วันที่ 5 พฤศจิกายน 2025

ลาวตั้งเป้าช่วย ‘สองแสนครอบครัว’ หลุดพ้นจากความยากจน

People Unity News : 26 มีนาคม 65 รัฐบาลลาวตั้งเป้านำพาครอบครัวชาวลาวหลุดพ้นจากความยากจนเพิ่มอีก 204,360 ครอบครัว ในช่วงปี 2021-2025

หากทำได้สำเร็จตามเป้าหมาย  ลาวจะมีครอบครัวที่หลุดพ้นจากความยากจนทั้งหมด 1,168,509 ครอบครัว และมี 71,193 ครอบครัวที่ยังคงถูกจัดว่าเป็นผู้ยากจน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.74 ของทั้งหมด

ลาวรายงานเป้าหมายดังกล่าวระหว่างการประชุมประจำปีว่าด้วยการประเมินการพัฒนาชนบทและการบรรเทาความยากจนในปี 2021 เพื่อร่างแผนการดำเนินงานสำหรับปี 2022

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์เป็นเวลาสองวันตั้งแต่วันพุธถึงพฤหัสบดี (23-24 มี.ค.) ในนครหลวงเวียงจันทน์ของลาว โดยมี คำม่วน คำพูแก้ว รักษาการอธิบดีสำนักงานพัฒนาชนบทและสหกรณ์ สังกัดกระทรวงเกษตรและป่าไม้ เป็นประธานการประชุม และมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานฯ ระดับแขวงหลายแห่งเข้าร่วม

ผู้เข้าร่วมการประชุมต่างพูดถึงความสำเร็จของตนในปีที่ผ่านมา และหารือถึงความท้าทายที่พวกเขาประสบและวิธีจัดการกับความท้าทายเหล่านั้น

ในอดีต หมู่บ้านที่ยังไม่พัฒนาและหมู่บ้านในพื้นที่ชายแดนถือเป็นเป้าหมายในการพัฒนาของลาว

คำม่วนกล่าวว่า ลาววางแผนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งฝึกอบรมด้านการเกษตรและปศุสัตว์แก่คนท้องถิ่น เพื่อให้พวกเขาปรับปรุงวิถีชีวิตให้ดีขึ้นได้

การประชุมยังหารือเรื่องแผนช่วยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวยากจน 204,360 ครอบครัว  ช่วงปี 2022-2025  โดยในช่วงปี 2016-2020 มี 85,655 ครอบครัวในลาวหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 57.64 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 148,592 ครอบครัว

ประชากรลาวมากกว่าหนึ่งในสามอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีอัตราความยากจนสูง เนื่องจากอาศัยอยู่ห่างไกลและมีการเข้าถึงที่จำกัด โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและกลุ่มผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภูเขา

รายงานระบุว่า การเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ตลาด โรงพยาบาล โรงเรียน และน้ำสะอาด ทำให้ประชาชนลาวเสี่ยงประสบความยากจนมากยิ่งขึ้น

Advertising

ธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้

5 กันยายน 2568 สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์รายงานในวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 1.5% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแม้ว่าสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) และอาจเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.7% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2567

ธนาคารกลางฟิลิปปินส์แถลงหลังจากการเปิดเผยดัชนี CPI ในวันนี้ว่า เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% – 4% ของธนาคารกลางในปีนี้ เนื่องจากราคาข้าวปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.7%

อีไล เรโมโลนา ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ธนาคารกลางอาจคงอัตราดอกเบี้ยตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลงและอุปสงค์ภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี ผู้ว่าการธนาคารกลางยังคงเปิดโอกาสที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก หากอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอลง

ทั้งนี้ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 1.50% นับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากเงินเฟ้อชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากราคาข้าวปรับตัวลง โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของฟิลิปปินส์อยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี

Advertisement

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบผันผวน

People Unity News : 3 ตุลาคม 65 ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบผันผวนรอมติโอเปกพลัส  5 ต.ค.จะลดกำลังผลิตเพื่อรักษาระดับราคาหรือไม่

บมจ.ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 75-85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 82-92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบผันผวน เนื่องจากตลาดยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากทัศนะของประธานเฟดสาขาต่างๆมีความเห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ท่อส่งน้ำมัน  โครงการแคสเปียน ไปป์ไลน์ คอนซอร์เทียม (Caspian Pipeline Consortium: CPC) หนึ่งในท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งส่งน้ำมันจากคาซัคสถานไปยังทะเลดำ จะกลับมาส่งออกน้ำมันในระดับปกติตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากอุปทานที่มีแนวโน้มตึงตัว  ตลาดจับตาการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 ต.ค. 65 โดยรัสเซียส่งสัญญาณว่าทางกลุ่มควรปรับลดกำลังการผลิตราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อพยุงราคาน้ำมัน หลังราคาน้ำมันปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากปัจจัยความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอย

ขณะที่อุปสงค์ความต้องการน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลังเข้าสู่ช่วงวันหยุดประจำปี (Golden week) ของจีน และราคาก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้นในยุโรป ทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น (gas-to-oil switching)

ตลาดยังคงกังวลอุปทานก๊าซตึงตัว หลังพบการรั่วไหลของก๊าซบริเวณท่อ Nord Stream 1 และ 2 ซึ่งส่งออกก๊าซจากรัสเซียไปยังยุโรป โดยคาดว่าการรั่วไหลที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการก่อวินาศกรรม ส่งผลให้ราคาก๊าซในยุโรปปรับตัวสูงขึ่น โดยราคาก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดท่อส่งน้ำมัน CPC จะกลับมาส่งออกน้ำมันที่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ต.ค.

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมา (26 – 30 ก.ย. 65)  ปรับเพิ่มขึ้น 2.78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 79.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 4.69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 87.96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 89.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังรายงานสต๊อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ย. 65 ปรับลดลง 0.215 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 0.443 ล้านบาร์เรล ขณะที่พายุเฮอริเคนเอียน เฮอริเคนระดับ 4 พัดขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดา ส่งผลกระทบต่อแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซราว 11% อย่างไรก็ตาม ราคายังคงได้รับแรงกดดันหลังสกุลเงินดอลล่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีดอลล่าสหรัฐฯ ปรับตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี ที่ระดับ 114.527 ส่งผลให้สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีความน่าสนใจน้อยลง

Advertisement

คริสติน ลาการ์ด เตือนเศรษฐกิจโลกเสี่ยงกระทบหนัก หากทรัมป์แทรกแซงเฟด

1 กันยายน 2568 คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวในวันนี้ (1 ก.ย.) ว่า ความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่จะปลดเจอโรม พาเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หรือลิซา คุก สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด ออกจากตำแหน่ง ถือเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก

ทรัมป์กล่าวโจมตีเจอโรม พาวเวล อยู่หลายครั้ง จากการที่ประธานเฟดไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ย และขู่ว่าจะปลดเขาออกจากตำแหน่ง นอกจากนี้ ทรัมป์ยังพยายามปลดลิซา คุก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยกล่าวหาว่าเธอทุจริตด้วยการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย

ลาการ์ดกล่าวกับสถานีวิทยุของฝรั่งเศสว่า “หากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ไม่เป็นอิสระอีกต่อไป และต้องพึ่งพาการชี้นำจากคนใดคนหนึ่ง ถึงตอนนั้น ดิฉันเชื่อว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อดุลยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และต่อโลก อาจน่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก”

นอกจากนี้ ลาการ์ดยังกล่าวอีกว่า คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ (29 ส.ค.) ที่ระบุว่า ภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศใช้นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยิ่งซ้ำเติมความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

Advertisement

WTTC คาดปีหน้าท่องเที่ยวโลกขยายตัว 3.8% ส่วนไทยขึ้นไปอยู่ที่ 10 ภายใน 10 ปี

People unity news online : เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานว่า สมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก หรือ WTTC (World Travel & Tourism Council) คาดว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะขยายตัวต่อเนื่องปีหน้าที่อัตรา 3.8% เทียบกับการเติบโต 3.3% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งดีกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

เมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างรายได้ 7.6 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 10.2 ของขนาดเศรษฐกิจโลก และเงินจากภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 30 ของรายได้การส่งออกจากการบริการ

ภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในอัตราร้อยละ 8.3 คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะได้แรงหนุนจากความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจีน

WTTC ประเมินว่า ไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวสูงอันดับ 10 ของโลกในช่วง 10 ปีจากนี้

สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ WTTC นาย David Scowsill บอกกับช่องโทรทัศน์ CNBC เมื่อต้นสัปดาห์ว่า “ความพยายามจำกัดการเดินทางเข้าสหรัฐฯของประชาชนบางประเทศโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ซึ่งกำลังเผชิญจากปัจจัยลบที่มาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้นอยู่แล้ว”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานว่า การท่องเที่ยวในหลายประเทศของกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว โดยปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากชนชั้นกลางและระดับรายได้ที่สูงขึ้นรวมทั้งจากการขยายตัวของบริการสายการบินต้นทุนต่ำด้วย

แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า การขยายตัวของตลาดการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วนี้สร้างปัญหากดดันต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และเตือนให้รัฐบาล รวมทั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศอาเซียน ให้ความสนใจกับคุณภาพและการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตนต้องการ มากกว่าที่จำนวนนักท่องเที่ยว รวมทั้งเน้นนโยบายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้วย องค์การ World Travel and Tourism Council หรือ WTTC คาดการณ์ว่าบทบาทของการท่องเที่ยวที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะเพิ่มขึ้น 5.6 % ในช่วง 10 ปีข้างหน้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 528,000 ล้านดอลลาร์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ช่วยจ้างงานทั้งโดยตรงและทางอ้อม สำหรับผู้คนราว 32 ล้านคนในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย

ส่วนบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน CLSA ก็ชี้ว่า มีโอกาสการลงทุนมากมายที่รออยู่ในภาคการท่องเที่ยว นับตั้งแต่โรงแรมและที่พักตากอากาศ ไปจนถึงระบบคมนาคมขนส่ง การรักษาความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่มาพร้อมการขยายตัวของการท่องเที่ยว คือบุคลากรและระบบสนับสนุนที่เพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำที่ช่วยรองรับนักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวของจีนที่เดินทางออกนอกประเทศได้เพิ่มขึ้นถึง 700% ในช่วง 15 ปี คือจาก 10 ล้านคนเมื่อปี 2543 มาเป็น 78 ล้านคนในปี 2558

และสำหรับของไทยนั้น คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นจาก 32 ล้านคนในขณะนี้เป็น 50 ล้านคนภายในปี 2564 เช่นกัน

People unity news online : post 25 มีนาคม 2560 เวลา 14.51 น.

Gazprom บริษัทพลังงานรัสเซียหยุดส่ง ‘ก๊าซ’ ให้เดนมาร์ก-เยอรมนี ไล่หลังหยุดส่งให้เนเธอร์แลนด์

People Unity News : 1 มิถุนายน 2565 ก๊าซพรอม (Gazprom) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซีย ประกาศระงับการจัดส่งก๊าซให้เออร์สเตด (Orsted) บริษัทพลังงานรายใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก และระงับการจัดส่งก๊าซให้เยอรมนีภายใต้สัญญาเชลล์ เอเนอร์จี ยุโรป (Shell Energy Europe) โดยมีผลตั้งแต่วันพุธที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป

ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (30 พ.ค.) Gazprom ได้หยุดส่ง ‘ก๊าซ’ ให้เนเธอร์แลนด์ หลังปัดซื้อด้วย ‘รูเบิล’

ทั้งนี้ ก๊าซเทอร์รา (GasTerra) บริษัทก๊าซของเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่าก๊าซพรอม (Gazprom) บริษัทพลังงานของรัสเซีย จะยุติการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้เนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่วันอังคาร (31 พ.ค.) เป็นต้นไป หลังก๊าซเทอร์ราปฏิเสธชำระเงินด้วยสกุลรูเบิล

คำแถลงจากก๊าซเทอร์ราระบุว่าการตัดก๊าซของรัสเซีย หมายความว่าจะไม่มีการจัดส่งก๊าซตามสัญญากับก๊าซพรอม จำนวน 2 พันล้านลูกบาศก์เมตร แก่เนเธอร์แลนด์ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. ถึง 30 ก.ย. ขณะสื่อท้องถิ่นรายงานว่าปริมาณก๊าซที่ถูกตัดคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 5 ของการใช้ก๊าซรายปีในเนเธอร์แลนด์

ก๊าซเทอร์รา ซึ่งรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง เผยว่ามีการซื้อก๊าซจากแหล่งอื่นๆ เพื่อรับมือกรณีนี้ ขณะตลาดก๊าซยุโรปมีความเป็นหนึ่งเดียวและความครอบคลุมสูง และมิอาจคาดการณ์ได้ว่าการตัดก๊าซจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์อุปทานและอุปสงค์อย่างไร หรือตลาดยุโรปจะรับมือกับการสูญเสียก๊าซครั้งนี้โดยไม่เกิดผลร้ายแรงตามมาได้หรือไม่

ด้าน ร็อบ เจ็ตเทน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเนเธอร์แลนด์ โพสต์ทวิตเตอร์ว่ารัฐบาลเข้าใจมติของก๊าซเทอร์ราที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินของก๊าซพรอม โดยมติดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดส่งก๊าซแก่ครัวเรือนในประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศแผนยุติการซื้อก๊าซธรรมชาติของรัสเซียอย่างสิ้นเชิงภายในสิ้นปี 2022 และจะพยายามบรรลุเป้าหมายดังกล่าวด้วยการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน และการนำเข้าพลังงานจากประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยเนเธอร์แลนด์นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียราวร้อยละ 15

Advertisement

 

ประยุทธ์ เข้าร่วมประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 พร้อมรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC

People Unity News : ประยุทธ์ พร้อมเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 และรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ต่อจากศรีลังกา

วันนี้ (28 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยศรีลังกา และนายโคฐาภยะ ราชปักษะ ประธานาธิบดีศรีลังกา เป็นผู้กล่าวในช่วงพิธีเปิดการประชุม ในวันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.50 น. ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

นายธนกร กล่าวว่า บิมสเทค (BIMSTEC) เป็นกรอบความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่าง 7 ประเทศในอ่าวเบงกอล ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2540 ภายใต้การริเริ่มและผลักดันของไทย เพื่อสอดรับนโยบายมองตะวันตก (Look West) ของไทย เข้ากับนโยบายมองตะวันออก (Look East) ของกลุ่มประเทศเอเชียใต้ และ Act East ของอินเดีย โดย ไทย เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2557

การประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 ศรีลังกาในฐานะเจ้าภาพ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “BIMSTEC- Towards a Resilient Region, Prosperous Economies, Healthy Peoples”  หรือ “บิมสเทค มุ่งหน้าสู่อนุภูมิภาคที่ยืดหยุ่น มั่งคั่ง และประชาชนมีสุขภาพดี” ซึ่งการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนประเทศไทย จะร่วมพิธีรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ให้แก่ไทย พร้อมร่วมรับชมวิดีโอเปิดตัวการเป็นประธาน โดยไทยจะเป็นประธาน BIMSTEC วาระ 2 ปี ช่วงปี 2565-2566 ต่อจากศรีลังกา โดยประเด็นที่ไทยต้องการผลักดันในช่วงการดำรงตำแหน่งประธาน อาทิ การสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายและวิกฤตรูปแบบต่างๆ และความสามารถในการฟื้นตัว เป็นต้น และในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะกล่าวถ้อยแถลงในนามผู้นำรัฐบาลไทยอีกด้วย

Advertising

“มหาสมุทรแห่งพลาสติก” ปัญหาขยะพลาสติกในทะเล

People unity news online : 14 เมษายน 2560 voathai.com ได้เผยแพร่สารคดีชุด “มหาสมุทรแห่งพลาสติก” นำเสนอปัญหาขยะพลาสติกในทะเล ว่า ขยะพลาสติกแปดล้านตันถูกทิ้งลงทะเลทั่วโลกทุกปี

ขยะพลาสติกที่เสื่อมสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนมหาศาล ลอยเคว้งคว้างในมหาสมุทรต่างๆทั่วโลก

ทีมงานถ่ายทำสารคดี A Plastic Oceans หรือ “มหาสมุทรแห่งพลาสติก” ​ได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อบันทึกภาพขยะพลาสติกเหล่านี้

Julie Anderson แห่ง Plastic Oceans Foundation กล่าวว่า “ขยะพลาสติกที่พบเป็นเพียงเเค่ส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น ครึ่งหนึ่งของขยะพลาสติกจมลงสู่ก้นทะเล และขยะพลาสติกที่เหลือจะลอยอยู่ใกล้ผิวหน้าทะเล โดยเสื่อมสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่ยังคงสภาพความเป็นพลาสติกอยู่”

ทีมถ่ายทำสารคดีพบ “แพขยะ” ซึ่งเป็นขยะพลาสติกที่ถูกกักรวมในปริมาณที่เข้มข้น อยู่ในวังวนของกระเเสน้ำทะเลในมหาสมุทรต่างๆ ทั้งมหาสมุทรแอตเเลนติก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรเเปซิฟิก

Adam Leizig โปรดิวเซอร์ของสารคดีเรื่องนี้ กล่าวว่า ทีมงานพบว่ากลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีขยะพลาสติกปริมาณมหาศาลที่เสื่อมสลายเป็นชิ้นขนาดเล็กจิ๋วเเขวนตัวอยู่ใต้น้ำหรือใกล้ๆกับผิวน้ำเต็มไปหมด

ขยะพลาสติกชิ้นขนาดจิ๋วเหล่านี้เป็นมลภาวะที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร บางครั้งอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ยังมีขยะพลาสติกที่เสื่อมสลายเป็นชิ้นเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และทำปฏิกิริยากับสารมลพิษอื่นๆในน้ำทะเล

Adam Leizig กล่าวว่า สารโลหะหนักชนิดต่างๆ ยารักษาโรค และสารเคมีจากภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยลงสู่ทะเล สารเคมีเหล่านี้จะไปเกาะติดกับชิ้นส่วนพลาสติกขนาดจิ๋วในทะเล เมื่อสัตว์ทะเลกินพลาสติกเป็นอาหาร สารเคมีอันตรายเหล่านี้จะเข้าไปสั่งสมในเนื้อเยื่อส่วนที่เป็นไขมันของสัตว์ทะเลขนาดเล็ก ซึ่งกลายเป็นอาหารของสัตว์ทะเลชนิดอื่นๆ และคนเราในที่สุด

จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทยและเวียดนาม เป็นชาติที่ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุด ส่วนสหรัฐอเมริกา เเม้ว่าจะเป็นประเทศผู้นำด้านการรีไซเคิ่ลขยะ เเต่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 20 ชาติสร้างขยะมากที่สุดทั่วโลก เพราะเป็นผู้ผลิตและใช้พลาสติกในปริมาณมาก

และเเม้ว่าจะมีความพยายามในประเทศต่างๆทั่วโลกในการเเก้ปัญหา อย่างเช่นในเลบานอน ที่เพิ่งเปิดศูนย์แยกขยะรีไซเคิ่ลแห่งใหม่ แต่ Julie Anderson แห่ง Plastic Oceans Foundation กล่าวว่ายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก

เธอกล่าวว่า “คนทั่วไปมีส่วนช่วยแก้ปัญหานี้ด้วยการลดการใช้ขยะพลาสติกชนิดที่ใช้ครั้งเดียวเเล้วทิ้ง เช่น ถุงพลาสติก หลอดดูด ขวดน้ำพลาสติก เเก้วพลาสติก และหันไปใช้วัสดุทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม” (รายงานโดย Michael O’ Sullivan / เรียบเรียงโดย ทักษิณา ข่ายแก้ว)

“มหาสมุทรแห่งพลาสติก” ปัญหาขยะพลาสติกในทะเล

People unity news online : post 17 เมษายน 2560 เวลา 23.33 น.

ประชากรโลกแตะหลัก 8,000 ล้านคน!

People Unity News : 16 พฤศจิกายน 2565 สหประชาชาติประเมินว่า ประชากรโลกจะมีจำนวนราว 8,000 ล้านคนในวันอังคารนี้ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนาในทวีปแอฟริกามากที่สุด

หนึ่งในประเทศเหล่านั้นคือ ไนจีเรีย ที่ซึ่งทรัพยากรต่างๆค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว โดยปัจจุบันประชากรมากกว่า 15 ล้านคนในกรุงลากอส เมืองหลวงของไนจีเรีย ต้องแย่งชิงกันใช้ทรัพยากรต่างๆ ตั้งแต่ไฟฟ้า น้ำประปา ไปจนถึงระบบขนส่งมวลชน ขณะที่ เด็กนักเรียนไนจีเรียจำนวนมากต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อให้ทันไปโรงเรียนท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักทุกวัน

สหประชาชาติคาดว่า ประชากรไนจีเรียจะเพิ่มขึ้นจาก 216 ล้านคนในปีนี้เป็น 375 ล้านคนในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ไนจีเรียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ

ไนจีเรีย เป็นเพียงหนึ่งใน 8 ประเทศที่ยูเอ็นระบุว่า มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกทั้งหมดระหว่างปี 2022 – 2050 โดยอีก 7 ประเทศ ได้แก่ คองโก เอธิโอเปีย แทนซาเนีย อียิปต์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และอินเดียที่คาดว่าจะแซงจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในปีหน้า

รายงานของยูเอ็นฉบับนี้ยังคาดการณ์ว่า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ล้านคนภายในปี 2030 และถึง 9,700 ล้านคนภายในปี 2050 ก่อนจะเพิ่มถึง 10,400 ล้านคนภายในปี 2100

รายงานของสหประชาชาติ “Day of 8 Billion” ที่เผยแพร่ในวันอังคาร สำรวจปัญหาในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการเจาะจงถึงปัญหาที่แท้จริงซึ่งมาพร้อมกับหลักไมล์ใหม่ของจำนวนประชากรโลก โดยชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มภัยคุกคามต่อประเทศกำลังพัฒนาที่ล้าหลัง ตั้งแต่การจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค การศึกษา การทำงาน และความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น

รายงานชี้ว่า “จำนวนประชากรในประเทศแถบทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา คาดว่า จะเพิ่มขึ้นสองเท่าระหว่างปี 2022 – 2050 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรที่มีจำกัด และท้าทายการวางแผนนโยบายเพื่อลดปัญหายากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศเหล่านั้น”

ดร.ศรีนาธ เรดดีย์ ประธานองค์กร Public Health Foundation of India กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรส่งผลให้มีประชาชนมากขึ้นที่ต้องแย่งชิงทรัพยากรน้ำ และทำให้ครอบครัวจำนวนมากขึ้นที่ต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนอาหาร เพิ่มแรงกดดันต่อสิ่งแวดล้อม และท้าทายความมั่นคงทางอาหาร

นักวิเคราะห์ชี้ว่า ภัยคุกคามสำคัญที่สุดต่อสิ่งแวดล้อม คือ การบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศพัฒนาแล้วที่จำนวนประชากรมิได้เพิ่มขึ้นมากนัก

อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนประชากรในหลายประเทศกำลังเพิ่มขึ้น แต่รายงานของยูเอ็นชี้ว่า มีอย่างน้อย 61 ประเทศที่จำนวนประชากรมีอัตราลดลงราว 1%

ข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ระบุว่า ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีจำนวนประชากรราว 333 ล้านคน โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ระดับเพียง 0.1% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ที่มา: เอพี)

Advertisement

จีนพบคุณภาพ “อากาศ-น้ำ” ดีขึ้นในปี 2021 ประกาศเดินหน้ากำจัดสภาพอากาศที่เป็นมลพิษหนัก

People Unity News : รายงานฉบับทางการด้านสิ่งแวดล้อมและความสำเร็จของการปกป้องสิ่งแวดล้อมในปี 2021 ของจีน ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) เพื่อการพิจารณา เมื่อวันจันทร์ (18 เม.ย.) ระบุว่าสภาพแวดล้อมของจีนมีพัฒนาการดีขึ้นในปีที่ผ่านมา

สัดส่วนวันที่มีคุณภาพอากาศดีของเมืองระดับแคว้นขึ้นไปของจีนในปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 87.5 เพิ่มขึ้น 0.5 จุด เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนความหนาแน่นเฉลี่ยของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม2.5 (PM2.5) อยู่ที่ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบปีต่อปี

ขณะเดียวกันสัดส่วนน้ำผิวดินของจีนตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป จากระบบวัดคุณภาพน้ำ 5 ระดับของประเทศ เพิ่มขึ้น 1.5 จุด เมื่อเทียบปีต่อปี อยู่ที่ร้อยละ 84.9 ในปี 2021 ขณะสัดส่วนน้ำผิวดินต่ำกว่าระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด อยู่ที่ร้อยละ 1.2

จีนจะเพิ่มความพยายามกำจัดสภาพอากาศที่เป็นมลพิษหนัก ควบคุมมลพิษจากก๊าซโอโซนและรถบรรทุกดีเซล ปกป้องแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลือง ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ทางทะเลที่สำคัญอย่างครอบคลุม ตลอดจนทำแผนที่ทางระบายน้ำเสียและควบคุมการปล่อยสารมลพิษในปี 2022

Advertisement

Verified by ExactMetrics