วันที่ 28 มีนาคม 2024

“มาครง” ชี้โลกเผชิญความท้าทายใหม่ 3 อย่าง สงคราม-การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย-ภูมิอากาศ

People Unity News : 18 พฤศจิกายน 2565 “ปธน.มาครง” ปาฐกถาเวที APEC CEO Summit 2022  ชี้การสร้างสันติภาพและความมั่นคงคือกุญแจสำคัญ ช่วยโลกก้าวผ่านภาวะปั่นป่วนวุ่นวายจากความท้าทายใหม่ ด้านผู้ว่าฯ ททท. ประกาศแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยว เน้นนักท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

การประชุม APEC CEO Summit 2022  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 พ.ย.2565  ที่ ดิ แอทธินี โฮเต็ล อะ ลักชัวรี คอลเลคชั่น โฮเต็ล เวทีคู่ขนานกับเวทีประชุมเอเปค 2022 การประชุมในวันนี้เป็นวันสุดท้าย โดยนายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ กรรมการบริหาร  การประชุม APEC CEO Summit 2022 กล่าวต้อนรับ โดยระบุว่าการประชุม APEC CEO Summit 2022 เป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ที่ผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำภาคเอกชน และผู้นำทางความคิดมาร่วมกันหาทางออกสำหรับอนาคตของเรา

ในโอกาสนี้ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ  Mr.Krishna Srinivasan  กรรมการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ  ในประเด็น Achieving Economic Resilience in APEC”

นายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “การนำทางผ่านโลกที่ปั่นป่วนวุ่นวาย”  โดยชี้ว่า หลังจากที่โลกผ่านวิกฤติโควิด-19 มา ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ 3 อย่าง คือ สงคราม ที่ก่อให้เกิดวิกฤตพลังงานและอาหารตามมา สองคือ การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในโลก ที่ทำให้ความร่วมมือระหว่างประเทศลดลง และสามคือ ปัญหาสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง

“ความท้าทายเหล่านี้ถือเป็นปัญหาของทุกฝ่ายที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข และการมีกฎกติกาโลกที่ทุกฝ่ายปฏิบัติร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งฝรั่งเศสมองว่าการสร้างสันติภาพและความมั่นคง คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้โลกก้าวผ่านภาวะปั่นป่วนวุ่นวายนี้ไปได้ การเจริญเติบโตของแต่ละประเทศก็มีส่วนสำคัญในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และต้องเป็นการเติบโตที่ยั่งยืน ครอบคลุม และเท่าเทียม” ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าว

จากนั้นได้มีการเสวนาหัวข้อ “การสร้างความเท่าเที่ยมทางเพศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต”  ที่มีซีอีโอชั้นนำของไทยเข้าร่วม ได้แก่ น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย Ms. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และ Mr. Timothy D. Dattels สมาชิกสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) แคนาดา

การประชุมในช่วงเช้าจบลงที่การบรรยายในหัวข้อ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ของนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ว่านับตั้งแต่ไทยเปิดประเทศเมื่อเดือนตุลาคม 2564 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ 8.5 ล้านคน และ ททท.ตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.4 ล้านล้านบาท) ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากรายได้ช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ถึง 80% ทั้งนี้ ททท.จะเปลี่ยนแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวจากการเน้นที่ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว เป็นการเน้นให้นักท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลาง

“ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่เน้นความรู้และประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้สูง ส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเฉพาะทาง เช่น การท่องเที่ยวที่เน้นกีฬา หรือการท่องเที่ยวแบบมีความรับผิดชอบให้มากขึ้น ซึ่งจะพยายามทำงานโดยเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน โดยตั้งเป้าให้ทุกฝ่ายได้รับส่วนแบ่งรายได้ที่ยุติธรรม นอกจากนี้ ททท. จะผลักดันการบังคับใช้กฎระเบียบด้านสุขอนามัยและการปกป้องสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งวางแผนประกาศให้เกาะหมาก เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศ” ผู้ว่า ททท. กล่าว

Advertisement

Gazprom บริษัทพลังงานรัสเซียหยุดส่ง ‘ก๊าซ’ ให้เดนมาร์ก-เยอรมนี ไล่หลังหยุดส่งให้เนเธอร์แลนด์

People Unity News : 1 มิถุนายน 2565 ก๊าซพรอม (Gazprom) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซีย ประกาศระงับการจัดส่งก๊าซให้เออร์สเตด (Orsted) บริษัทพลังงานรายใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก และระงับการจัดส่งก๊าซให้เยอรมนีภายใต้สัญญาเชลล์ เอเนอร์จี ยุโรป (Shell Energy Europe) โดยมีผลตั้งแต่วันพุธที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป

ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (30 พ.ค.) Gazprom ได้หยุดส่ง ‘ก๊าซ’ ให้เนเธอร์แลนด์ หลังปัดซื้อด้วย ‘รูเบิล’

ทั้งนี้ ก๊าซเทอร์รา (GasTerra) บริษัทก๊าซของเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่าก๊าซพรอม (Gazprom) บริษัทพลังงานของรัสเซีย จะยุติการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้เนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่วันอังคาร (31 พ.ค.) เป็นต้นไป หลังก๊าซเทอร์ราปฏิเสธชำระเงินด้วยสกุลรูเบิล

คำแถลงจากก๊าซเทอร์ราระบุว่าการตัดก๊าซของรัสเซีย หมายความว่าจะไม่มีการจัดส่งก๊าซตามสัญญากับก๊าซพรอม จำนวน 2 พันล้านลูกบาศก์เมตร แก่เนเธอร์แลนด์ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. ถึง 30 ก.ย. ขณะสื่อท้องถิ่นรายงานว่าปริมาณก๊าซที่ถูกตัดคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 5 ของการใช้ก๊าซรายปีในเนเธอร์แลนด์

ก๊าซเทอร์รา ซึ่งรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง เผยว่ามีการซื้อก๊าซจากแหล่งอื่นๆ เพื่อรับมือกรณีนี้ ขณะตลาดก๊าซยุโรปมีความเป็นหนึ่งเดียวและความครอบคลุมสูง และมิอาจคาดการณ์ได้ว่าการตัดก๊าซจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์อุปทานและอุปสงค์อย่างไร หรือตลาดยุโรปจะรับมือกับการสูญเสียก๊าซครั้งนี้โดยไม่เกิดผลร้ายแรงตามมาได้หรือไม่

ด้าน ร็อบ เจ็ตเทน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเนเธอร์แลนด์ โพสต์ทวิตเตอร์ว่ารัฐบาลเข้าใจมติของก๊าซเทอร์ราที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินของก๊าซพรอม โดยมติดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดส่งก๊าซแก่ครัวเรือนในประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศแผนยุติการซื้อก๊าซธรรมชาติของรัสเซียอย่างสิ้นเชิงภายในสิ้นปี 2022 และจะพยายามบรรลุเป้าหมายดังกล่าวด้วยการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน และการนำเข้าพลังงานจากประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยเนเธอร์แลนด์นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียราวร้อยละ 15

Advertisement

 

ประยุทธ์ เข้าร่วมประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 พร้อมรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC

People Unity News : ประยุทธ์ พร้อมเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 และรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ต่อจากศรีลังกา

วันนี้ (28 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยศรีลังกา และนายโคฐาภยะ ราชปักษะ ประธานาธิบดีศรีลังกา เป็นผู้กล่าวในช่วงพิธีเปิดการประชุม ในวันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.50 น. ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

นายธนกร กล่าวว่า บิมสเทค (BIMSTEC) เป็นกรอบความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่าง 7 ประเทศในอ่าวเบงกอล ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2540 ภายใต้การริเริ่มและผลักดันของไทย เพื่อสอดรับนโยบายมองตะวันตก (Look West) ของไทย เข้ากับนโยบายมองตะวันออก (Look East) ของกลุ่มประเทศเอเชียใต้ และ Act East ของอินเดีย โดย ไทย เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2557

การประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 5 ศรีลังกาในฐานะเจ้าภาพ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “BIMSTEC- Towards a Resilient Region, Prosperous Economies, Healthy Peoples”  หรือ “บิมสเทค มุ่งหน้าสู่อนุภูมิภาคที่ยืดหยุ่น มั่งคั่ง และประชาชนมีสุขภาพดี” ซึ่งการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนประเทศไทย จะร่วมพิธีรับมอบตำแหน่งประธาน BIMSTEC ให้แก่ไทย พร้อมร่วมรับชมวิดีโอเปิดตัวการเป็นประธาน โดยไทยจะเป็นประธาน BIMSTEC วาระ 2 ปี ช่วงปี 2565-2566 ต่อจากศรีลังกา โดยประเด็นที่ไทยต้องการผลักดันในช่วงการดำรงตำแหน่งประธาน อาทิ การสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายและวิกฤตรูปแบบต่างๆ และความสามารถในการฟื้นตัว เป็นต้น และในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะกล่าวถ้อยแถลงในนามผู้นำรัฐบาลไทยอีกด้วย

Advertising

ผู้นำเอเปค รับข้อเสนอ ABAC มุ่งสร้างความเชื่อมโยง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

People Unity News : 18 พฤศจิกายน 2565 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้นำเอเปค รับข้อเสนอภาคเอกชน ABAC หวังร่วมมือฟื้นเศรษฐกิจเอเปค หวั่นหลายปัจจัยคุกคามเอเปค จากกับดักเงินเฟ้อ วิกฤตอาหาร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมหารือเต็มคณะระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค กับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Leaders’ Dialogue with ABAC)

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ABAC กล่าวว่า  ปัจจุบันความท้าทายต่างๆ เป็นภัยคุกคามที่ทุกเขตเศรษฐกิจต้องเผชิญร่วมกัน จึงเน้นย้ำการร่วมมือกันอย่างจริงจัง เน้นการป้องกันการติดอยู่ในกับดักเงินเฟ้อ วิกฤตอาหาร อำนวยความสะดวกทางการค้า ดำเนินการตามเศรษฐกิจ BCG รับมือกับโรคระบาด การเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม สนับสนุนความเชื่อมโยงและไร้รอยต่อ ภายใต้มาตรฐานและแนวปฏิบัติร่วมกัน รวมถึงการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนบูรณาการทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค สนับสนุน MSMEs โดยเฉพาะ รวมถึงการพัฒนาและนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมาใช้

จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ ABAC สำหรับข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์และปฏิบัติได้จริง สะท้อนข้อเรียกร้องของภาคธุรกิจว่า เอเปคจะต้องดำเนินการเรื่องต่างๆอย่างไรต่อไป ซึ่งการหารือจะเป็นโอกาสดีที่จะได้สานต่อความร่วมมือ โดยใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาร่วมกันของภูมิภาค โดยเอเปคมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ อาทิ การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อหาทางออกไปด้วยกัน รวมทั้งความสำเร็จของเอเปคในปีนี้ เป็นผลมาจากการรับข้อเสนอแนะของ ABAC มาขับเคลื่อนในเอเปค

“โดยเฉพาะแผนงานต่อเนื่องหลายปีสำหรับวาระเรื่อง FTAAP (Free Trade Area of the Asia-Pacific) รวมทั้งการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยได้บรรลุผลเป็นรูปธรรม ช่วยฟื้นฟูการเดินทางข้ามแดนอย่างปลอดภัยและไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ยังเสนอการจัดทำเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG เพื่อขับเคลื่อนวาระการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุม สอดคล้องกับการขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของ ABAC” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผลงานของ ABAC ปีนี้ ส่งเสริม สอดคล้องกับการดำเนินงานของเอเปคเป็นอย่างดี พร้อมขอให้ใช้ประโยชน์จากการหารือกลุ่มย่อย เพื่อนำข้อเสนอของเอแบคไปสู่นโยบายที่สามารถดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างอนาคตของภูมิภาคที่ยั่งยืนและครอบคลุม

Advertisement

จีนใช้ ‘เศรษฐกิจแบบกิ๊ก’ กระตุ้นจ้างงาน

Female labors work in a cloth factory which export to European Union in Huaibei, Anhui province, East China on 13th October 2015.

People Unity News : 9 กรกฎาคม 2565 จีนวางแผนกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบกิ๊ก (gig economy) หรือระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากการจ้างงานแบบชั่วคราว เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน

แนวปฏิบัติจากกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคม รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลอีก 4 แห่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ก.ค.) ระบุการรวมข้อมูลการรับสมัครงานปลีกย่อย (odd job) ไว้ในขอบเขตของบริการข้อมูลการจ้างงานสาธารณะ การส่งเสริมการฝึกอบรมผู้หางานชั่วคราว โดยเฉพาะอาชีพใหม่และอาชีพที่ต้องการแรงงานสูง

นอกจากนั้นแนวปฏิบัติข้างต้นระบุว่าจีนจะพยายามปราบปรามการปฏิบัติอันผิดระเบียบในตลาดเศรษฐกิจแบบกิ๊ก เพื่อคุ้มครองสิทธิของเหล่าแรงงานในระบบเศรษฐกิจนี้ให้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จีนออกสารพัดนโยบายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือบรรดาผู้หางาน ซึ่งรวมถึงนักศึกษาและแรงงานต่างถิ่น ได้มีงานทำ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดการจ้างงานในประเทศ

Advertisement

เตือนจับตาตลาดจีนใกล้ชิด สัญญาณชะลอตัวเศรษฐกิจ ส่งออกไทยไปจีนหดตัว

People unity news online : Krungthai Macro Research จับตาตลาดจีนอย่างใกล้ชิด เหตุมีสัญญาณชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง ระบุตัวเลขส่งออกไทยไปจีนชะลอลง หลังสินค้ากลุ่มยาง ผลิตภัณฑ์ยาง และยานยนต์หดตัวแรง

26 ตุลาคม 2561 ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย ประเมินจากรายงานตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนกันยายน 2561 หดตัวลง 5.2% ต่ำสุดในรอบ 19 เดือน เหตุส่งออกไปจีนหดตัวแรงถึง 14.1% และประเทศกลุ่ม ASEAN-5 ชะลอลงมาก โตเพียง 0.9%

Krungthai Macro Research ชี้จับตาตลาดส่งออกจีนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีสัญญาณชะลอตัวทางเศรษฐกิจจีนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง เห็นได้จากตัวเลขสินค้าส่งออกของไทยไปจีนในเดือนกันยายน 2561 หดตัว ทั้งยานยนต์ ยางล้อ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตลาดยานยนต์ของจีนชะลงตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ กล่าวต่อไปว่า จับตาสินค้าสินค้ากลุ่มยาง ผลิตภัณฑ์ยาง และยานยนต์ เนื่องจากสินค้ากลุ่มยางพารามีสัดส่วนต่อการส่งออกไปจีนถึง 6.1% และยอดส่งออกหดตัวถึง 39.7% สำหรับผลิตภัณฑ์ยางหดตัว 33.9% ขณะที่การส่งออกยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบไป ASEAN-5 มีสัดส่วนถึง 13.6% ของยอดส่งออกไป ASEAN-5 ทั้งหมด ล่าสุดหดตัวที่ 12.8% หดตัวครั้งแรกในรอบ 9 เดือน ผู้ประกอบการที่อยู่ใน supply chain ของอุตสาหกรรมนี้จึงควรติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด

สำหรับสินค้านำเข้าของไทยในเดือนกันยายน 2561 เติบโต 9.9% ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่เติบโต 22.8% เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้ส่งออกไปจีนจะหดตัวลง แต่สินค้าจีนยังไม่ทะลักเข้าไทยอย่างที่กังวล ไม่ว่าจะเป็นเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากปัจจัยภายในประเทศของจีนเอง เช่น การลงทุนที่ลดลง สอดคล้องกับการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น และการขอสินเชื่อจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าลดลงอย่างมากในปีนี้  อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องไม่ควรประมาท เพราะในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ อัตรากำแพงภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งกับสินค้าจีนจำนวนมากจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 25% ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้สินค้าจีนออกมามากขึ้น

People unity news online : post 28 ตุลาคม 2561 เวลา 08.10 น.

WTTC คาดปีหน้าท่องเที่ยวโลกขยายตัว 3.8% ส่วนไทยขึ้นไปอยู่ที่ 10 ภายใน 10 ปี

People unity news online : เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานว่า สมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก หรือ WTTC (World Travel & Tourism Council) คาดว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะขยายตัวต่อเนื่องปีหน้าที่อัตรา 3.8% เทียบกับการเติบโต 3.3% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งดีกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

เมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างรายได้ 7.6 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 10.2 ของขนาดเศรษฐกิจโลก และเงินจากภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 30 ของรายได้การส่งออกจากการบริการ

ภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในอัตราร้อยละ 8.3 คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะได้แรงหนุนจากความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจีน

WTTC ประเมินว่า ไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวสูงอันดับ 10 ของโลกในช่วง 10 ปีจากนี้

สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ WTTC นาย David Scowsill บอกกับช่องโทรทัศน์ CNBC เมื่อต้นสัปดาห์ว่า “ความพยายามจำกัดการเดินทางเข้าสหรัฐฯของประชาชนบางประเทศโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ซึ่งกำลังเผชิญจากปัจจัยลบที่มาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้นอยู่แล้ว”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ voathai.com รายงานว่า การท่องเที่ยวในหลายประเทศของกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว โดยปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากชนชั้นกลางและระดับรายได้ที่สูงขึ้นรวมทั้งจากการขยายตัวของบริการสายการบินต้นทุนต่ำด้วย

แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า การขยายตัวของตลาดการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วนี้สร้างปัญหากดดันต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และเตือนให้รัฐบาล รวมทั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศอาเซียน ให้ความสนใจกับคุณภาพและการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตนต้องการ มากกว่าที่จำนวนนักท่องเที่ยว รวมทั้งเน้นนโยบายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้วย องค์การ World Travel and Tourism Council หรือ WTTC คาดการณ์ว่าบทบาทของการท่องเที่ยวที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะเพิ่มขึ้น 5.6 % ในช่วง 10 ปีข้างหน้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 528,000 ล้านดอลลาร์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ช่วยจ้างงานทั้งโดยตรงและทางอ้อม สำหรับผู้คนราว 32 ล้านคนในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย

ส่วนบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน CLSA ก็ชี้ว่า มีโอกาสการลงทุนมากมายที่รออยู่ในภาคการท่องเที่ยว นับตั้งแต่โรงแรมและที่พักตากอากาศ ไปจนถึงระบบคมนาคมขนส่ง การรักษาความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่มาพร้อมการขยายตัวของการท่องเที่ยว คือบุคลากรและระบบสนับสนุนที่เพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำที่ช่วยรองรับนักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวของจีนที่เดินทางออกนอกประเทศได้เพิ่มขึ้นถึง 700% ในช่วง 15 ปี คือจาก 10 ล้านคนเมื่อปี 2543 มาเป็น 78 ล้านคนในปี 2558

และสำหรับของไทยนั้น คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นจาก 32 ล้านคนในขณะนี้เป็น 50 ล้านคนภายในปี 2564 เช่นกัน

People unity news online : post 25 มีนาคม 2560 เวลา 14.51 น.

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบผันผวน

People Unity News : 3 ตุลาคม 65 ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบผันผวนรอมติโอเปกพลัส  5 ต.ค.จะลดกำลังผลิตเพื่อรักษาระดับราคาหรือไม่

บมจ.ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 75-85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 82-92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบผันผวน เนื่องจากตลาดยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากทัศนะของประธานเฟดสาขาต่างๆมีความเห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ท่อส่งน้ำมัน  โครงการแคสเปียน ไปป์ไลน์ คอนซอร์เทียม (Caspian Pipeline Consortium: CPC) หนึ่งในท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งส่งน้ำมันจากคาซัคสถานไปยังทะเลดำ จะกลับมาส่งออกน้ำมันในระดับปกติตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากอุปทานที่มีแนวโน้มตึงตัว  ตลาดจับตาการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 ต.ค. 65 โดยรัสเซียส่งสัญญาณว่าทางกลุ่มควรปรับลดกำลังการผลิตราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อพยุงราคาน้ำมัน หลังราคาน้ำมันปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากปัจจัยความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอย

ขณะที่อุปสงค์ความต้องการน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลังเข้าสู่ช่วงวันหยุดประจำปี (Golden week) ของจีน และราคาก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้นในยุโรป ทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น (gas-to-oil switching)

ตลาดยังคงกังวลอุปทานก๊าซตึงตัว หลังพบการรั่วไหลของก๊าซบริเวณท่อ Nord Stream 1 และ 2 ซึ่งส่งออกก๊าซจากรัสเซียไปยังยุโรป โดยคาดว่าการรั่วไหลที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการก่อวินาศกรรม ส่งผลให้ราคาก๊าซในยุโรปปรับตัวสูงขึ่น โดยราคาก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดท่อส่งน้ำมัน CPC จะกลับมาส่งออกน้ำมันที่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ต.ค.

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมา (26 – 30 ก.ย. 65)  ปรับเพิ่มขึ้น 2.78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 79.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 4.69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 87.96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 89.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังรายงานสต๊อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ย. 65 ปรับลดลง 0.215 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 0.443 ล้านบาร์เรล ขณะที่พายุเฮอริเคนเอียน เฮอริเคนระดับ 4 พัดขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดา ส่งผลกระทบต่อแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซราว 11% อย่างไรก็ตาม ราคายังคงได้รับแรงกดดันหลังสกุลเงินดอลล่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีดอลล่าสหรัฐฯ ปรับตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี ที่ระดับ 114.527 ส่งผลให้สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีความน่าสนใจน้อยลง

Advertisement

ธนาคารโลกเตือนหนี้ประเทศยากจนพุ่ง 12% เฉียด $9 แสนล้าน แนะประเทศร่ำรวยยื่นมือช่วย

People Unity News : ธนาคารโลกเตือน หนี้ประเทศยากจนพุ่ง 12% เฉียด $9 แสนล้าน เมื่อปีที่แล้ว

14 ตุลาคม 2564 ประธานธนาคารโลก เดวิด มอลพาสส์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า รายงานของธนาคารโลกว่าด้วยตัวเลขหนี้ระหว่างประเทศประจำปี 2022 ชี้ให้เห็นว่า ประเทศรายได้ต่ำและปานกลางกำลังมีความเสี่ยงในเรื่องหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมเรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยยื่นมือเข้าช่วยซึ่งรวมถึงการลดหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้และการเพิ่มความโปร่งใส

นายมอลพาสส์ กล่าวว่า เวลานี้ครึ่งหนึ่งของประเทศยากจนทั่วโลกต่างมีปัญหาหนี้ต่างประเทศ และจำเป็นต้องมีการช่วยเหลือให้ประเทศเหล่านั้นสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและลดปัญหาความยากจนได้

รายงานของธนาคารโลกเปิดเผยด้วยว่า หนี้ต่างประเทศของประเทศรายได้ต่ำและปานกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้น 5.3% ในปี ค.ศ. 2020 เป็น 8.7 ล้านล้านดอลาร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภูมิภาค

นายมอลพาสส์ กล่าวว่า การปรับโครงสร้างหนี้ให้กับประเทศยากจนเหล่านั้นถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากโครงการผัดผ่อนหนี้ Debt Service Suspension Initiative (DSSI) ของประเทศกลุ่มจี-20 กำลังจะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้

ที่มา VOA

Advertising

ลาวตั้งเป้าช่วย ‘สองแสนครอบครัว’ หลุดพ้นจากความยากจน

People Unity News : 26 มีนาคม 65 รัฐบาลลาวตั้งเป้านำพาครอบครัวชาวลาวหลุดพ้นจากความยากจนเพิ่มอีก 204,360 ครอบครัว ในช่วงปี 2021-2025

หากทำได้สำเร็จตามเป้าหมาย  ลาวจะมีครอบครัวที่หลุดพ้นจากความยากจนทั้งหมด 1,168,509 ครอบครัว และมี 71,193 ครอบครัวที่ยังคงถูกจัดว่าเป็นผู้ยากจน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.74 ของทั้งหมด

ลาวรายงานเป้าหมายดังกล่าวระหว่างการประชุมประจำปีว่าด้วยการประเมินการพัฒนาชนบทและการบรรเทาความยากจนในปี 2021 เพื่อร่างแผนการดำเนินงานสำหรับปี 2022

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์เป็นเวลาสองวันตั้งแต่วันพุธถึงพฤหัสบดี (23-24 มี.ค.) ในนครหลวงเวียงจันทน์ของลาว โดยมี คำม่วน คำพูแก้ว รักษาการอธิบดีสำนักงานพัฒนาชนบทและสหกรณ์ สังกัดกระทรวงเกษตรและป่าไม้ เป็นประธานการประชุม และมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานฯ ระดับแขวงหลายแห่งเข้าร่วม

ผู้เข้าร่วมการประชุมต่างพูดถึงความสำเร็จของตนในปีที่ผ่านมา และหารือถึงความท้าทายที่พวกเขาประสบและวิธีจัดการกับความท้าทายเหล่านั้น

ในอดีต หมู่บ้านที่ยังไม่พัฒนาและหมู่บ้านในพื้นที่ชายแดนถือเป็นเป้าหมายในการพัฒนาของลาว

คำม่วนกล่าวว่า ลาววางแผนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งฝึกอบรมด้านการเกษตรและปศุสัตว์แก่คนท้องถิ่น เพื่อให้พวกเขาปรับปรุงวิถีชีวิตให้ดีขึ้นได้

การประชุมยังหารือเรื่องแผนช่วยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวยากจน 204,360 ครอบครัว  ช่วงปี 2022-2025  โดยในช่วงปี 2016-2020 มี 85,655 ครอบครัวในลาวหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 57.64 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 148,592 ครอบครัว

ประชากรลาวมากกว่าหนึ่งในสามอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีอัตราความยากจนสูง เนื่องจากอาศัยอยู่ห่างไกลและมีการเข้าถึงที่จำกัด โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและกลุ่มผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภูเขา

รายงานระบุว่า การเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ตลาด โรงพยาบาล โรงเรียน และน้ำสะอาด ทำให้ประชาชนลาวเสี่ยงประสบความยากจนมากยิ่งขึ้น

Advertising

Verified by ExactMetrics