วันที่ 18 กันยายน 2025

‘เฟด’ ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สูงสุดรอบ 28 ปี หวังสกัดเงินเฟ้อ พร้อมส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอีกในการประชุมครั้งหน้า

People Unity News : 16 มิ.ย. 65 ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Federal Reserve (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ที่ระดับ 1.5-1.75% ในวันพุธ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 28 ปี เพื่อแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ต้องประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย

เจอโรม พาวเวลล์ ประธานคณะผู้ว่าการระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ แถลงข่าวหลังการประชุมด้านนโยบายเป็นเวลาสองวันว่า เป้าหมายในการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ เพื่อดึงระดับเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในขณะที่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งต่อไป แต่สิ่งที่ชัดเจนขึ้นตอนนี้ ก็คือ หลายปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้กำลังมีบทบาทสำคัญขึ้นมา

แม้ว่าเฟดจะฉีดยาแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่ในวันพุธ เฟด คาดว่าเงินเฟ้อจะพุ่งแตะระดับ 5.2% ในสิ้นปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4.3% และจะชะลอตัวสู่ระดับ 2.6% และ 2.2% ในปี 2023 และ 2024 ตามลำดับ

นอกจากนี้ เฟด ยังปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจว่าจะขยายตัวที่ 1.7% ในปีนี้ พร้อมคาดว่าอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นที่ 3.7% ภายในสิ้นปีนี้ และจะปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 4.1% ในอีก 2 ปีข้างหน้า

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นดอกเบี้ยราว 0.50-0.75% ในการประชุมครั้งหน้า แต่ไม่คาดหมายว่าระดับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้จะกลายเป็นความปกติ

Advertisement

ประยุทธ์ เข้าร่วมประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 พร้อมรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC

People Unity News : ประยุทธ์ พร้อมเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 และรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ต่อจากศรีลังกา

วันนี้ (28 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยศรีลังกา และนายโคฐาภยะ ราชปักษะ ประธานาธิบดีศรีลังกา เป็นผู้กล่าวในช่วงพิธีเปิดการประชุม ในวันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.50 น. ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

นายธนกร กล่าวว่า บิมสเทค (BIMSTEC) เป็นกรอบความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่าง 7 ประเทศในอ่าวเบงกอล ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2540 ภายใต้การริเริ่มและผลักดันของไทย เพื่อสอดรับนโยบายมองตะวันตก (Look West) ของไทย เข้ากับนโยบายมองตะวันออก (Look East) ของกลุ่มประเทศเอเชียใต้ และ Act East ของอินเดีย โดย ไทย เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2557

การประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 ศรีลังกาในฐานะเจ้าภาพ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “BIMSTEC- Towards a Resilient Region, Prosperous Economies, Healthy Peoples”  หรือ “บิมสเทค มุ่งหน้าสู่อนุภูมิภาคที่ยืดหยุ่น มั่งคั่ง และประชาชนมีสุขภาพดี” ซึ่งการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนประเทศไทย จะร่วมพิธีรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ให้แก่ไทย พร้อมร่วมรับชมวิดีโอเปิดตัวการเป็นประธาน โดยไทยจะเป็นประธาน BIMSTEC วาระ 2 ปี ช่วงปี 2565-2566 ต่อจากศรีลังกา โดยประเด็นที่ไทยต้องการผลักดันในช่วงการดำรงตำแหน่งประธาน อาทิ การสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายและวิกฤตรูปแบบต่างๆ และความสามารถในการฟื้นตัว เป็นต้น และในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะกล่าวถ้อยแถลงในนามผู้นำรัฐบาลไทยอีกด้วย

Advertising

โลกจับตา “ผู้นำสหรัฐฯ – จีน” พบกันครั้งแรก 6-7 เม.ย.นี้

People unity news online : 6 เมษายน 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานบทวิเคราะห์โลก ว่า นักวิเคราะห์กล่าวว่า จีนอาจใช้ความสำคัญทางเศรษฐกิจชี้ให้เห็นว่า จีนอาจช่วยให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ตามคำขวัญของทรัมป์ ในระหว่างที่ประธานาธิบดี สี จิน ผิง ของจีน และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะพบกันเป็นครั้งแรกสัปดาห์นี้ ที่สถานตากอากาศของครอบครัวทรัมป์ Mara-a-Logoในรัฐฟลอริด้า

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผู้นำสหรัฐฯออกคำสั่งฝ่ายบริหารสองฉบับ เรียกร้องให้มีการทบทวนเรื่องการขาดดุลการค้า และให้คำมั่นว่าจะตอบโต้ประเทศที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันเห็นว่าค้าขายอย่างไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ

แม้จะไม่มีการกล่าวถึงจีนอย่างเฉพาะเจาะจง แต่เป็นที่ทราบดีว่าประธานาธิบดีทรัมป์ตำหนิจีนเรื่องการค้าและค่าเงินหลายครั้งก่อนหน้านี้

นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเยือนสหรัฐฯของประธานาธิบดีจีน อาจช่วยลดทอนความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักระหว่างสองประเทศ แม้ว่าคงจะไม่สามารถสลายความซับซ้อนในหลายเรื่องที่มีผลกระทบต่อความเป็นมิตรกัน

นักวิเคราะห์การเมืองเอเชีย Ross Feingold กล่าวว่า “เห็นชัดเจนว่าประธานาธิบดีสี จิน ผิง ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ทำงานร่วมกันได้กับประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อที่จะได้พูดคุยกันในเรื่องต่างๆระดับทวิภาคี ซึ่งจะได้ประโยชน์มากหากทั้งคู่มีความเป็นมิตรต่อกัน”

ขณะนี้จีนกำลังติดตามท่าทีของอเมริกาอย่างใกล้ชิด และดูว่าจะสามารถชี้ให้สหรัฐฯเห็นถึงประโยชน์ร่วมกัน เพราะจีนก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งตามคำขวัญ “Make America Great Again” ของผู้นำสหรัฐฯ

รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศจีน เชง จีกวง กล่าวว่า “จีนมีแนวทางกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และนั่นหมายถึงการซื้อสินค้าจากอเมริกาด้วย”

นอกจากนั้น เขากล่าวว่าการลงทุนของชาวจีนในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์กล่าวว่า จีนน่าจะใช้การพบกันสัปดาห์นี้ของผู้นำสองประเทศเป็นโอกาสออกแถลงการณ์ที่ดูดี เพื่อช่วยปรับบรรยากาศให้เป็นไปในทางบวกสำหรับการทำงานร่วมกันต่อไปจากนี้

อุปสรรคประการหนึ่งคือเรื่องเกาหลีเหนือ ซึ่งทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ นิคกี้ เฮลลี่ เคยกล่าวว่าสหรัฐฯต้องการเห็นจีนแข็งขันกับการช่วยนานาชาติกดดันเกาหลีเหนือ

เธอกล่าวว่า “ที่ผ่านมามากกว่า 25 ปี สหรัฐฯได้ยินจีนพูดมาตลอดว่ากังวลกับเกาหลีเหนือ แต่การกระทำของจีนไม่เหมือนกับว่าจีนห่วงในเรื่องนี้ อเมริกาจึงอยากเห็นจีนลงมือทำอย่างจริงจังตามที่ได้แสดงความกังวลไว้” (รายงานโดย Bill Ide / รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียง)

ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ voathai.com ก็ได้ออกบทวิเคราะห์เรื่อง “จับตาประเด็นสำคัญและความขัดแย้ง “สหรัฐฯ – จีน” ก่อนหน้า “สี จิน ผิง” เยือนสหรัฐฯ” ว่า สื่อหลายสำนักในสหรัฐฯรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดต้อนรับประธานาธิบดีจีน สี จิน ผิง ในเดือนหน้า ที่บ้านพักตากอากาศของทรัมป์ที่รัฐฟลอริด้า เป็นเวลาสองวันคือวันที่ 6 – 7 เมษายน ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกของผู้นำทั้งสองคนนี้

โฆษกทำเนียบขาว ฌอน สไปเซอร์ กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จะหารือกันในประเด็นที่เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์และการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ รวมทั้งประเด็นอื่นๆ โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุน

ที่ผ่านมา สหรัฐฯมักออกมาเรียกร้องให้จีนช่วยควบคุมท่าทีก้าวร้าวของเกาหลีเหนือ โดยชี้ว่ารัฐบาลปักกิ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของระบอบผู้นำ คิม จอง อึน

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯก็ต่อต้านการที่จีนสร้างสิ่งก่อสร้างบนเกาะเทียมในทะเลจีนใต้ และได้ส่งเรือลาดตระเวนไปใกล้เกาะแห่งนั้นเป็นประจำ เพื่อแสดงให้เห็นถึงเสรีภาพของการเดินเรือในบริเวณดังกล่าว

ทางด้านจีนเองก็ได้แสดงอาการไม่พอใจ เมื่อคราวที่ ปธน.ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งใหม่ๆ และได้รับโทรศัพท์แสดงความยินดีจากประธานาธิบดีไต้หวันโดยตรง ซึ่งถือว่าขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมายาวนานระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

รวมทั้งการที่ ปธน.ทรัมป์ ตั้งคำถามถึงนโยบายจีนเดียว ซึ่งหมายถึงโอกาสที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ อาจไม่ยอมรับคำกล่าวอ้างของปักกิ่งที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน

ต่อมา ปธน.ทรัมป์ ได้ต่อโทรศัพท์ถึง ปธน.สี จิน ผิง เพื่อให้คำรับรองว่า การยอมรับของสหรัฐฯต่อนโยบายจีนเดียวนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นการปูทางสู่การพบกันระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศนี้

สำหรับในประเด็นด้านเศรษฐกิจ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวหาจีนไว้หลายครั้งระหว่างการหาเสียงว่า จีนคือผู้แทรกแซงค่าเงินหยวนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ส่งออกชาวจีน และยังวิจารณ์ไปถึงการขาดดุลการค้ามหาศาลของสหรัฐฯที่มีต่อจีนด้วย

โดยเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐฯขาดดุลการค้าต่อจีนเป็นมูลค่าถึง 347,000 ล้านดอลลาร์

ปธน.ทรัมป์ รับปากไว้ว่าจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าต่อจีน รวมทั้งจะทำให้บริษัทขนาดใหญ่ต่างๆของสหรัฐฯ ย้ายกลับมาตั้งโรงงานในอเมริกา แต่นักวิเคราะห์หลายคนยังไม่แน่ใจว่า ปธน.ทรัมป์ จะสามารถทำได้เหมือนที่กล่าวไว้

มาตรการหนึ่งที่ทรัมป์บอกว่าจะนำมาใช้ คือการตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทอเมริกันที่มีโรงงานในประเทศจีน แต่มาตรการที่ว่านี้จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐสภาสหรัฐฯเสียก่อน ซึ่งคงไม่ใช่ในเร็ววันนี้แน่นอน

ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า ในความเป็นจริง คนอเมริกันจำนวนมากยังต้องการซื้อสินค้าราคาถูกที่ผลิตจากจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่ายหากจะทำให้ประชาชนเหล่านี้ยอมรับการซื้อสินค้าราคาแพงขึ้น แม้ว่าสินค้านั้นจะผลิตในอเมริกาก็ตาม

ขณะเดียวกัน คำกล่าวของ ปธน.ทรัมป์ ยังก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจเกิดสงครามการค้าระหว่างประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสองประเทศนี้ได้ในอนาคต (Ken Bredemeier รายงาน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)

People unity news online : post 6 เมษายน 2560 เวลา 19.33 น.

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบผันผวน

People Unity News : 3 ตุลาคม 65 ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบผันผวนรอมติโอเปกพลัส  5 ต.ค.จะลดกำลังผลิตเพื่อรักษาระดับราคาหรือไม่

บมจ.ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 75-85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 82-92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบผันผวน เนื่องจากตลาดยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากทัศนะของประธานเฟดสาขาต่างๆมีความเห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ท่อส่งน้ำมัน  โครงการแคสเปียน ไปป์ไลน์ คอนซอร์เทียม (Caspian Pipeline Consortium: CPC) หนึ่งในท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งส่งน้ำมันจากคาซัคสถานไปยังทะเลดำ จะกลับมาส่งออกน้ำมันในระดับปกติตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากอุปทานที่มีแนวโน้มตึงตัว  ตลาดจับตาการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 ต.ค. 65 โดยรัสเซียส่งสัญญาณว่าทางกลุ่มควรปรับลดกำลังการผลิตราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อพยุงราคาน้ำมัน หลังราคาน้ำมันปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากปัจจัยความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอย

ขณะที่อุปสงค์ความต้องการน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลังเข้าสู่ช่วงวันหยุดประจำปี (Golden week) ของจีน และราคาก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้นในยุโรป ทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น (gas-to-oil switching)

ตลาดยังคงกังวลอุปทานก๊าซตึงตัว หลังพบการรั่วไหลของก๊าซบริเวณท่อ Nord Stream 1 และ 2 ซึ่งส่งออกก๊าซจากรัสเซียไปยังยุโรป โดยคาดว่าการรั่วไหลที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการก่อวินาศกรรม ส่งผลให้ราคาก๊าซในยุโรปปรับตัวสูงขึ่น โดยราคาก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดท่อส่งน้ำมัน CPC จะกลับมาส่งออกน้ำมันที่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ต.ค.

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมา (26 – 30 ก.ย. 65)  ปรับเพิ่มขึ้น 2.78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 79.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 4.69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 87.96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 89.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังรายงานสต๊อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ย. 65 ปรับลดลง 0.215 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 0.443 ล้านบาร์เรล ขณะที่พายุเฮอริเคนเอียน เฮอริเคนระดับ 4 พัดขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดา ส่งผลกระทบต่อแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซราว 11% อย่างไรก็ตาม ราคายังคงได้รับแรงกดดันหลังสกุลเงินดอลล่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีดอลล่าสหรัฐฯ ปรับตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี ที่ระดับ 114.527 ส่งผลให้สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีความน่าสนใจน้อยลง

Advertisement

พิษสงครามยูเครน เศรษฐกิจเยอรมนีดำดิ่ง SME กระทบหนักสุด

People Unity News : 18 ตุลาคม 2565 ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเยอรมนีถือเป็นต้นแบบของเสถียรภาพและความแข็งแกร่งมายาวนาน แต่วิกฤตพลังงานที่มีชนวนมาจากสงครามยูเครนพ่วงด้วยภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง ได้ผลักให้แดนอินทรีเหล็กดำดิ่งในวิกฤตและสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในอนาคตได้

มาร์เซล แฟรตส์เชอร์ ประธานสถาบัน German Institute for Economic Research เปิดเผยกับวีโอเอว่า “สงครามยูเครนและวิกฤตพลังงานกระทบกระเทือนเยอรมนีอย่างหนัก เพราะเยอรมนีพึ่งพาการนำเข้าพลังงานฟอสซิลจากต่างประเทศ เมื่อราคาปรับพุ่งสูงขึ้น ได้ทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีดิ่งลงสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย”

บรรดาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเยอรมนี โดยเมื่อปี 2020 ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจ้างงานชาวเยอรมันมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ แต่ธุรกิจกลุ่มนี้กำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตล่าสุด

ยาน ชมีเดอร์-บัลลาเดอร์ เจ้าของธุรกิจเบเกอรีซึ่งมีพนักงาน 20 คน เลอ โบร็ต ในเมืองนอยเคิร์น ชานกรุงเบอร์ลิน บอกกับวีโอเอว่า “ความท้าทายสำคัญที่เราเผชิญในตอนนี้คือความไม่แน่นอนของราคาพลังงาน เงินเฟ้อที่พุ่งสูง และภาวะไฟฟ้าดับที่อาจเกิดขึ้นในฤดูหนาวปีนี้ ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น 30% ไปแล้ว เราคาดว่าราคาพลังงานจะไปต่ออีก 100% แน่นอน แต่นั่นขึ้นกับฤดูหนาวที่จะมาถึงประกอบกับทิศทางการเมืองในช่วงนั้นด้วย”

ผู้บริโภคเองต่างได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการไม่อาจแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนต้องปรับเพิ่มราคาสินค้าไป

เจ้าของธุรกิจเบเกอรี เลอ โบร็ต เสริมว่า “เราพยายามลดต้นทุนและเปิดรับลูกค้าทั้งหมดแล้ว แต่แน่นอนว่าเมื่อเราปรับราคา ลูกค้าก็หดหายไป”

ที่ผ่านมา รัฐบาลเยอรมนีประกาศมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและผู้บริโภคหลายอย่าง แต่ผลพวงการสงครามยูเครนที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน กดดันให้เยอรมนีเผชิญกับความท้าทายใหญ่ที่จะมาถึง

แฟรตส์เชอร์ เพิ่มเติมว่า “ความท้าทายที่ใหญ่กว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงปีหน้าเท่านั้น แต่จะยิงยาวไปราว 5-10 ปี เนื่องจากเยอรมนีกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในหลายมิติ บริษัทต่าง ๆ ในเยอรมนีต้องเตรียมรับกับการเสียเปรียบทางการค้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างสหรัฐฯ จีน และเกาหลีใต้ ที่ไม่เผชิญกับการปรับขึ้นของราคาพลังงานมากเท่ากับบริษัทเยอรมนี”

ด้านนักเศรษฐศาสตร์ ประเมินว่า ครัวเรือนเยอรมันที่มีรายได้ 39,000 ดอลลาร์ หรือราว 1,486,000 บาทต่อปี จะเจอกับต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นราว 4,800 ดอลลาร์ หรือราว 183,000 บาทต่อปีทีเดียว นั่นหมายความว่า ต้นทุนพลังงานจะส่งผลกระทบครัวเรือนรายได้น้อยและปานกลางอย่างมาก

ชมีเดอร์-บัลลาเดอร์ ทิ้งท้ายไว้ว่า “ทุกธุรกิจเจอกับความท้าทายกันทั้งนั้น แต่หากไม่เดินหน้าต่อก็เท่ากับว่าต้องปิดกิจการหรือเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นแทน แต่หากทำเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจสำหรับเหล่าพนักงานที่ถูกลอยแพ เพราะธุรกิจเบเกอรีของเราจ้างงานถึง 20 ชีวิต และนั่นหมายถึงรายได้หาเลี้ยงครอบครัวของพวกเขา สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะดำเนินธุรกิจต่อไป”

ระหว่างฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังผ่านพ้นไปและฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาเยือน เยอรมนียังต้องเตรียมรับมือกับอนาคตที่ไม่มีแน่นอนมากกว่าที่เป็นมาในรอบหลายปีต่อไป (ที่มา: วีโอเอ)

Advertisement

จีนพบคุณภาพ “อากาศ-น้ำ” ดีขึ้นในปี 2021 ประกาศเดินหน้ากำจัดสภาพอากาศที่เป็นมลพิษหนัก

People Unity News : รายงานฉบับทางการด้านสิ่งแวดล้อมและความสำเร็จของการปกป้องสิ่งแวดล้อมในปี 2021 ของจีน ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) เพื่อการพิจารณา เมื่อวันจันทร์ (18 เม.ย.) ระบุว่าสภาพแวดล้อมของจีนมีพัฒนาการดีขึ้นในปีที่ผ่านมา

สัดส่วนวันที่มีคุณภาพอากาศดีของเมืองระดับแคว้นขึ้นไปของจีนในปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 87.5 เพิ่มขึ้น 0.5 จุด เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนความหนาแน่นเฉลี่ยของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม2.5 (PM2.5) อยู่ที่ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบปีต่อปี

ขณะเดียวกันสัดส่วนน้ำผิวดินของจีนตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป จากระบบวัดคุณภาพน้ำ 5 ระดับของประเทศ เพิ่มขึ้น 1.5 จุด เมื่อเทียบปีต่อปี อยู่ที่ร้อยละ 84.9 ในปี 2021 ขณะสัดส่วนน้ำผิวดินต่ำกว่าระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด อยู่ที่ร้อยละ 1.2

จีนจะเพิ่มความพยายามกำจัดสภาพอากาศที่เป็นมลพิษหนัก ควบคุมมลพิษจากก๊าซโอโซนและรถบรรทุกดีเซล ปกป้องแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลือง ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ทางทะเลที่สำคัญอย่างครอบคลุม ตลอดจนทำแผนที่ทางระบายน้ำเสียและควบคุมการปล่อยสารมลพิษในปี 2022

Advertisement

Gazprom บริษัทพลังงานรัสเซียหยุดส่ง ‘ก๊าซ’ ให้เดนมาร์ก-เยอรมนี ไล่หลังหยุดส่งให้เนเธอร์แลนด์

People Unity News : 1 มิถุนายน 2565 ก๊าซพรอม (Gazprom) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซีย ประกาศระงับการจัดส่งก๊าซให้เออร์สเตด (Orsted) บริษัทพลังงานรายใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก และระงับการจัดส่งก๊าซให้เยอรมนีภายใต้สัญญาเชลล์ เอเนอร์จี ยุโรป (Shell Energy Europe) โดยมีผลตั้งแต่วันพุธที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป

ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (30 พ.ค.) Gazprom ได้หยุดส่ง ‘ก๊าซ’ ให้เนเธอร์แลนด์ หลังปัดซื้อด้วย ‘รูเบิล’

ทั้งนี้ ก๊าซเทอร์รา (GasTerra) บริษัทก๊าซของเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่าก๊าซพรอม (Gazprom) บริษัทพลังงานของรัสเซีย จะยุติการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้เนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่วันอังคาร (31 พ.ค.) เป็นต้นไป หลังก๊าซเทอร์ราปฏิเสธชำระเงินด้วยสกุลรูเบิล

คำแถลงจากก๊าซเทอร์ราระบุว่าการตัดก๊าซของรัสเซีย หมายความว่าจะไม่มีการจัดส่งก๊าซตามสัญญากับก๊าซพรอม จำนวน 2 พันล้านลูกบาศก์เมตร แก่เนเธอร์แลนด์ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. ถึง 30 ก.ย. ขณะสื่อท้องถิ่นรายงานว่าปริมาณก๊าซที่ถูกตัดคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 5 ของการใช้ก๊าซรายปีในเนเธอร์แลนด์

ก๊าซเทอร์รา ซึ่งรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง เผยว่ามีการซื้อก๊าซจากแหล่งอื่นๆ เพื่อรับมือกรณีนี้ ขณะตลาดก๊าซยุโรปมีความเป็นหนึ่งเดียวและความครอบคลุมสูง และมิอาจคาดการณ์ได้ว่าการตัดก๊าซจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์อุปทานและอุปสงค์อย่างไร หรือตลาดยุโรปจะรับมือกับการสูญเสียก๊าซครั้งนี้โดยไม่เกิดผลร้ายแรงตามมาได้หรือไม่

ด้าน ร็อบ เจ็ตเทน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเนเธอร์แลนด์ โพสต์ทวิตเตอร์ว่ารัฐบาลเข้าใจมติของก๊าซเทอร์ราที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินของก๊าซพรอม โดยมติดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดส่งก๊าซแก่ครัวเรือนในประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศแผนยุติการซื้อก๊าซธรรมชาติของรัสเซียอย่างสิ้นเชิงภายในสิ้นปี 2022 และจะพยายามบรรลุเป้าหมายดังกล่าวด้วยการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน และการนำเข้าพลังงานจากประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยเนเธอร์แลนด์นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียราวร้อยละ 15

Advertisement

 

Krungthai ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing ตลาดผันผวน แนะลงทุนหุ้นคุณภาพ รับผลตอบแทนที่ดี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 ตุลาคม 2567 Krungthai CIO ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing แนะสะสมหุ้นคุณภาพ รับผลตอบแทนที่ดีในภาวะตลาดผันผวน

Krungthai CIO ชี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลายตลาดทำสถิติสูงสุดตลอดกาล   ท่ามกลางความผันผวนของตลาด ซึ่งตามสถิติในเดือนกันยายนมีความผันผวนมากที่สุดของปี แนะสะสมหุ้นคุณภาพดีของสหรัฐฯ ราคาน่าสนใจ สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในสภาวะตลาดผันผวน

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Chief Investment Office) วิเคราะห์ตลาดและการลงทุนประจำเดือนตุลาคม 2567 โดยยังคงมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอลง แต่ไม่ถดถอย และเดินหน้าไปสู่ภาวะ Soft Landing โดยเงินเฟ้อทั่วโลกมีการทยอยปรับตัวลง กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลก จะเริ่มวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อหยุดการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ นอกจากนี้ จีนยังประกาศออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ที่มีทั้งนโยบายการเงินและการคลัง มองว่าจะช่วยหยุดการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ ทำให้เศรษฐกิจจีนในปีนี้เติบโตได้ตามเป้า แต่ในภาคอสังหาฯ ที่มีปัญหามาอย่างยาวนานนั้น อาจจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นมากกว่าปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้รับรู้ข่าวดีต่างๆ ไปบ้างแล้ว โดยปัจจุบันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ที่ระดับ Forward P/E  19.15 เท่า  สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17.0 เท่า จึงมองว่า Upside การลงทุนเริ่มจำกัด ตลาดจะตัวแกว่งในกรอบ นอกจากนี้ ราคาหุ้นที่ค่อนข้างตึงตัว หากกำไรบริษัทจดทะเบียนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัวลง อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย และตลาดอาจปรับตัวลงแรง เช่นเดียวกับช่วงต้นเดือนกันยายน ดังนั้น จึงแนะปรับพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อรับผลตอบแทนที่ยั่งยืนในทุกสภาวะตลาด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ในสภาวะที่ตลาดโดยรวมอาจจะยังคงตึงตัว มองว่ายังมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นไปกระจุกตัวของหุ้นขนาดใหญ่ไม่กี่ตัว สร้างแนวโน้มการทำกำไรในหุ้นตัวอื่นๆ ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาที่ไม่ตึงตัวมากเกินไป ทำให้มองว่าการลงทุนที่น่าสนใจช่วงนี้ ควรเข้าสะสมหุ้น Laggard ที่คุณภาพดี เช่น หุ้นเทคโนโลยี ที่ไม่ใช่เทคฯ ขนาดใหญ่ โดยมีกระแสเงินสดและการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ มองว่าตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market  ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงแรงช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การฟื้นตัวยังมี Upside อยู่ ในขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับไม่สูง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ที่มองว่ายังมี Upside ถึงแม้จะปรับตัวขึ้นได้โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ดี และเริ่มมีสัญญาณเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยอีกรอบ หลังจากไหลออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า

Advertisement

ผู้นำเอเปค รับข้อเสนอ ABAC มุ่งสร้างความเชื่อมโยง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

People Unity News : 18 พฤศจิกายน 2565 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้นำเอเปค รับข้อเสนอภาคเอกชน ABAC หวังร่วมมือฟื้นเศรษฐกิจเอเปค หวั่นหลายปัจจัยคุกคามเอเปค จากกับดักเงินเฟ้อ วิกฤตอาหาร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมหารือเต็มคณะระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค กับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Leaders’ Dialogue with ABAC)

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ABAC กล่าวว่า  ปัจจุบันความท้าทายต่างๆ เป็นภัยคุกคามที่ทุกเขตเศรษฐกิจต้องเผชิญร่วมกัน จึงเน้นย้ำการร่วมมือกันอย่างจริงจัง เน้นการป้องกันการติดอยู่ในกับดักเงินเฟ้อ วิกฤตอาหาร อำนวยความสะดวกทางการค้า ดำเนินการตามเศรษฐกิจ BCG รับมือกับโรคระบาด การเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม สนับสนุนความเชื่อมโยงและไร้รอยต่อ ภายใต้มาตรฐานและแนวปฏิบัติร่วมกัน รวมถึงการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนบูรณาการทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค สนับสนุน MSMEs โดยเฉพาะ รวมถึงการพัฒนาและนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมาใช้

จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ ABAC สำหรับข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์และปฏิบัติได้จริง สะท้อนข้อเรียกร้องของภาคธุรกิจว่า เอเปคจะต้องดำเนินการเรื่องต่างๆอย่างไรต่อไป ซึ่งการหารือจะเป็นโอกาสดีที่จะได้สานต่อความร่วมมือ โดยใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาร่วมกันของภูมิภาค โดยเอเปคมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ อาทิ การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อหาทางออกไปด้วยกัน รวมทั้งความสำเร็จของเอเปคในปีนี้ เป็นผลมาจากการรับข้อเสนอแนะของ ABAC มาขับเคลื่อนในเอเปค

“โดยเฉพาะแผนงานต่อเนื่องหลายปีสำหรับวาระเรื่อง FTAAP (Free Trade Area of the Asia-Pacific) รวมทั้งการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยได้บรรลุผลเป็นรูปธรรม ช่วยฟื้นฟูการเดินทางข้ามแดนอย่างปลอดภัยและไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ยังเสนอการจัดทำเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG เพื่อขับเคลื่อนวาระการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุม สอดคล้องกับการขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของ ABAC” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผลงานของ ABAC ปีนี้ ส่งเสริม สอดคล้องกับการดำเนินงานของเอเปคเป็นอย่างดี พร้อมขอให้ใช้ประโยชน์จากการหารือกลุ่มย่อย เพื่อนำข้อเสนอของเอแบคไปสู่นโยบายที่สามารถดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างอนาคตของภูมิภาคที่ยั่งยืนและครอบคลุม

Advertisement

WTTC คาดปีหน้าท่องเที่ยวโลกขยายตัว 3.8% ส่วนไทยขึ้นไปอยู่ที่ 10 ภายใน 10 ปี

People unity news online : เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานว่า สมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก หรือ WTTC (World Travel & Tourism Council) คาดว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะขยายตัวต่อเนื่องปีหน้าที่อัตรา 3.8% เทียบกับการเติบโต 3.3% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งดีกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

เมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างรายได้ 7.6 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 10.2 ของขนาดเศรษฐกิจโลก และเงินจากภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 30 ของรายได้การส่งออกจากการบริการ

ภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในอัตราร้อยละ 8.3 คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะได้แรงหนุนจากความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจีน

WTTC ประเมินว่า ไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวสูงอันดับ 10 ของโลกในช่วง 10 ปีจากนี้

สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ WTTC นาย David Scowsill บอกกับช่องโทรทัศน์ CNBC เมื่อต้นสัปดาห์ว่า “ความพยายามจำกัดการเดินทางเข้าสหรัฐฯของประชาชนบางประเทศโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ซึ่งกำลังเผชิญจากปัจจัยลบที่มาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้นอยู่แล้ว”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานว่า การท่องเที่ยวในหลายประเทศของกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว โดยปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากชนชั้นกลางและระดับรายได้ที่สูงขึ้นรวมทั้งจากการขยายตัวของบริการสายการบินต้นทุนต่ำด้วย

แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า การขยายตัวของตลาดการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วนี้สร้างปัญหากดดันต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และเตือนให้รัฐบาล รวมทั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศอาเซียน ให้ความสนใจกับคุณภาพและการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตนต้องการ มากกว่าที่จำนวนนักท่องเที่ยว รวมทั้งเน้นนโยบายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้วย องค์การ World Travel and Tourism Council หรือ WTTC คาดการณ์ว่าบทบาทของการท่องเที่ยวที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะเพิ่มขึ้น 5.6 % ในช่วง 10 ปีข้างหน้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 528,000 ล้านดอลลาร์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ช่วยจ้างงานทั้งโดยตรงและทางอ้อม สำหรับผู้คนราว 32 ล้านคนในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย

ส่วนบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน CLSA ก็ชี้ว่า มีโอกาสการลงทุนมากมายที่รออยู่ในภาคการท่องเที่ยว นับตั้งแต่โรงแรมและที่พักตากอากาศ ไปจนถึงระบบคมนาคมขนส่ง การรักษาความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่มาพร้อมการขยายตัวของการท่องเที่ยว คือบุคลากรและระบบสนับสนุนที่เพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำที่ช่วยรองรับนักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวของจีนที่เดินทางออกนอกประเทศได้เพิ่มขึ้นถึง 700% ในช่วง 15 ปี คือจาก 10 ล้านคนเมื่อปี 2543 มาเป็น 78 ล้านคนในปี 2558

และสำหรับของไทยนั้น คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นจาก 32 ล้านคนในขณะนี้เป็น 50 ล้านคนภายในปี 2564 เช่นกัน

People unity news online : post 25 มีนาคม 2560 เวลา 14.51 น.

Verified by ExactMetrics