วันที่ 30 กรกฎาคม 2025

เตือน 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจ “วัยรุ่น-วัยทำงาน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กรกฎาคม 2568 เตือน 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจในวัยรุ่นและวัยทำงาน แนะ ลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยง ตรวจสุขภาพประจำปี ป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เตือนคนรุ่นใหม่ถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่อาจเป็นสาเหตุสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ โดยโรคหัวใจไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นที่อาจมีพฤติกรรมเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว โดยโรคหัวใจนั้นเกิดได้จากทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม อายุ และเพศ ซึ่งหากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุน้อย ก็จะทำให้บุคคลนั้นมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป และเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายย่อมเสื่อมถอยตามธรรมชาติ ส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยในภาพรวมพบว่าเพศชายมีแนวโน้มเป็นโรคหัวใจมากกว่าเพศหญิง

นายอนุกูล กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ คือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง เช่น อาหารประเภททอด อาหารมันจัด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ รวมถึงของหวานจำพวกเค้กและเบเกอรี่ หากรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่องก็อาจส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดสูง และนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันได้ในที่สุด นอกจากนี้ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องระวัง เนื่องจากกลุ่มนี้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและอันตรายต่อการทำงานของหัวใจ ไม่ว่าจะโรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง ซึ่งล้วนส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หากไม่ดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดได้ รวมถึงความเครียดสะสมจากการทำงาน ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากความเครียดจะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมา

ขณะเดียวกัน การพักผ่อนไม่เพียงพอและการขาดการออกกำลังกาย อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว รวมทั้ง พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้สูบเอง หากอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่มือสอง ก็ยังมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้เช่นเดียวกัน

“โรคหัวใจสามารถป้องกันได้ หากประชาชนมีความตระหนักรู้ในการดูแลสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองเกี่ยวกับโรคหัวใจ เพื่อค้นหาความผิดปกติในระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ การลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยงถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลหัวใจให้แข็งแรง” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

มหาวิทยาลัยไทย 5 แห่ง ติดอันดับ Top 100 ของโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มิถุนายน 2568 สุดยอดมหาวิทยาลัยไทย 5 แห่งติด Top 100 โลกใน THE Impact Rankings 2025 และคว้าอันดับ 1 ของโลก ด้านความเท่าเทียมทางเพศอีกรางวัล

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลชื่นชมพร้อมแสดงความยินดีกับมหาวิทยาลัยของไทยที่ติดอันดับ Top 100 ของโลก จากผลการจัดอันดับของ Times Higher Education (THE) หน่วยงานด้านการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของโลก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) หรือ THE Impact Rankings ประจำปี 2568 โดยในปีนี้มีสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก เข้าร่วมการจัดอันดับทั้งหมด 2,526 แห่ง จาก 130 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก

ซึ่งผลการจัดอันดับปรากฏว่า มี 5 สถาบันอุดมศึกษาไทยอยู่ในอันดับ Top 100 ของโลก แบบคะแนนรวม ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับที่ 44 มหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันดับที่ 64 และมีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อันดับที่ 93

นายอนุกูล กล่าวว่า ความสำเร็จของสถาบันอุดมศึกษาไทยในเวทีโลกครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาไทยทั้งผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาทุกคน ในการร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผลงานที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของสถาบันอุดมศึกษาไทยในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านการศึกษา งานวิจัย การบริการวิชาการ และการบริหารจัดการที่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมบทบาทของอุดมศึกษาไทยในฐานะกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนและแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและประเทศชาติในทุกมิติ

ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดอันดับความยั่งยืนในแต่ละด้าน มีสถาบันอุดมศึกษาไทยที่ติดอันดับ ดังต่อไปนี้ SDGs 1 เรื่อง ขจัดความยากจนทุกรูปแบบในทุกพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อันดับที่ 32 ของโลก SDGs 2 เรื่อง ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการและส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) อันดับที่ 18 ของโลก SDGs 3 เรื่อง สร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 3 ของโลก SDGs 4 เรื่อง สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับที่ 17 ของโลก SDGs 5 เรื่อง บรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเสริมอำนาจให้แก่สตรีและเด็กหญิง ได้แก่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อันดับที่ 1 ของโลก SDGs 6 เรื่อง สร้างหลักประกันว่าจะมีการจัดให้มีน้ำและสุขอนามัยสำหรับทุกคนและมีการบริหารจัดการที่ยั่งยืนคน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อันดับที่ 44 ของโลก SDGs 7 เรื่อง สร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ที่ยั่งยืนในราคาที่ย่อมเยา ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลา

“รัฐบาลพร้อมผลักดันการศึกษาไทยให้มีมาตรฐานเดียวกับระดับโลก เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ร่วมกันขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืนและความเท่าเทียมทางเพศไปพร้อม ๆ กัน ผลการจัดอันดับในครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของประเทศ และเป็นแรงบันดาลใจให้มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

รัฐบาลเตือนเด็กเล็กระวัง! โรคมือเท้าปาก ระบาดมากช่วงฤดูฝน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มิถุนายน 2568 รัฐบาลเตือนเด็กเล็กต้องระวัง! โรคมือเท้าปาก ระบาดมากในช่วงฤดูฝน พบผู้ป่วยแล้ว 2.1 หมื่นราย ย้ำ สธ.พร้อมรับมือ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศเตือนให้ระวังโรคมือเท้าปาก โรคระบาดในเด็กเล็กช่วงหน้าฝน ผู้ปกครองและคุณครู จะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้กับบุตรหลาน โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นช่วงที่ตรงกับต้นฤดูฝน อากาศเริ่มเย็นลง และมีความชื้นสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้เกิดโรคที่มาพร้อมกับฤดูฝนในเด็กเล็กที่มักเสี่ยงต่อโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคติดต่อผ่านการสัมผัส พบผู้ป่วย จำนวน 21,315 ราย แยกเป็นเด็กแรกเกิด – 4 ปี จำนวน 15,753 ราย เด็กอายุ 5 – 9 ปี จำนวน 4,658 ราย เด็กอายุ 10 – 14 ปี จำนวน 544 ราย (ข้อมูลสถานการณ์ระบาด วันที่ 1 มกราคม – 25 มิถุนายน 68)

นายอนุกูล กล่าวว่า โรคมือเท้าปาก เป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ แม้เคยป่วยแล้วก็สามารถป่วยซ้ำได้อีก พบการระบาดมากในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย สัมผัสผื่น ตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแผล รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้หรือภาชนะสิ่งของที่ใช่ร่วมกับผู้ป่วย

อาการที่พบบ่อย มีไข้ต่ำ ๆ มีตุ่มหรือแผลในปาก บริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้นในเด็กเล็กสังเกตได้จากการไม่ยอมดูดนม ไม่รับประทานอาหาร มีน้ำลายไหล หรือบ่นเจ็บปาก มีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลำตัว กัน หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีไข้สูง รับประทานอาหารและน้ำได้น้อยมาก ซึมลง ชักเกร็งหายใจหอบเหนื่อย อาเจียนมาก ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ผู้ปกครองควรเฝ้าระวัง ดังนี้ ให้เด็กล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ ทั้งก่อน-หลังรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำและหลังเล่นของเล่น หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่น และพื้นที่ที่เด็กใช้ร่วมกันเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดหน้า

คุณครูควรเฝ้าระวัง ดังนี้ 1) คัดกรองเด็กทุกเช้าอย่างเคร่งครัด หากพบเด็กป่วยให้แยกออกจากเด็กปกติ แจ้งให้ผู้ปกครองรับกลับบ้านเพื่อพาไปพบแพทย์และให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายดี 2)หากมีเด็กป่วย 2 รายขึ้นไป ในห้องเดียวกันภายใน 1 สัปดาห์ ควรปิดห้องเรียนอย่างน้อย 1 วันเพื่อทำความสะอาดและเฝ้าระวังคัดกรองเด็กในห้องเรียนที่มีการระบาดให้เข้มข้นต่ออีก 1 สัปดาห์ 3) ปฏิบัติตามคำแนะนำทั่วไป

“รัฐบาลห่วงใยสุขภาพเด็ก แนะผู้ปกครองควรเสริมภูมิคุ้มกันให้บุตรหลานเพื่อป้องกันโรคระบาด โดยให้เด็กกินอาหารครบ 5 หมู่ รวมถึงผักผลไม้ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และควรนอนหลับอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ ควรฉีดวัคซีน และแนะนำให้บุตรหลานรักษาความสะอาด ใช้ช้อนกลาง ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์หรือล้างมือบ่อย ๆ และสวมใส่หน้ากากอนามัย ถ้าหากพบอาการเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติที่น่าเป็นห่วงจะได้พาไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้ลูกหลานของเราปลอดภัยมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

พบเด็กไทย เป็นโรคอ้วน อันดับ 3 อาเซียน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มิถุนายน 2568 รัฐบาลเตือนผู้ปกครองร่วมกันดูแลสุขภาพเด็กไทย พบเป็นโรคอ้วน อันดับ 3 ของอาเซียน เดินหน้าร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น เพื่อสร้างสังคมสุขภาวะที่เข้มแข็ง ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากข้อมูลสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ประเทศไทยมีเด็กที่เป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศในกลุ่มอาเซียน จากพฤติกรรมบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และการเสียชีวิตอันดับ 1 ของการเสียชีวิตทั้งหมดของคนไทยหรือเกือบ 4 แสนคนต่อปี โดยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คือ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งจะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ค่อยๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรคเบาหวาน โรคมะเร็งต่างๆ โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคอ้วนลงพุง

นอกจากนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการการสื่อสารเรื่องการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ยาและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ยาที่ถูกต้อง ระบุว่า คนไทยป่วยโรคไตเรื้อรังทะลุ 1.13 ล้านคน ทั้งนี้ จากการสำรวจความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในบุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชน ปี 2567 กองบริหารการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ภาพรวมประชาชนมีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพียง 64.9% ส่วนใหญ่มีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลที่เพียงพอระดับดี 43.9% ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัวจากการวินิจฉัยของแพทย์ 52.5% และมีการซื้อยาใช้เอง 50.6%

นายอนุกูล กล่าวว่า ปัญหาการใช้ยาไม่เหมาะสม การใช้ยาเกินความจำเป็นและการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ เช่น อาการแพ้ยาปฏิชีวนะ อาการไม่พึงประสงค์ และปัญหาการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะยากลุ่มต้านการอักเสบ (NSAIDs) ยาชุด และสมุนไพรบางชนิด อาจมีฤทธิ์หรือคุณสมบัติทำให้ไตทำงานได้ลดลง ซึ่งจากรายงานภาวะสังคมไตรมาส 3/2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า คนไทยมีการป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังและมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น จากจำนวนผู้ป่วย 0.98 ล้านคน ในปีงบประมาณ 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 1.13 ล้านคน ในปี 2567

นายอนุกูล กล่าวว่ารัฐบาล โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มุ่งส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาวะและพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ทั้งในเรื่องการใช้ยาอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงโรคไตในกลุ่มวัยทำงาน และการปรับพฤติกรรมบริโภคของเด็กไทยเพื่อป้องกันโรค NCDs ตั้งแต่วัยเยาว์ เดินหน้าร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น สร้างสังคมสุขภาวะที่เข้มแข็ง และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพ โดยใช้แนวคิด “สามเหลี่ยมสมดุล” เสริมสร้างศักยภาพเด็กนักเรียน ให้ตระหนักต่อการสร้างเสริมสุขภาวะ ผ่านเมนูอาหารกลางวันที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ตลอดจนพัฒนาโครงการอาหารปลอดภัยในผู้สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ลดอัตราของโรค NCDs โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 จะมีการขยายผลโครงการไปสู่กลุ่มแกนนำผู้สูงอายุต่อไป

Advertisement

รัฐบาลแนะ 5 วิธีรับมือภาวะเครียดจากการเมืองอย่างสร้างสรรค์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 มิถุนายน 2568 รองโฆษกรัฐบาล แนะ 5 วิธี รับมือภาวะเครียดจากการเมืองอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเผยวิธีดูแลใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ชีวิตดีมีความสุข

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น รัฐบาลขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนร่วมดูแลสุขภาพจิตของตนเองและคนรอบข้าง โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวสารและความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์มีความหลากหลายและรุนแรงมากขึ้น

รัฐบาลโดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศเตือนให้ระวัง “ภาวะเครียดจากสถานการณ์การเมือง” หรือ Political Stress Syndrome (PSS) ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับบุคคลที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด หรือมีความโน้มเอียงไปทางความคิดเห็นใดทางหนึ่งมากเกินไป จนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ภาวะ PSS ไม่ใช่โรคทางจิตเวชโดยตรง แต่เป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่สะท้อนความตึงเครียดที่ผู้คนมีต่อสถานการณ์รอบตัว โดยมีลักษณะสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่

1.อาการทางร่างกาย เช่น ปวดตึงศีรษะ หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น นอนไม่หลับ

2.อาการทางจิตใจ เช่น หงุดหงิด โกรธ เบื่อหน่าย ฟุ้งซ่าน หมกมุ่นกับข่าว

3.พฤติกรรม เช่น การโต้เถียงหรือใช้ถ้อยคำรุนแรงในครอบครัวหรือบนโลกออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลาย

ทั้งนี้ การสื่อสารที่รุนแรงอาจสร้างผลกระทบต่อบุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ส่งสาร ที่อาจพลาดพลั้งใช้ถ้อยคำรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ 2) ผู้รับสาร ที่อาจรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล และ 3) สังคมโดยรวม ที่เสี่ยงต่อการเกิดบรรยากาศของความแตกแยก ความเกลียดชัง และความไม่น่าไว้วางใจ

กรมสุขภาพจิตขอแนะนำ 5 แนวทางดูแลใจ เพื่อลดความเครียดและสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ดังนี้ 1.รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองขณะเสพข่าว 2.จำกัดเวลาในการติดตามข่าวสาร 3.ดำรงชีวิตอย่างสมดุล ไม่ละเลยหน้าที่ 4.เคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง 5.พักผ่อนและผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การนอนหลับ ออกกำลังกาย ทำสมาธิ หรือฝึกหายใจลึกๆ

สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าอาการเครียดส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ขอให้รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ณ สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง

“รัฐบาลขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “สติ” ในการเสพและสื่อสารข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในช่วงที่สังคมมีความอ่อนไหวสูง การรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ พูดจาอย่างสร้างสรรค์ และเคารพความคิดเห็นที่หลากหลาย จะช่วยสร้างสังคมที่น่าอยู่ และร่วมกันประคับประคองประเทศให้ก้าวข้ามทุกความขัดแย้งไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

“จิราพร” สั่ง สคบ. ยกระดับคุ้มครองผู้บริโภคขนานใหญ่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มิถุนายน 2568 “จิราพร” สั่ง สคบ. เดินหน้าแก้ กม. ยกระดับคุ้มครองผู้บริโภคขนานใหญ่ เน้นทันสมัย-ป้องกันผู้ประกอบการเอาเปรียบ

นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่ากฎหมายที่ใช้บังคับในการดูแลคุ้มครองผู้บริโภค เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค 2522 พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 มีข้อจำกัดในการรองรับบริบทเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จึงได้สั่งการให้ สคบ. เร่งการทบทวน และแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีความทันสมัย สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี พร้อมยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมและเข้มแข็งยิ่งขึ้น

โดยเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษาและจัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่..) พ.ศ. … โดยมีหน้าที่วิเคราะห์ปัญหา ศึกษาข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน และยกร่างบทบัญญัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2568 สคบ. ได้จัดโครงการประเมินผลสัมฤทธิ์ชองพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 โดยเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สคบ. ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย สอดรับกับสภาพการค้าขายและกลไกทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

“การปรับปรุงตัวกฎหมายครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคของ สคบ. ครั้งใหญ่ เป็นการปฏิรูปทั้งกฎหมาย ทั้งกลไกการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้การช่วยเหลือผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และมีบทลงโทษผู้กระทำผิดที่เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป” นางสาวจิราพรกล่าว

Advertisement

รัฐบาลเปิดตัว “บริการแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 มิถุนายน 2568 รัฐบาลเดินหน้ายกระดับความปลอดภัยอีกขั้นให้ประชาชน ผ่าน “บริการแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพ” ฟีเจอร์ใหม่บน LINE Official “BAAC Family” เช็ก แจ้ง เตือนภัย สะดวกปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มีความรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้ทิศทางของการทำธุรกิจ และการทำธุรกรรมทางการเงินล้วนแต่จำเป็นต้องใช้งานผ่านบนแพลตฟอร์มดิจิทัลหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพเล็งเห็นช่องว่าง ในการคิดค้นกลยุทธ์วิธีใหม่กลโกงใหม่ ๆ ในการคุกคาม หลอกลวงเหยื่อให้ทำบัญชีธุรกรรม ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์หรืออาชญากรรมทางไซเบอร์ รัฐบาล โดย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กระทรวงการคลัง บูรณาการความร่วมมือกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พัฒนาซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน เปิดตัว “บริการแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพ” ฟีเจอร์ใหม่บน LINE Official “BAAC Family” เพื่อเป็นช่องทางในการช่วยเหลือผู้ใช้บริการของธนาคาร โดยในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการและติดต่อสื่อสารผ่านระบบดิจิทัลของธนาคารเป็นจำนวนถึงมากกว่า 14 ล้านราย

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับความเสียหายจากการปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เผชิญความเสียหายมากถึงปีละ 30,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงในการถูกหลอกผ่านวิธีการส่ง เอสเอ็มเอส หรือ LINE ที่แอบอ้างว่าเป็นหน่วยงานรัฐ เช่น เงินช่วยเหลือ หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และไม่เพียงแค่กลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ในปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพยังได้หาวิธีการในการหลอกลวงเพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่

“ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่รัฐบาลจะมุ่งเน้น และเดินดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มงวด รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจ ทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้เท่าทัน กลโกงและวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ซึ่งผลของการจับกุมและอายัดเส้นทางทางการเงินในคดีอาชญากรรมออนไลน์ ถือเป็นหนึ่งในผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของการทำงานอย่างจริงจังของรัฐบาล ซึ่งสำหรับ LINE Official “BAAC Family” ที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐร่วมบูรณาการสร้างความร่วมมือพัฒนาซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน ถือเป็นหนึ่งในการยกระดับความปลอดภัยในการป้องกันการเข้าถึงเครื่องมือในการเช็ก – แจ้ง – เตือนภัยมิจฉาชีพได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ บัญชีม้าหรือบัญชีปลอม ต้องสงสัย เว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยและอันตราย รวมไปถึงการแจ้งเบาะแสอาชญากรรมให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียลไทม์ แบบ “All in one place” ครบจบในแชตเดียว” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

อว. ใช้ AI รับรองมาตรฐานหลักสูตร

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 มิถุนายน 2568 อว. ใช้ AI รับรองมาตรฐานหลักสูตร เพื่อให้มีคุณภาพ ถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็วขึ้น เปิดช่อง Fast Track

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ออกประกาศเรื่อง การรับรองมาตรฐานการอุดมศึกษาของหลักสูตรการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2568 ซึ่งผ่านประชาพิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้อง และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) ต้องการให้มีการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและรับรองหลักสูตรการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทันต่อความเปลี่ยนแปลง และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้เรียน สังคม และผู้เกี่ยวข้อง

นายคารม กล่าวว่า คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษาพิจารณาความถูกต้องเพื่อรับรองผลใน 3 มิติ ได้แก่ 1.ความสอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร 8 ข้อ 2.ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา และ 3 การดำเนินการจัดการศึกษาที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์การเรียนรู้และระบบบริหารหลักสูตรอย่างมีคุณภาพ สำหรับหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจะได้รับการรับรองนาน 5 ปี และหลักสูตรระดับปริญญาตรีที่มีระยะเวลาการศึกษาเกิน 5 ปี จะได้รับการขยายเวลารับรองเพิ่มอีก 1 ปี นอกจากนี้ ต้องมีระบบติดตามผลการดำเนินงานของหลักสูตร ภายในภาคเรียนที่ 1 หลังผู้เรียนรุ่นแรกจบการศึกษา โดยให้สถาบันอุดมศึกษารายงานข้อมูลผลการเรียนรู้ของนักศึกษาและการบริหารหลักสูตรผ่านระบบ CISA โดยกำหนดช่องทาง “Fast Track” เป็น 2 กรณีคือ หลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานนานาชาติก่อนส่งเอกสาร ให้ยื่นตรวจเฉพาะความสอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐาน 8 ข้อ และหลักสูตรที่ได้รับการรับรองภายหลังจากที่ได้รับการรับรองโดย กมอ.แล้ว ให้ยื่นขอยกเว้นการติดตามผลการจัดการศึกษา

“รัฐบาลผลักดันการศึกษาไทยให้มีความทันสมัย ปรับหลักสูตรฉบับใหม่ ให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โดยใช้ระบบ AI ช่วยตรวจสอบ พร้อมเปิดช่องทาง Fast Track หรือช่องทางด่วนพิเศษสำหรับหลักสูตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานต่างประเทศที่มีชื่อเสียง เพื่อลดความซ้ำซ้อน และลดภาระของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับนักศึกษาในอนาคต” นายคารม ระบุ

Advertisement

ขอความร่วมมือทุกภาคส่วน เร่งกำจัด “ปลาหมอคางดำ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 มิถุนายน 2568 รัฐบาลติดตามผลการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ต่อเนื่อง ด้านประมงสมุทรสาครรับซื้อยอดทะลุ 513 ตัน ขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ร่วมกำจัดปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ได้เห็นชอบ “แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567-2570” กรมประมงจึงดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับการยางแห่งประเทศไทยและกรมพัฒนาที่ดิน รับซื้อปลาหมอคางดำจากทั้งบ่อเพาะเลี้ยงและแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพ สำหรับจังหวัดสมุทรสาคร ได้รับการจัดสรรโควตารับซื้อปลาหมอคางดำ จำนวน 750,000 กิโลกรัม วงเงินรวม 15 ล้านบาท โดยเกษตรกรจะได้รับค่าตอบแทนในอัตรากิโลกรัมละ 15 บาท และแพรวบรวมจะได้รับเพิ่มอีก 5 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2568

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานภายใต้โครงการควบคุมและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่องในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งได้เปิดจุดรับซื้อปลาหมอคางดำ จำนวน 10 แพ อำนวยความสะดวกแก่เกษตรกร ประชาชน และชาวประมงในพื้นที่ ขณะนี้มีแพรับซื้อที่โควตาเต็มแล้ว 5 แพ เหลืออีก 5 แพที่ยังเปิดรับซื้อ โดยจะให้บริการต่อไปจนกว่าจะครบจำนวนตามใบสั่งจ้างจากสำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาคร ได้มอบหมายให้บุคลากรในสังกัดสำนักงานประมงจังหวัดและสำนักงานประมงอำเภอ ให้บริการชั่งปลาให้เกษตรกรและชาวประมงทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ส่งผลให้มียอดจับปลาหมอคางดำในวันที่ 2 มิถุนายน 2568 จำนวน 21,767 กิโลกรัม รวมจังหวัดสมุทรสาครรับซื้อปลาหมอคางดำส่งไปยังอินโนฟาร์ม จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว 513,973 กิโลกรัม คงเหลือจำนวนปลาที่ต้องรับซื้อในโครงการฯ อีก 236,027 กิโลกรัม

“รัฐบาลเชิญชวนทุกภาคส่วน ร่วมมือกำจัดปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถนำปลามาจำหน่ายได้ที่จุดรับซื้อ ในราคากิโลกรัมละ 15 บาท ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จนกว่าจะครบเป้าหมาย 750,000 กิโลกรัม หรือภายในวันที่ 11 กันยายน 2568 โดยสามารถติดต่อแพรวบรวมโดยตรง หรือติดต่อสำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อประสานนัดหมายจับปลาต่อไป” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

“มหาดไทย” ขับเคลื่อน สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤษภาคม 2568 ปลัด มท. “อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ สนองนโยบาย “อนุทิน” ดำเนินการเชิงรุก ขับเคลื่อนมหาดไทยสีขาว สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด เดินหน้าตรวจหาสารเสพติดบุคลากร มท.-อปท. ทั่วประเทศภายในเดือน มิ.ย. 68 นี้

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและนโยบายหลักของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้เน้นย้ำทุกกลไกของกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า ตนได้มอบหมายให้กรมการปกครองจัดทำโครงการมหาดไทยสีขาว สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด (Safe Zone No Drugs) เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดในทุกรูปแบบ

“สำหรับแนวทางการดำเนินการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกประเภท ได้พิจารณาให้ความยินยอมและสมัครใจเข้ารับการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะโดยปราศจากการบังคับ พร้อมทั้งประสานผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด (ศอ.ปส.จ.) จัดหาชุดทดสอบสารเสพติดเพื่อสนับสนุนการตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอ (ศป.ปส.อ.) และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ศป.ปส.อปท.) ในพื้นที่ให้เพียงพอ” นายอรรษิษฐ์ กล่าว

นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีหากพบว่าบุคลากรมีสารเสพติดในร่างกาย ให้หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้นสังกัดของบุคลากรรายนั้น ๆ พิจารณาสอบถามความสมัครใจและยินยอมเข้ารับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพในระบบของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้โอกาสตามหลักนโยบาย “ผู้เสพคือผู้ป่วย” และปกปิดข้อมูลของบุคลากรดังกล่าวเป็นความลับ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของบุคลากรและครอบครัวเป็นสำคัญ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดในระหว่างการเข้ารับการบำบัดรักษาฯ เช่น การรายงานตัวต่อต้นสังกัดเป็นระยะ เพื่อให้คำแนะนำ สอบถามอาการ หรือความต้องการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากต้นสังกัด หรือหน่วยงานอื่นเพื่อเลิกพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด และเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาของการบำบัดรักษาหรือระยะเวลาที่หน่วยงานต้นสังกัดและบุคลากรผู้นั้นตกลงร่วมกันแล้ว แต่ก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาฯ หลบหนีการบำบัดรักษา หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการแสดงออกว่าไม่ยินยอมเข้ารับการบำบัดรักษาฯ ตามข้อตกลงของหน่วยงานต้นสังกัด ให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยตามกฎหมายเกี่ยวกับวินัยของข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ และดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท

Advertisement

Verified by ExactMetrics