วันที่ 19 กรกฎาคม 2025

โฆษกรัฐบาลลั่นนายกฯพร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภา วอนพรรคเพื่อไทยอย่าเล่นเกมส์นอกสภา

People Unity News : โฆษกรัฐบาลลั่น นายกฯพร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภาฯ วอนพรรคเพื่อไทยอภิปรายในสภาฯ แล้วไม่ควรเล่นเกมส์นอกสภาฯอีก ดักคอแคมเปญชวนคนไทยไล่รัฐบาลมีช่องว่าง ชี้ไม่มีระบบยืนยันตัวตน อาจเปิดช่องให้มีการปั่นยอดให้สูงได้ เผยมีประชาชนขอผุดแคมเปญหนุนนายกฯทำงานต่อ

วันที่ 29 ส.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยผุดแคมเปญเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้นไม่ควรกระทำและไม่เหมาะสม เป็นการเล่นเกมส์นอกสภาฯ เพื่อกดดันรัฐบาลต่อ และการลงชื่อทางไลน์นั้นสามารถปั่นตัวเลขให้สูงได้ตามใจชอบ เพราะไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่เพียงพอ โดยในสมัยที่ตนเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำโครงการชิมช็อปใช้นั้น ก็ยังพบว่ามีรายชื่อผีโผล่มา ซึ่งจะต้องตรวจสอบยืนยันตัวตนจากหลายหน่วยงาน ดังนั้น สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทยก็อาจจะนำตัวเลขสูงๆมาโจมตีรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร น่าจะใช้สภาฯในการตรวจสอบจะดีกว่า

นายธนกร กล่าวอีกว่า มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาหาตน โดยระบุว่าอยากจะขอเปิดแคมเปญสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้อยู่ยาว ทำงานให้ประเทศชาติและประชาชนต่อไป แต่ตนได้ขอร้องไว้ เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน โดยรัฐบาลพยายามทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน คาดว่าอีกไม่นานสถานการณ์จะคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภาฯ ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภาฯ หากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาฯได้ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์พร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง ที่สำคัญ รัฐบาลจะใช้เวทีสภาฯ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนอีกด้วย

Advertising

นายกฯกำชับ ศธ.เงินเยียวยานักเรียนต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมเด็ดขาด

People Unity News : นายกฯ กำชับ ศธ.ติดตามมาตรการเยียวยานักเรียน เงินต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมอย่างเด็ดขาด

วันที่ 28 ส.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมจ่ายเงินให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองหลายช่องทางว่าโรงเรียนบางแห่ง โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนแจ้งกับผู้ปกครองว่า จะหักเงินเยียวยาดังกล่าวกับผู้ปกครองที่ค้างค่าเทอมสำหรับภาคเรียนที่ 1 ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี จึงกำชับกระทรวงศึกษาธิการให้ติดตาม ตรวจสอบระบบการจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด โดยเงินทุกบาทต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของการช่วยเหลือเยียวยา โดยโรงเรียนมีหน้าที่จ่ายเงินให้กับผู้ปกครองเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เก็บเงินดังกล่าวไว้แต่อย่างใด โดยเบื้องต้น กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครอง เป็นช่องทางให้ผู้ปกครองแจ้งเรื่องมาที่กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระบวนการจ่ายเงินเยียวยาผู้ปกครอง จะเริ่มขึ้นในเร็วๆนี้ เมื่อสำนักงบประมาณตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะส่งเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง ก่อนที่กระทรวงการคลัง จะส่งต่อให้กรมบัญชีกลาง เพื่อโอนเงินเยียวยาทั้งหมดมาให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะใช้เวลาไม่เกิน 7 วันในการโอนเงินไปยังสถานศึกษาในระบบ เพื่อจ่ายเงินให้กับผู้ปกครองทั้งการผ่านบัญชีธนาคารและการจ่ายเป็นเงินสดในกรณีที่ไม่สามารถโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารได้

“นายกรัฐมนตรี มั่นใจในกระบวนการอนุมัติงบประมาณดังกล่าว ว่ามีความรอบคอบรัดกุม โดยผ่านความเห็นชอบจากทั้งสภาพัฒน์และกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจ่ายเงินขอให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส โดยกำชับให้กระทรวงศึกษาธิการติดตามตรวจสอบการจ่ายเงินทุกขั้นตอน ห้ามปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตอย่างเด็ดขาด ให้เงินทุกบาททุกสตางค์ถึงมือผู้ปกครองอย่างแท้จริง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertising

ครม.แต่งตั้ง ธนกร วังบุญคงชนะ เป็นโฆษกรัฐบาลคนใหม่

People Unity News : 24 ส.ค. 64 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบเปลี่ยนตัว โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จากนายอนุชา บูรพชัยศรี มาเป็นนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และย้ายนายอนุชา บูรพชัยศรี ไปเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง

นายอนุชา กล่าวอำลา จากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ขอขอบคุณพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้ไว้วางใจให้ได้ทำหน้าที่โฆษกฯมาตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบโอกาสให้ทำงานทางด้านบริหารเพิ่มเติมและเกี่ยวข้องกับนโยบายมากขึ้นในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง พร้อมขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้ความร่วมมือนำเสนอข่าวไปสู่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์

นายอนุชา กล่าวด้วยว่า ขอบคุณเลขาธิการนายกฯ ที่ดูแลกำกับการทำงานสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงเจ้าหน้าที่และหน่วยงานทุกองค์กรที่ให้ข้อมูลข่าวสารแก่สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อสื่อสารให้กับประชาชนได้ทันเหตุการณ์ ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ฟังเสียงและคำเสนอแนะของประชาชนและเพื่อนำมาประกอบการทำงานรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าพลเอก ประยุทธ์รับฟังความคิดเห็นของประชาชนตลอด ในช่วงที่ตนเองเข้ามาทำหน้าที่ 1 ปีในฐานะโฆษกรัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้ให้คำแนะนำมาตลอดว่าไม่ใช่เป็นการสื่อสารในทางเดียว แต่จะต้องสื่อสารทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อนำมาปฏิบัติและปรับปรุงให้รัฐบาลสามารถทำงานให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ด้านนายธนกร กล่าวว่า ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้ความไว้วางใจและให้โอกาสทำหน้าที่ในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยยืนยันจะตั้งไจทำงานอย่างสุดความสามารถ ในการที่จะสื่อสารให้กับประชาชนให้เข้าใจการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายต่างๆ นอกจากนั้นจะต้องสื่อสาร 2 ทางให้ประชาชนเข้าใจ โดยต้องรับฟังปัญหาของประชาชนที่สะท้อนมายังรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไข นอกจากนั้นจะต้องทำงานในเชิงรุกในเรื่องของระบบดิจิทัลต่างๆ ที่จะต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เนื่องจากทุกวันนี้สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ รัฐบาลพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ฉะนั้นการสื่อสารกับประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาต้องขอชื่นชมนายอนุชาและทีมงานที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี

Advertising

ปลดกระท่อมออกจากยาเสพติด มีผล 24 ส.ค.นี้ ปล่อยตัวผู้กระทำผิดพืชกระท่อมทันที 1,038 คน

People Unity News : โฆษกรัฐบาลเผย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ปลดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษมีผล 24 สิงหาคมนี้ ผู้กระทำผิดกรณีพืชกระท่อมได้ปล่อยตัวทันที 1,038 คน

22 สิงหาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 ซึ่งจะมีผลวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เป็นการปลดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ทำให้ประชาชนสามารถปลูกและขายได้ รวมทั้งมีการปล่อยผู้กระทำความผิดตามกฎหมายพืชกระท่อมในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 จำนวน 1,038  ราย โดยถือว่าไม่เคยกระทำความผิด สำหรับผู้ถูกจับกุมหรือจำเลยในชั้นต่างๆ จะได้ดำเนินการตามแนวทางการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปล่อยตัวผู้กระทำความผิดและผู้ต้องขังคดีความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อมต่อไป

เบื้องต้นภาครัฐจะได้รับประโยชน์เมื่อมีการปลดกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ สามารถลดค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของภาครัฐและผู้ต้องหาหรือจำเลย  1,691,287,000 บาท  โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) ศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลเท่ากับ 76,612 บาท ซึ่งคดีข้อหาพืชกระท่อมที่ขึ้นสู่ศาลตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 – 30 มิถุนายน 2564 มีอยู่ถึง  22,076 คดี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยังกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เร่งสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงข้อกฎหมายว่า ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ประชาชนสามารถปลูกและบริโภคกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน รวมทั้งยังซื้อหรือขายใบกระท่อมโดยไม่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากมีการนำไปผสมยาเสพติดอื่นๆ  เช่น  4 × 100 เป็นความผิดตามกฎหมาย  สำหรับการนำเข้าหรือส่งออกไปต่างประเทศในเชิงอุตสาหกรรมนั้น ต้องขออนุญาตก่อน

“พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังย้ำถึงการปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระสำคัญเร่งด่วน  โดยเน้นจับกุม ยึดทรัพย์ ลงโทษทางอาญา เครือข่ายผู้ค้า ควบคู่ไปกับบำบัดโดยนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ต้องรณรงค์สร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันในกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มเสี่ยงที่เป็นแรงงานนอกระบบด้วย” นายอนุชากล่าว

Advertising

โฆษกเผยเงินเดือนนายกฯ และ ครม. นำไปทำ “ถุงกำลังใจ” แจกให้ “กลุ่มเปราะบาง”

People Unity News : โฆษกเผยเงินเดือนนายกฯ และ ครม. ส่วนหนึ่ง นำไปจัดทำ “ถุงกำลังใจ” ส่งมอบให้ “กลุ่มเปราะบาง” กว่า 6,800 ราย ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล รวมทั้งจะได้นำเงินไปช่วยเหลือด้านอื่นต่อไป

21 ส.ค. 64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงการส่งมอบ “ถุงกำลังใจ” แก่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง และผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้จัดทำ “ถุงกำลังใจ” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยวิกฤตโควิด-19 นอกเหนือจากมาตรการต่างๆของภาครัฐที่มีอยู่แล้ว ทั้งนี้ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ร่วมบริจาค รวมถึงทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำเงินเดือนที่บริจาคเข้าบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” มาดำเนินการจัดทำ “ถุงกำลังใจ” เพื่อส่งมอบให้แก่กลุ่มเปราะบางดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนและประชาชนได้บริจาคเพิ่มเติม เพื่อแสดงน้ำใจร่วมกับภาครัฐและนายกรัฐมนตรี ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยวิกฤตโควิด-19 ด้วย

“ถุงกำลังใจ” บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง แอลกอฮอล์เจล หน้ากากอนามัย และยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร มอบให้แก่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้ดำเนินการแจกจ่ายแล้วใน 50 เขตพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 4 – 19 สิงหาคม 2564 รวมเป็นจำนวน 5,000 ราย แบ่งเป็นการส่งมอบจากการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ปลัดกระทรวง พม. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และอาสาสมัคร ใน 26 เขต จำนวน 2,800 ราย และส่งผ่านบริษัทไปรษณีย์ไทยไปยัง 24 เขต จำนวน 2,200 ราย และจะแจกจ่ายเพิ่มเติมอีก 1,800 ราย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทั้งหมดประมาณ 6,800 ราย ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และจะพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือด้านอื่นๆต่อไป

ปัจจุบัน บัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” บริหารโดยคณะกรรมการฯ พิจารณาจัดสรรเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเปราะบาง และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ

“การช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยและต้องการส่งกำลังใจให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางในช่วงเวลาวิกฤตขณะนี้” นายอนุชากล่าว

Advertising

ศบค.แจงจัดหาซิโนแวคเพิ่มอีก 12 ล้านโดสเพื่อฉีดไขว้กับแอสตร้า หลังพบภูมิต้านทานเพิ่มสูง

People Unity News : ศบค.แจงจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม 12 ล้านโดส เพื่อฉีดไขว้ชนิดกับแอสตร้าเซเนก้า หลังผลการศึกษาพบภูมิต้านทานเพิ่มสูง รวมถึงทดแทนวัคซีนที่จัดส่งไม่ได้ตามแผน

แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ชี้แจงถึงสาเหตุการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มอีก 12 ล้านโดส ว่า ศบค.พิจารณาจากข้อมูลที่กระทรวงสาธารณสุขได้รายงาน ประกอบกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาและวิจัยในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงข้อมูลศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ที่ระดมฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์แบบไขว้ คือซิโนแวคเข็ม 1 และแอสตร้าเซเนก้าเข็ม 2 โดยห่างกัน 3 สัปดาห์ พบว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อและลดการเจ็บป่วยหนักและลดอัตราการชีวิตได้ อีกทั้งจะทำให้การระดมฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นไปตามแผนการกระจายวัคซีนที่ครอบคลุม

นอกจากนี้ตามแผนเดิมกำหนดไว้ว่าจะมีวัคซีนจอนห์สัน&จอนห์สัน และแอสตร้าเซเนก้า รวมกันประมาณ 10 ล้านโดส แต่เนื่องจากจอนห์สัน&จอนห์สัน ไม่สามารถจัดส่งให้ได้ในไตรมาส 4 ตามที่ตกลงกันไว้ ทำให้ต้องปรับแผน เช่นเดียวกับแอสตร้าเซเนก้า ที่กำลังการผลิตและการจัดสรรที่คาดไว้จำนวน 10 ล้านโดส ลดลงเหลือประมาณ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน จึงเป็นเหตุผลที่ต้องจัดหาวัคซีนซิโนแวคมาเพิ่มเติม เพื่อเสริมในส่วนที่ขาดหายไป

Advertising

ศบค.เห็นชอบขยาย Phuket Sandbox ให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวจากภูเก็ตไปบางจังหวัดได้

People Unity News : ที่ประชุม ศบค.ให้เปิดธนาคาร/สถาบันการเงินในห้างได้ ขยาย Phuket Sandbox ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่าง จ.ภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่น (7+7)

วานนี้ (16 ส.ค.64) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 12/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยผ่อนคลายกิจกรรมให้เปิดธนาคาร/สถาบันการเงินในห้างได้เพิ่มการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโดยใช้ ATK ใน กทม. และปริมณฑล เน้นรัฐ/เอกชนทำงานที่บ้าน WFH ยังคงห้ามออกนอกเคหสถาน 21.00-04.00 น. ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัดถึงสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ เห็นชอบจัดตั้งศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค.

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลและ ศบค. กำลังเร่งควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ไทยที่ยังถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤตมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนให้ได้โดยเร็ว โดยได้เร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรค ทั้งในการเร่งรัดการจัดหาวัคซีน ปูพรมฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด การค้นหาผู้เสี่ยงติดเชื้อเชิงรุกและนำผู้ป่วยทุกคนเข้าระบบการรักษาให้เร็วที่สุด รวมถึงให้ผู้ป่วยติดเชื้อเข้าถึงยาให้ไวที่สุด การสร้างสถานที่กักตัวให้เพียงพอทั้งในประเภท Home Isolation (HI)  และ Community Isolation (CI) ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้งดูแลแรงงานและโรงงานในรูปแบบ Bubble and Seal ใช้ระบบการแพทย์ทางไกล (Tele-Medicine) ในระบบ HI และ CI  จัดระบบการส่งยา รวมทั้งติดตามการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ฟ้าทะลายโจร และสูตรยาอื่น ทั้งของยาจากต่างประเทศ เช่น Remdesivir หรือ Oseltamivir หรือ Hydroxychloroquine เพื่อให้ผู้ป่วยสีเหลืองและสีเขียวเข้าถึงยาได้กว้างขวางที่สุด รวมทั้งให้มีการจัดซื้อชุดตรวจ ATK อย่างโปร่งใส ชัดเจน ขณะเดียวกันต้องมีการจัดการขยะติดเชื้อแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง คือ การทิ้งขยะติดเชื้อที่ถูกต้อง การจัดเก็บ และปลายทาง คือ กระบวนการทำลายขยะติดเชื้อ

นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบบริหารการสื่อสารในภาวะวิกฤต ตั้งศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต มีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเลขานุการ มีนายเสรี วงษ์มณฑา และนายเกษมสันต์ วีรกุล เป็นบรรณาธิการบริหาร เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. โดยขอให้ทุกฝ่ายเร่งสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งในรูปแบบคู่มือประชาชน คู่มือชุมชน ช่องทางติดต่อทั้งโทรศัพท์ สายด่วน ไลน์ แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนทราบการปฏิบัติตัวตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ สิ่งที่สังคมต้องการ คือข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง มีความเป็นเอกภาพ โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ทั้งเรื่องวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ยาสมุนไพร สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ทุกหน่วยต้องแก้ข่าวบิดเบือน (Fake News) ให้ทันท่วงที

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า การบริหารสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นหัวข้อสำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งมาตรการควบคุมและป้องกัน การจัดหาและกระจายวัคซีน ยา เวชภัณท์ มาตรการช่วยเหลือเยียวยา มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ใช้โอกาสนี้ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริง และต้องมีการสื่อสารลงไปในระดับพื้นที่ด้วย

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการป้องกันและควบคุมโควิด-19 ดังนี้

1.การคงระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร และตามมาตรการเดิม วันที่ 18 – 31 ส.ค. 2564

2.การเพิ่มมาตรการ และการจัดการขององค์กร อาทิ การตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโดยใช้ ATK ใน กทม. และปริมณฑล จัดระบบการนำเข้าสู่ HI CI หรือ รพ.

-พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดยังคงเน้น WFH ต่อเนื่อง และพนักงานของ ภาครัฐ/เอกชน ที่ต้องมาปฏิบัติงาน ขอให้มีการคัดกรองด้วย ATK ทุกสัปดาห์ เพื่อให้มีความพร้อมก่อนการคลายล็อกดาวน์

-เตรียม Company Isolation สำหรับหน่วยงานที่มีพนักงานเกิน 50 คน

-เร่งรัดการฉีดวัคซีน ให้มีความครอบคลุมของวัคซีนกลุ่มเสี่ยงอย่างน้อย 80% ใน กทม. อย่างน้อย 70% ใน 12 จังหวัด และอย่างน้อย 50 % ในพื้นที่อื่น

3.ให้ประชาชน องค์กร สถานประกอบการ สามารถตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเองได้ โดยรัฐสนับสนุนให้มีการใช้อย่างทั่วถึง และเน้นย้ำให้ประชาชน ใช้การป้องกันตนเองของประชาชนในทุกกรณี (Universal Prevention) รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาร่วมจัดทำ Thai Covid Pass เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศ

4.ปรับมาตรการในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด โดยให้เปิดกิจการธนาคาร/สถาบันการเงินในห้างสรรพสินค้าได้

พร้อมทั้งเห็นชอบรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขจากต่างประเทศในการแลกวัคซีนโควิด 19 (AstraZeneca) ระหว่างรัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทย และเห็นชอบการรับมอบ Monoclonal antibody จากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมนี ของบริษัท Regeneron สำหรับการดูแลผู้ป่วยหนัก โดยมีการขึ้นทะเบียน อย.ไทย แล้ว รวมทั้งเห็นชอบการให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าร่วม Phuket Sandbox เดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่น (7 + 7) ประกอบด้วยจังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า) จังหวัดกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์) และจังหวัดพังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่) ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป โดยให้เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ สาธารณสุข ภายใต้มาตรการสาธารณสุขและการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีแผนรับมือหรือแผนชะลอหรือยกเลิกโครงการ รวมทั้งยังผ่อนผันการจัดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมร่วมกันของรัฐสภา และผ่อนผันการเคลื่อนย้ายในห้วงเวลาการห้ามออกนอกเคหสถานด้วยหากมีความจำเป็นเร่งด่วน

Advertising

นายกรัฐมนตรีเผยข่าวดีแอสตร้าฯ ยืนยันเร่งส่งวัคชีนให้ครบ 61 ล้านโดสในสิ้นปีนี้

People Unity News : นายกรัฐมนตรีเผยข่าวดีแอสตร้าฯ ยืนยันเร่งส่งวัคชีนให้ครบ 61 ล้านโดสในสิ้นปีนี้ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ฟื้นเศรษฐกิจเร็วขึ้น พร้อมเตรียมสั่งซื้อวัคชีนสูตรใหม่ปีหน้า รับมือไวรัสกลายพันธุ์

15 สิงหาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประชุมทางไกลร่วมกับนายปาสคาล โซริออต (Mr.Pascal Claude Roland Soriot) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด หารือกรอบความร่วมมือด้านสาธารณสุขในการป้องกันโควิด-19  ในภาวะที่มีแพร่ระบาดจากไวรัสกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว  โดย บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข  ยืนยันจะเร่งส่งมอบวัคซีน ที่เหลือให้ครบ 61 ล้านโดส ภายในเดือนธันวาคม 2564 นี้อย่างแน่นอน และ จะช่วยให้จำนวนยอดการจัดหาวัคซีนทุกประเภทในสิ้นปีนี้รวมกันเกินกว่า 120 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรกว่า 60 ล้านคน ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่ตั้งเป้าจะจัดหาวัคซีน 100 ล้านโดส สำหรับประชากร 50 ล้านคน ถือเป็นข่าวดีต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่เร็วขึ้น ลดภาระระบบสาธารณสุขไทย ช่วยให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นอีกด้วย

Advertising

รัฐบาลจัดทำหนังสือ “แก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว” เชิญชวนประชาชนดาวน์โหลดไปอ่าน

People Unity News : รัฐบาลเชิญชวนประชาชนดาวน์โหลดหนังสือ “แก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว” รวบรวม 17 บทความให้ความรู้ทางออกปัญหาหนี้สินและดูแลสุขภาพจิตในสถานการณ์โควิดระบาด

24 ก.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ให้นโยบายกับคณะกรรมการทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมหลายคณะเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการแก้ไขหนี้สินครัวเรือนที่ครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้แนวโน้มปัญหาหนี้สิน ปัญหาสุขภาพจิตมีสูงขึ้นนั้น หลายหน่วยงานได้ดำเนินโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยต่อเนื่อง ทั้งการออกมาตรการทางการเงิน การให้คำแนะนำปรึกษา

ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้ร่วมกับ กรมสุขภาพจิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กรมสอบสวนคดีพิเศษ มูลนิธิสุภา วงค์เสนา เพื่อการปฏิรูปสิทธิลูกหนี้ และมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ได้ออกหนังสือ “แก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว”  ซึ่งเป็นการรวบรวมบทความความรู้ทั้งในเรื่องการแก้ไขหนี้สิน สิทธิ หน้าที่ ข้อมูลที่ลูกหนี้ควรรู้ และครอบคลุมวิธีการดูแลจิตใจ รวมถึงการสร้างพลังใจให้ลูกหนี้ได้ครบทุกมิติ ด้วยข้อเขียนที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ  รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนดาวน์โหลดหนังสือมาศึกษา จากลิงค์ https://www.bot.or.th/Thai/ReportAndPublication/Publications/Documents/Fix_Debt.pdf หรือจากคิวอาร์โค้ดที่ ธปท. จัดทำขึ้น

“นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อประเด็นหนี้สินของประชาชน เนื่องจากเป็นปัญหาที่นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ทั้งสุขภาพจิตและปัญหาทางสังคมอื่น จึงมีนโยบายมาโดยต่อเนื่องว่า การช่วยเหลือนั้นจะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร ทั้งในส่วนการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ สถาบันการเงิน และการให้ความรู้ประชาชน ซึ่งหนังสือแก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว นี้ นายกรัฐมนตรีก็ได้มอบหมายสำนักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบนร.) ในการร่วมสมทบงบประมาณสนับสนุนและช่วยผลักดันให้หนังสือนี้ไปถึงมือประชาชนอย่างทั่วถึง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertising

โฆษกกระทรวงดีอีเอสเผยคนไทยเผชิญข่าวปลอมในโซเชียลวันละมากกว่า 1 ล้านข้อความ

People Unity News : โฆษกกระทรวงดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปผลการมอนิเตอร์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ (18-22 ก.ค. 64) มีข้อความที่ต้องคัดกรอง 8.2 ล้านข้อความ เปิด 3 อันดับข่าวคนสนใจมากสุด พบโควิดยังยึดพื้นที่เฟคนิวส์

23 ก.ค. 64 นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมตลอดช่วงสัปดาห์นี้ (18-22 ก.ค. 64) โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีข้อความที่ต้องคัดกรองทั้งสิ้น 8,246,481 ข้อความ ในจำนวนนี้พบข้อความที่เข้าเกณฑ์ต้องดำเนินการตรวจสอบ 145 ข้อความ เป็นจำนวนเรื่องที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด 79 เรื่อง โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 มากถึง 50 เรื่อง

ทั้งนี้ เมื่อดูจากปริมาณข้อความเบาะแสข่าวปลอม พบข้อสังเกตน่าสนใจว่า ประชาชนจะเผชิญกับเนื้อหาบนโซเชียล/โลกออนไลน์ที่มีแนวโน้มอยู่ในกลุ่มข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน เฉลี่ยวันละมากกว่า 1 ล้านข้อความต่อวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ จะมุ่งทำงานเชิงรุกในการบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนภาคส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งประสานงานตรวจสอบข้อเท็จจริง เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องสู่ประชาชนและสังคมอย่างรวดเร็ว ลดความตื่นตระหนกและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ทันการณ์

สำหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 3 อันดับแรกตลอดช่วงสัปดาห์นี้ ได้แก่ 1.เตือนเฝ้าระวังใน 24 ชม. จะเกิดแผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และน้ำป่า 2.เครื่องตรวจวัดออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้ว ใช้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้ และ 3.กองทัพบก ประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ กทม.

นางสาวนพวรรณ กล่าวว่า อยากขอความร่วมมือประชาชน เมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียล ควรตรวจสอบให้รอบด้าน เลือกเชื่อ เลือกแชร์ และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน

Advertising

Verified by ExactMetrics