วันที่ 31 กรกฎาคม 2025

จีนใช้ ‘เศรษฐกิจแบบกิ๊ก’ กระตุ้นจ้างงาน

Female labors work in a cloth factory which export to European Union in Huaibei, Anhui province, East China on 13th October 2015.

People Unity News : 9 กรกฎาคม 2565 จีนวางแผนกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบกิ๊ก (gig economy) หรือระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากการจ้างงานแบบชั่วคราว เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน

แนวปฏิบัติจากกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคม รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลอีก 4 แห่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ก.ค.) ระบุการรวมข้อมูลการรับสมัครงานปลีกย่อย (odd job) ไว้ในขอบเขตของบริการข้อมูลการจ้างงานสาธารณะ การส่งเสริมการฝึกอบรมผู้หางานชั่วคราว โดยเฉพาะอาชีพใหม่และอาชีพที่ต้องการแรงงานสูง

นอกจากนั้นแนวปฏิบัติข้างต้นระบุว่าจีนจะพยายามปราบปรามการปฏิบัติอันผิดระเบียบในตลาดเศรษฐกิจแบบกิ๊ก เพื่อคุ้มครองสิทธิของเหล่าแรงงานในระบบเศรษฐกิจนี้ให้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จีนออกสารพัดนโยบายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือบรรดาผู้หางาน ซึ่งรวมถึงนักศึกษาและแรงงานต่างถิ่น ได้มีงานทำ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดการจ้างงานในประเทศ

Advertisement

จีนพบคุณภาพ “อากาศ-น้ำ” ดีขึ้นในปี 2021 ประกาศเดินหน้ากำจัดสภาพอากาศที่เป็นมลพิษหนัก

People Unity News : รายงานฉบับทางการด้านสิ่งแวดล้อมและความสำเร็จของการปกป้องสิ่งแวดล้อมในปี 2021 ของจีน ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) เพื่อการพิจารณา เมื่อวันจันทร์ (18 เม.ย.) ระบุว่าสภาพแวดล้อมของจีนมีพัฒนาการดีขึ้นในปีที่ผ่านมา

สัดส่วนวันที่มีคุณภาพอากาศดีของเมืองระดับแคว้นขึ้นไปของจีนในปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 87.5 เพิ่มขึ้น 0.5 จุด เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนความหนาแน่นเฉลี่ยของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม2.5 (PM2.5) อยู่ที่ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบปีต่อปี

ขณะเดียวกันสัดส่วนน้ำผิวดินของจีนตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป จากระบบวัดคุณภาพน้ำ 5 ระดับของประเทศ เพิ่มขึ้น 1.5 จุด เมื่อเทียบปีต่อปี อยู่ที่ร้อยละ 84.9 ในปี 2021 ขณะสัดส่วนน้ำผิวดินต่ำกว่าระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด อยู่ที่ร้อยละ 1.2

จีนจะเพิ่มความพยายามกำจัดสภาพอากาศที่เป็นมลพิษหนัก ควบคุมมลพิษจากก๊าซโอโซนและรถบรรทุกดีเซล ปกป้องแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลือง ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ทางทะเลที่สำคัญอย่างครอบคลุม ตลอดจนทำแผนที่ทางระบายน้ำเสียและควบคุมการปล่อยสารมลพิษในปี 2022

Advertisement

ประยุทธ์ เข้าร่วมประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 พร้อมรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC

People Unity News : ประยุทธ์ พร้อมเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 และรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ต่อจากศรีลังกา

วันนี้ (28 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยศรีลังกา และนายโคฐาภยะ ราชปักษะ ประธานาธิบดีศรีลังกา เป็นผู้กล่าวในช่วงพิธีเปิดการประชุม ในวันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.50 น. ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

นายธนกร กล่าวว่า บิมสเทค (BIMSTEC) เป็นกรอบความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่าง 7 ประเทศในอ่าวเบงกอล ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2540 ภายใต้การริเริ่มและผลักดันของไทย เพื่อสอดรับนโยบายมองตะวันตก (Look West) ของไทย เข้ากับนโยบายมองตะวันออก (Look East) ของกลุ่มประเทศเอเชียใต้ และ Act East ของอินเดีย โดย ไทย เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2557

การประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 ศรีลังกาในฐานะเจ้าภาพ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “BIMSTEC- Towards a Resilient Region, Prosperous Economies, Healthy Peoples”  หรือ “บิมสเทค มุ่งหน้าสู่อนุภูมิภาคที่ยืดหยุ่น มั่งคั่ง และประชาชนมีสุขภาพดี” ซึ่งการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนประเทศไทย จะร่วมพิธีรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ให้แก่ไทย พร้อมร่วมรับชมวิดีโอเปิดตัวการเป็นประธาน โดยไทยจะเป็นประธาน BIMSTEC วาระ 2 ปี ช่วงปี 2565-2566 ต่อจากศรีลังกา โดยประเด็นที่ไทยต้องการผลักดันในช่วงการดำรงตำแหน่งประธาน อาทิ การสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายและวิกฤตรูปแบบต่างๆ และความสามารถในการฟื้นตัว เป็นต้น และในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะกล่าวถ้อยแถลงในนามผู้นำรัฐบาลไทยอีกด้วย

Advertising

‘เฟด’ ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สูงสุดรอบ 28 ปี หวังสกัดเงินเฟ้อ พร้อมส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอีกในการประชุมครั้งหน้า

People Unity News : 16 มิ.ย. 65 ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Federal Reserve (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ที่ระดับ 1.5-1.75% ในวันพุธ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 28 ปี เพื่อแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ต้องประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย

เจอโรม พาวเวลล์ ประธานคณะผู้ว่าการระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ แถลงข่าวหลังการประชุมด้านนโยบายเป็นเวลาสองวันว่า เป้าหมายในการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ เพื่อดึงระดับเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในขณะที่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งต่อไป แต่สิ่งที่ชัดเจนขึ้นตอนนี้ ก็คือ หลายปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้กำลังมีบทบาทสำคัญขึ้นมา

แม้ว่าเฟดจะฉีดยาแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่ในวันพุธ เฟด คาดว่าเงินเฟ้อจะพุ่งแตะระดับ 5.2% ในสิ้นปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4.3% และจะชะลอตัวสู่ระดับ 2.6% และ 2.2% ในปี 2023 และ 2024 ตามลำดับ

นอกจากนี้ เฟด ยังปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจว่าจะขยายตัวที่ 1.7% ในปีนี้ พร้อมคาดว่าอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นที่ 3.7% ภายในสิ้นปีนี้ และจะปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 4.1% ในอีก 2 ปีข้างหน้า

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นดอกเบี้ยราว 0.50-0.75% ในการประชุมครั้งหน้า แต่ไม่คาดหมายว่าระดับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้จะกลายเป็นความปกติ

Advertisement

ผู้นำเอเปค รับข้อเสนอ ABAC มุ่งสร้างความเชื่อมโยง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

People Unity News : 18 พฤศจิกายน 2565 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้นำเอเปค รับข้อเสนอภาคเอกชน ABAC หวังร่วมมือฟื้นเศรษฐกิจเอเปค หวั่นหลายปัจจัยคุกคามเอเปค จากกับดักเงินเฟ้อ วิกฤตอาหาร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมหารือเต็มคณะระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค กับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Leaders’ Dialogue with ABAC)

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ABAC กล่าวว่า  ปัจจุบันความท้าทายต่างๆ เป็นภัยคุกคามที่ทุกเขตเศรษฐกิจต้องเผชิญร่วมกัน จึงเน้นย้ำการร่วมมือกันอย่างจริงจัง เน้นการป้องกันการติดอยู่ในกับดักเงินเฟ้อ วิกฤตอาหาร อำนวยความสะดวกทางการค้า ดำเนินการตามเศรษฐกิจ BCG รับมือกับโรคระบาด การเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม สนับสนุนความเชื่อมโยงและไร้รอยต่อ ภายใต้มาตรฐานและแนวปฏิบัติร่วมกัน รวมถึงการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนบูรณาการทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค สนับสนุน MSMEs โดยเฉพาะ รวมถึงการพัฒนาและนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมาใช้

จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ ABAC สำหรับข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์และปฏิบัติได้จริง สะท้อนข้อเรียกร้องของภาคธุรกิจว่า เอเปคจะต้องดำเนินการเรื่องต่างๆอย่างไรต่อไป ซึ่งการหารือจะเป็นโอกาสดีที่จะได้สานต่อความร่วมมือ โดยใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาร่วมกันของภูมิภาค โดยเอเปคมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ อาทิ การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อหาทางออกไปด้วยกัน รวมทั้งความสำเร็จของเอเปคในปีนี้ เป็นผลมาจากการรับข้อเสนอแนะของ ABAC มาขับเคลื่อนในเอเปค

“โดยเฉพาะแผนงานต่อเนื่องหลายปีสำหรับวาระเรื่อง FTAAP (Free Trade Area of the Asia-Pacific) รวมทั้งการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยได้บรรลุผลเป็นรูปธรรม ช่วยฟื้นฟูการเดินทางข้ามแดนอย่างปลอดภัยและไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ยังเสนอการจัดทำเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG เพื่อขับเคลื่อนวาระการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุม สอดคล้องกับการขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของ ABAC” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผลงานของ ABAC ปีนี้ ส่งเสริม สอดคล้องกับการดำเนินงานของเอเปคเป็นอย่างดี พร้อมขอให้ใช้ประโยชน์จากการหารือกลุ่มย่อย เพื่อนำข้อเสนอของเอแบคไปสู่นโยบายที่สามารถดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างอนาคตของภูมิภาคที่ยั่งยืนและครอบคลุม

Advertisement

Krungthai ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing ตลาดผันผวน แนะลงทุนหุ้นคุณภาพ รับผลตอบแทนที่ดี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 ตุลาคม 2567 Krungthai CIO ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing แนะสะสมหุ้นคุณภาพ รับผลตอบแทนที่ดีในภาวะตลาดผันผวน

Krungthai CIO ชี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลายตลาดทำสถิติสูงสุดตลอดกาล   ท่ามกลางความผันผวนของตลาด ซึ่งตามสถิติในเดือนกันยายนมีความผันผวนมากที่สุดของปี แนะสะสมหุ้นคุณภาพดีของสหรัฐฯ ราคาน่าสนใจ สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในสภาวะตลาดผันผวน

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Chief Investment Office) วิเคราะห์ตลาดและการลงทุนประจำเดือนตุลาคม 2567 โดยยังคงมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอลง แต่ไม่ถดถอย และเดินหน้าไปสู่ภาวะ Soft Landing โดยเงินเฟ้อทั่วโลกมีการทยอยปรับตัวลง กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลก จะเริ่มวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อหยุดการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ นอกจากนี้ จีนยังประกาศออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ที่มีทั้งนโยบายการเงินและการคลัง มองว่าจะช่วยหยุดการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ ทำให้เศรษฐกิจจีนในปีนี้เติบโตได้ตามเป้า แต่ในภาคอสังหาฯ ที่มีปัญหามาอย่างยาวนานนั้น อาจจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นมากกว่าปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้รับรู้ข่าวดีต่างๆ ไปบ้างแล้ว โดยปัจจุบันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ที่ระดับ Forward P/E  19.15 เท่า  สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17.0 เท่า จึงมองว่า Upside การลงทุนเริ่มจำกัด ตลาดจะตัวแกว่งในกรอบ นอกจากนี้ ราคาหุ้นที่ค่อนข้างตึงตัว หากกำไรบริษัทจดทะเบียนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัวลง อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย และตลาดอาจปรับตัวลงแรง เช่นเดียวกับช่วงต้นเดือนกันยายน ดังนั้น จึงแนะปรับพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อรับผลตอบแทนที่ยั่งยืนในทุกสภาวะตลาด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ในสภาวะที่ตลาดโดยรวมอาจจะยังคงตึงตัว มองว่ายังมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นไปกระจุกตัวของหุ้นขนาดใหญ่ไม่กี่ตัว สร้างแนวโน้มการทำกำไรในหุ้นตัวอื่นๆ ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาที่ไม่ตึงตัวมากเกินไป ทำให้มองว่าการลงทุนที่น่าสนใจช่วงนี้ ควรเข้าสะสมหุ้น Laggard ที่คุณภาพดี เช่น หุ้นเทคโนโลยี ที่ไม่ใช่เทคฯ ขนาดใหญ่ โดยมีกระแสเงินสดและการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ มองว่าตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market  ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงแรงช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การฟื้นตัวยังมี Upside อยู่ ในขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับไม่สูง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ที่มองว่ายังมี Upside ถึงแม้จะปรับตัวขึ้นได้โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ดี และเริ่มมีสัญญาณเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยอีกรอบ หลังจากไหลออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า

Advertisement

ลาวตั้งเป้าช่วย ‘สองแสนครอบครัว’ หลุดพ้นจากความยากจน

People Unity News : 26 มีนาคม 65 รัฐบาลลาวตั้งเป้านำพาครอบครัวชาวลาวหลุดพ้นจากความยากจนเพิ่มอีก 204,360 ครอบครัว ในช่วงปี 2021-2025

หากทำได้สำเร็จตามเป้าหมาย  ลาวจะมีครอบครัวที่หลุดพ้นจากความยากจนทั้งหมด 1,168,509 ครอบครัว และมี 71,193 ครอบครัวที่ยังคงถูกจัดว่าเป็นผู้ยากจน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.74 ของทั้งหมด

ลาวรายงานเป้าหมายดังกล่าวระหว่างการประชุมประจำปีว่าด้วยการประเมินการพัฒนาชนบทและการบรรเทาความยากจนในปี 2021 เพื่อร่างแผนการดำเนินงานสำหรับปี 2022

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์เป็นเวลาสองวันตั้งแต่วันพุธถึงพฤหัสบดี (23-24 มี.ค.) ในนครหลวงเวียงจันทน์ของลาว โดยมี คำม่วน คำพูแก้ว รักษาการอธิบดีสำนักงานพัฒนาชนบทและสหกรณ์ สังกัดกระทรวงเกษตรและป่าไม้ เป็นประธานการประชุม และมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานฯ ระดับแขวงหลายแห่งเข้าร่วม

ผู้เข้าร่วมการประชุมต่างพูดถึงความสำเร็จของตนในปีที่ผ่านมา และหารือถึงความท้าทายที่พวกเขาประสบและวิธีจัดการกับความท้าทายเหล่านั้น

ในอดีต หมู่บ้านที่ยังไม่พัฒนาและหมู่บ้านในพื้นที่ชายแดนถือเป็นเป้าหมายในการพัฒนาของลาว

คำม่วนกล่าวว่า ลาววางแผนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งฝึกอบรมด้านการเกษตรและปศุสัตว์แก่คนท้องถิ่น เพื่อให้พวกเขาปรับปรุงวิถีชีวิตให้ดีขึ้นได้

การประชุมยังหารือเรื่องแผนช่วยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวยากจน 204,360 ครอบครัว  ช่วงปี 2022-2025  โดยในช่วงปี 2016-2020 มี 85,655 ครอบครัวในลาวหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 57.64 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 148,592 ครอบครัว

ประชากรลาวมากกว่าหนึ่งในสามอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีอัตราความยากจนสูง เนื่องจากอาศัยอยู่ห่างไกลและมีการเข้าถึงที่จำกัด โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและกลุ่มผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภูเขา

รายงานระบุว่า การเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ตลาด โรงพยาบาล โรงเรียน และน้ำสะอาด ทำให้ประชาชนลาวเสี่ยงประสบความยากจนมากยิ่งขึ้น

Advertising

ประชากรโลกแตะหลัก 8,000 ล้านคน!

People Unity News : 16 พฤศจิกายน 2565 สหประชาชาติประเมินว่า ประชากรโลกจะมีจำนวนราว 8,000 ล้านคนในวันอังคารนี้ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนาในทวีปแอฟริกามากที่สุด

หนึ่งในประเทศเหล่านั้นคือ ไนจีเรีย ที่ซึ่งทรัพยากรต่างๆค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว โดยปัจจุบันประชากรมากกว่า 15 ล้านคนในกรุงลากอส เมืองหลวงของไนจีเรีย ต้องแย่งชิงกันใช้ทรัพยากรต่างๆ ตั้งแต่ไฟฟ้า น้ำประปา ไปจนถึงระบบขนส่งมวลชน ขณะที่ เด็กนักเรียนไนจีเรียจำนวนมากต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อให้ทันไปโรงเรียนท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักทุกวัน

สหประชาชาติคาดว่า ประชากรไนจีเรียจะเพิ่มขึ้นจาก 216 ล้านคนในปีนี้เป็น 375 ล้านคนในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ไนจีเรียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ

ไนจีเรีย เป็นเพียงหนึ่งใน 8 ประเทศที่ยูเอ็นระบุว่า มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกทั้งหมดระหว่างปี 2022 – 2050 โดยอีก 7 ประเทศ ได้แก่ คองโก เอธิโอเปีย แทนซาเนีย อียิปต์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และอินเดียที่คาดว่าจะแซงจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในปีหน้า

รายงานของยูเอ็นฉบับนี้ยังคาดการณ์ว่า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ล้านคนภายในปี 2030 และถึง 9,700 ล้านคนภายในปี 2050 ก่อนจะเพิ่มถึง 10,400 ล้านคนภายในปี 2100

รายงานของสหประชาชาติ “Day of 8 Billion” ที่เผยแพร่ในวันอังคาร สำรวจปัญหาในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการเจาะจงถึงปัญหาที่แท้จริงซึ่งมาพร้อมกับหลักไมล์ใหม่ของจำนวนประชากรโลก โดยชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มภัยคุกคามต่อประเทศกำลังพัฒนาที่ล้าหลัง ตั้งแต่การจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค การศึกษา การทำงาน และความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น

รายงานชี้ว่า “จำนวนประชากรในประเทศแถบทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา คาดว่า จะเพิ่มขึ้นสองเท่าระหว่างปี 2022 – 2050 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรที่มีจำกัด และท้าทายการวางแผนนโยบายเพื่อลดปัญหายากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศเหล่านั้น”

ดร.ศรีนาธ เรดดีย์ ประธานองค์กร Public Health Foundation of India กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรส่งผลให้มีประชาชนมากขึ้นที่ต้องแย่งชิงทรัพยากรน้ำ และทำให้ครอบครัวจำนวนมากขึ้นที่ต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนอาหาร เพิ่มแรงกดดันต่อสิ่งแวดล้อม และท้าทายความมั่นคงทางอาหาร

นักวิเคราะห์ชี้ว่า ภัยคุกคามสำคัญที่สุดต่อสิ่งแวดล้อม คือ การบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศพัฒนาแล้วที่จำนวนประชากรมิได้เพิ่มขึ้นมากนัก

อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนประชากรในหลายประเทศกำลังเพิ่มขึ้น แต่รายงานของยูเอ็นชี้ว่า มีอย่างน้อย 61 ประเทศที่จำนวนประชากรมีอัตราลดลงราว 1%

ข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ระบุว่า ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีจำนวนประชากรราว 333 ล้านคน โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ระดับเพียง 0.1% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ที่มา: เอพี)

Advertisement

Gazprom บริษัทพลังงานรัสเซียหยุดส่ง ‘ก๊าซ’ ให้เดนมาร์ก-เยอรมนี ไล่หลังหยุดส่งให้เนเธอร์แลนด์

People Unity News : 1 มิถุนายน 2565 ก๊าซพรอม (Gazprom) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซีย ประกาศระงับการจัดส่งก๊าซให้เออร์สเตด (Orsted) บริษัทพลังงานรายใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก และระงับการจัดส่งก๊าซให้เยอรมนีภายใต้สัญญาเชลล์ เอเนอร์จี ยุโรป (Shell Energy Europe) โดยมีผลตั้งแต่วันพุธที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป

ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (30 พ.ค.) Gazprom ได้หยุดส่ง ‘ก๊าซ’ ให้เนเธอร์แลนด์ หลังปัดซื้อด้วย ‘รูเบิล’

ทั้งนี้ ก๊าซเทอร์รา (GasTerra) บริษัทก๊าซของเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่าก๊าซพรอม (Gazprom) บริษัทพลังงานของรัสเซีย จะยุติการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้เนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่วันอังคาร (31 พ.ค.) เป็นต้นไป หลังก๊าซเทอร์ราปฏิเสธชำระเงินด้วยสกุลรูเบิล

คำแถลงจากก๊าซเทอร์ราระบุว่าการตัดก๊าซของรัสเซีย หมายความว่าจะไม่มีการจัดส่งก๊าซตามสัญญากับก๊าซพรอม จำนวน 2 พันล้านลูกบาศก์เมตร แก่เนเธอร์แลนด์ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. ถึง 30 ก.ย. ขณะสื่อท้องถิ่นรายงานว่าปริมาณก๊าซที่ถูกตัดคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 5 ของการใช้ก๊าซรายปีในเนเธอร์แลนด์

ก๊าซเทอร์รา ซึ่งรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง เผยว่ามีการซื้อก๊าซจากแหล่งอื่นๆ เพื่อรับมือกรณีนี้ ขณะตลาดก๊าซยุโรปมีความเป็นหนึ่งเดียวและความครอบคลุมสูง และมิอาจคาดการณ์ได้ว่าการตัดก๊าซจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์อุปทานและอุปสงค์อย่างไร หรือตลาดยุโรปจะรับมือกับการสูญเสียก๊าซครั้งนี้โดยไม่เกิดผลร้ายแรงตามมาได้หรือไม่

ด้าน ร็อบ เจ็ตเทน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเนเธอร์แลนด์ โพสต์ทวิตเตอร์ว่ารัฐบาลเข้าใจมติของก๊าซเทอร์ราที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินของก๊าซพรอม โดยมติดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดส่งก๊าซแก่ครัวเรือนในประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศแผนยุติการซื้อก๊าซธรรมชาติของรัสเซียอย่างสิ้นเชิงภายในสิ้นปี 2022 และจะพยายามบรรลุเป้าหมายดังกล่าวด้วยการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน และการนำเข้าพลังงานจากประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยเนเธอร์แลนด์นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียราวร้อยละ 15

Advertisement

 

WHO เตือนประชากรโลกเผชิญ ‘มลพิษทางอากาศ’ รุนแรง โดยเฉพาะประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลาง

People Unity News : 5 เมษายน 65 เมื่อวันจันทร์ (4 เม.ย.) องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่าประชากรโลกเกือบทั้งหมด หรือร้อยละ 99 สูดอากาศที่มีมลพิษเกินระดับที่องค์การอนามัยโลกกำหนด

แม้ปัจจุบันเมืองมากกว่า 6,000 แห่งใน 117 ประเทศจะเฝ้าติดตามคุณภาพอากาศ แต่ประชาชนในเมืองเหล่านั้นยังคงสูดดมอนุภาคขนาดเล็กและก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ในระดับอันตราย โดยประชาชนในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและปานกลางเผชิญผลกระทบดังกล่าวสูงสุด

องค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และใช้มาตรการอันเป็นรูปธรรมอื่นๆ เพื่อลดมลพิษในอากาศ โดย ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ชี้ว่าราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สูง ความมั่นคงทางพลังงาน และการเร่งรับมือความท้าทายจากมลพิษทางอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เน้นย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการก้าวสู่โลกที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยลงเร็วขึ้น

อนึ่ง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะพีเอ็ม2.5 (PM2.5) สามารถแทรกซึมเข้าปอดและกระแสเลือด ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคระบบทางเดินหายใจ ส่วนก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์มีความเกี่ยวข้องกับโรคระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคหอบหืด

องค์การอนามัยโลก คาดการณ์ว่าแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุด้านสิ่งแวดล้อมที่ป้องกันได้สูงเกิน 13 ล้านราย ซึ่งรวมถึงผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศจำนวน 7 ล้านราย

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก แนะนำการสร้างระบบและเครือข่ายขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและราคาย่อมเยา ซึ่งเหมาะสมกับคนเดินเท้าและคนขี่จักรยาน การลงทุนด้านที่อยู่อาศัยและโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพทางพลังงาน การจัดการขยะของเสียที่ดีขึ้น การลดการเผาขยะทางการเกษตรและกิจกรรมวนเกษตรบางส่วนอย่างการผลิตถ่านไม้ เพื่อพัฒนาคุณภาพอากาศและสุขภาพ

Advertisement

Verified by ExactMetrics