วันที่ 5 พฤศจิกายน 2025

“มาครง” ชี้โลกเผชิญความท้าทายใหม่ 3 อย่าง สงคราม-การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย-ภูมิอากาศ

People Unity News : 18 พฤศจิกายน 2565 “ปธน.มาครง” ปาฐกถาเวที APEC CEO Summit 2022  ชี้การสร้างสันติภาพและความมั่นคงคือกุญแจสำคัญ ช่วยโลกก้าวผ่านภาวะปั่นป่วนวุ่นวายจากความท้าทายใหม่ ด้านผู้ว่าฯ ททท. ประกาศแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยว เน้นนักท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

การประชุม APEC CEO Summit 2022  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 พ.ย.2565  ที่ ดิ แอทธินี โฮเต็ล อะ ลักชัวรี คอลเลคชั่น โฮเต็ล เวทีคู่ขนานกับเวทีประชุมเอเปค 2022 การประชุมในวันนี้เป็นวันสุดท้าย โดยนายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ กรรมการบริหาร  การประชุม APEC CEO Summit 2022 กล่าวต้อนรับ โดยระบุว่าการประชุม APEC CEO Summit 2022 เป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ที่ผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำภาคเอกชน และผู้นำทางความคิดมาร่วมกันหาทางออกสำหรับอนาคตของเรา

ในโอกาสนี้ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ  Mr.Krishna Srinivasan  กรรมการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ  ในประเด็น Achieving Economic Resilience in APEC”

นายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “การนำทางผ่านโลกที่ปั่นป่วนวุ่นวาย”  โดยชี้ว่า หลังจากที่โลกผ่านวิกฤติโควิด-19 มา ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ 3 อย่าง คือ สงคราม ที่ก่อให้เกิดวิกฤตพลังงานและอาหารตามมา สองคือ การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในโลก ที่ทำให้ความร่วมมือระหว่างประเทศลดลง และสามคือ ปัญหาสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง

“ความท้าทายเหล่านี้ถือเป็นปัญหาของทุกฝ่ายที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข และการมีกฎกติกาโลกที่ทุกฝ่ายปฏิบัติร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งฝรั่งเศสมองว่าการสร้างสันติภาพและความมั่นคง คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้โลกก้าวผ่านภาวะปั่นป่วนวุ่นวายนี้ไปได้ การเจริญเติบโตของแต่ละประเทศก็มีส่วนสำคัญในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และต้องเป็นการเติบโตที่ยั่งยืน ครอบคลุม และเท่าเทียม” ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าว

จากนั้นได้มีการเสวนาหัวข้อ “การสร้างความเท่าเที่ยมทางเพศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต”  ที่มีซีอีโอชั้นนำของไทยเข้าร่วม ได้แก่ น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย Ms. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และ Mr. Timothy D. Dattels สมาชิกสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) แคนาดา

การประชุมในช่วงเช้าจบลงที่การบรรยายในหัวข้อ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ของนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ว่านับตั้งแต่ไทยเปิดประเทศเมื่อเดือนตุลาคม 2564 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ 8.5 ล้านคน และ ททท.ตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.4 ล้านล้านบาท) ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากรายได้ช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ถึง 80% ทั้งนี้ ททท.จะเปลี่ยนแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวจากการเน้นที่ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว เป็นการเน้นให้นักท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลาง

“ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่เน้นความรู้และประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้สูง ส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเฉพาะทาง เช่น การท่องเที่ยวที่เน้นกีฬา หรือการท่องเที่ยวแบบมีความรับผิดชอบให้มากขึ้น ซึ่งจะพยายามทำงานโดยเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน โดยตั้งเป้าให้ทุกฝ่ายได้รับส่วนแบ่งรายได้ที่ยุติธรรม นอกจากนี้ ททท. จะผลักดันการบังคับใช้กฎระเบียบด้านสุขอนามัยและการปกป้องสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งวางแผนประกาศให้เกาะหมาก เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศ” ผู้ว่า ททท. กล่าว

Advertisement

WTTC คาดปีหน้าท่องเที่ยวโลกขยายตัว 3.8% ส่วนไทยขึ้นไปอยู่ที่ 10 ภายใน 10 ปี

People unity news online : เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานว่า สมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก หรือ WTTC (World Travel & Tourism Council) คาดว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะขยายตัวต่อเนื่องปีหน้าที่อัตรา 3.8% เทียบกับการเติบโต 3.3% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งดีกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

เมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างรายได้ 7.6 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 10.2 ของขนาดเศรษฐกิจโลก และเงินจากภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 30 ของรายได้การส่งออกจากการบริการ

ภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในอัตราร้อยละ 8.3 คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะได้แรงหนุนจากความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจีน

WTTC ประเมินว่า ไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวสูงอันดับ 10 ของโลกในช่วง 10 ปีจากนี้

สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ WTTC นาย David Scowsill บอกกับช่องโทรทัศน์ CNBC เมื่อต้นสัปดาห์ว่า “ความพยายามจำกัดการเดินทางเข้าสหรัฐฯของประชาชนบางประเทศโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ซึ่งกำลังเผชิญจากปัจจัยลบที่มาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้นอยู่แล้ว”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานว่า การท่องเที่ยวในหลายประเทศของกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว โดยปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากชนชั้นกลางและระดับรายได้ที่สูงขึ้นรวมทั้งจากการขยายตัวของบริการสายการบินต้นทุนต่ำด้วย

แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า การขยายตัวของตลาดการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วนี้สร้างปัญหากดดันต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และเตือนให้รัฐบาล รวมทั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศอาเซียน ให้ความสนใจกับคุณภาพและการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตนต้องการ มากกว่าที่จำนวนนักท่องเที่ยว รวมทั้งเน้นนโยบายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้วย องค์การ World Travel and Tourism Council หรือ WTTC คาดการณ์ว่าบทบาทของการท่องเที่ยวที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะเพิ่มขึ้น 5.6 % ในช่วง 10 ปีข้างหน้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 528,000 ล้านดอลลาร์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ช่วยจ้างงานทั้งโดยตรงและทางอ้อม สำหรับผู้คนราว 32 ล้านคนในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย

ส่วนบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน CLSA ก็ชี้ว่า มีโอกาสการลงทุนมากมายที่รออยู่ในภาคการท่องเที่ยว นับตั้งแต่โรงแรมและที่พักตากอากาศ ไปจนถึงระบบคมนาคมขนส่ง การรักษาความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่มาพร้อมการขยายตัวของการท่องเที่ยว คือบุคลากรและระบบสนับสนุนที่เพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำที่ช่วยรองรับนักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวของจีนที่เดินทางออกนอกประเทศได้เพิ่มขึ้นถึง 700% ในช่วง 15 ปี คือจาก 10 ล้านคนเมื่อปี 2543 มาเป็น 78 ล้านคนในปี 2558

และสำหรับของไทยนั้น คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นจาก 32 ล้านคนในขณะนี้เป็น 50 ล้านคนภายในปี 2564 เช่นกัน

People unity news online : post 25 มีนาคม 2560 เวลา 14.51 น.

ประยุทธ์ เข้าร่วมประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 พร้อมรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC

People Unity News : ประยุทธ์ พร้อมเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 และรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ต่อจากศรีลังกา

วันนี้ (28 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยศรีลังกา และนายโคฐาภยะ ราชปักษะ ประธานาธิบดีศรีลังกา เป็นผู้กล่าวในช่วงพิธีเปิดการประชุม ในวันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.50 น. ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

นายธนกร กล่าวว่า บิมสเทค (BIMSTEC) เป็นกรอบความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่าง 7 ประเทศในอ่าวเบงกอล ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2540 ภายใต้การริเริ่มและผลักดันของไทย เพื่อสอดรับนโยบายมองตะวันตก (Look West) ของไทย เข้ากับนโยบายมองตะวันออก (Look East) ของกลุ่มประเทศเอเชียใต้ และ Act East ของอินเดีย โดย ไทย เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2557

การประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 ศรีลังกาในฐานะเจ้าภาพ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “BIMSTEC- Towards a Resilient Region, Prosperous Economies, Healthy Peoples”  หรือ “บิมสเทค มุ่งหน้าสู่อนุภูมิภาคที่ยืดหยุ่น มั่งคั่ง และประชาชนมีสุขภาพดี” ซึ่งการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนประเทศไทย จะร่วมพิธีรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ให้แก่ไทย พร้อมร่วมรับชมวิดีโอเปิดตัวการเป็นประธาน โดยไทยจะเป็นประธาน BIMSTEC วาระ 2 ปี ช่วงปี 2565-2566 ต่อจากศรีลังกา โดยประเด็นที่ไทยต้องการผลักดันในช่วงการดำรงตำแหน่งประธาน อาทิ การสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายและวิกฤตรูปแบบต่างๆ และความสามารถในการฟื้นตัว เป็นต้น และในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะกล่าวถ้อยแถลงในนามผู้นำรัฐบาลไทยอีกด้วย

Advertising

ประชากรโลกแตะหลัก 8,000 ล้านคน!

People Unity News : 16 พฤศจิกายน 2565 สหประชาชาติประเมินว่า ประชากรโลกจะมีจำนวนราว 8,000 ล้านคนในวันอังคารนี้ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนาในทวีปแอฟริกามากที่สุด

หนึ่งในประเทศเหล่านั้นคือ ไนจีเรีย ที่ซึ่งทรัพยากรต่างๆค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว โดยปัจจุบันประชากรมากกว่า 15 ล้านคนในกรุงลากอส เมืองหลวงของไนจีเรีย ต้องแย่งชิงกันใช้ทรัพยากรต่างๆ ตั้งแต่ไฟฟ้า น้ำประปา ไปจนถึงระบบขนส่งมวลชน ขณะที่ เด็กนักเรียนไนจีเรียจำนวนมากต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อให้ทันไปโรงเรียนท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักทุกวัน

สหประชาชาติคาดว่า ประชากรไนจีเรียจะเพิ่มขึ้นจาก 216 ล้านคนในปีนี้เป็น 375 ล้านคนในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ไนจีเรียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ

ไนจีเรีย เป็นเพียงหนึ่งใน 8 ประเทศที่ยูเอ็นระบุว่า มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกทั้งหมดระหว่างปี 2022 – 2050 โดยอีก 7 ประเทศ ได้แก่ คองโก เอธิโอเปีย แทนซาเนีย อียิปต์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และอินเดียที่คาดว่าจะแซงจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในปีหน้า

รายงานของยูเอ็นฉบับนี้ยังคาดการณ์ว่า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ล้านคนภายในปี 2030 และถึง 9,700 ล้านคนภายในปี 2050 ก่อนจะเพิ่มถึง 10,400 ล้านคนภายในปี 2100

รายงานของสหประชาชาติ “Day of 8 Billion” ที่เผยแพร่ในวันอังคาร สำรวจปัญหาในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการเจาะจงถึงปัญหาที่แท้จริงซึ่งมาพร้อมกับหลักไมล์ใหม่ของจำนวนประชากรโลก โดยชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มภัยคุกคามต่อประเทศกำลังพัฒนาที่ล้าหลัง ตั้งแต่การจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค การศึกษา การทำงาน และความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น

รายงานชี้ว่า “จำนวนประชากรในประเทศแถบทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา คาดว่า จะเพิ่มขึ้นสองเท่าระหว่างปี 2022 – 2050 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรที่มีจำกัด และท้าทายการวางแผนนโยบายเพื่อลดปัญหายากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศเหล่านั้น”

ดร.ศรีนาธ เรดดีย์ ประธานองค์กร Public Health Foundation of India กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรส่งผลให้มีประชาชนมากขึ้นที่ต้องแย่งชิงทรัพยากรน้ำ และทำให้ครอบครัวจำนวนมากขึ้นที่ต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนอาหาร เพิ่มแรงกดดันต่อสิ่งแวดล้อม และท้าทายความมั่นคงทางอาหาร

นักวิเคราะห์ชี้ว่า ภัยคุกคามสำคัญที่สุดต่อสิ่งแวดล้อม คือ การบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศพัฒนาแล้วที่จำนวนประชากรมิได้เพิ่มขึ้นมากนัก

อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนประชากรในหลายประเทศกำลังเพิ่มขึ้น แต่รายงานของยูเอ็นชี้ว่า มีอย่างน้อย 61 ประเทศที่จำนวนประชากรมีอัตราลดลงราว 1%

ข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ระบุว่า ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีจำนวนประชากรราว 333 ล้านคน โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ระดับเพียง 0.1% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ที่มา: เอพี)

Advertisement

ธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้

5 กันยายน 2568 สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์รายงานในวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 1.5% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแม้ว่าสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) และอาจเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.7% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2567

ธนาคารกลางฟิลิปปินส์แถลงหลังจากการเปิดเผยดัชนี CPI ในวันนี้ว่า เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% – 4% ของธนาคารกลางในปีนี้ เนื่องจากราคาข้าวปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.7%

อีไล เรโมโลนา ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ธนาคารกลางอาจคงอัตราดอกเบี้ยตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลงและอุปสงค์ภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี ผู้ว่าการธนาคารกลางยังคงเปิดโอกาสที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก หากอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอลง

ทั้งนี้ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 1.50% นับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากเงินเฟ้อชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากราคาข้าวปรับตัวลง โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของฟิลิปปินส์อยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี

Advertisement

ผู้นำเอเปค รับข้อเสนอ ABAC มุ่งสร้างความเชื่อมโยง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

People Unity News : 18 พฤศจิกายน 2565 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้นำเอเปค รับข้อเสนอภาคเอกชน ABAC หวังร่วมมือฟื้นเศรษฐกิจเอเปค หวั่นหลายปัจจัยคุกคามเอเปค จากกับดักเงินเฟ้อ วิกฤตอาหาร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมหารือเต็มคณะระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค กับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Leaders’ Dialogue with ABAC)

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ABAC กล่าวว่า  ปัจจุบันความท้าทายต่างๆ เป็นภัยคุกคามที่ทุกเขตเศรษฐกิจต้องเผชิญร่วมกัน จึงเน้นย้ำการร่วมมือกันอย่างจริงจัง เน้นการป้องกันการติดอยู่ในกับดักเงินเฟ้อ วิกฤตอาหาร อำนวยความสะดวกทางการค้า ดำเนินการตามเศรษฐกิจ BCG รับมือกับโรคระบาด การเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม สนับสนุนความเชื่อมโยงและไร้รอยต่อ ภายใต้มาตรฐานและแนวปฏิบัติร่วมกัน รวมถึงการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนบูรณาการทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค สนับสนุน MSMEs โดยเฉพาะ รวมถึงการพัฒนาและนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมาใช้

จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ ABAC สำหรับข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์และปฏิบัติได้จริง สะท้อนข้อเรียกร้องของภาคธุรกิจว่า เอเปคจะต้องดำเนินการเรื่องต่างๆอย่างไรต่อไป ซึ่งการหารือจะเป็นโอกาสดีที่จะได้สานต่อความร่วมมือ โดยใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาร่วมกันของภูมิภาค โดยเอเปคมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ อาทิ การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อหาทางออกไปด้วยกัน รวมทั้งความสำเร็จของเอเปคในปีนี้ เป็นผลมาจากการรับข้อเสนอแนะของ ABAC มาขับเคลื่อนในเอเปค

“โดยเฉพาะแผนงานต่อเนื่องหลายปีสำหรับวาระเรื่อง FTAAP (Free Trade Area of the Asia-Pacific) รวมทั้งการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยได้บรรลุผลเป็นรูปธรรม ช่วยฟื้นฟูการเดินทางข้ามแดนอย่างปลอดภัยและไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ยังเสนอการจัดทำเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG เพื่อขับเคลื่อนวาระการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุม สอดคล้องกับการขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของ ABAC” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผลงานของ ABAC ปีนี้ ส่งเสริม สอดคล้องกับการดำเนินงานของเอเปคเป็นอย่างดี พร้อมขอให้ใช้ประโยชน์จากการหารือกลุ่มย่อย เพื่อนำข้อเสนอของเอแบคไปสู่นโยบายที่สามารถดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างอนาคตของภูมิภาคที่ยั่งยืนและครอบคลุม

Advertisement

WHO เตือนประชากรโลกเผชิญ ‘มลพิษทางอากาศ’ รุนแรง โดยเฉพาะประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลาง

People Unity News : 5 เมษายน 65 เมื่อวันจันทร์ (4 เม.ย.) องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่าประชากรโลกเกือบทั้งหมด หรือร้อยละ 99 สูดอากาศที่มีมลพิษเกินระดับที่องค์การอนามัยโลกกำหนด

แม้ปัจจุบันเมืองมากกว่า 6,000 แห่งใน 117 ประเทศจะเฝ้าติดตามคุณภาพอากาศ แต่ประชาชนในเมืองเหล่านั้นยังคงสูดดมอนุภาคขนาดเล็กและก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ในระดับอันตราย โดยประชาชนในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและปานกลางเผชิญผลกระทบดังกล่าวสูงสุด

องค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และใช้มาตรการอันเป็นรูปธรรมอื่นๆ เพื่อลดมลพิษในอากาศ โดย ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ชี้ว่าราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สูง ความมั่นคงทางพลังงาน และการเร่งรับมือความท้าทายจากมลพิษทางอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เน้นย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการก้าวสู่โลกที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยลงเร็วขึ้น

อนึ่ง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะพีเอ็ม2.5 (PM2.5) สามารถแทรกซึมเข้าปอดและกระแสเลือด ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคระบบทางเดินหายใจ ส่วนก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์มีความเกี่ยวข้องกับโรคระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคหอบหืด

องค์การอนามัยโลก คาดการณ์ว่าแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุด้านสิ่งแวดล้อมที่ป้องกันได้สูงเกิน 13 ล้านราย ซึ่งรวมถึงผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศจำนวน 7 ล้านราย

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก แนะนำการสร้างระบบและเครือข่ายขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและราคาย่อมเยา ซึ่งเหมาะสมกับคนเดินเท้าและคนขี่จักรยาน การลงทุนด้านที่อยู่อาศัยและโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพทางพลังงาน การจัดการขยะของเสียที่ดีขึ้น การลดการเผาขยะทางการเกษตรและกิจกรรมวนเกษตรบางส่วนอย่างการผลิตถ่านไม้ เพื่อพัฒนาคุณภาพอากาศและสุขภาพ

Advertisement

พิษสงครามยูเครน เศรษฐกิจเยอรมนีดำดิ่ง SME กระทบหนักสุด

People Unity News : 18 ตุลาคม 2565 ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเยอรมนีถือเป็นต้นแบบของเสถียรภาพและความแข็งแกร่งมายาวนาน แต่วิกฤตพลังงานที่มีชนวนมาจากสงครามยูเครนพ่วงด้วยภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง ได้ผลักให้แดนอินทรีเหล็กดำดิ่งในวิกฤตและสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในอนาคตได้

มาร์เซล แฟรตส์เชอร์ ประธานสถาบัน German Institute for Economic Research เปิดเผยกับวีโอเอว่า “สงครามยูเครนและวิกฤตพลังงานกระทบกระเทือนเยอรมนีอย่างหนัก เพราะเยอรมนีพึ่งพาการนำเข้าพลังงานฟอสซิลจากต่างประเทศ เมื่อราคาปรับพุ่งสูงขึ้น ได้ทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีดิ่งลงสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย”

บรรดาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเยอรมนี โดยเมื่อปี 2020 ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจ้างงานชาวเยอรมันมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ แต่ธุรกิจกลุ่มนี้กำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตล่าสุด

ยาน ชมีเดอร์-บัลลาเดอร์ เจ้าของธุรกิจเบเกอรีซึ่งมีพนักงาน 20 คน เลอ โบร็ต ในเมืองนอยเคิร์น ชานกรุงเบอร์ลิน บอกกับวีโอเอว่า “ความท้าทายสำคัญที่เราเผชิญในตอนนี้คือความไม่แน่นอนของราคาพลังงาน เงินเฟ้อที่พุ่งสูง และภาวะไฟฟ้าดับที่อาจเกิดขึ้นในฤดูหนาวปีนี้ ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น 30% ไปแล้ว เราคาดว่าราคาพลังงานจะไปต่ออีก 100% แน่นอน แต่นั่นขึ้นกับฤดูหนาวที่จะมาถึงประกอบกับทิศทางการเมืองในช่วงนั้นด้วย”

ผู้บริโภคเองต่างได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการไม่อาจแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนต้องปรับเพิ่มราคาสินค้าไป

เจ้าของธุรกิจเบเกอรี เลอ โบร็ต เสริมว่า “เราพยายามลดต้นทุนและเปิดรับลูกค้าทั้งหมดแล้ว แต่แน่นอนว่าเมื่อเราปรับราคา ลูกค้าก็หดหายไป”

ที่ผ่านมา รัฐบาลเยอรมนีประกาศมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและผู้บริโภคหลายอย่าง แต่ผลพวงการสงครามยูเครนที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน กดดันให้เยอรมนีเผชิญกับความท้าทายใหญ่ที่จะมาถึง

แฟรตส์เชอร์ เพิ่มเติมว่า “ความท้าทายที่ใหญ่กว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงปีหน้าเท่านั้น แต่จะยิงยาวไปราว 5-10 ปี เนื่องจากเยอรมนีกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในหลายมิติ บริษัทต่าง ๆ ในเยอรมนีต้องเตรียมรับกับการเสียเปรียบทางการค้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างสหรัฐฯ จีน และเกาหลีใต้ ที่ไม่เผชิญกับการปรับขึ้นของราคาพลังงานมากเท่ากับบริษัทเยอรมนี”

ด้านนักเศรษฐศาสตร์ ประเมินว่า ครัวเรือนเยอรมันที่มีรายได้ 39,000 ดอลลาร์ หรือราว 1,486,000 บาทต่อปี จะเจอกับต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นราว 4,800 ดอลลาร์ หรือราว 183,000 บาทต่อปีทีเดียว นั่นหมายความว่า ต้นทุนพลังงานจะส่งผลกระทบครัวเรือนรายได้น้อยและปานกลางอย่างมาก

ชมีเดอร์-บัลลาเดอร์ ทิ้งท้ายไว้ว่า “ทุกธุรกิจเจอกับความท้าทายกันทั้งนั้น แต่หากไม่เดินหน้าต่อก็เท่ากับว่าต้องปิดกิจการหรือเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นแทน แต่หากทำเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจสำหรับเหล่าพนักงานที่ถูกลอยแพ เพราะธุรกิจเบเกอรีของเราจ้างงานถึง 20 ชีวิต และนั่นหมายถึงรายได้หาเลี้ยงครอบครัวของพวกเขา สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะดำเนินธุรกิจต่อไป”

ระหว่างฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังผ่านพ้นไปและฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาเยือน เยอรมนียังต้องเตรียมรับมือกับอนาคตที่ไม่มีแน่นอนมากกว่าที่เป็นมาในรอบหลายปีต่อไป (ที่มา: วีโอเอ)

Advertisement

จีนใช้ ‘เศรษฐกิจแบบกิ๊ก’ กระตุ้นจ้างงาน

Female labors work in a cloth factory which export to European Union in Huaibei, Anhui province, East China on 13th October 2015.

People Unity News : 9 กรกฎาคม 2565 จีนวางแผนกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบกิ๊ก (gig economy) หรือระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากการจ้างงานแบบชั่วคราว เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน

แนวปฏิบัติจากกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคม รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลอีก 4 แห่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ก.ค.) ระบุการรวมข้อมูลการรับสมัครงานปลีกย่อย (odd job) ไว้ในขอบเขตของบริการข้อมูลการจ้างงานสาธารณะ การส่งเสริมการฝึกอบรมผู้หางานชั่วคราว โดยเฉพาะอาชีพใหม่และอาชีพที่ต้องการแรงงานสูง

นอกจากนั้นแนวปฏิบัติข้างต้นระบุว่าจีนจะพยายามปราบปรามการปฏิบัติอันผิดระเบียบในตลาดเศรษฐกิจแบบกิ๊ก เพื่อคุ้มครองสิทธิของเหล่าแรงงานในระบบเศรษฐกิจนี้ให้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จีนออกสารพัดนโยบายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือบรรดาผู้หางาน ซึ่งรวมถึงนักศึกษาและแรงงานต่างถิ่น ได้มีงานทำ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดการจ้างงานในประเทศ

Advertisement

คริสติน ลาการ์ด เตือนเศรษฐกิจโลกเสี่ยงกระทบหนัก หากทรัมป์แทรกแซงเฟด

1 กันยายน 2568 คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวในวันนี้ (1 ก.ย.) ว่า ความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่จะปลดเจอโรม พาเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หรือลิซา คุก สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด ออกจากตำแหน่ง ถือเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก

ทรัมป์กล่าวโจมตีเจอโรม พาวเวล อยู่หลายครั้ง จากการที่ประธานเฟดไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ย และขู่ว่าจะปลดเขาออกจากตำแหน่ง นอกจากนี้ ทรัมป์ยังพยายามปลดลิซา คุก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยกล่าวหาว่าเธอทุจริตด้วยการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย

ลาการ์ดกล่าวกับสถานีวิทยุของฝรั่งเศสว่า “หากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ไม่เป็นอิสระอีกต่อไป และต้องพึ่งพาการชี้นำจากคนใดคนหนึ่ง ถึงตอนนั้น ดิฉันเชื่อว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อดุลยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และต่อโลก อาจน่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก”

นอกจากนี้ ลาการ์ดยังกล่าวอีกว่า คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ (29 ส.ค.) ที่ระบุว่า ภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศใช้นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยิ่งซ้ำเติมความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

Advertisement

Verified by ExactMetrics