วันที่ 5 พฤศจิกายน 2025

ดีอี เตือนอย่าเชื่อข่าวปลอม “รัฐเตรียมจ่ายเงินดิจิทัล 10,000 เดือน ก.ย.”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ 20 กันยายน 2568 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับ 1 เรื่อง “เงินดิจิทัล 10,000 บาท จะจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 68” รองลงมาคือเรื่อง “พบสัญญาณพายุโซนร้อนเข้าประเทศไทย 1 ลูก ในอีก 10 วันข้างหน้า” เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด สับสน ตื่นตระหนก และวิตกกังวลในสังคม รวมทั้งอาจทำให้สูญเสียทรัพย์สิน และข้อมูลส่วนบุคคล โดยขอให้เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 12 – 18 กันยายน 2568 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 1,005,202 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 795 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 763 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 31 ข้อความ และช่องทาง Facebook จำนวน 1 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 210 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 91 เรื่อง

ข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 111 เรื่อง

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 24 เรื่อง

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 9 เรื่อง

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 0 เรื่อง

กลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 35 เรื่อง

นายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ส่วนใหญ่เป็นข่าวเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลและการให้บริการของหน่วยงานรัฐ ความมั่นคงระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังพบข่าวที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ และข่าวภัยพิบัติรวมอยู่ด้วย ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด สับสน ตื่นตระหนก และวิตกกังวลได้ รวมทั้งอาจทำให้สูญเสียทรัพย์สิน หรือ ข้อมูลส่วนบุคคล โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง เงินดิจิทัล 10,000 บาท จะดำเนินการจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 68

อันดับที่ 2 : เรื่อง พบสัญญาณพายุโซนร้อนเข้าประเทศไทย 1 ลูก ในอีก 10 วันข้างหน้า

อันดับที่ 3 : เรื่อง ผลิตภัณฑ์ คุ้มไพรวัลย์ รักษาอาการหูอื้อ หูตึง และหูหนวก

อันดับที่ 4 : เรื่อง Do Oil ช่วยสลายไขมันในหลอดเลือด ป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต รับรองโดย อย.

อันดับที่ 5 : เรื่อง ปลดล็อกขายแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ช่วงเวลา 14.00-17.00 น.

อันดับที่ 6 : เรื่อง หนังตะลุงเป็นมรดกของกัมพูชา มีชื่อว่า ตะลุงตะเหมย

อันดับที่ 7 : เรื่อง 12-14 ก.ย. 68 เกิดแผ่นดินไหว ศูนย์กลางต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือของไทย

อันดับที่ 8 : เรื่อง กองสลากฯ สั่งล็อกเลขสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 ก.ย. 68

อันดับที่ 9 : เรื่อง หมุนลิ้นก่อนนอน ช่วยให้หลับลึก และพุงยุบได้

อันดับที่ 10 : เรื่อง ผลการเจรจาทุกข้อตกลง JBC เป็น โมฆะ

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “เงินดิจิทัล 10,000 บาท จะดำเนินการจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 68” กระทรวงดีอี ได้ประสานงานร่วมกับ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยขอชี้แจงว่า ปัจจุบันไม่มีการดำเนินนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะที่ 3 แต่อย่างใด โดยหากรัฐบาลมีการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบต่อไป จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการเพื่อรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง

ด้านข่าวปลอมอันดับ 2 เรื่อง “พบสัญญาณพายุโซนร้อนเข้าประเทศไทย 1 ลูก ในอีก 10 วันข้างหน้า” กระทรวงดีอี โดยกรมอุตุนิยมวิทยา ตรวจสอบพบว่าเป็นข้อมูลเท็จ และขอชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวเป็นข่าวปลอม ที่ไม่ได้มีที่มาจากกรมอุตุนิยมวิทยา โดยหากมีพายุเกิดขึ้นจริง และมีแนวโน้มที่จะเข้าประเทศไทย กรมอุตุฯจะประกาศให้ทราบอย่างน้อย 3 วัน

สำหรับพยากรณ์อากาศ ระหว่างวันที่ 12-16 ก.ย. 68 ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะเริ่มมีฝนลดลง ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน และส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เกิดความวิตกกังวล หรืออาจสร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

หากประชาชน พบข่าวน่าสงสัย ข้อมูลบิดเบือน สามารถแจ้งเบาะแส และตรวจสอบข่าวปลอมได้ที่ โทรสายด่วน 1111 ต่อ 87 (24 ชม.) หรือที่

| เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

| Line ID: @antifakenewscenter

| Facebook : Anti-Fake News Center Thailand

| X : @AFNCThailand

| TikTok : @antifakenewscenter

| IG : afnc_thailand/

Advertisement

แบงก์ชาติเรียกผู้ค้าทองรายใหญ่ 13 ราย ประชุม 15 ก.ย.นี้ กรณีส่งออกทองคำไปกัมพูชาพุ่งสูงผิดปกติ

15 กันยายน 2568 ธปท. เรียกถกผู้ค้าทองรายใหญ่ 13 ราย หารือจันทร์นี้ หลัง กกร.ตั้งข้อสังเกตส่งออกทองคำไปกัมพูชาพุ่งสูงผิดปกติ

กรณีนายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชนสามสถาบัน (กกร.) ได้ทำการตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าแรงผิดปกติ สวนทางเศรษฐกิจปัจจุบัน จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบความผิดปกติของการส่งออกทองคำไปกัมพูชา มีตัวเลขสูงผิดปกติ ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่านั้น ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เรียกด่วนผู้ค้าทองรายใหญ่ 13 ราย เพื่อหารือถึงประเด็นดังกล่าวในวันที่ 15 ก.ย.นี้

ด้านวงในให้จับตา “ทองคำ” ช่องโหว่เศรษฐกิจ เหตุเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล จนกระทรวงการคลัง-แบงก์ชาติ ต้องถกหาวิธีดูแลธุรกรรมทองคำเพื่อปิดช่องฟอกเงิน เผย 7 เดือนไทยส่งออกทองไปกัมพูชาแล้วกว่า 71,800 ล้านบาท

ทั้งนี้ การส่งออกทองคำของไทยที่อยู่ในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568 ตามตัวเลขของสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) พบว่าไทยมีการส่งออกไปยังกัมพูชาอยู่ในอันดับ 3 รองจากการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ และอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งค้าทองคำที่สำคัญของโลก โดยตัวเลขการส่งออกไปยังกัมพูชา 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่มูลค่า 71,886,633,245 บาท คิดเป็น 13.60% เมื่อเทียบกับการส่งออกช่วงเดียวกันของปี 2567 เพิ่มขึ้น 19.06%

ด้านนายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่าช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การแข็งค่าของเงินบาทยิ่งเร่งตัวขึ้น เมื่อเทียบประเทศอื่นในภูมิภาค โดยดัชนีตะกร้าค่าเงินบาทใกล้เคียงในช่วงปี 2540 ที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยจะเจอวิกฤติ เนื่องจากระบบค่าเงินบาทมีความยืดหยุ่นมากกว่า แต่ยอบรับว่าจะทำให้แต้มต่อเรื่องการส่งออกและท่องเที่ยวลดลง

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทช่วงเดือนที่ผ่านมีแนวโน้มแข็งค่าเร่งตัวขึ้นจากปัจจัยภายนอก เงินดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ต้องการกระตุ้นการส่งออก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ส่วนปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญคือทอง เนื่องจากไทยส่งออกทองคำค่อนข้างมาก และยิ่งช่วงนี้ราคาทองปรับเพิ่มขึ้น อาจทำให้ผู้ส่งออกทองคำของไทยส่งออกไปมากขึ้น ซึ่งมีการส่งออกในสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้นเมื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท ยิ่งกดดันเงินบาทแข็งค่าเมื่อราคาทองคำสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพบว่าเมื่อราคาทองคำปรับขึ้น ผู้ค้าทองคำไทยจะส่งออกทองคำมากขึ้น ทั้งนี้ มองว่าหากในอนาคตมีการซื้อขายทองคำเป็นเงินดอลลาร์แทนเงินบาท ก็จะช่วยลดแรงกดดันและทำให้ค่าเงินมีความสมดุลมากขึ้น ซึ่งเข้าใจว่าขณะนี้สามารถทำได้แล้ว แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังติดภาพการซื้อขายเป็นเงินบาท และยังเป็นการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศอีกด้วย

Advertisement

กองทัพภาค 2 ตรวจพบทหารเขมรเสริมกำลังพล-ยุทโธปกรณ์

12 กันยายน 2568 GBC ลงนามทำตามข้อตกลงไปวันเดียว “ทภ.2” ตรวจพบทหารเขมรเสริมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการก่อสร้างฐานที่มั่นเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 11 ก.ย.68 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาสถานการณ์โดยรวม ตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่แนวชายแดน โดยพบการเสริมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการก่อสร้างฐานที่มั่นเพิ่มเติม ทั้งยังมีการเคลื่อนย้ายยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่ชายแดนหลายครั้ง ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกที่ขนส่งวัสดุสำหรับการก่อสร้าง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของฐานปฏิบัติการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมและการปรับกำลังของฝ่ายกัมพูชา เพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต ฝ่ายไทยยังคงจัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจในพื้นที่แนวชายแดนอย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าติดตามและประเมินสถานการณ์ พร้อมทั้งรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ และเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติการตอบโต้ หากมีเหตุการณ์ที่กระทบต่ออธิปไตยและความมั่นคงของชาติ

การดำเนินงานด้านจิตอาสา ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 24 พ.อ.วรวุฒิ สำราญ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดหนองคาย รับมอบสิ่งของอุปโภคบริโภค รวมไปถึงสิ่งของที่จำเป็น จากชาว จ.หนองคาย โดยมี พระเทพวชิรคุณเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย/เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย (พระอารามหลวง) เป็นผู้แทนคณะสงฆ์, ปลัดจังหวัดหนองคาย และผู้บริหารแดงแหนมเนือง ผู้แทนพ่อค้าคหบดีในพื้นที่เป็นผู้แทนประชาชน จ.หนองคาย นำสิ่งของส่งต่อเป็นกำลังใจแก่ทหารแนวหน้า และพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยมีกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน และประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ช่วยขนย้ายสิ่งของ

ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน จ.สุรินทร์ นายรองรัตน์ จงอุตส่าห์ นายอำเภอเมืองสุรินทร์ พร้อมด้วยปลัดอำเภอ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนเมืองสุรินทร์ที่ 3 รับมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่ อ.กาบเชิง และ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

กองทัพภาคที่ 2 ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนขอให้รับข้อมูลข่าวสารด้วยวิจารณญาณ และติดตามเฉพาะช่องทางอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งสามารถตรวจสอบและยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อน จากข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง

Advertisement

“อนุทิน” นำ 146 สส.แถลงตั้งรัฐบาล พร้อมรับ 5 เงื่อนไข

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ 3 กันยายน 2568 รัฐสภา – “อนุทิน” นำ 146 สส. แถลงตั้งรัฐบาล พร้อมรับ 5 เงื่อนไข พรรคประชาชน ยุบสภาใน 4 เดือน แก้ รธน. ไม่เติมเสียง ยืนยันกระบวนการเดินหน้าเลือกนายกฯ ตามกฎหมาย ชี้สภายังอยู่ หลังเพื่อไทยยื่นยุบ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แถลงจัดตั้งรัฐบาล และลงนามรับ 5 เงื่อนไขของพรรคประชาชน ว่า ตนและบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 146 คนที่อยู่ในที่นี้ จะขอแถลงข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเมื่อเช้าที่ผ่านมา ทุกท่านคงได้รับรับทราบข้อมูลจากการแถลงข่าวของหัวหน้าพรรคประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนได้รับเงื่อนไข และข้อสรุปออกมาเป็นข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ว่าด้วยกรณีการเลือกบุคคลไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แจ้งให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 146 คนรับทราบ

นายอนุทิน กล่าวว่า พวกเราทุกคนต้องขอขอบคุณพรรคประชาชน คณะกรรมการบริหารพรรคประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน และพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนพรรคประชาชนทุกท่าน ที่ได้มีมติของที่ประชุมผู้บริหารพรรคประชาชน ในการให้การสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ซึ่งพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 146 คน มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ ได้มอบรายชื่อ และให้คำมั่นกับพรรคประชาชน ว่าจะให้การสนับสนุนตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี และจะได้จัดตั้งรัฐบาลตามข้อเสนอของพรรคประชาชน ซึ่ทุกท่านได้ลงลายมือชื่อในเอกสารแสดงคำมั่น และตนจะได้นำส่งให้ผู้บริหารพรรคประชาชนไว้เป็นข้อมูลต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร โดยประธานสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนขอกราบเรียนให้ทุกท่านทราบว่าพรรคภูมิใจไทย และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 146 คน ที่ปรากฏตัวในที่นี้ ซึ่งมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษา พรรคกล้าธรรม นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายศักดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย นายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และนายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ เราตระหนักดีว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังดำเนินต่อไปจากนี้ ทางพรรคประชาชนได้ให้ความร่วมมือ เสียสละในการหาทางออกให้ประเทศไทยในสถานการณ์วิกฤต ทั้ฝทางการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง และธรรมชาติ ขอยืนยันว่าพวกเราทุกคนในที่นี้จะไม่ทำให้เจตนารมณ์ และความเสียสละของทุกท่านสูญเปล่า และจะรักษาข้อตกลงทั้ง 5 ข้อ ที่ได้ให้ไว้กับประชาชนตลอดระยะเวลา 4 เดือนนับตั้งแต่วันที่เราได้เข้าทำงานในฐานะรัฐบาล และจะดำรงสภาพการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะมีพี่น้องประชาชนร่วมเป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของพวกเรา ดังนั้น ในระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาล เราจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มกำลังสุดความสามารถให้สมกับความไว้วางใจที่ทุกท่านให้โอกาสกับพวกเรา

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องอื่นๆขอให้เป็นไปตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เราทุกคนจะร่วมกันทำหนังสือที่แสดงถึงความพร้อมที่จะให้ทางประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาบรรจุวาระการเลือกนายกรัฐมนตรีเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุด การชี้แจงวันนี้ยืนยันให้ประชาชนรับรู้รับทราบว่า พวกเราทุกคนมีความพร้อมจากแรงสนับสนุน และความเข้าใจ ของทางพรรคประชาชน เราจึงมีความมั่นใจว่าการจัดตั้งรัฐบาลชุดถัดไปนี้จะดำเนินไปได้ด้วยความ ราบรื่น และการทำงานของรัฐบาลที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยจะเป็นไปตามเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อของพรรคประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายอนุทินได้ลงนามในเงื่อนไข 5 ข้อของทางพรรคประชาชน ก่อนที่จะย้ำอีกครั้งว่า สุดท้ายนี้ตนอยากขอบคุณเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 146 คน ตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่จนถึงระดับสมาชิก ที่ทุกๆท่านให้ความร่วมมือสนับสนุนให้ตนได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องถือเป็นความเสียสละมุ่งมั่นตั้งใจ เราผ่านอุปสรรคต่างๆมากมาย ผ่านความกดดัน แต่สิ่งที่อยู่ในหัวจิตหัวใจของพวกเราทุกคน คือความรักชาติ รักแผ่นดิน หวงแหนแผ่นดิน และความจงรักภักดีต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของพี่น้องคนไทยทุกคน เรามีความห่วงใยพี่น้องประชาชนต่อความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิต จึงทำให้พวกเราตัดสินใจที่จะมาทำงานร่วมกัน ขอให้ความมั่นใจว่าพวกเราทุกคนรู้จักกันเป็นเวลาเนิ่นนาน รู้มือ รู้ฝีมือ และรู้ถึงความทุ่มเทที่จะมีให้กับพี่น้องประชาชน และประเทศไทยที่รัก เรามั่นใจว่าเราจะใช้เวลาทุกวัน ทุกนาที ทุกชั่วโมง ในการปฎิบัติหน้าที่รัฐบาลให้ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุดกับความไว้วางใจที่พวกเรามีต่อกัน และความไว้วางใจที่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านได้มอบหมายให้เรามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรของท่าน

เมื่อถามว่ามีการทูลเกล้าฯยุบสภาแล้ว กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไรนายอนุทิน กล่าวว่า คิดว่าทุกอย่างมีขั้นตอน ยังถือว่ามีสภาอยู่ สภายังไม่ยุบ ยังไม่มีข้อมูลใดๆลงมาให้รับทราบว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ จะต้องมีการตีความอย่างใดหรือไม่เป็นเรื่องของผู้ที่ยื่นไปว่าท่านจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร และจะแจ้งให้พี่น้องประชาชนรับทราบอย่างไรต่อไป

เมื่อถามว่า แสดงว่ามั่นใจว่ารัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจยึบสภาใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คิดว่าเรื่องนี้พวกเราทำตามภารกิจ ตามหน้าที่ของความเป็นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เราดำเนินการเร่งจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุดตามกฏหมาย ทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

เมื่อถามว่า มีโอกาสที่จะยื่นตีความเรื่องการยุบสภาหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรารอดูก่อน เพราะเรายังไม่ได้รับทราบอะไรอย่างเป็นทางการ

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่พรรคประชาชนตัดสินใจเลือกนายอนุทิน นายอนุทิน กล่าวว่า คิดว่าทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคประชาชนให้ความเชื่อถือว่าพวกเราทุกคนในที่นี้จะทำตามเงื่อนไข แสดงว่าเขาต้องมีการประเมิน และให้ความเชื่อมั่นกับพวกเราทุกคนที่จะหาหนทางแก้ไขปัญหาให้ประเทศของเรา เพื่อที่จะได้ออกจากสภาวการณ์ที่ไปทางไหนก็ไม่ได้

เมื่อถามว่า เงื่อนไขแก้รัฐธรรมนูญ 4 เดือน ทันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มีขั้นตอนที่ต้องทำอยู่ ถ้าเรามีความตั้งใจ หากดูไทม์ไลน์แล้วเราจะทำให้ไปถึงจุดที่เป็นความต้องการของพวกเราทุกคนรวมถึงประชาชนด้วย

เมื่อถามว่า รัฐบาลชุดนี้จะเป็นรัฐบาล 146 เสียง ไม่มีคนมาเติมแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถูกต้อง เพราะมีเงื่อนไขอยู่ในข้อ 4 ที่ระบุว่า เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะยุบสภาภายใน 4 เดือน พรรคภูมิใจไทยจะต้องไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

เมื่อถามว่า การดำเนินการในสภาจะเป็นอย่างไร เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย นายอนุทิน กล่าวว่า 4 เดือนนี้จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะการแก้ปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ปัญหาความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งอยู่กับประเทศกัมพูชา ตลอดจนการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่ง 4 เดือนเพียงพอ ทั้งนี้ ตัวเลข 4 เดือนไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ารวดเร็ว แต่เป็นตัวเลขที่ทางพรรคประชาชน และพรรคที่มารวมกันทั้ง 146 เสียง ได้หารือกันแล้วคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม

เมื่อถามว่า สภาจะโหวตกฎหมายผ่านได้หรือไม่ เพราะมีเสียง 146 เสียง นายอนุทิน กล่าวว่า เราได้รับการยืนยันจากพรรคประชาชนว่า กฎหมายใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติ ต่อพี่น้องประชาชน พรรคประชาชนพร้อมที่จะสนับสนุนให้ร่างกฎหมายฉบับนั้นๆผ่าน เรายึดประโยชน์ของประชาชน และประเทศเป็นเป้าหมาย ตรงนี้พวกเราเห็นพ้องต้องกันทั้งหมด

เมื่อถามว่า การจับมือกับพรรคประชาชน สะท้อนภาพเงาการเมืองปี 2570 ได้หรือไม่ว่าจะจับกับพรรคประชาชนได้ นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้เอาเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน เราทำทุกอย่างด้วยความสมบูรณ์แล้ว

“เงื่อนไขถูกลงนามแล้ว 4 เดือนนับจากวันที่รัฐบาลได้แถลงนโยบาย ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ผมให้ความมั่นใจพูดแล้วทำ” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

เปิดลงทะเบียน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปฯ ทางรัฐ 25 ส.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 สิงหาคม 2568 ทำเนียบ – นโยบายเพื่อคนไทยลดภาระค่าใช้จ่าย รัฐบาลเปิดลงทะเบียน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปฯ ทางรัฐ เริ่มพรุ่งนี้ ไม่จำกัดสิทธิ คาดผู้โดยสารเพิ่ม 20%

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการค่าโดยสาร “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยไม่จำกัดสิทธิและจำนวนผู้ลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน 13 หลัก และบัตรโดยสารที่สามารถผูกเข้ากับระบบ ซึ่งจะเริ่มใช้งานจริงได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมรถไฟฟ้า 10 สายทุกเส้นทาง

ขั้นตอนการลงทะเบียนทำได้ง่าย เพียงดาวน์โหลดและติดตั้งแอปฯ “ทางรัฐ” บนสมาร์ทโฟน เลือกเมนูลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาท กรอกเลขบัตรประชาชน และผูกบัตรโดยสารที่ต้องการใช้สิทธิ โดยบัตรที่รองรับแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.บัตร EMV Contactless (Visa, Mastercard และบัตรแมงมุม EMV ของ MRT) สำหรับ MRT และ Airport Rail Link

2.Rabbit Card สำหรับ BTS

ทั้งนี้ การใช้สิทธิต้องแตะเข้า–ออกด้วยบัตรที่ลงทะเบียนไว้ หากใช้บัตรอื่นหรือซื้อตั๋วเที่ยวเดียว จะถูกคิดตามอัตราปกติ สำหรับการเดินทางต่อเดียวกัน กำหนดเวลา 180 นาที หากเปลี่ยนสายระหว่างสถานีภายใน 30 นาที ยังใช้สิทธิ 20 บาทได้ แต่หากเกินเวลาจะคิดค่าแรกเข้าใหม่ทันที

โครงการนี้เปิดลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดจำนวน โดยคาดว่าหลังเริ่มใช้งานจริง จะมีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 20% จากปัจจุบันเฉลี่ยวันละ 1.7 ล้านเที่ยว ทั้งนี้ การทดสอบในสายสีแดงและสีม่วงที่เคยให้ใช้ฟรี 1 สัปดาห์ พบว่าผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 39% สะท้อนถึงศักยภาพของมาตรการลดค่าโดยสารในการดึงดูดการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

“รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงทะเบียนใช้สิทธิรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง และส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

แม่ทัพภาค 2 เสียใจ “พลทหารพิทยุตม์” เสียชีวิต

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 สิงหาคม 2568 แม่ทัพภาคที่ 2 แสดงความเสียใจ “พลทหารพิทยุตม์” ทหารหาญใจกล้าที่เถียงหญิงเขมร โมนิก้า เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ขณะปฏิบัติหน้าที่ปราสาทตาเมือนธม ชี้สิทธิกำลังพลได้เต็มที่ เพราะอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ชายแดน

เมื่อวันที่ 24 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลทหารพิทยุตม์ โสดา หรือ น้อย หรือ ที่ชาวโซเชียลรู้จักกันในชื่อ “น้องยักษ์” สังกัด ร.23 พัน 4 ประจำการอยู่ที่ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นพลทหารที่เคยปรากฏเป็นข่าวโต้เถียงกับหญิงชาวกัมพูชาที่ชื่อโมนิก้า ที่ปราสาทตาเมือนธมก่อนเหตุการณ์การสู้รบไม่นานนักได้เสียชีวิตแล้ว เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (23 ส.ค.68) ภายในห้องน้ำบริเวณฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม ด้วยอาการวูบจากโรคประจำตัว

ซึ่งเพื่อนๆ ทหาร ระบุว่า พลทหารพิทยุตม์มีโรคประจำตัวและเคยอาเจียนออกมาเป็นเลือดก่อนหน้านี้ ก่อนจะถูกนำตัวไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลและรับยามารับประทานทาน และต้นสังกัดให้พักรักษาตัวจนกว่าอาการจะทุเลา

แต่พลทหารพิทยุตม์ไม่ยอม บอกเป็นห่วงเพื่อนๆ ที่สถานการณ์ยังตรึงเครียดอยู่ ขอมาปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตามเกิดอาการวูบเสียชีวิตดังกล่าว สร้างความเศร้าเสียใจต่อเพื่อนๆ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันที่ชายแดน รวมถึงชาวโซเชียลที่ทราบข่าวต่างโพสต์แสดงอาลัยกันเป็นอย่างมาก

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว น้องพลทหารพิทยุตม์ โสดา ซึ่งตนได้รับรายงานจากผู้บังคับบัญชา โดยตรงจากพื้นที่แล้ว การเสียชีวิตของพลทหารพิทยุตม์ เกิดจากอาการเจ็บป่วยที่สะสมมาจากการทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยชายแดยไทย-กัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม แต่ยังไม่มีการปะทะกันจนกระทั่งถึงปัจจุบันน้องพลทหารพิทยุตม์ ก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดี

ทั้งนี้สิทธิกำลังพลต่างๆ ก็จะดำเนินการให้อย่างเต็มที่ เพราะถือว่าอยู่ระหว่างการปฎิบัติหน้าที่ชายแดน

Advertisement

กต.ย้ำ “บ้านหนองจาน” เคยเป็นที่พักพิงชั่วคราว “ชาวเขมร”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 สิงหาคม 2568 กต.ออกแถลงการณ์ ปม “บ้านหนองจาน” เดิมเคยเป็นที่พักพิงชั่วคราว “ชาวเขมร” ย้ำ “ไทย” อดกลั้นมาหลายปี แต่ “กัมพูชา” กลับเจตนาร้าย ขาดความจริงใจ รุกล้ำดินแดน

กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนคำแถลงของกองทัพบกไทยเกี่ยวกับพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีภัยจากการสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย และต่อมา ฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป ถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และฝ่ายไทยได้คัดค้านและดำเนินการประท้วงการล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยดังกล่าวมาโดยตลอด และขอย้ำประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.ประเทศไทยได้แสดงความอดกลั้นอย่างสูงสุดมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี และยึดมั่นในการดำเนินการอย่างสร้างสรรค์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดี โดยยินดีหารือข้อแตกต่างใด ๆ ผ่านกลไกทวิภาคีที่เหมาะสม เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชากลับใช้ประชาชนของตนมารุกล้ำดินแดนอย่างไม่ชอบธรรม ผิดกฎหมาย และเป็นการยั่วยุให้เกิดความตึงเครียด

2.การอาศัยประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชากลุ่มนี้ของไทยในอดีต ตามหลักมนุษยธรรมที่ไทยยึดถือมาโดยตลอด เป็นการกระทำที่ไม่เพียงแต่ขาดความจริงใจ แต่ยังสะท้อนถึงเจตนาร้ายที่แท้จริงของฝ่ายกัมพูชา

3.สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งลวดหนามในเขตแดนไทยนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนไทย ป้องกันมิให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมจากฝ่ายกัมพูชา และป้องกันการเข้ามาวางทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา โดยการดำเนินการของไทยไม่เป็นการขัดต่อข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน

Advertisement

กลโกงแบบใหม่ ส่งคลิปนักข่าวแนบลิงก์หลอกให้กด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 สิงหาคม 2568 ระวังกลโกงรูปแบบใหม่ ส่งคลิปนักข่าวแนบลิงก์หลอกให้กด สแกนคิวอาร์โค๊ด เตือนอย่ากด อย่าสแกน อันตราย มิจฉาชีพหลอกดูดเงิน

นายอนุกูล พฤกษนุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยปัจจุบันแก๊งมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกลโกงในการหลอกลวงประชาชนอยู่เสมอ แม้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการกวดขัน ปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง แต่มิจฉาชีพยังใช้กลอุบายในรูปแบบต่าง ๆ ที่แยบยลทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อสูญเสียข้อมูลส่วนตัวและสูญเสียเงิน รัฐบาลขอเน้นย้ำให้ประชาชน ระวังรูปแบบภัยอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันภัยให้ประชาชน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) พบพฤติการณ์การกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีการดูดคลิปวิดีโอของนักข่าว และผู้ประกาศข่าว ที่มีเนื้อหาเตือนภัยกลโกงมิจฉาชีพ รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิธีการขอรับเงินคืน กรณีได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้นำ QR Code ซึ่งอ้างว่าเป็น “ศูนย์ยื่นสิทธิเฉลี่ยทรัพย์” หรือ “ทนายที่ปรึกษาด้านกฎหมาย” มาแนบไว้ในคลิปดังกล่าว พร้อมแนบช่องทางการติดต่อผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยระบุข้อความ “ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอยื่นสิทธิรับเงินคืน” ซึ่งการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในลักษณะนี้ ทำให้ประชาชนหรือผู้ที่เห็นคลิปเข้าใจว่า ช่องทางดังกล่าวสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงได้จริง จนทำให้มีประชาชนหลายรายหลงเชื่อ สแกนคิวอาร์โค๊ดติดต่อเข้ากลุ่มไลน์ของมิจฉาชีพได้รับความเสียหาย

นายอนุกูล กล่าวว่า ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยประชาชน หากพบคลิปในลักษณะข้างต้น อย่าหลงเชื่อสแกน QR code หรือ แอดไลน์ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากช่องทางดังกล่าวเป็นกลวงที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงซึ่งจะนำไปสู่การหลอกให้โอนเงินจนทำให้ได้รับความเสียหาย ขอแนะนำประชาชนที่ต้องการขอรับเงินคืนในกรณีที่ได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง ขอให้ท่านตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า คดีมีสิทธิยื่นเฉลี่ยทรัพย์คืนหรือไม่ โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์ www.amlo.go.th สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. หากพบว่ามีสิทธิในการขอเฉลี่ยทรัพย์คืนตามข้างต้น ให้ติดต่อและดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. โดยตรง หรือติดต่อผ่านเว็บไซต์ของ ป.ป.ง. เท่านั้น สำหรับประชาชนท่านใดที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางออนไลน์ หรือต้องการปรึกษาปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ สามารถโทรติดต่อได้ที่ ศูนย์ AOC 1441

Advertisement

กลาโหมไทย แจงไม่มีแนวความคิดรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 สิงหาคม 2568 กลาโหมไทย แจงไม่มีแนวความคิดรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา ตามที่กล่าวอ้าง ย้ำรักษาสถานะการวางกำลัง หลังมาตรการหยุดยิงมีผล เรียกร้องกัมพูชาเร่งตอบรับเก็บกู้ทุ่นระเบิด และร่วมมือปราบการหลอกลวงออนไลน์

กรณี กระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์เกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องปราสาทตาควาย เมื่อ 10 สิงหาคม และปรากฏการนำเสนอข่าวผ่านบุคคล และสื่อต่างๆ ของกัมพูชา กระทรวงกลาโหม ขอเรียนว่า ฝ่ายไทยไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพล เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตามที่กล่าวอ้าง โดยได้รักษาสถานะการวางกำลัง หลังมาตรการหยุดยิงมีผล เที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ไทยพร้อมจะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ตามเงื่อนไขเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC ไทย-กัมพูชา เมื่อ 7 สิงหาคม ตามที่ตกลงกันไว้ เพื่อให้กองกำลังในพื้นที่ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการหยุดยิงในแต่ละพื้นที่

และยืนยันฝ่ายไทยยังคงยึดมั่นในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน ในการประชุม GBC อย่างเคร่งครัด พร้อมขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชา ร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการหยุดยิงอย่างเคร่งครัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการงดเว้นการนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ หลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายเกิดความเข้าใจผิด และร่วมกันสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการพูดคุยอย่างสันติ พร้อมขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาเร่งตอบรับ ให้ความร่วมมือ ใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะและพื้นที่อื่นๆ ตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์หรือออนไลน์สแกม เพื่อหารือทวิภาคีในทุกระดับและนำไปสู่การปฏิบัติโดยเร็วต่อไป

ที่ผ่านมามีทหารทั้งหมด 5 นายที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญจากการเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชา นำมาวางไว้ในพื้นที่ดินแดนไทย ได้แก่

พลทหาร ธนพัฒน์ หุยวัน ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ชุดลาดตระเวนกองร้อยทหารพรานที่ 2302 เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนจากฐานปฏิบัติการมรกต พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ไปยังเนิน 481 เมื่อ 16 ก.ค. ต้องสูญเสียขาซ้าย

จ่าสิบเอก พิชิตชย บุญชูหล้ำ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 8 เกิดเหตุเหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ต้องสูญเสียข้อเท้าขวา

ร้อยตรี เกียรติวงศ์ สถาวร สังกัด กองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 2 เหยียบกับระเบิดขณะนำชุดปฏิบัติการรบพิเศษเข้าเคลียร์พื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ เมื่อ 28 ก.ค.68 ต้องสูญเสียขาขวา

จ่าสิบเอกธานี พาหา ผบ.หมู่ ปก.มว.ปล.ที่ 2 ร้อย.5.111 เหยียบกับระเบิด ข้อเท้าซ้ายขาด ขณะลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.68

สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 เหยียบกับระเบิด วันนี้ (12 ส.ค.) ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนแนวชายแดนไทย ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้อเท้าซ้ายขาด

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้านแม่ของสิบเอกธีรพล ที่หมู่ 1 ต.สำโรงใหม่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ พบชาวบ้านมาให้กำลังใจนางสาคร เพียขันที แม่ของสิบเอกธีรพล เป็นจำนวนมาก นางสาคร ได้ดูคลิปภาพขณะรถพยาบาลนำร่างของลูกชายไปส่งโรงพยาบาล ด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งทราบว่าขาซ้ายลูกชายขาด

นางสาคร บอกว่าทุกครั้งที่ลูกชายจะไปทำงานตามชายแดน หรือกลับจากชายแดนจะเข้ามากราบเท้าแม่แล้วเอาเท้าแม่เหยียบที่หัวทุกครั้ง และจะฉีกเอาชายผ้าถุงของแม่ ติดตัวไปด้วย ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ลูกชายโทรมาว่าสบายดีไม่เป็นอะไรแล้วเพราะหยุดรบแล้ว ก็ดีใจว่าลูกปลอดภัย แต่เพียงข้ามคืนกลับได้รับข่าวว่าลูกชายขาขาด และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ดีใจที่ลูกชายได้รับใช้ชาติ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

Advertisement

พบโดรนบินที่ตั้งทหาร-หน่วยงานราชการหลายพื้นที่ ชี้ภัยร้ายแรง-พยายามสอดแนม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 สิงหาคม 2568 กองทัพอากาศ พบโดรนบินที่ตั้งทหาร-หน่วยงานราชการจำนวนมากหลายพื้นที่ ชี้ภัยร้ายแรง พยายามสอดแนม หากประชาชนพบเห็นขอให้แจ้งเบาะแส

กองทัพอากาศ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ได้ตรวจพบความพยายามในการใช้โดรนบินสำรวจที่ตั้งทางทหารและหน่วยงานราชการจำนวนมากในหลายพื้นที่ที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงที่ส่อให้เห็นถึงความพยายามในการสอดแนม เพื่อกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและอาจรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานพลเรือน เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบ Anti Drone ในการทำลายเป้าหมายได้ทันที และผู้ที่กระทำผิด จะเข้าข่ายความผิดฐานจารกรรม/สายลับ ที่กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มีบทลงโทษรุนแรง ถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต

ปัจจุบัน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย กัมพูชา ยังคงต้องเฝ้าระวัง โดรนคือภัยคุกคามที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและชีวิตประชาชน กองทัพอากาศจึงขอความร่วมมือประชาชนทุกท่านที่พบเห็นหรือทราบเบาะแสเกี่ยวกับการบินของโดรน รวมทั้งผู้ที่บังคับโดรน ที่อาจฝ่าฝืนกฎหมายได้แจ้งสายด่วนความมั่นคง 1374 หรือหน่วยงานราชการใกล้เคียง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

Verified by ExactMetrics