลของธนาคารเป็นจำนวนถึงมากกว่า 14 ล้านราย

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับความเสียหายจากการปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เผชิญความเสียหายมากถึงปีละ 30,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงในการถูกหลอกผ่านวิธีการส่ง เอสเอ็มเอส หรือ LINE ที่แอบอ้างว่าเป็นหน่วยงานรัฐ เช่น เงินช่วยเหลือ หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และไม่เพียงแค่กลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ในปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพยังได้หาวิธีการในการหลอกลวงเพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่

“ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่รัฐบาลจะมุ่งเน้น และเดินดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มงวด รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจ ทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้เท่าทัน กลโกงและวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ซึ่งผลของการจับกุมและอายัดเส้นทางทางการเงินในคดีอาชญากรรมออนไลน์ ถือเป็นหนึ่งในผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของการทำงานอย่างจริงจังของรัฐบาล ซึ่งสำหรับ LINE Official “BAAC Family” ที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐร่วมบูรณาการสร้างความร่วมมือพัฒนาซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน ถือเป็นหนึ่งในการยกระดับความปลอดภัยในการป้องกันการเข้าถึงเครื่องมือในการเช็ก – แจ้ง – เตือนภัยมิจฉาชีพได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ บัญชีม้าหรือบัญชีปลอม ต้องสงสัย เว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยและอันตราย รวมไปถึงการแจ้งเบาะแสอาชญากรรมให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียลไทม์ แบบ “All in one place” ครบจบในแชตเดียว” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

Verified by ExactMetrics