วันที่ 16 กันยายน 2025

“ชัชชาติ” ชูผลงาน 2 ปี ทำ กทม.เป็นเมืองน่าอยู่-เหนื่อยน้อยลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 พฤษภาคม 2567 ผู้ว่าฯ กทม. แถลงผลงาน 2 ปี ยืนยันทำงานเน้นประสิทธิภาพ โปร่งใส ยกระดับเมืองน่าอยู่ ดันทางเท้าใหม่ แก้น้ำท่วมลดไว เผยลุยต่ออีก 2 ปี เร่งเครื่องเมกะโปรเจกต์เชื่อมเส้นเลือดฝอย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงกับสื่อมวลชน ในโอกาสการครบรอบ 2 ปี ของการทำงาน ภายใต้ชื่องาน “2 ปี ทำงาน ‘เปลี่ยน ปรับ’ ยกระดับเมืองน่าอยู่” และแผนการบริหารใน 2 ปี ต่อไป นายชัชชาติ ระบุว่า เดิมกรุงเทพฯ เป็นเมืองเที่ยวสนุก แต่ประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งทำให้คนเหนื่อย กับการใช้ชีวิตและการเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ได้ทำตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงมีการเปลี่ยนแปลงและปรับหลายๆ ด้าน เพื่อให้การทำงานและการแก้ไขปัญหามีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คนเหนื่อยน้อยลง และมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น

ผู้ว่าฯ กทม. ย้ำว่า 2 ปี ที่ผ่านมาเป็นช่วงของการทำงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกรุงเทพมหานครโดยผ่านนโยบายและโครงการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของเมือง ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจน อาทิ ในมิติ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” คือ Traffy Fondue โดยผู้ว่าฯได้มีการนำเสนอผลงานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ปรับ Traffy Fondue ลดขั้นตอน เพิ่มโปร่งใส โดย 2 ปีที่เปิดให้ประชาชนร้องเรียนความเดือดร้อนผ่าน Traffy Fondue ได้ลงมือแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว 467,743 เรื่อง จากที่มีการร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 592,842 เรื่อง คิดเป็น 78% เฉลี่ยระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมา จากเดิมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เหลือเพียง 2 วัน ขณะนี้ได้เพิ่มความสะดวก ลดขั้นตอนให้แจ้งเรื่องร้องเรียนได้ง่ายขึ้น

ผู้ว่าฯ กทม. ยังเผยให้เห็นถึงทางเท้ามาตรฐานใหม่ คงทน คุ้มค่า คิดถึงทุกคน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับปรุงทางเท้าไป 785 กม. ขณะเดียวกันได้ปรับพื้นทางเข้าออกอาคารให้เรียบเสมอทางเท้า เพื่อผู้พิการ นอกจากนี้ ยังได้จัดระเบียบหาบเร่-แผงลอยให้ประชาชนเข้าถึงอาหารราคาถูกได้โดยไม่เบียดเบียนทางเดินเท้า ทำไปแล้ว 257 จุด จัดพื้นที่ขายชั่วคราวให้ก่อนจะขยับขยายเข้ามาอยู่ใน Hawker Center ที่จะสร้างเสร็จในปีนี้ พร้อมทั้งจัดระเบียบสายสื่อสารที่รกรุงรังในถนนสายต่างๆ รวมระยะทาง 627 กม.

ส่วนอีกปัญหาที่สำคัญ คือ ปัญหาฝนตก น้ำไม่ระบาย เดินทางลำบาก ซึ่งอยู่คู่กับกรุงเทพฯ มายาวนาน นับตั้งแต่มีการถอดบทเรียนและรวบรวมข้อมูลจุดน้ำท่วมทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2565 พบจุดสำคัญที่ต้องแก้ไข 737 จุด ขณะนี้แก้ไขแล้ว 370 จุด และจะแก้ไขได้ทันในปี 67 อีก 190 จุด

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมก่อนที่จะเกิดฝน โดยการล้างท่อระบายน้ำทำไปแล้ว 4,200 กม. ทำความสะอาดคลองเปิดทางน้ำไหล ขุดลอดคลอง 217 กม. ตรวจสอบเครื่องสูบน้ำทุกเครื่องให้พร้อมใช้งาน โครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น ขณะนี้ ปลูกไปแล้ว 935,000 ต้น เตรียมตั้งเป้าเพิ่ม ให้ได้ 2 ล้านต้น

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึง การทำงานด้านสิ่งแวดล้อมในช่วง 2 ปีข้างหน้า เพื่อทำให้กรุงเทพฯ มีอากาศสะอาด นอกเหนือจากดำเนินการตามมาตรการลดฝุ่นที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องแล้ว จากนี้จะมีการเปลี่ยนรถบริการของ กทม. ไม่ว่าจะเป็น รถเก็บขยะ รถบรรทุกน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่ รถบรรทุก 6 ล้อ จากรถที่ใช้พลังงานดีเซลมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทน

นอกจากนี้ยังเร่งรัดการก่อสร้างโรงเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าอ่อนนุช-หนองแขม เพื่อลดการฝังกลบ และลดต้นทุนการจัดการขยะ โดยคาดว่าจะเปิดในปี 69 บริการป้ายรถเมล์ดิจิทัล ด้านการจราจรจะคล่องตัวขึ้น โดยการอัปเกรดสัญญาณไฟจราจรทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็น Adaptive Signaling ปรับสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณจราจร 541 ทางแยก พร้อมทั้งมอนิเตอร์เมือง สังเกต และสั่งการผ่าน Command Center เป็นต้น

Advertisement

 

ครม. รับทราบรายงานการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ ส่งกระทรวง พม.ดำเนินการต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 พฤษภาคม 2567 “รัดเกล้า” เผย ครม. รับทราบรายงานการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า (Accessibility for all in Action : AAA) เพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการให้ได้รับสิทธิในการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า (Accessibility for all in Action : AAA) ในที่ประชุม ครม. (21 พฤษภาคม 2567) ซึ่งที่ประชุมได้มีมติรับทราบรายงานนั้นแล้ว

โดยรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รายงานดังกล่าวพิจารณาปัญหาด้านคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อให้ได้รับสิทธิในการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการขับเคลื่อนการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยขอให้รัฐบาลดำเนินการ 6 ประการ ได้แก่

1.จัดตั้ง คกก. ส่งเสริมและกำกับการเข้าถึงสภาพแวดล้อมได้โดยสะดวก (Accessibility for All Super Board)

2.กำหนดนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า

3.ยึดถือหลักการ “การเข้าถึงโดยสะดวกแบบองค์รวม (Comprehensive and Holistic approach to Accessibility)”

4.กำหนดให้มี “การประเมินผลกระทบการเข้าถึงโดยสะดวก (Accessibility Impact Assessments: AIA)” ในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ

5.ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงดิจิทัลสำหรับคนพิการ (Digital Accessibility) และ

6.ให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาวิจัย และขับเคลื่อนการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคน รวมถึงคนพิการให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ อันเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้คนพิการสามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ มีศักดิ์ศรี เสมอภาคกับทุกคนในสังคม

ทั้งนี้ ครม. มอบหมายให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอของ กมธ. ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป

Advertisment

กรมศุลฯขานรับข้อสั่งการ “เศรษฐา” เพิ่มโทษลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 พฤษภาคม 2567 กรมศุลกากรแก้ไขเพิ่มบทลงโทษปราบผู้กระทำความผิดสินค้าบุหรี่ไฟฟ้า

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของนักเรียนและนักศึกษา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจึงได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการด้านการปราบปราม โดยเร่งให้มีการปราบปรามจับกุมผู้ลักลอบนำเข้า และผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังเด็ดขาด โดยให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และกฎหมายว่าด้วยศุลกากร

เพื่อให้มาตรการด้านปราบปรามผู้กระทำความผิดสัมฤทธิ์ผลตามแนวนโยบายของรัฐบาลกรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 สำหรับผู้กระทำความผิดฐานลักลอบหนีศุลกากรตามมาตรา 242 (กรณีจับกุมผู้กระทำความผิด ณ ด่านพรมแดน) ฐานหลีกเลี่ยงอากรตามมาตรา 243 ฐานหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดตามมาตรา 244 และฐานซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใด ๆ ตามมาตรา 246 กรณีของกลางเป็นบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า จากเดิมที่ให้ผู้กระทำความผิดยกของกลางให้เป็นของแผ่นดินเพียงอย่างเดียว เป็นให้ผู้กระทำความผิดต้องชำระค่าปรับหนึ่งเท่าของราคาของรวมค่าอากร กับอีกหนึ่งเท่าของภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และภาษีอื่น ๆ (ถ้ามี) และให้ยกของกลางให้เป็นของแผ่นดิน เช่นเดียวกับสินค้าอ่อนไหวจำพวกสุรา บุหรี่ กระเทียม หอมหัวใหญ่ หอมแดง และสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นต้น

จากการเพิ่มเติมเกณฑ์และเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า เป็นการปรามผู้กระทำความผิดให้เห็นถึงบทลงโทษที่หนักมากขึ้น และสร้างความเกรงกลัวในการกระทำความผิด เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สังคมไทยปลอดภัยจากภัยของบุหรี่ไฟฟ้า อีกด้วย

Advertisement

เผย ปชช. พึงพอใจร้อยละ 95% “30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบ – รัฐบาลเดินหน้า เฟส 3 นโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” เผยมีหน่วยบริการฯ รองรับ 3,633 แห่ง ใน 45 จังหวัด ด้าน ปชช. พึงพอใจ ร้อยละ 95% เฉลี่ยเวลาบริการ 33 นาที/ราย

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เปิดเผยความคืบหน้า ตามที่รัฐบาลได้เดินหน้านโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เริ่มในระยะที่ 3 จำนวน 33 จังหวัดนั้น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นระบบการเชื่อมต่อข้อมูลการบริการและการเบิกจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท โดยเฉพาะ “หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่” ที่ สปสช. ได้ร่วมกับสภาวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อเพิ่มเติมความสะดวกในการรับบริการ ประกอบด้วย ร้านยา คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น และคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น

นายคารม กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดมีหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ ใน 33 จังหวัดที่ได้สมัครขึ้นทะเบียนร่วมเป็นหน่วยบริการกับ สปสช. แล้วจำนวน 2,325 แห่ง ดังนี้ 1. คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 81 แห่ง 2. คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 84 แห่ง 3. ร้านยา จำนวน 1,452 แห่ง 4. คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น จำนวน 562 แห่ง 5. คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น จำนวน 44 แห่ง 6. คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น จำนวน 74 แห่ง และคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น จำนวน 28 แห่ง โดยประชาชนที่อยู่ใน 33 จังหวัดที่เริ่มดำเนินการในระยะที่ 3 สามารถเข้ารับบริการโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทได้ ไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับภาพรวมการดำเนินการเปิดรับหน่วยบริการนวัตกรรมสาธารณสุขวิถีใหม่ ตั้งแต่ระยะที่ 1 -3 รวมทั้งสิ้น 45 จังหวัดนั้น มีหน่วยบริการที่ร่วมเป็นหน่วยนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่กับ สปสช. ใน 45 จังหวัดนำร่อง 3,633 แห่งแล้ว

สำหรับจำนวนการรับบริการใช้สิทธิบัตรทองที่หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่นั้น จากผลการดำเนินงานในช่วง 2 ระยะที่ผ่านมา พบว่า สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ได้ โดยจากข้อมูลในระบบเบิกจ่ายของ สปสช. ในระยะที่ 1 มีประชาชนเข้ารับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่จำนวน 257,984 คน เป็นจำนวน 387,932 ครั้ง ส่วนในระยะที่ 2 มีประชาชนเข้ารับบริการที่หน่วยนวัตกรรมฯ จำนวน 142,936 คน เป็นจำนวน 196,913 ครั้ง และเมื่อรวมจำนวนการรับบริการทั้ง 2 ระยะ มีประชาชนเข้ารับบริการจำนวน 400,920 คน เป็นจำนวน 584,845 ครั้ง หรือคิดเป็นร้อยละ 22.9 จากจำนวนประชาชนที่รับบริการทั้งที่หน่วยบริการภาครัฐและเอกชนทั้งหมด จำนวน 1,857,111 คน เป็นจำนวน 2,553,316 ครั้ง ในส่วนของหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่นั้น ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย 8.84 จาก 10 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 95 ขณะที่ระยะเวลาของการเข้ารับบริการ ทั้งการเดินทางไปกลับและรับบริการจะอยู่ที่ 33 นาที/ราย

Advertisement

เผยเงื่อนไข คุณสมบัติ ครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุ มีสิทธิได้รับเงินเดือนละ 3,000 บาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 เมษายน 2567 “คารม” เผยเงื่อนไข คุณสมบัติ ครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุ มีสิทธิได้รับเงินเดือนละ 3,000 บาท เริ่มยื่นเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการประกาศระเบียบกรมกิจการผู้สูงอายุ ว่าด้วยการคุ้มครองผู้สูงอายุแบบครอบครัวอุปถัมป์ พ.ศ. 2566 ด้วยกรมกิจการผู้สูงอายุ มีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนผู้สูงอายุในด้านต่างๆ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ และการสร้างความเสมอภาคและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้ง เพื่อตอบสนองผู้สูงอายุส่วนใหญ่ที่มีความต้องการอยู่กับครอบครัว ชุมชนและสังคม จึงมีการสนับสนุนงบประมาณให้ลูกหลานที่ต้องลาออกมาดูแล เครือญาติ หรือคนในชุมชนที่ดูแลผู้สูงอายุเปราะบางแล้วไม่มีใครดูแล เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในศูนย์พัฒนาการและสวัสดิการสังคม

นายคารม กล่าวว่า “ครอบครัวอุปถัมภ์” หมายความว่า บุคคลหรือครอบครัวที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี ให้เป็นครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน และไม่มีผู้ดูแลหรือ มีแต่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ การคุ้มครองตามระเบียบนี้ ผู้สูงอายุต้องยินยอมเป็นหนังสือตามแบบที่อธิบดีกำหนด กรณีผู้สูงอายุไม่สามารถให้การยินยอมได้ ให้นักสังคมสงเคราะห์เป็นผู้รวบรวมข้อเท็จจริงและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการขอคุ้มครองดูแลผู้สูงอายุให้ขอได้เพียงคราวละหนึ่งคน หากจะรับมากกว่านั้น ให้ระบุเหตุผล และความจำเป็นที่จะต้องรับผู้สูงอายุไว้คุ้มครองดูแลมากกว่าหนึ่งคน

สำหรับผู้ที่มีความประสงค์ขอเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ มีสัญชาติไทย มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ หรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งมีความพร้อมและศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุ อาจได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการ เป็นรายๆ ไป มีที่อยู่อาศัยที่เป็นหลักแหล่ง และอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับผู้สูงอายุ ได้รับความยินยอมจากสมาชิกทุกคนในครอบครัวว่ามีความพร้อมในการคุ้มครองผู้สูงอายุ ไม่เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำผิดอาญา และอยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวนหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล

การขอเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ให้ยื่นความประสงค์ตามแบบที่อธิบดีกำหนด ดังนี้ ในท้องที่กรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขอได้ที่กรมกิจการผู้สูงอายุ หรือศูนย์พัฒนาการ จัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค หรือหน่วยงานที่อธิบดีประกาศกำหนด ในจังหวัดอื่น ให้ยื่นคำขอได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด หรือศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุที่อยู่ในจังหวัดนั้น

”กรมกิจการผู้สูงอายุให้ความช่วยเหลือคุ้มครองดูแลผู้สูงอายุแก่ครอบครัวอุปถัมภ์ ครอบครัวละ 2,000 บาท ต่อผู้สูงอายุหนึ่งคนต่อเดือน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นและเหมาะสม อาจพิจารณาให้เงินช่วยเหลือได้ไม่เกินครอบครัวละ 3,000 บาท ต่อผู้สูงอายุหนึ่งคนต่อเดือน ทั้งนี้ โครงการครอบครัวอุปถัมภ์จะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2567 “นายคารม ระบุ

Advertisement

รัฐบาลปราบแก๊งอาชญากรรม Hybrid scam สำเร็จ ยึดเงินสด ทรัพย์สิน กว่า 250 ล้านบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 เมษายน 2567 รัฐบาลเอาจริงปราบแก๊งมิจฉาชีพ ส่งผลปราบแก๊งอาชญากรรม Hybrid scam สำเร็จ ยึดเงินสด และทรัพย์สินได้กว่า 250 ล้านบาท

วันนี้ (18 เมษายน 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยความจริงจัง ตั้งใจที่จะกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ของรัฐบาล ทำให้มีผลงานการจับกุมอย่างต่อเนื่อง โดยผลความสำเร็จจากการจับกุมแก๊งอาชญากรรม Hybrid scam ที่ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลสามารถยึดเงินสดอย่างน้อย 80 ล้านบาท ซึ่งรวมแล้วยึดทรัพย์สินไว้ได้ตอนนี้กว่า 250 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลงานครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือกันของ ตำรวจไซเบอร์สนธิกำลังกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เปิดปฏิบัติการ The Purge จับกุมแก๊งคนร้ายกลุ่ม Hybrid scam หลอกลวงชักชวนผู้เสียหายให้ลงทุนสกุลเงินดิจิตอลผ่านทางแพลตฟอร์ม ซึ่งคนร้ายกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับหลายคดีที่เคยเกิดก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี  2564-2565 เขตพื้นที่ชลบุรี ดินแดง ศาลาแดง โดยผู้เสียหายถูกหลอกลวงด้วยลักษณะ Hybrid scam ซึ่งหมายความว่าหลายอย่างรวมกัน ทั้งนี้ กลุ่มอาชญากรรมนี้ถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกงประชาชนแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร ซึ่งหาก ปปง. ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเงินจำนวนนี้จะถูกนำมาเฉลี่ยแล้วคืนให้กับผู้เสียหายต่อไป

“รัฐบาลมุ่งมั่นดำเนินการ เพื่อดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชน และทรัพย์สินของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยได้ดำเนินการอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกันและการปราบปรามกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพที่อาจสร้างความสับสน หลอกลวงประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดำเนินการต่อไปพร้อมกับการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพ” นายชัย กล่าว

Advertisement

ทบ.ปลื้มตรวจเลือกทหารปี 67 มีผู้สมัครใจ 38,160 คน มากกว่าปี 66 กว่า 2,500 คน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 เมษายน 2567 ทบ.ปลื้ม ตรวจเลือกทหารปี 67 มีผู้สมัครใจระบบออนไลน์ และร้องขอวันตรวจเลือกรวม 38,160 คน เผยมากกว่าปี 66 กว่า 2,500 คน

ร.อ.หญิง จุฑาพัชร เปรมบัญญัติ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบกเปิดเผยว่า กองทัพบกดำเนินการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2567 ตั้งแต่ 1-12 เม.ย. (เว้น 6 เม.ย.) ปัจจุบันการตรวจเลือกฯ ได้เสร็จสิ้นแล้ว

โดยมีผู้สมัครใจร้องขอเข้าเป็นทหารกองประจำการในวันตรวจเลือกฯ 24,025 คน มีพื้นที่ที่มีคนสมัครใจเต็มจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี, อ.นาทวี จ.สงขลา, อ.บางเลน จ.นครปฐม, อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และเขตบางแค กรุงเทพฯ เมื่อรวมกับยอดผู้สมัครโดยวิธีร้องขอ (กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์ 14,135 คน แล้วจะได้จำนวนยอดผู้ที่สมัครใจเป็นทหารในปี 2567 ทั้งสิ้น 38,160 คน

เมื่อเทียบกับยอดสมัครใจในปี 2566 ที่มีจำนวน 35,617 คน (โดยแบ่งเป็นผู้สมัครใจร้องขอฯ ในวันตรวจเลือกฯ 25,461 คน และผู้สมัครใจด้วยระบบออนไลน์ 10,156 คน) ทำให้ในปีนี้มีจำนวนยอดผู้สมัครใจเป็นทหารกองประจำการสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 2,543 คน นับเป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของกองทัพที่มีผู้ให้ความสนใจสมัครใจเข้าเป็นทหารในปริมาณที่สูงขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมในการผลักดันให้เกิดการสมัครใจเป็นทหารกองประจำการให้มากที่สุด หรือจนถึงขั้นเป็นระบบสมัครใจโดยสมบูรณ์ในอนาคต

การตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการที่ผ่านมา กองทัพบกขอขอบคุณชายไทยที่มีความรับผิดชอบให้ความร่วมมือเข้ารับการตรวจเลือกฯ และชายไทยที่สมัครใจเป็นทหารในวันตรวจเลือกฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่ให้การสนับสนุนในทุกพื้นที่ ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการตาม กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง อย่างถูกต้อง โปร่งใส ทำให้การตรวจเลือกฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้กรมการทหารช่างปรับปรุงโรงนอนหน่วยฝึกทหารใหม่ 366 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้มีระบบระบายความร้อนและเพิ่มการหมุนเวียนของอากาศ ด้วยการซ่อมและติดตั้งมุ้งลวดใหม่ ติดตั้งพัดลมขนาด 24 นิ้ว และติดตั้งสปริงเกอร์หลังคาเพื่อรดน้ำไล่ความร้อนออกจากเพดาน ทำให้ห้องนอนเย็น ซึ่งจะเสร็จพร้อมรับทหารใหม่ที่จะเข้าประจำการใน 1 พ.ค.67 เพื่อจะได้มีโรงนอนที่สะดวกสบาย น่าอยู่ และปลอดภัยรอต้อนรับทหารกองประจำการทุกนาย

Advertisement

แจกประกันภัยอุบัติเหตุฟรีแก่สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ช่วงสงกรานต์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 เมษายน 2567 “สมศักดิ์” แจ้งข่าวดี “กองทุนหมู่บ้าน” จับมือ “ทิพยประกันภัย” แจกประกันภัยอุบัติเหตุฟรี ช่วงสงกรานต์ ให้กับสมาชิกกองทุนฯ คุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท นาน 30 วัน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ จะเดินทางกลับภูมิลำเนา โดยจะมีการเดินทางกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากขึ้นตามไปด้วย โดยจากข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน ช่วงวันที่ 11-17 เมษายน 2566 พบว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 2,203 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 264 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 2,208 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีทั้งผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงให้กับพี่น้องประชาชน สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ  จึงได้จัดโครงการประกันภัยฟรี ให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯทั่วประเทศ

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กองทุนหมู่บ้านฯ ได้ร่วมมือกับ ทิพยประกันภัย ทำประกันภัยอุบัติเหตุฟรี ให้แก่สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ที่มีอายุ 20-70 ปี ช่วงสงกรานต์  โดยคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท ซึ่งมีระยะเวลาคุ้มครองนานถึง 30 วัน โดยสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ที่คิวอาร์โค๊ด ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 15 เมษายน นี้ โดยระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน จะเริ่มนับจากวันที่ลงทะเบียนรับสิทธิ ซึ่งการจัดทำโครงการประกันภัยฟรี ของกองทุนหมู่บ้านฯ กับ ทิพยประกันภัย เป็นครั้งที่ 2 แล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนสังคม

“โครงการประกันภัยอุบัติเหตุฟรี ถือเป็นโครงการที่ดี และมีประโยชน์กับประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับพี่น้องประชาชนได้ หากเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งจากการเดินทาง หรือ อุบัติเหตุระหว่างการเล่นน้ำสงกรานต์ ก็จะมีประกันภัยนี้ คอยช่วยดูแลพี่น้องประชาชนได้ เพราะต้องยอมรับว่า บางคนไม่มีประกันภัย เวลาเกิดอุบัติเหตุ ก็จะเดือดร้อนในเรื่องค่ารักษา หรือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ประกันภัยฟรีให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ที่มีทั่วประเทศกว่า 13 ล้านคน จะเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ในยามจำเป็น ผมจึงขอเชิญชวนสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ จะได้เดินทางและเล่นน้ำสงกรานต์กันได้อย่างอุ่นใจ และเต็มไปด้วยความสุข” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

จับกุม “บุหรี่ไฟฟ้า” ใกล้สถานศึกษา กว่า 12,000 ชิ้น เผยทำแพ็คเกจเป็นขนม ปากกา กล่องนม ตบตา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 เมษายน 2567 ทำเนียบรัฐบาล ”พวงเพ็ชร“ แถลงจับกุมผู้ลักลอบขาย “บุหรี่ไฟฟ้า” ใกล้สถานศึกษา โซน กทม. ยึดของกลางกว่า 12,000 ชิ้น มูลค่า 3.6 ล้านบาท หวั่นทำลายสมองเด็ก-เยาวชน

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผู้กำกับ สน.วังทองหลาง แถลงข่าว ผลการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าใกล้สถานศึกษา หลังเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้สนธิกำลังลงพื้นที่ 3 จุด จำนวน 5 ร้านค้า ประกอบด้วยบริเวณซอยรัชดาภิเษก 36 (ซอยเสือใหญ่) เขตจตุจักร จำนวน 3 ร้าน, ซอยลาดพร้าว 122 (ซอยมหาดไทย) เขตวังทองกลาง จำนวน 1 ร้าน และซอยรามคำแหง 65 ถนนศรีวรา เขตวังทองหลาง จำนวน 1 ร้าน ยึดของกลางได้ 20 กระสอบ กว่า 12,000 ชิ้น เป็นเงินกว่า 3.6 ล้านบาท

สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันปราบปราม จับกุมผู้ลักลอบนำเข้าและจำหน่าย “บุหรี่ไฟฟ้า” อย่างจริงจังและเด็ดขาด โดยเฉพาะร้านที่อยู่ใกล้สถานศึกษา ให้มีการออกมาตรการป้องกันและรณรงค์โทษของบุหรี่ไฟฟ้า สร้างความตระหนักรู้ รวมถึงให้มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ทั้งที่สถานศึกษาและการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน

นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า แพ็คเกจของบุหรี่ไฟฟ้าที่ขายใกล้สถานศึกษา เป็นแพ็คเกจที่ออกแบบมาล่อเด็กและเยาวชน เช่นออกแบบมาในรูปแบบที่เป็นเหมือนขนม ปากกา หรือกล่องนม ทำให้อาจารย์ในสถานศึกษา ไม่ทราบ อีกทั้งสารนิโคติน ในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารอันตรายทำลายสมอง ในการพัฒนาของวัยรุ่นไปจนถึงอายุ 25 ปี การรับนิโคตินในช่วงวัยรุ่นจะส่งผลต่อการเรียนรู้ อารมณ์ และจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดยาชนิดอื่น

“เราต้องเร่งให้ความรู้เด็กและเยาวชน รวมถึงผู้ปกครอง ให้เฝ้าระวังการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า และรู้ถึงโทษที่ส่งผลต่อร่างกายและพัฒนาการของเด็ก ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับคณะผู้บริหารสถานศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 437 แห่ง ให้เร่งสร้างความตระหนักรู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ขอความร่วมมือผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิดเด็กและเยาวชน คอยสังเกตุและตรวจสอบสิ่งที่คาดว่าจะเป็นบุหรี่ไฟฟ้า และคอยตักเตือนและให้ความรู้ ป้องกันไม่ให้เด็กตกเป็นเหยื่อของมหันตภัยร้ายที่จะทำลายอนาคตของชาติ” นางพวงเพ็ชร กล่าว

ด้าน นายธสรณ์อัฑฒ์ ระบุว่า การจับกุม สคบ.ใช้กฎหมายตามประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 หากฝ่าฝืนต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท อีกทั้งยังผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2546 คือ ห้ามนำเข้า หากฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับอีก 4 เท่าของมูลค่า โดยหลังจากนี้ของกลางทั้งหมด จะส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี และหลังมีคำพิพากษาจากศาล ก็จะมีมาตรการในการทำลายสินค้าดังกล่าว เพื่อไม่ให้หมุนเวียนกลับเข้ามาอยู่ในระบบ และทำร้ายเด็กและเยาวชน โดยจะให้สื่อมวลชนเป็นสักขีพยานในการทำลายด้วย

ทั้งนี้ผู้ต้องหาที่จับได้ ล้วนเป็นผู้รับจ้างขาย ซึ่งเป็นคนประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะต้องมีการขยายผลสืบสวน และสอบสวนเพื่อจับกลุ่มผู้ว่าจ้างต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการตรวจสอบของกลางที่ยึดมาได้นั้น นางพวงเพ็ชร ได้หยิบบุหรี่ไฟฟ้าที่แพ็คเกจมีสีส้ม และมีโลโก้ลักษณะคล้ายโลโก้ของพรรคก้าวไกล จึงอยากให้เจ้าของพรรคได้ตรวจสอบและดำเนินการในการนำโลโก้ของพรรคมาใช้ ในบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าผิดกฏหมาย

Advertisement

เดือนเดียว ศุลกากรจับบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้าลักลอบนำเข้ากว่า 34.11 ล้านบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 เมษายน 2567 ภายในเดือนเดียว กรมศุลกากรจับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าลักลอบนำเข้าราชอาณาจักร มูลค่ากว่า 34.11 ล้านบาท

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวดเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน นั้น นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร จึงกำชับให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้มงวดกวดขันในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิด เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและเพื่อปกป้องประชาชนและเยาวชนที่อาจได้รับสารพิษจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

โดยให้เจ้าหน้าที่ตามด่านศุลกากรในพื้นที่ต่าง ๆ ตรวจเข้มกับสินค้าทุกประเภทที่อาจมีการซุกซ่อนบุหรี่ หรือบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในราชอาณาจักร รวมถึงบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องที่เพื่อสืบสวนหาข่าวการลักลอบนำเข้า นอกจากนี้ ยังให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรลงพื้นที่ตรวจเข้มร้านค้าที่มีการข่าวแจ้งว่าอาจมีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ที่ไม่เสียภาษีและบุหรี่ไฟฟ้าอีกด้วย

โดยตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567  – 5 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา กรมศุลกากรจับกุมผู้กระทำความผิดในการลักลอบนำบุหรี่เข้ามาในราชอาณาจักร จำนวน 176 ราย ปริมาณ 3,064,810 มวน มูลค่า 28,912,821 บาท และบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 35 ราย ปริมาณ 37,244 ชิ้น มูลค่า 5,193,590 บาท รวมทั้งสิ้น 211 ราย มูลค่า 34.11 ล้านบาท ซึ่งการกระทำดังกล่าว ถือเป็นความผิดตามมาตรา 242 และมาตรา 246 ประกอบมาตรา 166 และมาตรา 167  แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

Advertisement

Verified by ExactMetrics