วันที่ 15 มิถุนายน 2025

ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 พฤษภาคม 2568 ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจสอบคดีพิเศษ พ.ศ. 2566 เพื่อกำหนดให้คดีความผิดทางอาญาซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 21 (1) เป็นคดีพิเศษเพิ่มเติมจำนวน 3 คดีความผิด ดังนี้

1) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

2) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

3) คดีความผิดกฎหมายว่าด้วยมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมฯ ดังกล่าว เพื่อป้องกัน ปราบปราม สืบสวน และสอบสวนอาชญากรรมที่เป็นการกระทำความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อนหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และความมั่นคงของประเทศ จึงจำเป็นต้องกำหนดคดีความผิดทางอาญาที่มีลักษณะของการกระทำผิดดังกล่าวข้างต้นเป็นคดีพิเศษเพิ่มเติม เพื่อป้องกัน ปราบปราม สืบสวน และสอบสวนได้ทันท่วงที ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของสังคมในปัจจุบัน

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยในหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ

Advertisement

“อนุทิน” หนุนทำประชามติ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 พฤษภาคม 2568 “อนุทิน” เผยจุดยืน “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ย้ำพรรคร่วมต้องเป็นหนึ่ง หนุนทำประชามติ ฟังเสียงประชาชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงประเด็นกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่าเมื่อนายกรัฐมนตรี​ผลักดันแล้วในฐานะนโยบายรัฐบาล ถ้าเป็น ครม. แล้วมันเป็นไปตามกฎหมาย ต้องช่วยกันสนับสนุน แต่ว่ามันไม่ได้จบตรงนี้ จะเข้าไปที่สภา ก็ต้องพิจารณาตามขั้นตอน วาระต่างๆ มีการอภิปราย มีการตั้ง กมธ. และไปแปรญัตติ ซึ่งต้องใช้ข้อมูล ความเห็น สรุปว่ายังมีอีกหลายขั้น และที่สำคัญที่สุด คือ ฟังเสียงประชาชน ถ้าดีที่สุดควรทำประชามติ ให้ประชาชนตัดสินใจ ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ฟังแล้วดี ก็ถามประชาชนเลย พรรคภูมิใจไทย สนับสนุนทางนี้ เคยเสนอนายกฯ ไปแล้ว และท่านก็รับฟัง ถ้ามีประชามติ ทุกคนสบายใจ

“แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น จะต้องไม่มียิงลูกโดด พรรคร่วมต้องโหวตกฎหมายนี้ทุกพรรค ถ้าพรรคหนึ่งมีเงื่อนไข พรรคอื่นก็มีเงื่อนไข แบบนั้น ถือว่าไม่เรียบร้อย ก็ยังไม่ต้องเอาเข้าสภา พรรคร่วมรัฐบาลต้องเป็นหนึ่งจึงจะผลักดันได้ นี่คือเรื่องของสปิริตพรรคร่วมรัฐบาล” นายอนุทินกล่าว

Advertisement

กอ.รมน. แจงดำเนินคดี “ดร.พอล” ตามกระบวนการยุติธรรม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 เมษายน 2568 สวนรื่นฤดี – กอ.รมน. แจงดำเนินคดีกับนักวิชาการ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ย้ำคดี ม.112 เป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐ ขอให้สังคมเคารพกระบวนการและรอการตัดสินจากศาล

พลตรีธรรมนูญ ไม้สนธิ์ โฆษก กอ.รมน. กล่าวถึงกรณีที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 3 ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกันและอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวร นั้น

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.68 คณะกรรมาธิการการทหารของสภาผู้แทนราษฎรได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 3 ได้ให้ข้อมูลตอบคำถามผ่านระบบประชุมทางไกล ทั้งนี้ ทาง กอ.รมน. ทราบว่ายังมีบางประเด็นที่ยังให้คำตอบที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้สังคมและประชาชนอาจเกิดความไม่เข้าใจและสงสัยถึงประเด็นดังกล่าว ในโอกาสนี้ กอ.รมน. ขอเรียนถึงข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้

จากประเด็นที่คณะกรรมาธิการการทหารของสภาผู้แทนราษฎรได้สอบถามถึงการใช้อำนาจใดในการดำเนินการแจ้งความ ต้องขอเรียนว่า การกระทำที่อาจเข้าข่ายผิด มาตรา 112 เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐถือเป็นอาญาแผ่นดิน นอกจากนี้ในประมวลกฎหมาย ป.วิ อาญา ม.2(4) และ ม.8 ผู้พบเห็นการกระทำผิดอาญาโดยเฉพาะถ้าเป็นความผิดอาญาที่กระทบต่อสาธารณะสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ซึ่งบุคคลทั่วไป หรือหน่วยงาน ที่พบเห็นข้อความ การแสดงออก หรือการกระทำที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สามารถเข้าแจ้งความร้องทุกข์ได้ เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งในกรณีนี้ กอ.รมน. ภาค3 ได้รับการแจ้งเบาะแสจึงดำเนินการตรวจสอบตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง และตรวจพบการกระทำที่มีลักษณะอาจเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 จึงได้เข้าร้องทุกข์และแจ้งความต่อตำรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก ในความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ

ขณะนี้ขั้นตอนอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีในชั้นศาล ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริง พยาน หลักฐาน แล้วตัดสินว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดหรือไม่ เมื่อขั้นตอนเข้าสู่กระบวนการศาลแล้วการให้ข้อมูลเกี่ยวกับพยานหลักฐาน หรือองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องอาจทำได้อย่างจำกัด ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปไม่สามารถที่จะตัดสินหรือสรุปเองได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เพราะจะถือเป็นการละเมิดและก้าวล่วงอำนาจศาล

สำหรับประเด็นที่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนถึงบทบาทอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาตรา 7 ขอเรียนว่า อำนาจในส่วนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกลไกในการจัดทำแผนงานเพื่อบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาความมั่นคงที่มีความซับซ้อนต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน จึงต้องได้รับการอนุมัติจากฝ่ายบริหารเพื่อนำไปดำเนินการตามกฎหมาย อาทิ การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง เช่น การแก้ไขปัญหายาเสพติด การเสริมสร้างความมั่นคงสถาบันหลักของชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กรณีคดีของ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส เป็นคดีอาญาไม่ใช่การดำเนินการตามมาตรา 7

ส่วนในกรณีที่มีการสันนิษฐานว่า ห้วงเวลาในการดำเนินคดีกับ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส อยู่ระหว่างการเตรียมการเจรจาเรื่องการขึ้นภาษีกับสหรัฐอเมริกา อาจสร้างผลกระทบหรือสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยหรือไม่ ต้องขอเรียนว่าการดำเนินคดีเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ กับเรื่องภาษีเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มีสถานะทางกฎหมายและผลกระทบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ขณะเดียวกัน กอ.รมน.ภาค 3 เป็นหน่วยงานความมั่นคง มีหน้าที่ปกป้องความมั่นคงของสถาบันของชาติ การกระทำที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าจะโดยคนไทยหรือชาวต่างชาติ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายเช่นเดียวกัน ซึ่งการพิจารณาในชั้นศาลถือว่าเป็นกระบวนยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่าย สามารถนำหลักฐาน ข้อเท็จจริง พยานมาชี้แจงแสดงได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยขอยืนยันว่าการดำเนินคดีกับ ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมภายใต้หลักนิติธรรม พร้อมขอให้สังคมรอการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรม และเคารพอำนาจศาลในการพิจารณาคดี

Advertisement

กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ สว. ถกนัดแรก 23 เม.ย. จ่อวางตัวคนนอกนั่ง ปธ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 เมษายน 2568 กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ วุฒิสภา ถกนัดแรก 23 เม.ย. จ่อวางตัว “คนนอก-สายตรงบ้านใหญ่” นั่ง ปธ.กมธ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ประชุมวุฒิสภา ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ​(Entertainment Complex) ตามญัตติที่เสนอโดยนายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สว. ประกอบด้วย กมธ.จำนวน 35 แบ่งเป็นคนนอก 12 คนนั้น ซึ่งพบว่าต่อมานพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว.กลุ่มสาธารณสุข ได้ขอลาออกจากตำแหน่งกมธ.ดังกล่าว ทำให้เหลือ กมธ. 34 คน

ล่าสุดมีรายงานข่าวจากวุฒิสภาแจ้งว่า จะมีการเรียกประชุมนัดแรกในวันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยนัดแรกจะเป็นการเลือกกมธ.ในตำแหน่งต่างๆ ที่สำคัญ อาทิ ประธานกมธ. รองประธานกมธ. เลขานุการ โฆษก กมธ. รวมถึงการวางกรอบการทำงานที่มีกำหนดระยะเวลา 180วัน และจะพิจารณาตำแหน่งที่ว่างลง 1 ตำแหน่ง เนื่องจาก นพ.เปรมศักดิ์ ได้ลาออกไป

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวแจ้งด้วยว่าในฝั่งของ สว.สีน้ำเงินที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ ได้วางตัวบุคคลให้ดำรงตำแหน่งประธานกมธ. เบื้องต้นได้วางตัว นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งเป็นกมธ.สัดส่วนคนนอก และมีสถานะที่รู้กันว่าเป็นสายตรงของบ้านใหญ่บุรีรัมย์ ทำให้เกิดความกังวลว่าการศึกษารายละเอียดดังกล่าวนั้นจะทำให้เกิดความไม่เป็นกลาง ไม่ใช่การศึกษาที่เป็นเชิงวิชาการ แต่อาจถูกใช้เพื่อให้เป็นเกมต่อรองทางการเมือง ระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคที่มีประเด็นข้อขัดแย้งกันในสภาผู้แทนราษฎร คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ… หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อย่างไรก็ดี การวางตัวบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ สว. ยังต้องพิจารณาในแง่ความเหมาะสมอีกครั้ง

Advertisement

 

เชิญชวนใส่กางเกง “ลายอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น” เที่ยวสงกรานต์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 เมษายน 2568 รัฐบาลเชิญชวนใส่กางเกง “ลายอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น” เที่ยวสงกรานต์..อวดสายตาชาวโลก สืบสานวัฒนธรรมไทยอย่างมีสไตล์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวน สวมใส่กางเกง “ลายอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น” หรือ “ลายประจำจังหวัด” เพื่อเป็นการส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น และสร้างจุดเด่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 และเพื่อเป็นการสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้าน อีกทั้ง ยังเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนรุ่นใหม่ ภูมิใจในความเป็นไทย รวมทั้งยังเป็นการสร้างนักออกแบบดีไซน์เนอร์ของแต่ละจังหวัดด้วย

โดยตัวอย่างลายอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น หรือ “ลายประจำจังหวัด ใน 5 ภาค ที่โดดเด่นโดนใจ เช่น ภาคกลาง อาทิ ลพบุรี: กางเกงลายลิงและดอกทานตะวัน นครปฐม: กางเกงปลากัด นนทบุรี: กางเกงชาวนนทบุเรียน กรุงเทพฯ: กางเกงข้าง PAJARA BANGKOK สมุทรสงคราม: กางเกงทูนี กาญจนบุรี: กางเกงปลายี่สก ราชบุรี: กางเกงโอ่งมังกรราชบุรี เพชรบุรี: กางเกงวัวลาน ฯลฯ

ภาคเหนือ อาทิ เชียงราย: กางเกงอัตลักษณ์เชียงราย ลวดลายไตรภูมิ (สามโลก) ลำปาง: กางเกงก๋าไก่ลำปาง, กางเกงม้าหาเสน่ห์ลำปาง อุตรดิตถ์: กางเกงทุเรียนหลงหลินลับแล แพร่: กางเกงเสือระเบิด ลำพูน: กางเกงตัวน้อยลำพูน สุโขทัย: กางเกงลายปลาสังคโลกสุโขทัย ตาก: กางเกงลายกระทงสาย พิจิตร: กางเกงจระเข้ อุทัยธานี, กางเกงปลาแรด เชียงใหม่: กางเกงลายจังหวัดเชียงใหม่ ฯลฯ

ภาคตะวันออก อาทิ ฉะเชิงเทรา: กางเกงแปดริ้วเมืองปลากัด สมุทรปราการ: กางเกงสมุทรปราการ ปราจีนบุรี: กางเกงลายปราจีนบุรี นครนายก: กางเกงลาย “ชิดคชา”, กางเกงลาย “ชิดณิการ์” จันทบุรี: กางเกงจันทบุรี ออริจินัล ตราด: กางเกงหมาหลังอาน ระยอง: กางเกงระยองลายม้านิลมังกร สระแก้ว: กางเกงลายผีเสื้อปางสีดาและดอกแก้ว ชลบุรี: กางเกงลายหมูเด้ง กางเกงลายคาปิบารา กางเกงลายฉลามชลบุรี ฯลฯ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ อุบลราชธานี: กางเกงลายผาแต้ม บึงกาฬ: กางเกงลายนากบึงกาฬ ศรีสะเกษ: กางเกงลายกรูปรีพลัส ยโสธร: กางเกงลายยโสธร อุดรธานี: กางเกงลายกันหอย เลย: “กางเกงมักม่วน” ผีตาโขนเมืองเลย กาฬสินธุ์: กางเกงกาฬสินธุ์ ซากฟอสซิลไดโนเสาร์ ฯลฯ

ภาคใต้ อาทิ ระนอง: กางเกงกาหยู พังงา: กางเกงลายปลาเสือ ภูเก็ต: กางเกงลายสับปะรดภูเก็ต กระบี่: กางเกง Soft Power Krabi ตรัง: กางเกงพะยูน สตูล: กางเกงลายดอกจำปาดะ สงขลา: กางเกงสมิหลา พัทลุง: กางเกงลายโนรา ยะลา: กางเกงยอกเขาลา ปัตตานี: กางเกงลายดอกกะนา ฯลฯ

“เชิญชวนคนไทยร่วมใจกันใส่กางเกงลายอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 เพื่อสืบสานวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างมีสไตล์ และผลักดันให้กางเกงลายอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นไทย กลายเป็น “สินค้าต้องซื้อ” เป็นของที่ระลึกของชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยได้อีกทางหนึ่ง” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

 

นายกฯ ย้ำจุดยืนไทย มุ่งพัฒนาคุณภาพกฎหมายตามมาตรฐานสากล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 เมษายน 2568 นายกฯ ปาฐกถาผ่านวิดิทัศน์ ย้ำจุดยืนไทยในการประชุมคณะกรรมการด้านกฎหมาย OECD มุ่งพัฒนาคุณภาพกฎหมายตามมาตรฐานสากล พร้อมสนับสนุนการใช้ OECD Regulatory Policy Outlook ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ

เมื่อเวลา 18.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งตรงกับเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส 13.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาผ่านบันทึกวีดิทัศน์ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมายขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ภายใต้หัวข้อ “ความสำคัญของการพัฒนากฎหมาย” เพื่อแสดงจุดยืนและความตั้งใจของไทยในการดำเนินกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD และสนับสนุนการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD (OECD Regulatory Policy Outlook) ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยสรุปสาระสำคัญของปาฐกถา ดังนี้

นายกรัฐมนตรี ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD ในวันนี้ พร้อมชื่นชม OECD ที่สามารถคงบทบาทนำในการส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านการกำกับดูแลที่ดี ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก โดยไทยยอมรับมาตรฐานและแนวทางของ OECD ซึ่งช่วยปรับนโยบายให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมการกำกับดูแลจะสนับสนุนให้เกิดการสร้างนวัตกรรม ดึดดูดการลงทุน และนำมาซึ่งผลประโยชน์ให้กับประชาชนไทย ตลอดจนช่วยให้ไทยพร้อมรับมือกับความท้าทายในระดับโลก และส่งเสริมบทบาทของไทยในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ไทยยึดมั่นต่อการดำเนินการตามคำแนะนำของ OECD ในเรื่องนโยบายกฎระเบียบและธรรมาภิบาล (2012 Recommendation of the Council on Regulatory Policy and Governance) และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตามคำแนะนำของ OECD ต่อไป โดยไทยจะส่งเสริมความร่วมมือกับ OECD ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมุ่งมั่นเข้าเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งจะสนับสนุนไทยในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญกับประเทศสมาชิกมากขึ้น ตลอดจนช่วยปรับปรุงนโยบายของไทยและการรับมือกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณถึงนานาชาติว่า ไทยมุ่งมั่นส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายงานนโยบายด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของโลก แนวปฏิบัติเชิงนวัตกรรม และแนวทางแก้ไขเชิงปฏิบัติเพื่อปรับปรุงระบบการกำกับดูแล โดยสำหรับไทย รายงานดังกล่าวเป็นทั้งมาตรฐานและแผนงานในการปรับปรุงและนำเสนอนโยบาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ในโลกที่มีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น ทำให้ความสอดคล้องของกฎระเบียบมีความสำคัญต่อการค้า การลงทุน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งรายงานนี้จะเป็นเครื่องมือและความรู้ที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจที่มองไปข้างหน้าและปรับตัวได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณ OECD สำหรับรายงานดังกล่าว พร้อมหวังว่าไทยจะได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้ เพื่อขับเคลื่อนวาระการพัฒนาของประเทศ

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำความมุ่งมั่นของไทยต่อหลักความเป็นเลิศด้านการกำกับดูแล (Regulatory Excellence) และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD จะเป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนความก้าวหน้า แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับประเทศสมาชิก และกำหนดเป้าหมายสำหรับอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณ OECD และพันธมิตร สำหรับความร่วมมือและการมีบทบาทนำ เพื่อร่วมกันสร้างระบบการกำกับดูแลที่ขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรือง ความเสมอภาค และความยั่งยืนสำหรับทุกคน

Advertisement

“อนุทิน” ย้ำ 5 นโยบาย บำบัดทุกข์ บำรุงสุขอย่างทันท่วงที

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 เมษายน 2568 “อนุทิน” มอบนโยบายผู้ว่าฯ-ส่วนราชการมหาดไทย เพชรบูรณ์ ย้ำ 5 นโยบาย บำบัดทุกข์ บำรุงสุขอย่างทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที มีประชาชนเป็นเจ้านาย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย มอบนโยบายการขับเคลื่อนงานตามภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพบปะ อปท.ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียง ณ หอประชุมโรงเรียนเพชรพิทยาคม ต.ในเมือง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ โดยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ร่วมด้วย

นายอนุทิน กล่าวว่า ข้าราชการและบุคลากรของกระทรวงมหาดไทยมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือ ทำให้พี่น้องประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับความสะดวกสบายในการประกอบอาชีพ ดำรงชีวิต ที่ปราศจากภัยอันตราย ขอให้ชาวมหาดไทยในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ มุ่งมั่นทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชนตาม 5 นโยบายหลัก ได้แก่

  1. การจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล
  2. การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกับฝ่ายความมั่นคงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  3. การสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนอย่างเต็มที่ ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน โดยใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
  4. การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ซึ่ง จ.เพชรบูรณ์ โด่งดังเรื่องการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ต้องช่วยกันผลักดัน สนับสนุน ร่วมมือกันทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในชุมชน สร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์ชุมชน เพิ่มช่องทางการตลาด
  5. น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน รวมถึงไฟฟ้าที่ถือเป็นสิ่งความจำเป็นพื้นฐานของประชาชน ต้องลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน สนับสนุนให้ใช้ระบบโซลาร์เซลล์ อำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพ

นายอนุทิน กล่าวว่า การขับเคลื่อนทั้ง 5 นโยบายต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อ”บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นพันธกิจหลักคนมหาดไทย ควบคู่การทำงานเป็นทีมเดียวกัน ตามแนวทาง “ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที” ที่มี “ประชาชนเป็นเจ้านาย” โดยตนเชื่อว่า หากพวกเราสามัคคีกัน ร่วมมือกัน ทำด้วยใจที่รักชาติ รักประชาชน เราจะไม่มีคำว่าล้มเหลว เพื่อตอกย้ำหน้าที่ของคนมหาดไทยที่ทำต่อเนื่อง 133 ปี คือ การรับใช้ประชาชนและประเทศชาติอย่างเต็มความสามารถ

Advertisement

นายกฯเผย ลดค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค.-ส.ค.68 เหลือหน่วยละ 3.99 บาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 เมษายน 2568 ทำเนียบ – นายกฯ เผย ครม. รับทราบมาตรการลดค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค.-ส.ค.68 เหลือหน่วยละ 3.99 บาท โดยไม่ใช้เงินรัฐหนุน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุม ครม.รับทราบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยได้เสนอให้มีเป้าหมายการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่จะประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้า สำหรับรอบเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม ปี 2568 ลงเหลืออัตราไม่เกินหน่วยละ 3.99 บาท โดยไม่มีการอุดหนุนงบประมาณจากภาครัฐ

Advertisement

นายกฯ โพสต์ขอบคุณหลังสภาผ่านฉลุยไว้วางใจ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 มีนาคม 2568 รัฐสภา – นายกฯ โพสต์ขอบคุณหลังสภาผ่านฉลุยไว้วางใจ ยันชี้แจงทุกประเด็น ลั่นทั้งเสียงหนุน-เสียงไม่ไว้วางใจ จะเป็นพลังให้มุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชน

ภายหลังสภาผู้แทนราษฎรมีมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีด้วยคะแนน 319 ต่อ 162 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ตนขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนอย่างเต็มที่ ทั้งคณะรัฐมนตรีซึ่งได้ร่วมชี้แจงทุกประเด็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่ร่วมกระบวนการตรวจสอบเพื่อประโยชน์ของประเทศ

ทุกคะแนนเสียง ทั้งสนับสนุน และเสียงไม่ไว้วางใจ จะเป็นพลังให้ตนและคณะรัฐมนตรี มุ่งมั่นทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป

ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่รัฐสภา ข้าราชการ สื่อมวลชน ทีมงาน และพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ติดตาม และให้ความสำคัญกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้

Advertisement

กรมที่ดิน โพสต์ชี้แจง นายกฯ แพทองธาร ไม่ได้แทรกแซงเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ ปมถือหุ้นอัลไพน์กอล์ฟ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 มีนาคม 2568 กรมที่ดิน โพสต์ชี้แจง นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร” ไม่ได้แทรกแซงเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ ปมถือหุ้นอัลไพน์กอล์ฟ

วันนี้ (24 มี.ค.68) หลังจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายไม่วางไว้ใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยหนึ่งในประเด็นที่ “บิ๊กป้อม” อภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นประเด็น นายกฯ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำนิติกรรมอำพราง ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จเพื่อเลี่ยงภาษี อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ยังไม่นับการถือหุ้นอัลไพน์กอล์ฟ ทั้งที่รู้ว่าเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ ไม่ควรแสวงประโยชน์ในทางที่ผิด นอกจากนั้น ปล่อยปละให้บุคคลในครอบครัวมากระทำให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่

ล่าสุด กรมที่ดิน ได้โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจง! นายกฯ ไม่ได้แทรกแซงเกี่ยวกับการเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ตามที่มีการอภิปรายในประเด็นเกี่ยวกับการถือหุ้นของนายกรัฐมนตรีในบริษัท อัลไพน์ฯ ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการขาดความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากมีการถือครองที่ดินที่เป็นที่ธรณีสงฆ์นั้น กรมที่ดินขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้

“การถือหุ้นในบริษัท อัลไพน์ฯ นายกรัฐมนตรีได้รับโอนหุ้นของบริษัท อัลไพน์ฯ มาจากผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยการโอนดังกล่าวเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใดซึ่งสถานะทางกฎหมายของที่ดิน ณ ขณะนั้นเมื่อมีการรับโอนหุ้นดังกล่าว สถานะของที่ดินที่เป็นประเด็นยังไม่ถูกเพิกถอน และยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย การเพิกถอนที่ดินให้กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์หลังจากนายกรัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่ง มิได้มีการสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการแทรกแซงหรือชะลอการเพิกถอนที่ดินดังกล่าว ตรงกันข้าม กระบวนการเพิกถอนที่ดินให้กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วภายใต้การดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ”

Advertisement

Verified by ExactMetrics