วันที่ 8 ธันวาคม 2025

ครม. เห็นชอบร่างสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ร่างสนธิสัญญาฯ มีวัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระและหลักเกณฑ์ในการให้ความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนภายในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งคล้ายคลึงกับสนธิสัญญาในเรื่องเดียวกันที่ประเทศไทยได้จัดทำกับประเทศต่าง ๆ โดยได้กำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในบทบัญญัติ รวม 29 ข้อ

4 พฤศจิกายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ดังนี้

  1. เห็นชอบร่างสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน (ร่างสนธิสัญญาฯ)
  2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงนามในสนธิสัญญาฯ
  3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามข้อ 2
  4. ให้ ยธ. และ กต. ดำเนินการให้สนธิสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่ที่จะตกลงไว้ในสนธิสัญญาฯ โดยหลังจากที่รัฐสมาชิกอาเซียนลงนามสนธิสัญญาฯ แล้ว ยธ. และ กต. จะดำเนินการแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนว่า ฝ่ายไทยได้เสร็จสิ้นการดำเนินการตามกระบวนของกฎหมายภายในเพื่อให้สนธิสัญญาฯ มีผลใช้บังคับแล้ว โดยสนธิสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับ 30 วัน นับจากวันที่รัฐสมาชิกอาเซียนอย่างน้อย 6 รัฐ ได้แจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนว่ามีผลใช้บังคับแล้ว ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อ 29 วรรค 2 ของสนธิสัญญาฯ
  5. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสนธิสัญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้ ยธ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมาย (ALAWMM) ครั้งที่ 13 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การแสดงวิสัยทัศน์ของประธานรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมาย การกล่าวถ้อยแถลงของรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมายประเทศสมาชิกอาเซียน การกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่ของที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมาย (สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต) การรับรองแผนงานสำคัญของที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย เช่น การดำเนินงานหลังการลงนามสนธิสัญญาฯ การพัฒนาความสอดคล้องของกฎหมายการค้า การพัฒนาการจัดตั้งคณะทำงานเชิงเทคนิคเพื่อจัดทำอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ การรับรองการเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยสำหรับการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ 25 นอกจากนี้ ในห้วงการประชุมดังกล่าวจะมีการลงนามสนธิสัญญาฯ ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนภายในของแต่ละประเทศต่อไป

ร่างสนธิสัญญาฯ มีวัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระและหลักเกณฑ์ในการให้ความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนภายในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งคล้ายคลึงกับสนธิสัญญาในเรื่องเดียวกันที่ประเทศไทยได้จัดทำกับประเทศต่าง ๆ โดยได้กำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในบทบัญญัติ รวม 29 ข้อ

สนธิสัญญาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา รวมทั้งความร่วมมือด้านการยุติธรรมและการปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศภาคี ซึ่งเมื่อมีผลใช้บังคับระหว่างรัฐสมาชิกอาเซียนแล้วจะนำไปสู่ดำเนินความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมภายในภูมิภาคอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของความเคารพอธิปไตย ความเท่าเทียม และผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

Advertisement

“อนุทิน” เผยการเจรจาภาษีศุลากร มีสัญญาณดี หลังพบ ทรัมป์ ครั้งที่ 2

30 ตุลาคม 2568 “อนุทิน” เผยการเจรจาภาษีศุลากร มีสัญญาณดี หลังพบ ปธน. ทรัมป์ ครั้งที่ 2 ก่อนการเข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเปค

วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568 เวลา 22.45 น. (ตามเวลาท้องถิ่นณ เมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ ชั้น 1 โรงแรม  Commodore Hotel เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน  หลังการเข้าร่วม งานเลี้ยงอาหารค่ำ แก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคเป็นกรณีพิเศษ และได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีเผย สัญญาณดีในหลายเรื่อง ทั้งการคลี่คลายความขัดแย้งชายแดนไทย -กัมพูชา หลังการลงนามถ้อยแถลงร่วมฯ ฝ่ายกัมพูชาก็ได้มีการเริ่มปฏิบัติการตามข้อตกลง ซึ่งฝ่ายไทยก็ได้เตรียมการ ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามถ้อยแถลง โดยทั้งสองต่างมีเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จให้เร็วที่สุด

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจามาตรการภาษีสหรัฐฯ ว่า เรายังมีการเจรจาภาษีการค้ากันอยู่  กำลังรอร่างข้อตกลงล่าสุด (เวอร์ชั่นสุดท้าย) ที่จะลงนาม ซึ่งตนเองได้ขอให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยได้รับเงื่อนไขที่ดีมากกว่านี้  ท่านก็รับปากจะไปแจ้งให้กับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบ ให้มีการพูดคุยกัน เพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี  จากการที่ได้มีการพูดคุยกับ ประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 2 ครั้งคือ ที่มาเลเซียครั้งหนึ่งและที่เกาหลีนี้  ก็ได้ย้ำกับท่านประธานาธิบดีอีกครั้ง  ซึ่งท่านประธานาธิบดีได้รับปาก แสดงถึงทิศทางที่ดีสำหรับไทย

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการร่วมประชุมเวทีระหว่างประเทศว่า สำหรับประเทศไทยเป็นสัญญาณที่ดีมากขึ้น จากการที่ได้ไปประชุมอาเซียน และต่อด้วยการประชุมเอเปค เชื่อว่า ไทยได้รับความสนใจจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยมีการหารือทวิภาคีกับผู้นำแทบทุกภาคีสมาชิก  อาทิ นายกรัฐมนตรีแคนาดา  ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ด้วย

Advertisement

ทบ. เชิญผู้ช่วยทูตทหารฯ ชี้แจงสร้างความเข้าใจสถานการณ์ชายแดน

29 ตุลาคม 2568 ทบ. เชิญคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารฯ ชี้แจงสร้างความเข้าใจสถานการณ์ชายแดน ย้ำจุดยืนการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมใช้กลไกทวิภาคีขับเคลื่อนข้อตกลงตามปฏิญญาร่วมใน ASEAN Summit สร้างสันติภาพชายแดน

วันนี้ (29 ต.ค.68) กองทัพบก โดยกรมข่าวทหารบก ได้จัดการบรรยายสรุปรอบไตรมาส (Quarterly Royal Thai Army Briefing) ประจำไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2569 ให้แก่คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย ณ กองบัญชาการกองทัพบก พร้อมด้วยคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกไทยประจำต่างประเทศ ร่วมรับฟังผ่านระบบการประชุมทางไกล (VTC) ในหัวข้อ “ภาพรวมสถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติ รอบชายแดนไทย” (Overview of Transnational Crimes Beyond Thailand’s Borders) โดยมี พลโท ธีรนันท์ นันทขว้าง เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นประธาน ซึ่งมีคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย เข้าร่วมรับฟัง รวม 26 นาย จาก 18 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น, อินเดีย, ฝรั่งเศส, ลาว, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ตุรกี, สาธารณรัฐประชาชนจีน, บรูไน, รัสเซีย, ฟิลิปปินส์, เมียนมา, สิงคโปร์, แคนาดา, อินโดนีเซีย, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และปากีสถาน

โดยเจ้ากรมข่าวทหารบกได้กล่าวต่อคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารฯ ว่าวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้พบปะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารฯ ในไตรมาสแรกของปี 2569 และเป็นครั้งแรกหลังได้รับตำแหน่งใหม่ ทุกท่านเป็นส่วนสำคัญที่จะร่วมขับเคลื่อนในทุกภารกิจระหว่างกันของกองทัพบกไทยและมิตรประเทศ วันนี้จึงได้มีการจัดการบรรยายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการปฏิบัติและมุมมองระหว่างกองทัพบก พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ จากกองทัพ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยเฉพาะประเด็นที่นานาชาติได้ให้ความสนใจในปัจจุบัน อาทิ ความคืบหน้าการดำเนินการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ซึ่งการบรรยาย เริ่มต้นด้วยการชี้แจงแนวทางการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติของไทย ที่รัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นส่วนรับผิดชอบหลัก โดยมี พันตำรวจโท นิยม กาเซ็ง รองผู้กำกับฝ่ายความร่วมมือและกิจการระหว่างประเทศ กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้บรรยาย โดยได้กล่าวถึงผลการปฏิบัติงานในห้วงที่ผ่านมา และแผนการขับเคลื่อนงานต่างๆ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานร่วมกับองค์การตำรวจสากล (Interpol) และหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านอย่างรอบด้าน ในการกำกับดูแลและวางแผนการปฏิบัติเพื่อปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

จากนั้น พันเอก พัฒนา พันธุ์มงคล รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรอง กรมข่าวทหารบก ได้ชี้แจงถึงแนวทางการปฏิบัติของกองทัพบกในการดำเนินการภายหลังการลงนามใน “ปฏิญญาสันติภาพไทย – กัมพูชา” (Kuala Lumpur Peace Accord) ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อวันที่ 26 ต.ค.68 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ไทยมีจุดยืนสำคัญในการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีในทุกระดับ รวมทั้งชี้แจงประเด็นเชลยศึกกัมพูชา ที่กองทัพบกได้เตรียมการที่จะส่งกลับ โดยจะต้องพิจารณาจากผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องร่วมกันใน 4 ประการ ได้แก่ การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน, การเก็บกู้ทุ่นระเบิด, การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน

หลังเสร็จสิ้นการบรรยาย กรมข่าวทหารบกได้ชี้แจงแผนการปฏิบัติงาน และกำหนดการของผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย พร้อมเชิญคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารฯ รับประทานอาหารร่วมกันด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ มุ่งพัฒนาขับเคลื่อนงานระหว่างกองทัพให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน

Advertisement

ไทย-กัมพูชา เดินหน้าตามถ้อยแถลงผลการหารือ ย้ำ 4 ประเด็นสำคัญเพื่อสันติภาพและความปลอดภัยของประชาชน

28 ตุลาคม 2568 วันนี้ (อังคารที่ 28 ตุลาคม 2568) เวลา 10.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชม.) ณ ห้อง 7M ชั้น 3 ศูนย์ประชุม KLCC นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือทวิภาคีกับ นาย ฮุน มาแนด (H.E. Hun Manet) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง

โดยภายหลังเสร็จสิ้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีขอบคุณนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่มีหนังสือแสดงความเสียใจต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นายกรัฐมนตรีย้ำว่าการลงนามถ้อยแถลง (Joint Declaration) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นพื้นฐานสำหรับสองประเทศที่จะเดินหน้า แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องมีการปฏิบัติตามอย่างจริงจังและจริงใจ   การหารือในวันนี้ จึงมุ่งเน้นความจำเป็นที่สองประเทศจะต้องร่วมมือกันเพื่อเดินหน้านำข้อตกลงไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

นายกรัฐมนตรี ย้ำความสำคัญใน 4 ประเด็นที่ได้ตกลงกัน เพื่อการลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน ได้แก่ (1) การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนกลับสู่ที่ตั้งปกติ (2) การเก็บกู้ทุ่นระเบิด (3) การปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกมเมอร์ และ (4) การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน

ทั้งนี้  กระบวนการถอนอาวุธหนักได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ไทยต้องการเห็นคือ การเดินหน้าถอนอาวุธหนักอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนบริเวณชายแดน รวมถึงต้องการเพิ่มความเข้มข้นในการประสานงานเพื่อการปฏิบัติตามในเรื่องอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะการประสานงานประเด็นปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การลงพื้นที่เก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปฏิบัติตามข้อตกลงเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน

โอกาสนี้  นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่าย  ยังได้หารือ ถึงแนวทางเพิ่มการสื่อสารทางการทูต  โดยจะมอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายพบหารือกันโดยเร็ว

นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่าย  ยังเห็นพ้องว่า  ในช่วง 2-3 วันหลังจากการลงนามในถ้อยแถลงฯ  มีความสำคัญยิ่ง สำหรับประเทศไทย ประชาชนและสื่อมวลชน ของทั้งสองประเทศ ที่จะติดตามความคืบหน้าของการปฏิบัติตามถ้อยแถลงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ดังนั้น จึงเป็นความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่ายที่ต้องแสดงให้เห็นถึงการเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ด้วยความจริงใจและด้วยความสุจริตใจ เพื่อสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้แก่ประชาชนของเรา

Advertisement

“ไชยชนก” ร่วมลงนามอนุสัญญา UN จับมือกว่า 68 ประเทศทั่วโลก ลุยต่อต้านภัยสแกมเมอร์

26 ตุลาคม 2568 “ไชยชนก” ร่วมลงนามอนุสัญญา UN จับมือกว่า 68 ประเทศทั่วโลก ลุยต่อต้านภัยสแกมเมอร์

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดีอี นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี และโฆษกกระทรวงดีอี นางสาวอุรวดี ศรีภิรมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย และคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมพิธีลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) และการประชุมระดับสูง (High-Level Conference) ที่มี 68 ประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) เข้าร่วม ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีนายเลือง เกื่อง ประธานาธิบดีเวียดนาม และนายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ เข้าร่วมในพิธีลงนามดังกล่าว

นายไชยชนก เปิดเผยว่า พิธีลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime)  ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของ 68 ประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและสร้างมาตรการในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น พร้อมทั้งอํานวยความสะดวก และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ รวมถึงการสนับสนุนความช่วยเหลือทางวิชาการและการเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ของประเทศกําลังพัฒนา

ขณะเดียวกันในระหว่างการประชุมระดับสูง (High-Level Conference) ตนยังได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลง โดยได้เน้นย้ำถึงความรุนแรงของการหลอกลวงออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนไทย ซึ่งรัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ให้ความสำคัญ และเอาจริงเอาจังต่อปัญหาดังกล่าว โดยได้กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ”

ทั้งนี้รัฐบาลไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมดำเนินมาตรการเชิงรุก 3 ด้าน ได้แก่

1.การตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตบริเวณแนวชายแดน และตรวจจับการลักลอบการเชื่อมต่อสัญญาณ เพื่อไม่ให้มีสัญญาณเล็ดลอดออกนอกประเทศ

2.การบูรณาการด้านข้อมูลร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาฐานข้อมูลกลางแบบเรียลไทม์ เพื่อการติดตามเส้นทางการเงินของผู้กระทำผิด บัญชีม้า ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการเร่งคืนเงินเยียวยาให้กับผู้เสียหาย

และ 3.ดำเนินการตอบโต้ โดยเร่งรัดการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.ก.ป้องกันและปราบปรามทางเทคโนโลยีฉบับใหม่ ที่เน้นให้ความสำคัญ ในการ “ป้องกัน ปราบปราม และตอบโต้” เน้นการกำกับดูแลตามหลักเกณฑ์ และบทลงโทษที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น พร้อมจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว ภายในระยะเวลา 1 – 2 เดือน โดยหากพบเบาะแส ข้อมูลการร่วมกระทำความผิด หรือเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และการพนันออนไลน์ ของบุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และบุคลากรของรัฐ จะดำเนินการเอาผิดอย่างเด็ดขาดและถึงที่สุดตามกฎหมายในทันที

นอกจากนี้ รัฐบาลไทย ยังขอแสดงความชื่นชมกับการดำเนินการอย่างเด็ดขาดของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ และพร้อมให้ความร่วมมือกับนานาประเทศในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

“การลงนามอนุสัญญาดังกล่าว นับเป็นก้าวสำคัญและการแสดงจุดยืนของไทยในการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลก โดยแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย ให้ความสำคัญและพร้อมใช้ยาแรงในการปราบปราม ควบคู่ไปกับการสร้างความร่วมมือกับนานาชาติจัดการปัญหาสแกมเมอร์ ที่มีผลกระทบต่อประชาชนคนไทย ประชาคมโลก อย่างจริงจัง เพื่อร่วมสร้างเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน” นายไชยชนก กล่าวในตอนท้าย

Advertisement

โฆษกรัฐบาล “สิริพงศ์” ยืนยันผลการประชุม JBC ไม่มีเรื่องมาตราส่วนแผนที่หรือการปักหมุดเขตแดน

23 ตุลาคม 2568 โฆษกรัฐบาล “สิริพงศ์” ยืนยันผลการประชุม JBC ไม่มีเรื่องมาตราส่วนแผนที่หรือการปักหมุดเขตแดน ย้ำไทยยึดหลักการ 4 ข้อ ปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ชี้แจงผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC)  ระหว่างวันที่ 21–22 ตุลาคม 2568 ณ จังหวัดจันทบุรี ที่ผ่านมา  ไม่มีการตกลงเรื่องมาตราส่วนแผนที่หรือการยินยอมปักหมุดเขตแดน ตามข้อความที่ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ระบุว่า “ฝ่ายไทย-กัมพูชาตกลงที่จะดำเนินการตามหลักการทางเทคนิค เพื่อการรังวัดและปักหลักเขตชั่วคราว โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี 1907”  ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

โฆษกรัฐบาลยืนยันว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง และอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อสาธารณชนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ ในการประชุม JBC ดังกล่าว ไม่มีการหารือหรือข้อตกลงใด ๆ เกี่ยวกับการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 หรือการกำหนดหลักเขตชั่วคราวในพื้นที่พิพาท   สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในที่ประชุม คือ มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (JTSC) ดำเนินการสร้างหลักเขตแดนใหม่ทดแทนหลักเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย 15 หลัก โดยยึดตำแหน่งเดิมที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน และตกลงจัดทำหลักเขตแดนใหม่แทนหลักที่จมน้ำ 3 หลัก โดยจะกำหนดตำแหน่งร่วมกันในภายหลัง นอกจากนี้ ยังมีการเห็นชอบให้เร่งรัดการแก้ไข TOR 2003 เพื่อจัดทำแผนที่ภาพถ่าย (Orthophoto Map) โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น LiDAR เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการสำรวจ

สำหรับพื้นที่หลักเขตแดนที่ 42–47 บริเวณบ้านหนองจาน–บ้านหนองหญ้าแก้ว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบกระบวนการสำรวจและจัดทำหมุดชั่วคราวในพื้นที่เร่งด่วน บนพื้นฐานของการสำรวจหาหลักเขตแดนเดิมร่วมกันอยู่แล้ว เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานสำหรับการหารือกันต่อไปเท่านั้น

“ไทยไม่ยอมให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง  นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำชัดเจนหลักการ 4 ข้อ  ซึ่งให้ความสำคัญกับการปกป้องอธิปไตยแห่งรัฐ  การสร้างเสถียรภาพตามแนวชายแดน และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่   ไทยยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี แต่จะไม่ยอมและหวังว่า จะไม่มีการสร้างข้อมูลบิดเบือนที่กระทบต่อบรรยากาศแห่งความร่วมมือ และการสร้างความไว้วางใจ ในช่วงเวลาที่รัฐบาลไทยกำลังหาทางออกโดยสันติวิธี ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนไทยอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ถูกบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชาบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการกระทำที่มุ่งหวังผลทางการเมืองภายในประเทศ ” นายสิริพงศ์ กล่าว

Advertisement

การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 32

21 ตุลาคม 2568 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 32 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี

รองนายกฯ และ รมว.คลัง เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 21 – 23 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 32 การประชุมรัฐมนตรีด้านการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (APEC Structural Reform Ministerial Meeting: APEC SRMM) ครั้งที่ 4 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 21 – 23 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีผลการประชุม APEC FMM ครั้งที่ 32 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ดังนี้

การประชุม APEC FMM ครั้งที่ 32 จัดขึ้นในหัวข้อหลัก “การเติบโตที่ยั่งยืนและความมั่งคั่งร่วมกันในภูมิภาค (Sustainable Growth and Shared Prosperity in the Region)” โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจเอเปคอีก 20 เขต ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก การเงินดิจิทัล และนโยบายการคลัง สรุปได้ ดังนี้

1) แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค ที่ประชุมแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบาง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูง หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนแรงงาน และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น สังคมสูงอายุ และการปฏิวัติเทคโนโลยี เป็นต้น

2) การเงินดิจิทัล ที่ประชุมได้หารือถึงบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI)I และแพลตฟอร์มดิจิทัลในเทคโนโลยีทางการเงินเพื่อพัฒนาการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises: MSMEs) และประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจำเป็นต้องมาพร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ลดการเลือกปฏิบัติ และการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินในภาพรวม

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอความสำเร็จของระบบ PromptPay ที่มีผู้ใช้กว่า 80 ล้านบัญชี และขยายความร่วมมือในระดับภูมิภาคผ่านโครงการ Project Nexus และการพัฒนา ARI Score ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินเครดิตทางเลือกใหม่ โดยใช้ AI ซึ่งมีความโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อให้ขยายโอกาสในการเข้าถึงทางการเงินแก่ประชาชนทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก

3) นโยบายการคลังเพื่ออนาคต ที่ประชุมเห็นพ้องว่า ท่ามกลางข้อจำกัดด้านงบประมาณ รัฐบาลควรมุ่งให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายอย่างมีคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในดิจิทัล พลังงานสะอาด และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้นำเสนอกรอบแนวทางการใช้นโยบายการคลังของไทยภายใต้หลัก 3P ได้แก่ (1) Precision การใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการกำหนดนโยบายให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยยกตัวอย่างโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของรัฐบาล ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนกว่า 20 ล้านคนภายในวันเดียว โดยใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อช่วยจ่ายค่าสินค้าและบริการที่จำเป็น (2) Priorities การกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน โดยมีเป้าหมายหลักในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก และยกระดับผลิตภาพในภาคส่วนสำคัญ และลงทุนในทุนมนุษย์ โดยเฉพาะในด้านทักษะดิจิทัลและสีเขียว เพื่อเตรียมพร้อมประชาชนต่อความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและ AI และ (3) Partnerships การระดมทุนและส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน ผ่านรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnership) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระทางการคลัง พร้อมไปกับการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยรักษาเพดานหนี้สาธารณะ และควบคุมการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP)

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประจำปี 2568 ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังระหว่างกัน เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ยืดหยุ่น มาตรการทางการคลังที่ยั่งยืน การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และการเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน โดยใช้แผนปฏิบัติการอินชอนในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานด้านนโยบายการคลัง การเข้าถึงและมีส่วนร่วม การเงิน และนวัตกรรม ในภูมิภาคเอเปคในระยะ 5 ปี

Advertisement

นายกฯ หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แสดงเจตจำนงร่วมมือปราบสแกมเมอร์

17 ตุลาคม 2568 วานนี้ (16 ตุลาคม 2568) เวลา 15.30 น. ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ สปป. ลาว นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือทางโทรศัพท์กับ นายอี แช มย็อง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ในระหว่างการเยือน สปป. ลาว อย่างเป็นทางการ

นายกรัฐมนตรีขอบคุณประธานาธิบดีเกาหลีใต้สำหรับสารแสดงความยินดี พร้อมตอบรับเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค พร้อมย้ำว่าไทยและเกาหลีใต้เป็นมิตรแท้ต่อกันมาอย่างยาวนานกว่า 70 ปี นับตั้งแต่ไทยได้ร่วมรบในสงครามเกาหลี จึงหวังที่จะใช้โอกาสเดินทางไปเกาหลีใต้ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

โดยประธานาธิบดีเกาหลีย้ำว่า ไม่เคยลืมความเสียสละของทหารไทยในสงครามเกาหลี พร้อมขอบคุณที่ตอบรับเข้าร่วมการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ โดยชื่นชมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระดับประชาชนระหว่างสองประเทศ

นายกรัฐมนตรีย้ำ ไทยให้ความสำคัญในการแสวงหาความร่วมมือกับเกาหลีใต้ โดยตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจุบันการค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ  โดยไทยได้ขอให้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ช่วยเร่งรัดให้มีการสรุปผลการเจรจา FTA โดยเร็ว เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ไทยยังต้องการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่เกาหลีใต้มีความโดดเด่น เช่น พลังงานสะอาด ดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายกรัฐมนตรียังยินดีกับแนวโน้มการลงทุนจากเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา อาทิ โครงการของบริษัทฮุนได COSMAX และ LH ซึ่งจะสร้างนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีแห่งแรกในประเทศไทย และพร้อมสนับสนุนให้มีการลงทุนเพิ่มเติมต่อไป พร้อมรับรองว่าจะดูแลนักลงทุนเกาหลีใต้อย่างเต็มที่ และขอให้แจ้งข้อจำกัดใด ๆ มาได้ตลอดเวลา

โอกาสนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้กล่าวถึงความสนใจลงทุนของภาคเอกชนเกาหลีในไทยมากขึ้น

ผู้นำทั้งสองยังหารือถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาค  โดยไทยสนับสนุนบทบาทของเกาหลีใต้ในอาเซียน และยินดีที่ไทยได้รับหน้าที่เป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-เกาหลีใต้วาระปัจจุบัน

ขณะที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้กล่าวขอบคุณที่ไทยเคยช่วยชาวเกาหลีใต้ที่ถูกหลอกลวงในเมียนมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่า ไทยพร้อมให้ความร่วมมือในการปราบปราม scammer อย่างเต็มที่

“ก่อนการสิ้นสุดการสนทนาทางโทรศัพท์ ผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างเชิญอีกฝ่ายให้มาเยือนประเทศตนเอง และชักชวนกันมาชิมอาหารไทยและอาหารเกาหลี ซึ่งเป็นที่นิยมของคนทั้งสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายหวังที่จะได้พบปะกันในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซีย และต่อด้วยการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้ในไม่ช้านี้ โดยบรรยากาศการพูดคุยตลอดการหารือเป็นไปอย่างอบอุ่น เป็นมิตร และสะท้อนถึงสายสัมพันธ์ใกล้ชิดของผู้นำทั้งสองประเทศ”  นายสิริพงศ์กล่าว

Advertisement

“อนุทิน” หารือนายกฯ ลาว เห็นพ้องผลักดันแก้ยาเสพติด ภัยออนไลน์ ค้ามนุษย์

16 ตุลาคม 2568 เวลา 09.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเท่ากับประเทศไทย)  ณ สำนักงานนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและภริยา ร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยขึ้นแท่นรับความเคารพ ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ร่วมกับ นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี  สปป.ลาว และนางวันดาลา สีพันดอน ภริยา

จากนั้นนายกรัฐมนตรีและนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว เป็นประธานร่วมการหารือเต็มคณะโดยภายหลังเสร็จสิ้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาล สปป. ลาว ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งเป็นการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกของตนเอง ในฐานะนายกรัฐมนตรี  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังร่วมเฉลิมฉลอง ครบรอบ 75 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–ลาว ในปีนี้ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น มั่นคง และสืบเนื่องยาวนานระหว่างสองประเทศ

นายกรัฐมนตรียังเชิญนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว เยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำแม่น้ำโขง – ล้านช้าง (MLC Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพ ในปลายปีนี้ ขณะเดียวกัน ไทยพร้อมเข้าร่วมประชุม JC และ JBC ที่ลาวจะเป็นเจ้าภาพในปีนี้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว กล่าวแสดงยินดีกับนายกรัฐมนตรีที่ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง เชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะสามารถนำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมยืนยันที่จะสานต่อและขยายความร่วมมือระหว่างไทยและ สปป.ลาว ในประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ดังนี้

ความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด การฉ้อโกงออนไลน์และการค้ามนุษย์ โดยไทยจะยกระดับความร่วมมือในการสกัดกั้นยาเสพติดและสารตั้งต้นและสนับสนุนงบประมาณและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่าย สปป.ลาวในภารกิจความมั่นคง นอกจากนี้ ไทยขอให้ลาวมอบหมายหน่วยงานหลักเป็น Contact point เพื่อประสานกับศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซนเตอร์และการค้ามนุษย์นานาชาติ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมการฉ้อโกงออนไลน์และค้ามนุษย์ตามแนวชายแดน พร้อมกับจะมีการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการค้ามนุษย์ เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนจากทั้งสองประเทศ

ประเด็นหมอกควันข้ามแดนและการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการร่วมมือภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส หรือ CLEAR Sky Strategy โดยไทยจะสนับสนุน สปป.ลาวในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการจัดเก็บข้อมูลและการแจ้งเตือนประชาชน

นายกรัฐมนตรียืนยันความพร้อมของไทย ในการจัดการประชุมระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สปป.ลาว (COOP ครั้งที่ 8) เพื่อกำหนดแนวทางเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าชายแดน และการส่งเสริมเครือข่ายผู้กระกอบการ SMEs เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการค้าที่ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ ภายในปี 2027

นายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่า โครงการด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ หลายโครงการมีความคืบหน้า สร้างประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมให้กับประชาชนทั้งสองฝ่าย อาทิ  ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าชายแดนและผ่านแดนให้มีความคล่องตัว   ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศที่สามได้มากขึ้น ทั้งการเปิดสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ในอนาคตอันใกล้นี้ การเสริมกำลังสะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์) ให้แล้วเสร็จ และการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12

ทั้งนี้   ไทยพร้อมพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพื่ออำนวยความสะดวกการคมนาคมระหว่างไทยและ สปป.ลาว ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงเมืองเชียงแมน-หลวงพระบาง การหารือโครงการก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ และการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ไทย-ลาวอย่างครบวงจร

ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านพลังงานอย่างใกล้ชิดเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมสีเขียวเข้ามาลงทุนในภูมิภาค  นายกรัฐมนตรีขอให้สปป.ลาวสนับสนุนการลงทุนจากไทยในด้านพลังงานและธุรกิจ  โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ที่ไทยมีศักยภาพทำให้ทั้งสองประเทศสามารถผลิตไฟฟ้าร่วมกันได้มาก

ที่ประชุม ยังได้หารือถึงความร่วมมือในกรอบพหุภาคีอย่างสร้างสรรค์  ไทยพร้อมมีบทบาทเชิงรุกและสร้างสรรค์ในการสนับสนุนให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนในเมียนมา และเชื่อว่าการเลือกตั้งของเมียนมาที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสันติภาพและจะเป็นก้าวที่สำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ด้วย

Advertisement

https://to.gsb.or.th/kNMSd8bO

“นายกฯ” ยันรัฐบาลสนับสนุนกองทัพทุกอย่าง ขอชาวบ้านมั่นใจไม่มีเปิดด่าน สร้างรั้วไม่ได้รุกล้ำใคร

3 ตุลาคม 2568 “นายกฯ” ยันรัฐบาลสนับสนุนกองทัพทุกอย่าง ขอชาวบ้านมั่นใจไม่มีเปิดด่าน สร้างรั้วไม่ได้รุกล้ำใคร

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการรับฟังสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เราต้องให้การสนับสนุนกองทัพ แม้จะยังไม่มีการปะทะ แต่เราเตรียมความพร้อมและแสนยานุภาพที่ดี ตลอดเวลา ถือเป็นหลักในการเตรียมความพร้อมในการปกป้องอธิปไตย ส่วนการสนับสนุนอะไรบ้าง คงไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ขอให้มั่นใจว่า ผืนแผ่นดินของประเทศไทย ไม่มีใครสามารถเข้ามารุกราน คุกคามประชาชนได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จังหวัดสุรินทร์มีการขอสนับสนุน anti-drone นั้น กองทัพวางแผนอยู่แล้ว ส่วนกรณีประชาชนขอยังไม่ให้เปิดด่าน เพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ที่อาจเกิดการปะทะอีกครั้ง แทบจะเป็นฉันทานุมัติของประชาชน ไม่มีใครอยากให้เปิดด่านเลยสักคน ดังนั้นรัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน  เรื่องเปิดด่านขอให้มั่นใจว่า จะไม่มีวันเกิดขึ้นจนกว่าเงื่อนไข หรือสิ่งที่จะประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยได้รับการยอมรับ และทำให้เรามั่นใจถึงจะพิจารณา

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า การสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา  ได้ให้ทางกองทัพกำหนดว่า จะสร้างรั้วตรงไหน เมื่อไร อย่างไร โดยรั้วจะมีหลายรูปแบบ  ให้เป็นไปตามภูมิประเทศ ซึ่งเราจะเราสร้างอยู่ในแนวเขตของประเทศเรา ไม่ได้ไปรุกล้ำใคร

“อย่าลืมนะ จำคำถ้อยแถลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่สหประชาชาติ เราเป็นผู้ที่ถูกรุกล้ำ ดังนั้น หลักตรงนี้เราจะทำให้ประชาคมโลก เกิดความมั่นใจว่า เราทำทุกสิ่งเพื่อรักษาอธิปไตย และเกียรติภูมิของประเทศเรา”  นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics