วันที่ 31 กรกฎาคม 2025

นายกฯ สั่ง 7 มาตรการ รับมือผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 มิถุนายน 2568 นายกฯ ระบุสถานการณ์อิหร่าน-อิสราเอล ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมสั่งการ 7 มาตรการ รับมือผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา ในทุกด้าน ยันรัฐบาลไม่มีนโยบายตอบโต้ การเปิด-ปิดด่านชายแดน เพื่อหวังผลทางการเมือง

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆระหว่างประเทศจากสถานการณ์ความขัดแย้งของอิหร่านและอิสราเอล มีผลที่จะขยายวงกว้างออกไปและส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจการเมือง สังคม และยังไม่มีกรอบระยะเวลาที่แน่นอนว่าจะจบเมื่อไหร่ ส่งผลต่อการเจรจาของหลายๆประเทศต่อนโยบาย รวมถึงการเจรจาภาษีทางการค้ากับสหรัฐฯ ด้วย จากเดิมที่กำหนดไว้ต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งทางฝ่ายไทยได้เริ่มเจรจาแล้วหนึ่งรอบ กับคณะทำงานของสหรัฐฯ ซึ่งจากนี้จะมีการแถลงเพิ่มเติม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมมนาคม การท่องเที่ยว ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีทุกคนร่วมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมหามาตรการรองรับ เพื่อจะให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด และขอยืนยันอีกครั้งว่าสถานการณ์เช่นนี้เสถียรภาพของรัฐบาลและความสามัคคีของคนในชาตินั้นสำคัญมาก จึงขอให้คณะรัฐมนตรีทุกคนทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจและแก้ไขปัญหาอย่างทันการ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ ด้านแรกคือ เรื่องของภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามประเทศ ซึ่งตามรายงานของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการและขอย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้มีนโยบายในการตอบโต้ การเปิดปิดด่านชายแดนเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน และประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยได้เตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนบริเวณชายแดนไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าเกษตร โดยได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่าจะสามารถทำได้อย่างไรบ้าง ซึ่งมีมาตรการรองรับไว้อยู่แล้ว จากภาคเอกชนและภาครัฐด้วย

ด้านของความมั่นคงและพลังงานกระทรวงพลังงานกำหนดมาตรการการรับมือ สำหรับพลังงานสำรองและมาตรการช่วยเหลือประชาชนในหากมีภาวะการขาดแคลน รวมถึงราคาพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งต้องหามาตรการไว้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจการเงินและปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจนในการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจในทุกระดับโดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าของประเทศ

ส่วนเรื่องของราคาพืชผล ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตร เร่งหามาตรการแก้ไขเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของราคาข้าวที่ต้องเร่งสนับสนุนและมีมาตรการเยียวยาเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็วและเรื่องของการลักลอบนำเข้าสินค้าเถื่อนของจากประเทศเพื่อนบ้านที่จะส่งผลกระทบให้ราคาพืชผลเกษตรบ้านเรานั้นตกต่ำ

ขณะที่ปัญหายาเสพติดให้กระทรวงกลาโหม บูรณาการการทำงานระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บัญชาการตำรวจทุกจังหวัด กำหนดมาตรการให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นและต่อเนื่องจากมาตรการซีลสต็อปเซฟ (Seal Stop Safe)

ส่วนการท่องเที่ยว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเน้นย้ำมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวด้วย

ค่าแรงขั้นต่ำให้กระทรวงแรงงาน เร่งนำมาตรการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาพิจารณาเร่งด่วน เพื่อให้ทันการขึ้นค่าแรงในในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้

Advertisement

ประธานศาล รธน. รับหนักใจ แต่ยึดตามหน้าที่พิจารณาคลิปเสียง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 มิถุนายน 2568 “นครินทร์” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ รับหนักใจ แต่ยึดตามหน้าที่พิจารณาคลิปเสียง “นายกฯ-ฮุนเซน” ไม่บอก 1 ก.ค. มีมติคดีเลยหรือไม่ เผยไม่จำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เสมอไป

นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์กรณีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีปรากฏคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ว่าในวันที่ 1 ก.ค.เรามีการนัดประชุมไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะมีการตัดสินคดีเกี่ยวกับกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ วันนั้นก็จะเป็นวันที่ลงมติมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ส่วนเรื่องที่ร้องเรื่องคลิปเสียง ตนยังไม่ได้ดู ตอนนี้อยู่ในกระบวนการรับเรื่อง ขอให้กลับไปที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อดูหนังสือทั้งหมดว่าเป็นตามขั้นตอนถูกต้องหรือไม่

ส่วนวันที่ 1 ก.ค.จะมีการพิจารณาเรื่องคลิปเสียงได้หรือไม่นั้น นายนครินทร์ กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ต้องให้คณะตุลาการตรวจเอกสารครบถ้วนก่อน ซึ่งหากมีการพิจารณาก็จะออกได้ 2 ทาง คือรับหรือไม่รับเรื่อง แต่วันที่ 1 ก.ค. จะมีคำสั่งได้เลยหรือไม่นั้นยังไม่ทราบ ต้องรอตรวจเอกสารก่อนและเข้าองค์คณะ ทุกครั้งที่เราประชุมจะต้องมีองค์คณะครบ 9 คน

หากวันที่ 1 ก.ค.ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคดีคลิปเสียง จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น นายนครินทร์ กล่าวว่า ก็ไม่จำเป็นจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เสมอไป ซึ่งเราก็จะดูว่ามีข้อเท็จจริงว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่จะทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีที่เรารับคดี แต่ไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่

สำหรับคดีที่อยู่ในความสนใจเราก็ไม่ได้มีกรอบที่จะต้องเร่งรัดการพิจารณา แต่คดีของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงหลังไม่มีความล่าช้า แทบไม่มีคดีตกค้าง แต่มีกรอบเรื่องเดียวคือคดีที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญมาตรา 144 เกี่ยวกับเรื่องแปรงบประมาณเพื่อใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญจะล็อคไว้ว่าจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน

เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่ว่าผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องคลิปเสียงจะส่งผลกระทบในหลายๆเรื่อง นายนครินทร์ กล่าวว่า แน่นอนว่าหนักใจ แต่ในเมื่อเราอยู่ตรงนี้ ก็ต้องทำตามหน้าที่

เมื่อถามเพิ่มเติมว่าคดีล้มล้างการปกครองขณะนี้ยังมีคดีตกค้างอยู่หรือไม่ นายนครินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีภายหลังจากที่พึ่งมีคำสั่งไม่รับคำร้องไปในคดีที่เเล้ว

Advertisement

รัฐบาลแนะ 5 วิธีรับมือภาวะเครียดจากการเมืองอย่างสร้างสรรค์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 มิถุนายน 2568 รองโฆษกรัฐบาล แนะ 5 วิธี รับมือภาวะเครียดจากการเมืองอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเผยวิธีดูแลใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ชีวิตดีมีความสุข

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น รัฐบาลขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนร่วมดูแลสุขภาพจิตของตนเองและคนรอบข้าง โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวสารและความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์มีความหลากหลายและรุนแรงมากขึ้น

รัฐบาลโดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศเตือนให้ระวัง “ภาวะเครียดจากสถานการณ์การเมือง” หรือ Political Stress Syndrome (PSS) ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับบุคคลที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด หรือมีความโน้มเอียงไปทางความคิดเห็นใดทางหนึ่งมากเกินไป จนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ภาวะ PSS ไม่ใช่โรคทางจิตเวชโดยตรง แต่เป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่สะท้อนความตึงเครียดที่ผู้คนมีต่อสถานการณ์รอบตัว โดยมีลักษณะสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่

1.อาการทางร่างกาย เช่น ปวดตึงศีรษะ หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น นอนไม่หลับ

2.อาการทางจิตใจ เช่น หงุดหงิด โกรธ เบื่อหน่าย ฟุ้งซ่าน หมกมุ่นกับข่าว

3.พฤติกรรม เช่น การโต้เถียงหรือใช้ถ้อยคำรุนแรงในครอบครัวหรือบนโลกออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลาย

ทั้งนี้ การสื่อสารที่รุนแรงอาจสร้างผลกระทบต่อบุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ส่งสาร ที่อาจพลาดพลั้งใช้ถ้อยคำรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ 2) ผู้รับสาร ที่อาจรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล และ 3) สังคมโดยรวม ที่เสี่ยงต่อการเกิดบรรยากาศของความแตกแยก ความเกลียดชัง และความไม่น่าไว้วางใจ

กรมสุขภาพจิตขอแนะนำ 5 แนวทางดูแลใจ เพื่อลดความเครียดและสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ดังนี้ 1.รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองขณะเสพข่าว 2.จำกัดเวลาในการติดตามข่าวสาร 3.ดำรงชีวิตอย่างสมดุล ไม่ละเลยหน้าที่ 4.เคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง 5.พักผ่อนและผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การนอนหลับ ออกกำลังกาย ทำสมาธิ หรือฝึกหายใจลึกๆ

สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าอาการเครียดส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ขอให้รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ณ สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง

“รัฐบาลขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “สติ” ในการเสพและสื่อสารข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในช่วงที่สังคมมีความอ่อนไหวสูง การรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ พูดจาอย่างสร้างสรรค์ และเคารพความคิดเห็นที่หลากหลาย จะช่วยสร้างสังคมที่น่าอยู่ และร่วมกันประคับประคองประเทศให้ก้าวข้ามทุกความขัดแย้งไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

นายกฯ ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ปกป้องอธิปไตย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มิถุนายน 2568 นายกฯ ขอบคุณกองทัพและทุกคน ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการปกป้องรักษาอธิปไตยของเรา

ที่องค์การบริหารส่วนตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบถุงยังชีพเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ตัวแทนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ซึ่งเป็นราษฎรอาสาสมัครในพื้นที่ที่ผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่กำหนดในการดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบของประชาชนในพื้นที่

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กับ ชรบ.ต่อการปฏิบัติหน้าที่ดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้รับมอบดอกกุหลาบสีแดงจากส่วนราชการ และประชาชนที่มาให้การต้อนรับเพื่อให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ในการทำงานเพื่อประเทศชาติและเพื่อประชาชน

จากนั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางไปยังฐานปฏิบัติการมรกต ตำบลโดมประดิษฐ์ เพื่อพบปะกำลังพลกองกำลังสุรนารีและมอบสิ่งของบำรุงขวัญ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ความมั่นคง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่มาพบปะทหารทุกนายในวันนี้ ตั้งใจมาให้กำลังใจทหารที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ด้วยความกล้าหาญ ด้วยความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน ขอชื่นชมในความเสียสละ ที่ต้องห่างไกลบ้าน ห่างไกลครอบครัว และสิ่งสำคัญต้องขอขอบคุณ แม่ทัพภาคที่ 2 รวมถึงผู้บังคับบัญชา ทหารทุกนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำหน้าที่ปกป้องประชาชน ปกป้องประเทศชาติ ปกป้องอธิปไตยอย่างแน่วแน่ ด้วยความมุ่งมั่น อย่างต่อเนื่อง

“ขอให้คำมั่นว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่ ทุกคนคือคนไทย แผ่นดินนี้คือแผ่นดินไทย จะต้องช่วยกันรักษา ทหารเปรียบเสมือนรั้วของชาติ รัฐบาลต้องการให้รั้วของชาติมีสุขภาพดี ทั้งแรงกาย และแรงใจ มีความสุขในการทำหน้าที่ อะไรที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน รัฐบาลยินดีและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในนามรัฐบาลขอขอบคุณ และขอส่งกำลังใจให้ทหารทุกนาย พร้อมทั้งขอนำกำลังใจจากประชาชนทุกคนมามอบให้ในวันนี้” นางสาวแพทองธาร กล่าว

Advertisement

นายกฯ รับคลิปเสียงจริง ซัด “ฮุนเซน” ปล่อยหวังรัฐบาล-กองทัพแตกแยก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 มิถุนายน 2568 นายกฯ รับคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” เป็นของจริง แจงปมบอกแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นเทคนิคการเจรจาต่อรองสร้างสันติภาพ หลัง “ฮุนเซน” โกรธ ชี้จุดประสงค์หวังสร้างคะแนนนิยมรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่สนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รับไม่ไว้ใจ จากนี้ไม่ขอคุยส่วนตัว ปัดตอบสัมพันธ์ 2 ตระกูล

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงด่วนกรณีมีคลิปเสียงสนทนาระหว่างที่พูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เผยแพร่ออกมาผ่านโซเชียลมีเดีย โดยยอมรับว่าเป็นคลิปจริง เป็นการคุยกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ทราบข้อมูลจากล่ามที่แปลว่า ทางสมเด็จฮุน เซน โกรธแม่ทัพภาคที่ 2 ที่มีการพูดกันก่อนหน้านั้น เมื่อได้คุยกัน ตนจึงบอกว่า แม่ทัพภาคที่ 2 พูดกันแบบนี้ ในเมื่อเราทั้งไทยและกัมพูชาเป็นฝั่งตรงข้ามกันอยู่แล้ว ในตอนนั้นก็ต้องพูดแบบนี้ อย่าไปคิดเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่พยายามจะทำความเข้าใจ เพราะทางฝั่งสมเด็จฮุน เซน โกรธเรื่องนี้ และเป็นเทคนิคในการพูดหลังไมค์หลังบ้านแบบส่วนตัว ซึ่งการคุยโทรศัพท์ก็ไม่ควรเอามาเปิดเผย เพราะเป็นเทคนิคในการเจรจาพูดคุยต่อรอง ส่วนตัวคิดว่า ตนทำเพราะมีจุดมุ่งหมายและมีประเด็นที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขของบ้านเมืองและรักษาอธิปไตยของไทยไว้ ให้ผลประโยชน์อยู่กับประเทศชาติและประชาชน ตนก็คุยด้วยความซอฟต์และความนุ่มนวล เพราะบางทีเวลาคุยกันส่วนตัวก็เรียกกันลุงหลาน เหมือนคุยกันกับรัฐมนตรีใน ครม. ทำงานมาตั้งแต่รุ่นของคุณพ่อ เรียกอาเรียกลุงเป็นปกติ และได้มีการพูดคุยกันว่าจะเอาอย่างไร เมื่อคุยกันได้สักพัก

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจเรื่องของไทม์ไลน์กองทัพว่าเป็นอย่างไร ซึ่งทางนั้นบอกให้เปิดด่าน ตนก็บอกว่าได้เลย เปิดพร้อมกันไหม จะได้แสดงสันติภาพว่าจับมือเปิดด่านพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่ยอม แต่ตนก็ได้บอกไปว่า ไม่ยอมได้อย่างไร เพราะไทยก็ยอมแล้ว ไม่ได้มีการต่อสู้ เป็นการพูดเพื่อให้ฝั่งเข้าใจว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไร แต่เหตุใดทางนั้นจึงไม่ได้ ไทยต้องเปิดก่อน แต่เขาก็บอกว่าเขาเป็นลูกผู้ชาย คำไหนคำนั้น แต่ตนก็ไม่แน่ใจ จึงขออนุญาตปรึกษากับทีมกลาโหมก่อน และจะมาให้คำตอบในวันต่อไป คือวันที่มีการประชุมที่บ้านพิษณุโลก แต่เมื่อประชุมยังไม่เลิก สมเด็จฮุน เซน ก็มีการโพสต์เฟซบุ๊กว่า ถ้าประเทศไทยไม่เปิดด่านภายใน 24 ชั่วโมง กัมพูชาจะปิดด่านชายแดนทั้งหมด ตนก็รู้สึกว่า อ้าว ทำไมไม่เหมือนที่คุยกันไว้ ตนก็พยายามจะพูดด้วยความใจเย็น เพราะอยากทราบว่า จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไร มีอะไรบ้างที่เราจะทำเพิ่มเติมให้ได้ หรือจะคุยกันอย่างไรให้เกิดการต่อรองและสันติภาพ ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อกัน นี่คือความตั้งใจของตน แต่สมเด็จฮุน เซน ก็ย้ำเรื่องของการเปิดด่านอย่างเดียว แต่ตนก็ไม่กล้ารับปาก เพราะไม่แน่ใจว่ากองทัพพร้อมหรือไม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ตนก็ไม่ได้รับปากสมเด็จฮุน เซน เพราะต้องรอประชุมกับกองทัพและหน่วยงานความมั่นคงก่อน “แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วค่ะ” ว่า ความต้องการของท่านจริงๆ แล้วเป็นความต้องการคะแนนนิยมภายในประเทศของท่านเอง โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร การที่ท่านต้องการจะมี Popularity ในประเทศของท่าน เพราะท่านก็เคยบอกดิฉันว่า popularity เริ่มตก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อยากจะเรียกพลังตรงนี้ ดิฉันก็หวังว่าท่านจะได้คะแนนความนิยมเพิ่ม และอยู่ในสายตาของโลกที่จับตามองอยู่ว่า เมื่อผู้นำสองท่านคุยกันส่วนตัว แต่มีการอัดคลิปและปล่อยออกมาแบบนี้ แน่นอนว่าดิฉันไม่ได้ปล่อย ก็ตามนั้นค่ะ จะได้เข้าใจจุดประสงค์ว่า จริงๆ แล้วเราต้องการเจรจาให้เกิดสันติภาพ ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นหนึ่งในการทำให้ Popularity ของท่านเพิ่มขึ้น ก็ไม่เป็นไร ก็ตามนั้นค่ะ”

เมื่อถามว่า เนื้อหาการสนทนาในคลิปที่หลุดออกมา มีการพูดในลักษณะว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ใช่พวกเรา เป็นเทคนิคในการสนทนาของนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร รีบปฏิเสธทันทีว่า หมายถึงเรากับกัมพูชา เราเป็นฝั่งตรงข้ามกันอยู่แล้ว การที่จะมาคุยกัน เราก็พูดถึงกันไม่ดีอยู่แล้ว แต่ตนต้องการทำความเข้าใจกับเขาว่า แม่ทัพภาค 2 พูดไปแบบนั้น เพราะข้อความก่อนที่จะคุยกัน ล่ามที่แปลบอกว่า สมเด็จฮุน เซน โกรธที่มีคลิปแม่ทัพภาค 2 ออกมาแล้วก็ว่าออกไป แต่จริงๆ แล้วถ้าฟังทั้งหมดก็ไม่ได้มีอะไร แต่เป็นการตัดประโยคตรงนั้นออกไป

เมื่อถามว่า มีรายงานว่าจะมีการปล่อยคลิปเต็มออกมา จะมีปัญหาอะไรตามมาหรือไม่ โดยเฉพาะความมั่นคง เพราะเหมือนกับว่าถูกยุยงให้รบกันเองภายในประเทศ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ใช่ค่ะ” ที่ไม่อยากให้คนไทยไปหลงกลตรงนี้ เพราะนี่ก็เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ทำให้เข้าใจว่าเราทะเลาะกันเอง แต่จริงๆ แล้วที่ตนพูด เพื่อต้องการให้เขาบอกความต้องการของเขาว่า อะไรที่จะทำให้ประเทศชาติสงบสุข อะไรที่จะทำให้การปะทะจบลง ตนก็อยากรู้ ตนก็ใช้ความสามารถในการพูดคุยว่าจะเอายังไง เพราะตนก็ไม่ยอมที่จะเปิดด่าน แต่หากจะเปิดก็เปิดพร้อมกัน กับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ดีหรือไม่ จะได้เป็นความสัมพันธ์ร่วมกันว่า เราเลิกทะเลาะกันแล้ว และมาเปิดด่านร่วมกัน นี่คือความตั้งใจของตน แต่สมเด็จฮุน เซน ก็ไม่ยอม ท่านบอกประมาณว่า เป็นการโกหก แต่ตนก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจ เนื่องจากเป็นการแปลจากล่าม เสียงก็จะก้องๆ หน่อย ซึ่งท่านบอกว่า ได้ข้อมูลมาว่าที่ไม่เปิดเพราะทหารโกหก เมื่อท่านได้ข้อมูลนี้มา ตนก็ไม่แน่ใจเรื่องข้อมูล เพราะไม่ได้ดีลตรงนั้น จึงบอกไปว่า ไทยจะมีการประชุมกับฝ่ายความมั่นคงและทหาร เรียกทุกคนมาครบหมด ขอปรึกษากับกองทัพก่อนว่าจะเอาอย่างไร

เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะมีการปล่อยคลิป จะมีการพูดคุยกันต่อได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี นิ่งคิด ก่อนจะบอกว่าไม่ทราบ

เมื่อถามว่า จะยึดหลักสันติในการเจรจากับกัมพูชาได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนก็ไม่ใช่คนที่จะไปท้าตีท้าต่อยอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

เมื่อถามว่า ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรและตระกูลฮุน สิ้นสุดลงแล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบว่ายังไง แต่ตนไม่ขอคุยส่วนตัวแล้ว เพราะจะมีปัญหาเรื่องของความไว้ใจ

เมื่อถามย้ำว่า เนื้อหาในคลิปจากล่ามที่แปล บอกประมาณว่า นายกฯ พูดว่าอยู่ตรงข้ามกับแม่ทัพภาคที่ 2 จำเป็นจะต้องมีการทำความเข้าใจกับแม่ทัพภาคที่ 2 และกองทัพหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดกันระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องเข้าใจเลยว่า ถ้าตนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกองทัพจริงๆ เหตุใดตนจึงต้องบอกว่ารอปรึกษากองทัพว่าคิดอย่างไร เหตุใดตนต้องรอกองทัพคิดก่อนว่ากองทัพคิดอย่างไร ทำไมตนต้องรอกองทัพ ถ้าตรงข้ามก็ไม่ต้องรอ แต่นี่ไม่ใช่ ซึ่งตนเห็นจากคลิปแล้ว เขาก็เล่าและสุมกันมาเลยว่า สมเด็จฮุน เซน โกรธมากที่เห็นคลิปนี้ ตนก็คิดว่าตายแล้ว จะเพิ่มเรื่องปัญหาจะมากขึ้นหรือไม่ ตนจึงทำความเข้าใจว่า ไม่มีอะไรหรอก เวลาคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามพูดถึงกันก็เป็นแบบนี้ พยายามสื่อสารว่าไม่มีอะไรจริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า หากเขายอมเรื่องนี้​ ไทยจะยอมเรื่องนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อคุยเรื่องการเปิดด่านและมีอาวุธ จึงต้องจำกัดเวลา

นายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า ประโยคสนทนาแบบนี้ ไม่ควรจะออกมาแบบนี้ ยิ่งเป็นผู้นำระดับประเทศ ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับอดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่อายุ 32​ ปี​ และเป็นพ่อของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน การนำออกมาเผยแพร่ก็เป็นแบบนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าวของนายกฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินเข้ามายืนร่วมวงแถลงข่าวด้วย โดยยืนอยู่ข้าง นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่ง นพ.พรหมินทร์ ได้เอื้อมมือไปแตะให้มายืนอยู่ข้างๆ ซึ่งนายอนุทิน มีสีหน้าเรียบเฉย

Advertisement

ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 มิถุนายน 2568 ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่… พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ .. พ.ศ. ….(การกำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีประจำศาลยุติธรรม)

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มี “เจ้าพนักงานคดี”เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินและการดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดตามที่ศาลมอบหมายและเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .… รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ

นายคารม กล่าวว่า สาระสำคัญ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดีทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดตามที่ศาลมอบหมายแต่จะต้องมิใช่เป็นการก้าวล่วงไปวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่ศาลจะต้องดำเนินการเองเป็นการเฉพาะ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีประเภทอื่นที่มีกฎหมายวิธีพิจารณาความบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะด้วย โดยกำหนดให้อำนาจหน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดี คุณสมบัติ การแต่งตั้ง การเลื่อนระดับการบังคับบัญชาการรักษาจริยธรรม ตลอดจนการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานคดี เป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา รวมถึงให้เจ้าพนักงานคดีได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด ทั้งนี้ การกำหนดให้มีตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวจะมีผลเป็นการรับรองตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีไว้ครอบคลุมในทุกประเภทคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญา คดียาเสพติด คดีค้ามนุษย์ คดีแพ่งทั่วไป หรือคดีอื่น ๆ ในศาลยุติธรรม

ส่วนร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ .) พ.ศ. …. เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วเช่นเดียวกัน มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 (กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของศาลยุติธรรม) เพื่อกำหนดให้เจ้าพนักงานคดีดังกล่าวเป็นข้าราชการศาลยุติธรรม รวมถึงแก้ไขเพิ่มเติมให้เจ้าพนักงานคดีที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น ปฏิบัติงานมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี ได้รับโอกาสในการมีสิทธิเป็นผู้สมัครทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ (สนามเล็ก) ต่อไป เพื่อสนับสนุนสายงานเจ้าพนักงานคดีให้เป็นบุคลากรสายวิชาชีพเฉพาะด้าน ทั้งนี้ การกำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดีจะเป็นการช่วยลดภาระงานในส่วนที่ผู้พิพากษาไม่จำต้องกระทำเองซึ่งจะทำให้ผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้อย่างเต็มที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการพิจารณา พิพากษาคดีของศาลยุติธรรมส่งผลให้คดีเสร็จสิ้นไปได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและหลักประกันให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมว่าการพิจารณา พิพากษาคดีนั้นจะเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เที่ยงธรรม และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว

นายคารม กล่าวต่อว่า สำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว และได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่..) พ.ศ. ….จำนวน 3 ฉบับ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานศาลปกครอง พิจารณาแล้วเห็นชอบหรือไม่ขัดข้องในหลักการของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ รวม 2 ฉบับ โดยมีความเห็นหรือข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ เช่น

1)ประเด็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานคดี ควรให้คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมเป็นผู้กำหนด

2)ประเด็นอัตรากำลังของตำแหน่งเจ้าพนักงานคดี สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า ควรจัดทำกรอบอัตรากำลังของตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีเท่าที่จำเป็นและควรเกลี่ยอัตรากำลังเจ้าพนักงานคดีที่ปฏิบัติงานในศาลยุติธรรมแทนการเพิ่มอัตรากำลังเป็นลำดับแรกเพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว

3)ประเด็นคุณสมบัติของผู้สมัครทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ สำนักงาน ก.พ. เห็นว่า ควรกำหนดระดับของข้าราชการและระยะเวลาปฏิบัติงานในตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีหรือข้าราชการศาลยุติธรรมที่ได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายในตำแหน่งอื่นเพิ่มเติม เช่น ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ

4)ประเด็นอื่นๆ กระทรวงยุติธรรมเห็นว่า เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว ควรมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย

Advertisement

นายกฯ เสนอร่างงบปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน ตั้งเป้า GDP โต 2.3-3.3%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 พฤษภาคม 2568 นายกฯ นำเสนอร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ต่อสภาฯ วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ตั้งเป้า GDP โต 2.3-3.3% ห่วงภาษีสหรัฐฉุดเศรษฐกิจไทย แจงรายจ่าย 6 ยุทธศาสตร์หลัก ยันใช้งบฯ อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจง ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า การจัดทำงบประมาณอยู่บนพื้นฐานที่คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 69 จะขยายตัวในช่วง 2.3-3.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลกและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย จากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการภาครัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ ด้านภาวะการเงินโดยรวมยังตึงตัว คณะกรรมการนโยบายการเงิน จึงมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี ในการประชุมเดือนเมษายน 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถดูแลภาวะการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป

สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.5-1.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลที่ 2.3% ของ GDP โครงสร้างงบประมาณปี 69 ประกอบด้วย

1.งบประมาณรายจ่าย 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 27,900 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 68 หรือเพิ่มขึ้น 0.7% โดยวงเงินงบประมาณดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วน 18.9% ของ GDP

2.รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท ลดลง 28,135 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 68 หรือลดลง 1% คิดเป็นสัดส่วน 70.2% ของวงเงินงบประมาณ

3.รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 68 ที่ไม่ได้มีการเสนอตั้งงบประมาณ โดยคิดเป็นสัดส่วน 3.3% ของวงเงินงบประมาณ

4.รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท ลดลง 68,284 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 68 หรือลดลง 7.3% คิดเป็นสัดส่วน 22.9% ของวงเงินงบประมาณ

5.รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จัดสรรไว้ 151,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,100 ล้านบาทจากปีงบประมาณ 68 หรือเพิ่มขึ้น 0.7% คิดเป็นสัดส่วน 4% ของวงเงินงบประมาณ

ทั้งนี้ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุน กรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,519 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ รวม 65 แผนงาน ดังนี้

1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง จัดสรรงบประมาณ 415,327 ล้านบาท เพื่อดำเนินการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งการดูแลความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ขยายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้ภาษาที่หลากหลาย ระงับยับยั้งการบ่มเพาะทางความคิดที่อาจบิดเบือนจากหลักศาสนา

อีกทั้งนำงบประมาณไปดำเนินการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ และเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง เช่น ป้องกันภัยคุกคาม ภัยอาชญากรรมชาติและความมั่นคงทางชายแดนชายฝั่งทะเล และนำไปพัฒนาระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ

2.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน จัดสรรงบประมาณ 394,611 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน เน้นการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยขยายการค้าการลงทุนชายแดนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด่านศุลกากรในเชตเศรษฐกิจพิเศษ

อีกทั้งนำงบประมาณไปใช้ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยตั้งเป้าให้เกิดการลงทุนจริงในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนนส่ง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นต้น ยกระดับและพัฒนาศูนย์การแพทย์ครบวงจรผลิตและพัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 6,000 คน

นอกจากนี้ นำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โดยส่งเสริมการลงทุน และใช้ทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานดิจิทััลร่วมกัน อาทิ การบริการคลาวด์ภาครัฐพร้อมมาตรการเฝ้าระวังภัยคุกคามไซเบอร์และตัดวงจรอาชญากรรมออนไลน์ เป็นต้น

รวมถึง นำไปใช้ในการพัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน ด้วยการจัดหาพลังงานและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งระบบให้มีความมั่นคง โดยรักษาอัตราการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวในประเทศไม่น้อยกว่า 140,000 บาร์เรลต่อวัน สนับสนุนการผลิตและใช้พลังงานทดแทนพลังงานทางเลือก ส่งเสริมพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน

อีกทั้งนำไปขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ หวังผลักดันอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นกไลในการสร้่างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และนำไปใช้ในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน

3.ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ จัดสรรงบประมาณ 605,927 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชน มีความรู้คู่คุณธรรมและคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการเสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี ส่งเสริมการผลิตแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุขไม่น้อยกว่า 42,400 คนและกระจายแพทย์ไปสู่ชนบท ไม่น้อยกว่า 1,000 คนต่อปี ยกระดับระบบสาธารณสุขและระบบบริการสุขภาพที่ทันสมัย

รวมถึงพัฒนาคุณภาพการศึกษา การเรียนรู้ และศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต โดยการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนการสอน สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา

4.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จัดสรรงบประมาณ 942,709 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับสวัสดิการพื้นฐาน บริการสาธารณะอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ด้วยการบริหารจัดการที่ดิน ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก กระจายการถือครองที่ดินให้กับเกษตรกรและประชาชนเข้าถึงได้และเป็นธรรม การรองรับสังคมสูงวัย การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ ผ่านการสนับสนุนการจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แก่นักเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเบี้ยยังชีพคนพิการ

5.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดสรรงบประมาณ 147,216 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาทิ การจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านน้ำเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

6.ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ จัดสรรงบประมาณ 605,441 ล้านบาท เพื่อยกระดับการบริการภาครัฐให้มีสมรรถนะสูง เปลี่ยนผ่านไปสู่ราชการทันสมัยในระบบดิจิทัล อาทิ การแก้ปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้ประเทศไทยปลอดทุจริต โดยปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตสำนึกให้มีพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีเป้าหมายค่าดัชนีรับรู้การทุจริตอยู่ในอันดับ 1 ใน 45 หรือได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 56คะแนน รวมถึงการมีรัฐบาลดิจิทัล หน่วยงานรัฐใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้บริการประชาชนได้เต็มศักยภาพ การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของกฎหมายที่มีอยู่ ลดข้อจำกัดด้านกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังมีรายการค่าดำเนินการภาครัฐ จัดสรรงบประมาณ 669,365 ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ และชดใช้เงินคงคลัง โดยเป็นแผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน123,960.0 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง ภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง รวมทั้งการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงวินัยทางการคลังการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 421,864.4 ล้านบาทเพื่อให้การบริหารจัดการหนี้และการชำระหนี้ภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 123,541.1 ล้านบาท พื่อเป็นรายจ่ายชดใช้เงินคงคลังที่ได้จ่ายไปแล้ว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณที่รัฐบาลเสนอในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ ภายใต้ข้อจำกัดด้านรายได้และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รัฐบาล จึงดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยกำหนดวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ทั้งในด้านความมั่นคง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างแท้จริง และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

Advertisement

ไทยจัดทำแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา ปูทางหลุดบัญชี WL

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 พฤษภาคม 2568 ครม. มีมติเห็นชอบต่อร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่างกรมทัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Thailand intellectual Property Work Plan: IP Work Plan) ระหว่างกรมทัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ

โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้จัดทำรายงานผลการจัดสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ โดยแบ่งสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ประเทศที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามากที่สุด (Priority Foreign Country: PFC) 2) ประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List: PWL) และ 3) ประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List: WL) ซึ่งประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษมาโดยตลอด

นางสาว ศศิกานต์​ กล่าวว่า ในปี 2567 พณ. โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้จัดทำร่างแผนงานฯ เพื่อระบุแนวทางการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การถอดไทยออกจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองและทุกบัญชี ซึ่งร่างแผนงานฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้

ลิขสิทธิ์ (1) เผยแพร่ร่างกฎหมายลิขสิทธิ์และกฎระเบียบหรือมาตรการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในโอกาสที่เหมาะสม

(2) ในส่วนที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ ให้มีการยกระดับการแก้ไขปรับปรุงระบบการชี้แจงหรือระบบแจ้งให้ทราบให้ชัดเจน และนำข้อมูลที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบ หรือปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาที่ละเมิดซึ่งอยู่บนเครือข่าย

(3) ให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติเพื่อเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก

(4) แก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อพัฒนาการป้องกันการหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพให้เสร็จสิ้น

(5) ยกระดับหรือแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อกำจัดช่องว่างที่อาจมีตามข้อยกเว้นของการคุ้มครองข้อมูลบริหารสิทธิ

(6) แก้ไขปัญหาองค์กรจัดเก็บ

(7) แก้ไขปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาต

การบังคับใช้สิทธิ

(1) ให้ข้อมูลสถิติและข้อมูลอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

(2) มีมาตรการบังคับใช้สิทธิทางแพ่งที่มีประสิทธิภาพ

(3) สืบสวนและดำเนินคดีทรัพย์สินทางปัญญาทั่วประเทศให้ประสบผลสำเร็จ

(4) แก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์

(5) ดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการผลิต การกระจายผลิตภัณฑ์ และการขายเภสัชภัณฑ์ปลอมในไทย

เครื่องหมายการค้า ปรับปรุงกระบวนการจดทะเบียน โดยแก้ไขปัญหางานจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าค้างสะสม และเพิ่มจำนวนผู้ตรวจสอบเครื่องหมายการค้า

สิทธิบัตรและเภสัชภัณฑ์

(1) แก้ไขปรับปรุงสิทธิบัตร เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายสิทธิบัตร และกฎระเบียบ หรือมาตรการ รวมถึงให้การบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรในร่างกฎหมายสิทธิบัตรสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย

(2) สร้างระบบที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการใช้ข้อมูลในเชิงพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม

(3) แก้ไขปัญหาคุณภาพในการออกสิทธิบัตรและปัญหางานค้างสะสม

(4) แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติกรรมสารเจนิวา ภายใต้ความตกลงกรุงเฮก ว่าด้วยการจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ

Advertisement

มท.ลุยสำรวจที่ดินลดเหลื่อมล้ำ เล็งเป้าปีนี้ออกโฉนด 86,000 แปลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 พฤษภาคม 2568 “มหาดไทย” เดินหน้าสำรวจที่ดินลดเหลื่อมล้ำ เล็งเป้าปีนี้ออกโฉนด 86,000 แปลง ใน 69 จังหวัด พร้อมเปิดสถิติ 40 ปีออกโฉนดแล้วกว่า 14 ล้านแปลง 71 ล้านไร่

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยเดินหน้าตามนโยบายของรัฐบาลในการกระจายการถือครองที่ดินทำกิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้มอบหมายให้กรมที่ดินเร่งรัดโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศ เพื่อให้การออกโฉนดที่ดินให้กับประชาชนเป็นไปตามเป้าหมาย สร้างความมั่นคงเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สามารถเป็นหลักประกันการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และนำไปลงทุนประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงต่อไป

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กรมที่ดินได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดทำโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน เป้าหมายรวม 86,000 แปลง มีพื้นที่ดำเนินการทั้งสิ้น 69 จังหวัด ยกเว้น 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี แม่ฮ่องสอน สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และภูเก็ต เนื่องจากมีพื้นที่ในการออกเอกสารสิทธิ์หนาแน่นแล้ว และเป็นจังหวัดที่มีเขตป่าไม้ครอบคลุมเกือบทั้งจังหวัด

มีผลการดำเนินงานงบประมาณ 68 ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 67 – เม.ย. 68 แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1)โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน และรังวัดรูปแปลงโฉนดที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศซึ่งมีเป้าหมาย 70,000 แปลง ออกโฉนดแล้ว 42,412 แปลง เนื้อที่ประมาณ 109,914 ไร่ 2)โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในจ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอนาทวี จะนะ เทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งมีเป้าหมายจำนวน 16,000 แปลง ระหว่างเดือน ธ.ค. 67 – เม.ย. 68 ดำเนินการออกโฉนดแล้ว 11,025 แปลง เนื้อที่ประมาณ 14,659 ไร่

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไป ยังคงเหลือเอกสาร ที่ยังไม่เป็นโฉนดที่ดินประมาณ 561,989 แปลง เนื้อที่ประมาณ 2,809,944.5 ไร่ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดินคาดว่าจะดำเนินการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินได้เสร็จสิ้นทั่วประเทศภายใน 7 ปี ซึ่งจะนำข้อมูลตามโครงการบอกดินที่ประชาชนได้แจ้งไว้ เรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ถวายฎีกา และข้อมูลที่สำนักงานที่ดินจังหวัด/สาขา/ส่วนแยก ได้รับแจ้งข้อมูลไว้มาประกอบการพิจารณาดำเนินการ

“ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 – 67 รวมระยะเวลา 40 ปี กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ดำเนินการสำรวจและออกโฉนดที่ดินแล้ว 14,838,692 แปลง เนื้อที่ประมาณ 71,240,052 ไร่” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

“ยิ่งลักษณ์” โพสต์ตัดพ้อ ต้องชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 พฤษภาคม 2568 “ยิ่งลักษณ์” โพสต์หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งชดใช้ 10,028 ล้านคดีจำนำข้าว ตัดพ้อ ต้องชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ รับภาระหนี้จากฝ่ายปฏิบัติ ลั่นหนี้หมื่นล้านชดใช้ทั้งชีวิตยังไงก็ไม่มีวันหมด ทำเพื่อชาวนากลับมีบทสรุปที่เจ็บปวด

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความภายหลัง ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี 10,028 ล้านบาท ว่า “เรียน พี่น้องประชาชนที่เคารพ วันที่ 22 พฤษภาคมปีนี้ เป็นวันครบรอบ 11 ปี รัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนทั้งประเทศ และเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำวินิจฉัยให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้กว่า 10,000 ล้านบาท จากคดีระบายข้าว ทั้งที่ดิฉันไม่ได้เป็นจำเลยในคดีนี้ และศาลปกครองกลางได้เคยวินิจฉัยว่าดิฉันไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในกรณีดังกล่าวมาแล้ว

จากคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในวันนี้ ทำให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ความเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่ต้องมารับภาระหนี้ที่เกิดจากการระบายข้าวของฝ่ายปฏิบัติ โดยที่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านั้นแต่อย่างใด และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็พิพากษาในคดีของดิฉันว่า ปล่อยปละละเลยในการบริหารโครงการรับจำนำข้าวเท่านั้น

นโยบายรับจำนำข้าว เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย และเป็นนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องปฏิบัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศจากฐานราก ผ่านการจับจ่ายใช้สอยของครอบครัวชาวนา กว่า 20 ล้านคน มีเจตนาช่วยเหลือให้พี่น้องชาวนาได้ลืมตาอ้าปาก สามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

รัฐบาลของดิฉันมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือชาวนาที่อยู่อย่างยากจนแร้นแค้น ให้ขายผลผลิตได้ในราคาสูง มีกิน มีใช้ มีเงินเหลือส่งลูกหลานเรียนหนังสือจนจบ ซึ่งที่ผ่านมามีครอบครัวชาวนาได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก แต่หากการดำเนินนโยบายแบบนี้ กลับถูกกล่าวหาว่าทำให้เกิดความเสียหาย ต่อไปใครจะกล้าคิดนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เข้าไม่ถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้อีก

ดิฉันไม่มีเจตนาจะทำให้โครงการเสียหาย การดำเนินโครงการแต่ละขั้นตอน เกี่ยวข้องกับหน่วยงานและบุคลากรหลายฝ่าย มีลำดับขั้นการบังคับบัญชาตามระบบราชการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่หัวหน้าฝ่ายบริหารจะไปก้าวก่ายแทรกแซงในรายละเอียดได้ แต่ดิฉันกลับต้องรับผิดชอบกับความเสียหายเพียงลำพัง หากจะบอกว่าสิ่งนี้คือความเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่งที่ดิฉันจะเข้าใจและยอมรับได้

หนี้ 10,000 ล้านบาท ชดใช้ทั้งชีวิต ยังไงก็ไม่มีวันหมดค่ะ การทุ่มเททำงาน แบกรับแรงเสียดทานทั้งทางการเมืองและอีกหลายรูปแบบ เพื่อค้ำยันราคาข้าวให้สูงและมีเสถียรภาพ เพื่อพี่น้องชาวนาได้มีชีวิตที่ดีกว่า พลิกผืนนาเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของครอบครัว กลับมีบทสรุปที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับดิฉัน

โครงการรับจำนำข้าวเป็นการกระทำทางการบริหารร่วมกันเป็นคณะกรรมการ การตัดสินให้ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ยังมีคำถามว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะหลังรัฐประหารก็มีข่าวว่ารัฐบาลเวลานั้นเอาข้าวดีไปขายเป็นข้าวเน่า

ข้าวที่เหลือในโกดัง 18.9 ล้านตัน ถูกขายในราคาต่ำกว่าที่ควรจะได้รับ คิดเป็นมูลค่าส่วนต่างนับ 100,000 ล้านบาท แต่ไม่ปรากฏความคืบหน้าของการตรวจสอบ และหาคนรับผิดชอบไม่ได้จนปัจจุบัน

ตลอดเวลา 11 ปี นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สิ่งที่ดิฉันจำต้องพบเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือ ยึดอำนาจ ยัดคดี อายัดทรัพย์ และเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาบังคับให้ใช้หนี้

ความรู้สึกแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็คงไม่มีใครรู้ แต่ถึงกระนั้นดิฉันก็จะเรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในชีวิต จนถึงที่สุดตามกฎหมายที่พึงกระทำได้

ถ้านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ยังไม่อาจเข้าถึงความยุติธรรมที่แท้จริง ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ สำหรับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเช่นกันค่ะ

Advertisement

Verified by ExactMetrics