วันที่ 17 ตุลาคม 2025

“อนุทิน” นำ 146 สส.แถลงตั้งรัฐบาล พร้อมรับ 5 เงื่อนไข

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ 3 กันยายน 2568 รัฐสภา – “อนุทิน” นำ 146 สส. แถลงตั้งรัฐบาล พร้อมรับ 5 เงื่อนไข พรรคประชาชน ยุบสภาใน 4 เดือน แก้ รธน. ไม่เติมเสียง ยืนยันกระบวนการเดินหน้าเลือกนายกฯ ตามกฎหมาย ชี้สภายังอยู่ หลังเพื่อไทยยื่นยุบ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แถลงจัดตั้งรัฐบาล และลงนามรับ 5 เงื่อนไขของพรรคประชาชน ว่า ตนและบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 146 คนที่อยู่ในที่นี้ จะขอแถลงข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเมื่อเช้าที่ผ่านมา ทุกท่านคงได้รับรับทราบข้อมูลจากการแถลงข่าวของหัวหน้าพรรคประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนได้รับเงื่อนไข และข้อสรุปออกมาเป็นข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ว่าด้วยกรณีการเลือกบุคคลไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แจ้งให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 146 คนรับทราบ

นายอนุทิน กล่าวว่า พวกเราทุกคนต้องขอขอบคุณพรรคประชาชน คณะกรรมการบริหารพรรคประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน และพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนพรรคประชาชนทุกท่าน ที่ได้มีมติของที่ประชุมผู้บริหารพรรคประชาชน ในการให้การสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ซึ่งพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 146 คน มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ ได้มอบรายชื่อ และให้คำมั่นกับพรรคประชาชน ว่าจะให้การสนับสนุนตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี และจะได้จัดตั้งรัฐบาลตามข้อเสนอของพรรคประชาชน ซึ่ทุกท่านได้ลงลายมือชื่อในเอกสารแสดงคำมั่น และตนจะได้นำส่งให้ผู้บริหารพรรคประชาชนไว้เป็นข้อมูลต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร โดยประธานสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนขอกราบเรียนให้ทุกท่านทราบว่าพรรคภูมิใจไทย และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 146 คน ที่ปรากฏตัวในที่นี้ ซึ่งมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษา พรรคกล้าธรรม นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายศักดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย นายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และนายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ เราตระหนักดีว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังดำเนินต่อไปจากนี้ ทางพรรคประชาชนได้ให้ความร่วมมือ เสียสละในการหาทางออกให้ประเทศไทยในสถานการณ์วิกฤต ทั้ฝทางการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง และธรรมชาติ ขอยืนยันว่าพวกเราทุกคนในที่นี้จะไม่ทำให้เจตนารมณ์ และความเสียสละของทุกท่านสูญเปล่า และจะรักษาข้อตกลงทั้ง 5 ข้อ ที่ได้ให้ไว้กับประชาชนตลอดระยะเวลา 4 เดือนนับตั้งแต่วันที่เราได้เข้าทำงานในฐานะรัฐบาล และจะดำรงสภาพการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะมีพี่น้องประชาชนร่วมเป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของพวกเรา ดังนั้น ในระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาล เราจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มกำลังสุดความสามารถให้สมกับความไว้วางใจที่ทุกท่านให้โอกาสกับพวกเรา

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องอื่นๆขอให้เป็นไปตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เราทุกคนจะร่วมกันทำหนังสือที่แสดงถึงความพร้อมที่จะให้ทางประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาบรรจุวาระการเลือกนายกรัฐมนตรีเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุด การชี้แจงวันนี้ยืนยันให้ประชาชนรับรู้รับทราบว่า พวกเราทุกคนมีความพร้อมจากแรงสนับสนุน และความเข้าใจ ของทางพรรคประชาชน เราจึงมีความมั่นใจว่าการจัดตั้งรัฐบาลชุดถัดไปนี้จะดำเนินไปได้ด้วยความ ราบรื่น และการทำงานของรัฐบาลที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยจะเป็นไปตามเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อของพรรคประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายอนุทินได้ลงนามในเงื่อนไข 5 ข้อของทางพรรคประชาชน ก่อนที่จะย้ำอีกครั้งว่า สุดท้ายนี้ตนอยากขอบคุณเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 146 คน ตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่จนถึงระดับสมาชิก ที่ทุกๆท่านให้ความร่วมมือสนับสนุนให้ตนได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องถือเป็นความเสียสละมุ่งมั่นตั้งใจ เราผ่านอุปสรรคต่างๆมากมาย ผ่านความกดดัน แต่สิ่งที่อยู่ในหัวจิตหัวใจของพวกเราทุกคน คือความรักชาติ รักแผ่นดิน หวงแหนแผ่นดิน และความจงรักภักดีต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของพี่น้องคนไทยทุกคน เรามีความห่วงใยพี่น้องประชาชนต่อความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิต จึงทำให้พวกเราตัดสินใจที่จะมาทำงานร่วมกัน ขอให้ความมั่นใจว่าพวกเราทุกคนรู้จักกันเป็นเวลาเนิ่นนาน รู้มือ รู้ฝีมือ และรู้ถึงความทุ่มเทที่จะมีให้กับพี่น้องประชาชน และประเทศไทยที่รัก เรามั่นใจว่าเราจะใช้เวลาทุกวัน ทุกนาที ทุกชั่วโมง ในการปฎิบัติหน้าที่รัฐบาลให้ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุดกับความไว้วางใจที่พวกเรามีต่อกัน และความไว้วางใจที่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านได้มอบหมายให้เรามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรของท่าน

เมื่อถามว่ามีการทูลเกล้าฯยุบสภาแล้ว กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไรนายอนุทิน กล่าวว่า คิดว่าทุกอย่างมีขั้นตอน ยังถือว่ามีสภาอยู่ สภายังไม่ยุบ ยังไม่มีข้อมูลใดๆลงมาให้รับทราบว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ จะต้องมีการตีความอย่างใดหรือไม่เป็นเรื่องของผู้ที่ยื่นไปว่าท่านจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร และจะแจ้งให้พี่น้องประชาชนรับทราบอย่างไรต่อไป

เมื่อถามว่า แสดงว่ามั่นใจว่ารัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจยึบสภาใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คิดว่าเรื่องนี้พวกเราทำตามภารกิจ ตามหน้าที่ของความเป็นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เราดำเนินการเร่งจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุดตามกฏหมาย ทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

เมื่อถามว่า มีโอกาสที่จะยื่นตีความเรื่องการยุบสภาหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรารอดูก่อน เพราะเรายังไม่ได้รับทราบอะไรอย่างเป็นทางการ

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่พรรคประชาชนตัดสินใจเลือกนายอนุทิน นายอนุทิน กล่าวว่า คิดว่าทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคประชาชนให้ความเชื่อถือว่าพวกเราทุกคนในที่นี้จะทำตามเงื่อนไข แสดงว่าเขาต้องมีการประเมิน และให้ความเชื่อมั่นกับพวกเราทุกคนที่จะหาหนทางแก้ไขปัญหาให้ประเทศของเรา เพื่อที่จะได้ออกจากสภาวการณ์ที่ไปทางไหนก็ไม่ได้

เมื่อถามว่า เงื่อนไขแก้รัฐธรรมนูญ 4 เดือน ทันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มีขั้นตอนที่ต้องทำอยู่ ถ้าเรามีความตั้งใจ หากดูไทม์ไลน์แล้วเราจะทำให้ไปถึงจุดที่เป็นความต้องการของพวกเราทุกคนรวมถึงประชาชนด้วย

เมื่อถามว่า รัฐบาลชุดนี้จะเป็นรัฐบาล 146 เสียง ไม่มีคนมาเติมแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถูกต้อง เพราะมีเงื่อนไขอยู่ในข้อ 4 ที่ระบุว่า เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะยุบสภาภายใน 4 เดือน พรรคภูมิใจไทยจะต้องไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

เมื่อถามว่า การดำเนินการในสภาจะเป็นอย่างไร เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย นายอนุทิน กล่าวว่า 4 เดือนนี้จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะการแก้ปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ปัญหาความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งอยู่กับประเทศกัมพูชา ตลอดจนการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่ง 4 เดือนเพียงพอ ทั้งนี้ ตัวเลข 4 เดือนไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ารวดเร็ว แต่เป็นตัวเลขที่ทางพรรคประชาชน และพรรคที่มารวมกันทั้ง 146 เสียง ได้หารือกันแล้วคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม

เมื่อถามว่า สภาจะโหวตกฎหมายผ่านได้หรือไม่ เพราะมีเสียง 146 เสียง นายอนุทิน กล่าวว่า เราได้รับการยืนยันจากพรรคประชาชนว่า กฎหมายใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติ ต่อพี่น้องประชาชน พรรคประชาชนพร้อมที่จะสนับสนุนให้ร่างกฎหมายฉบับนั้นๆผ่าน เรายึดประโยชน์ของประชาชน และประเทศเป็นเป้าหมาย ตรงนี้พวกเราเห็นพ้องต้องกันทั้งหมด

เมื่อถามว่า การจับมือกับพรรคประชาชน สะท้อนภาพเงาการเมืองปี 2570 ได้หรือไม่ว่าจะจับกับพรรคประชาชนได้ นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้เอาเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน เราทำทุกอย่างด้วยความสมบูรณ์แล้ว

“เงื่อนไขถูกลงนามแล้ว 4 เดือนนับจากวันที่รัฐบาลได้แถลงนโยบาย ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ผมให้ความมั่นใจพูดแล้วทำ” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

เปิดลงทะเบียน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปฯ ทางรัฐ 25 ส.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 สิงหาคม 2568 ทำเนียบ – นโยบายเพื่อคนไทยลดภาระค่าใช้จ่าย รัฐบาลเปิดลงทะเบียน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปฯ ทางรัฐ เริ่มพรุ่งนี้ ไม่จำกัดสิทธิ คาดผู้โดยสารเพิ่ม 20%

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการค่าโดยสาร “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยไม่จำกัดสิทธิและจำนวนผู้ลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน 13 หลัก และบัตรโดยสารที่สามารถผูกเข้ากับระบบ ซึ่งจะเริ่มใช้งานจริงได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมรถไฟฟ้า 10 สายทุกเส้นทาง

ขั้นตอนการลงทะเบียนทำได้ง่าย เพียงดาวน์โหลดและติดตั้งแอปฯ “ทางรัฐ” บนสมาร์ทโฟน เลือกเมนูลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาท กรอกเลขบัตรประชาชน และผูกบัตรโดยสารที่ต้องการใช้สิทธิ โดยบัตรที่รองรับแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.บัตร EMV Contactless (Visa, Mastercard และบัตรแมงมุม EMV ของ MRT) สำหรับ MRT และ Airport Rail Link

2.Rabbit Card สำหรับ BTS

ทั้งนี้ การใช้สิทธิต้องแตะเข้า–ออกด้วยบัตรที่ลงทะเบียนไว้ หากใช้บัตรอื่นหรือซื้อตั๋วเที่ยวเดียว จะถูกคิดตามอัตราปกติ สำหรับการเดินทางต่อเดียวกัน กำหนดเวลา 180 นาที หากเปลี่ยนสายระหว่างสถานีภายใน 30 นาที ยังใช้สิทธิ 20 บาทได้ แต่หากเกินเวลาจะคิดค่าแรกเข้าใหม่ทันที

โครงการนี้เปิดลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดจำนวน โดยคาดว่าหลังเริ่มใช้งานจริง จะมีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 20% จากปัจจุบันเฉลี่ยวันละ 1.7 ล้านเที่ยว ทั้งนี้ การทดสอบในสายสีแดงและสีม่วงที่เคยให้ใช้ฟรี 1 สัปดาห์ พบว่าผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 39% สะท้อนถึงศักยภาพของมาตรการลดค่าโดยสารในการดึงดูดการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

“รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงทะเบียนใช้สิทธิรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง และส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

แม่ทัพภาค 2 เสียใจ “พลทหารพิทยุตม์” เสียชีวิต

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 สิงหาคม 2568 แม่ทัพภาคที่ 2 แสดงความเสียใจ “พลทหารพิทยุตม์” ทหารหาญใจกล้าที่เถียงหญิงเขมร โมนิก้า เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ขณะปฏิบัติหน้าที่ปราสาทตาเมือนธม ชี้สิทธิกำลังพลได้เต็มที่ เพราะอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ชายแดน

เมื่อวันที่ 24 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลทหารพิทยุตม์ โสดา หรือ น้อย หรือ ที่ชาวโซเชียลรู้จักกันในชื่อ “น้องยักษ์” สังกัด ร.23 พัน 4 ประจำการอยู่ที่ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นพลทหารที่เคยปรากฏเป็นข่าวโต้เถียงกับหญิงชาวกัมพูชาที่ชื่อโมนิก้า ที่ปราสาทตาเมือนธมก่อนเหตุการณ์การสู้รบไม่นานนักได้เสียชีวิตแล้ว เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (23 ส.ค.68) ภายในห้องน้ำบริเวณฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม ด้วยอาการวูบจากโรคประจำตัว

ซึ่งเพื่อนๆ ทหาร ระบุว่า พลทหารพิทยุตม์มีโรคประจำตัวและเคยอาเจียนออกมาเป็นเลือดก่อนหน้านี้ ก่อนจะถูกนำตัวไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลและรับยามารับประทานทาน และต้นสังกัดให้พักรักษาตัวจนกว่าอาการจะทุเลา

แต่พลทหารพิทยุตม์ไม่ยอม บอกเป็นห่วงเพื่อนๆ ที่สถานการณ์ยังตรึงเครียดอยู่ ขอมาปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตามเกิดอาการวูบเสียชีวิตดังกล่าว สร้างความเศร้าเสียใจต่อเพื่อนๆ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันที่ชายแดน รวมถึงชาวโซเชียลที่ทราบข่าวต่างโพสต์แสดงอาลัยกันเป็นอย่างมาก

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว น้องพลทหารพิทยุตม์ โสดา ซึ่งตนได้รับรายงานจากผู้บังคับบัญชา โดยตรงจากพื้นที่แล้ว การเสียชีวิตของพลทหารพิทยุตม์ เกิดจากอาการเจ็บป่วยที่สะสมมาจากการทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยชายแดยไทย-กัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม แต่ยังไม่มีการปะทะกันจนกระทั่งถึงปัจจุบันน้องพลทหารพิทยุตม์ ก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดี

ทั้งนี้สิทธิกำลังพลต่างๆ ก็จะดำเนินการให้อย่างเต็มที่ เพราะถือว่าอยู่ระหว่างการปฎิบัติหน้าที่ชายแดน

Advertisement

กต.ย้ำ “บ้านหนองจาน” เคยเป็นที่พักพิงชั่วคราว “ชาวเขมร”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 สิงหาคม 2568 กต.ออกแถลงการณ์ ปม “บ้านหนองจาน” เดิมเคยเป็นที่พักพิงชั่วคราว “ชาวเขมร” ย้ำ “ไทย” อดกลั้นมาหลายปี แต่ “กัมพูชา” กลับเจตนาร้าย ขาดความจริงใจ รุกล้ำดินแดน

กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนคำแถลงของกองทัพบกไทยเกี่ยวกับพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีภัยจากการสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย และต่อมา ฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป ถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และฝ่ายไทยได้คัดค้านและดำเนินการประท้วงการล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยดังกล่าวมาโดยตลอด และขอย้ำประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.ประเทศไทยได้แสดงความอดกลั้นอย่างสูงสุดมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี และยึดมั่นในการดำเนินการอย่างสร้างสรรค์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดี โดยยินดีหารือข้อแตกต่างใด ๆ ผ่านกลไกทวิภาคีที่เหมาะสม เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชากลับใช้ประชาชนของตนมารุกล้ำดินแดนอย่างไม่ชอบธรรม ผิดกฎหมาย และเป็นการยั่วยุให้เกิดความตึงเครียด

2.การอาศัยประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชากลุ่มนี้ของไทยในอดีต ตามหลักมนุษยธรรมที่ไทยยึดถือมาโดยตลอด เป็นการกระทำที่ไม่เพียงแต่ขาดความจริงใจ แต่ยังสะท้อนถึงเจตนาร้ายที่แท้จริงของฝ่ายกัมพูชา

3.สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งลวดหนามในเขตแดนไทยนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนไทย ป้องกันมิให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมจากฝ่ายกัมพูชา และป้องกันการเข้ามาวางทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา โดยการดำเนินการของไทยไม่เป็นการขัดต่อข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน

Advertisement

กลโกงแบบใหม่ ส่งคลิปนักข่าวแนบลิงก์หลอกให้กด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 สิงหาคม 2568 ระวังกลโกงรูปแบบใหม่ ส่งคลิปนักข่าวแนบลิงก์หลอกให้กด สแกนคิวอาร์โค๊ด เตือนอย่ากด อย่าสแกน อันตราย มิจฉาชีพหลอกดูดเงิน

นายอนุกูล พฤกษนุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยปัจจุบันแก๊งมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกลโกงในการหลอกลวงประชาชนอยู่เสมอ แม้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการกวดขัน ปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง แต่มิจฉาชีพยังใช้กลอุบายในรูปแบบต่าง ๆ ที่แยบยลทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อสูญเสียข้อมูลส่วนตัวและสูญเสียเงิน รัฐบาลขอเน้นย้ำให้ประชาชน ระวังรูปแบบภัยอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันภัยให้ประชาชน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) พบพฤติการณ์การกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีการดูดคลิปวิดีโอของนักข่าว และผู้ประกาศข่าว ที่มีเนื้อหาเตือนภัยกลโกงมิจฉาชีพ รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิธีการขอรับเงินคืน กรณีได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้นำ QR Code ซึ่งอ้างว่าเป็น “ศูนย์ยื่นสิทธิเฉลี่ยทรัพย์” หรือ “ทนายที่ปรึกษาด้านกฎหมาย” มาแนบไว้ในคลิปดังกล่าว พร้อมแนบช่องทางการติดต่อผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยระบุข้อความ “ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอยื่นสิทธิรับเงินคืน” ซึ่งการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในลักษณะนี้ ทำให้ประชาชนหรือผู้ที่เห็นคลิปเข้าใจว่า ช่องทางดังกล่าวสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงได้จริง จนทำให้มีประชาชนหลายรายหลงเชื่อ สแกนคิวอาร์โค๊ดติดต่อเข้ากลุ่มไลน์ของมิจฉาชีพได้รับความเสียหาย

นายอนุกูล กล่าวว่า ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยประชาชน หากพบคลิปในลักษณะข้างต้น อย่าหลงเชื่อสแกน QR code หรือ แอดไลน์ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากช่องทางดังกล่าวเป็นกลวงที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงซึ่งจะนำไปสู่การหลอกให้โอนเงินจนทำให้ได้รับความเสียหาย ขอแนะนำประชาชนที่ต้องการขอรับเงินคืนในกรณีที่ได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง ขอให้ท่านตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า คดีมีสิทธิยื่นเฉลี่ยทรัพย์คืนหรือไม่ โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์ www.amlo.go.th สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. หากพบว่ามีสิทธิในการขอเฉลี่ยทรัพย์คืนตามข้างต้น ให้ติดต่อและดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. โดยตรง หรือติดต่อผ่านเว็บไซต์ของ ป.ป.ง. เท่านั้น สำหรับประชาชนท่านใดที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางออนไลน์ หรือต้องการปรึกษาปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ สามารถโทรติดต่อได้ที่ ศูนย์ AOC 1441

Advertisement

กลาโหมไทย แจงไม่มีแนวความคิดรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 สิงหาคม 2568 กลาโหมไทย แจงไม่มีแนวความคิดรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา ตามที่กล่าวอ้าง ย้ำรักษาสถานะการวางกำลัง หลังมาตรการหยุดยิงมีผล เรียกร้องกัมพูชาเร่งตอบรับเก็บกู้ทุ่นระเบิด และร่วมมือปราบการหลอกลวงออนไลน์

กรณี กระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์เกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องปราสาทตาควาย เมื่อ 10 สิงหาคม และปรากฏการนำเสนอข่าวผ่านบุคคล และสื่อต่างๆ ของกัมพูชา กระทรวงกลาโหม ขอเรียนว่า ฝ่ายไทยไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพล เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตามที่กล่าวอ้าง โดยได้รักษาสถานะการวางกำลัง หลังมาตรการหยุดยิงมีผล เที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ไทยพร้อมจะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ตามเงื่อนไขเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC ไทย-กัมพูชา เมื่อ 7 สิงหาคม ตามที่ตกลงกันไว้ เพื่อให้กองกำลังในพื้นที่ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการหยุดยิงในแต่ละพื้นที่

และยืนยันฝ่ายไทยยังคงยึดมั่นในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน ในการประชุม GBC อย่างเคร่งครัด พร้อมขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชา ร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการหยุดยิงอย่างเคร่งครัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการงดเว้นการนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ หลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายเกิดความเข้าใจผิด และร่วมกันสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการพูดคุยอย่างสันติ พร้อมขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาเร่งตอบรับ ให้ความร่วมมือ ใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะและพื้นที่อื่นๆ ตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์หรือออนไลน์สแกม เพื่อหารือทวิภาคีในทุกระดับและนำไปสู่การปฏิบัติโดยเร็วต่อไป

ที่ผ่านมามีทหารทั้งหมด 5 นายที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญจากการเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชา นำมาวางไว้ในพื้นที่ดินแดนไทย ได้แก่

พลทหาร ธนพัฒน์ หุยวัน ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ชุดลาดตระเวนกองร้อยทหารพรานที่ 2302 เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนจากฐานปฏิบัติการมรกต พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ไปยังเนิน 481 เมื่อ 16 ก.ค. ต้องสูญเสียขาซ้าย

จ่าสิบเอก พิชิตชย บุญชูหล้ำ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 8 เกิดเหตุเหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ต้องสูญเสียข้อเท้าขวา

ร้อยตรี เกียรติวงศ์ สถาวร สังกัด กองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 2 เหยียบกับระเบิดขณะนำชุดปฏิบัติการรบพิเศษเข้าเคลียร์พื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ เมื่อ 28 ก.ค.68 ต้องสูญเสียขาขวา

จ่าสิบเอกธานี พาหา ผบ.หมู่ ปก.มว.ปล.ที่ 2 ร้อย.5.111 เหยียบกับระเบิด ข้อเท้าซ้ายขาด ขณะลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.68

สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 เหยียบกับระเบิด วันนี้ (12 ส.ค.) ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนแนวชายแดนไทย ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้อเท้าซ้ายขาด

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้านแม่ของสิบเอกธีรพล ที่หมู่ 1 ต.สำโรงใหม่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ พบชาวบ้านมาให้กำลังใจนางสาคร เพียขันที แม่ของสิบเอกธีรพล เป็นจำนวนมาก นางสาคร ได้ดูคลิปภาพขณะรถพยาบาลนำร่างของลูกชายไปส่งโรงพยาบาล ด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งทราบว่าขาซ้ายลูกชายขาด

นางสาคร บอกว่าทุกครั้งที่ลูกชายจะไปทำงานตามชายแดน หรือกลับจากชายแดนจะเข้ามากราบเท้าแม่แล้วเอาเท้าแม่เหยียบที่หัวทุกครั้ง และจะฉีกเอาชายผ้าถุงของแม่ ติดตัวไปด้วย ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ลูกชายโทรมาว่าสบายดีไม่เป็นอะไรแล้วเพราะหยุดรบแล้ว ก็ดีใจว่าลูกปลอดภัย แต่เพียงข้ามคืนกลับได้รับข่าวว่าลูกชายขาขาด และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ดีใจที่ลูกชายได้รับใช้ชาติ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

Advertisement

พบโดรนบินที่ตั้งทหาร-หน่วยงานราชการหลายพื้นที่ ชี้ภัยร้ายแรง-พยายามสอดแนม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 สิงหาคม 2568 กองทัพอากาศ พบโดรนบินที่ตั้งทหาร-หน่วยงานราชการจำนวนมากหลายพื้นที่ ชี้ภัยร้ายแรง พยายามสอดแนม หากประชาชนพบเห็นขอให้แจ้งเบาะแส

กองทัพอากาศ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ได้ตรวจพบความพยายามในการใช้โดรนบินสำรวจที่ตั้งทางทหารและหน่วยงานราชการจำนวนมากในหลายพื้นที่ที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงที่ส่อให้เห็นถึงความพยายามในการสอดแนม เพื่อกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและอาจรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานพลเรือน เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบ Anti Drone ในการทำลายเป้าหมายได้ทันที และผู้ที่กระทำผิด จะเข้าข่ายความผิดฐานจารกรรม/สายลับ ที่กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มีบทลงโทษรุนแรง ถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต

ปัจจุบัน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย กัมพูชา ยังคงต้องเฝ้าระวัง โดรนคือภัยคุกคามที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและชีวิตประชาชน กองทัพอากาศจึงขอความร่วมมือประชาชนทุกท่านที่พบเห็นหรือทราบเบาะแสเกี่ยวกับการบินของโดรน รวมทั้งผู้ที่บังคับโดรน ที่อาจฝ่าฝืนกฎหมายได้แจ้งสายด่วนความมั่นคง 1374 หรือหน่วยงานราชการใกล้เคียง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 สิงหาคม 2568 รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง ด้วยพยานหลักฐานทุกมิติ ต่อประชาคมโลกผ่าน OSCE-เวทีระดับสูงด้านความมั่นคงของยุโรป ยืนยันหลักสันติวิธี ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ และตอกย้ำว่าการปกป้องประชาชนจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมายสากล พร้อมใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าบทบาทของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริงและแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวานนี้ (1 สิงหาคม 2568) ที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมการประชุม Helsinki+50 ในกรอบองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมี นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม

โดยในช่วงของการกล่าวถ้อยแถลง หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ย้ำท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า “ไทยยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และหลักการของ Helsinki Final Act อย่างไรก็ดี การโจมตีด้วยอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุและไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตประชาชนและความเสียหายต่อสาธารณูปโภคของไทย ทำให้กองทัพไทยมีความจำเป็นต้องดำเนินการตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาเพื่อปกป้องตนเอง (self-defense) อย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยยืนยันพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง และพร้อมใช้กลไกหารือทวิภาคีที่มีอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป”

นอกจากนี้ หัวหน้าคณะผู้แทนไทยยังได้ใช้โอกาสนี้ ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงของไทยในระดับภูมิภาคด้วยการแสดงความพร้อมของไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนเพียงหนึ่งเดียวในกรอบ OSCE ในการเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับ OSCE ผ่านกิจกรรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญในประเด็นที่เป็นความสนใจร่วมกัน ได้แก่ การต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ การต่อต้านการค้ามนุษย์ การจัดการชายแดน ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือภายใต้กรอบ ASEAN Regional Forum (ARF) ตลอดจนหารือกับผู้แทนจากประเทศสมาชิกยุโรป ได้แก่ 1. เอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำ OSCE 2. อธิบดีฝ่ายการเมือง กระทรวงการต่างประเทศลักเซมเบิร์ก และ 3. รองอธิบดีฝ่ายการเมือง กระทรวงการต่างประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค และแนวทางการส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีความร่วมมือระดับสากล

นายจิรายุ กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ยังได้ประกาศความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 2026 OSCE Asian Conference ร่วมกับฟินแลนด์ ภายใต้หัวข้อหลักคือ “การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงทางออนไลน์” ซึ่งจะต่อยอดจากผลลัพธ์ของการประชุมเชิงปฏิบัติการหัวข้อ “Combatting Online Scams” และการประชุม 2025 OSCE Asian Partners for Co-operation Group (APCG) ที่ไทยร่วมจัดกับ OSCE เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2568 ณ กรุงเวียนนา รวมทั้ง ไทยได้บริจาคเงินอุดหนุนเข้ากองทุน Helsinki+50 ในโอกาสครบรอบ 25 ปีแห่งความเป็นหุ้นส่วนไทย–OSCE เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการดำเนินงานของ OSCE ให้บรรลุวัตถุประสงค์ และยืนยันบทบาทของไทยในเวทีความมั่นคงระหว่างภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

“รัฐบาลไทยจะไม่ยอมจำนนต่อความบิดเบือนหรือการกล่าวหาโดยปราศจากข้อเท็จจริง พร้อมยืนหยัดบนเวทีโลกด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ยึดหลักสากลอย่างมั่นคง และเดินหน้าทำงานเชิงรุกเพื่อให้ประชาคมโลกเห็นภาพความจริงที่ว่า ไทยปกป้องประชาชนของตนอย่างมีเหตุผล และยังเปิดกว้างต่อการแก้ปัญหาโดยสันติ” นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

เตือน “โรคไข้ดิน” อันตราย เกษตรกร-รับจ้างทั่วไปเสี่ยงมากสุด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 สิงหาคม 2568 รัฐบาล เตือน “โรคไข้ดิน” อันตราย ป่วยแล้ว 2,036 ราย เสียชีวิต 92 ราย พบอาชีพเกษตรกรและรับจ้างทั่วไปเสี่ยงมากสุด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน เน้นย้ำประชาชนดูแลสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงฤดูฝน นอกจากโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจแล้ว ประชาชนยังต้องระมัดระวังโรคอื่นด้วย ซึ่งข้อมูลจากกรมควบคุมโรค รายงานว่ามีประชาชนป่วยเป็นโรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดินแล้ว จำนวน 2,036 ราย เสียชีวิต 92 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 4.52% โดยผู้ป่วยพบมากในอาชีพเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป พบผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ แต่จะสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 58 ปี ผู้เสียชีวิตจะมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไตวาย และพิษสุราเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หายใจหอบเหนื่อย โดยปัจจัยรับเชื้อเกิดจากการสัมผัสพื้นดิน พื้นน้ำโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน

ขณะที่ โรคเลปโตสไปโรสิส หรือไข้ฉี่หนู พบผู้ป่วยสะสม 1,895 ราย เสียชีวิต 25 ราย อัตราป่วยตาย 1.32% เป็นโรคที่พบมากในฤดูฝน เนื่องจากการลุยน้ำโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน ซึ่งปีนี้พบผู้ป่วยสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง โดยผู้ป่วยพบมากในอายุ 60 ปีขึ้นไป เช่นเดียวกับกลุ่มที่เสียชีวิต ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีน้ำท่วมหลายจังหวัด ขอให้ประชาชนป้องกันตนเองไม่ให้รับเชื้อ เลี่ยงการลุยน้ำ แช่น้ำ แต่ถ้าจำเป็นต้องสวมรองเท้าป้องกัน เป็นรองเท้าบู๊ทและสวมถุงมือ พร้อมทั้งล้างมือบ่อย ๆ

“รัฐบาล ห่วงใยสุขภาพพี่น้องประชาชน กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ให้เฝ้าระวังติดตามและประเมินสถานการณ์โรค และภัยสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนและพื้นที่หลังน้ำลดอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดเตรียมแผนเผชิญเหตุ และสนับสนุนทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว ร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่กรณีเกิดการระบาดของโรค รวมถึงเร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ในการป้องกันโรคแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ ประชาชนสามารรถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

รัฐบาลเชิญชวนประชาชนแจ้งเตือนข่าวปลอม ภัยออนไลน์ เบาะแสยาเสพติด ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนแจ้งเตือนข่าวปลอม ภัยออนไลน์ เบาะแสยาเสพติด ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์ และการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอม แก่ประชาชน โดยยกระดับการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมที่สร้างความเสียหายต่อประชาชน ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการแจ้งเตือนข่าวปลอม – ภัยออนไลน์ ได้สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

โดยมีบริการประกอบด้วย

1.บริการข้อมูลความรู้ด้านดิจิทัล ซึ่งประชาชนสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวัน เตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัล

2.บริการข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับข่าวปลอม การแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์ และข่าวปลอม

3.สนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำระบบงานจัดเก็บข้อมูลแอปฯ Cyber Community Thailand ให้สามารถใช้บริการผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” โดยมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมในการเข้าถึงบริการของประชาชน และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน

การให้ความรู้ด้านดิจิทัล การแจ้งเตือนข่าวปลอม และภัยออนไลน์ ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทั่วประเทศ ซึ่งช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลในการป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามทางออนไลน์ ลดความเสี่ยงการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน สำหรับแอปฯ ทางรัฐ มีบริการภาครัฐกว่า 179 บริการ รวมถึงบริการประเภทแจ้งเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ อาทิ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 แจ้งเรื่องร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสกับศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย 1567 การแจ้งเหตุคดีพิเศษ DSI 1202 หรือ แจ้งอายัดบัญชีธนาคาร เป็นต้น

นอกจากนี้ ประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลเบาะแสข่าวผ่านแอปฯ “Cyber Community Thailand” เพื่อป้องกันภัยจากข่าวปลอม และจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์ และร่วมกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดาวน์โหลดแอปฯ “ทางรัฐ” และแอปฯ “Cyber Community Thailand” ผ่านทาง App Store สำหรับผู้ใช้ iOS และ Google Play Store สำหรับผู้ใช้ Android”

Advertisement

Verified by ExactMetrics