วันที่ 6 กรกฎาคม 2025

นายกฯ ย้ำจุดยืนไทย มุ่งพัฒนาคุณภาพกฎหมายตามมาตรฐานสากล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 เมษายน 2568 นายกฯ ปาฐกถาผ่านวิดิทัศน์ ย้ำจุดยืนไทยในการประชุมคณะกรรมการด้านกฎหมาย OECD มุ่งพัฒนาคุณภาพกฎหมายตามมาตรฐานสากล พร้อมสนับสนุนการใช้ OECD Regulatory Policy Outlook ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ

เมื่อเวลา 18.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งตรงกับเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส 13.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาผ่านบันทึกวีดิทัศน์ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมายขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ภายใต้หัวข้อ “ความสำคัญของการพัฒนากฎหมาย” เพื่อแสดงจุดยืนและความตั้งใจของไทยในการดำเนินกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD และสนับสนุนการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD (OECD Regulatory Policy Outlook) ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยสรุปสาระสำคัญของปาฐกถา ดังนี้

นายกรัฐมนตรี ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD ในวันนี้ พร้อมชื่นชม OECD ที่สามารถคงบทบาทนำในการส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านการกำกับดูแลที่ดี ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก โดยไทยยอมรับมาตรฐานและแนวทางของ OECD ซึ่งช่วยปรับนโยบายให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมการกำกับดูแลจะสนับสนุนให้เกิดการสร้างนวัตกรรม ดึดดูดการลงทุน และนำมาซึ่งผลประโยชน์ให้กับประชาชนไทย ตลอดจนช่วยให้ไทยพร้อมรับมือกับความท้าทายในระดับโลก และส่งเสริมบทบาทของไทยในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ไทยยึดมั่นต่อการดำเนินการตามคำแนะนำของ OECD ในเรื่องนโยบายกฎระเบียบและธรรมาภิบาล (2012 Recommendation of the Council on Regulatory Policy and Governance) และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตามคำแนะนำของ OECD ต่อไป โดยไทยจะส่งเสริมความร่วมมือกับ OECD ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมุ่งมั่นเข้าเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งจะสนับสนุนไทยในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญกับประเทศสมาชิกมากขึ้น ตลอดจนช่วยปรับปรุงนโยบายของไทยและการรับมือกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณถึงนานาชาติว่า ไทยมุ่งมั่นส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายงานนโยบายด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของโลก แนวปฏิบัติเชิงนวัตกรรม และแนวทางแก้ไขเชิงปฏิบัติเพื่อปรับปรุงระบบการกำกับดูแล โดยสำหรับไทย รายงานดังกล่าวเป็นทั้งมาตรฐานและแผนงานในการปรับปรุงและนำเสนอนโยบาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ในโลกที่มีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น ทำให้ความสอดคล้องของกฎระเบียบมีความสำคัญต่อการค้า การลงทุน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งรายงานนี้จะเป็นเครื่องมือและความรู้ที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจที่มองไปข้างหน้าและปรับตัวได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณ OECD สำหรับรายงานดังกล่าว พร้อมหวังว่าไทยจะได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้ เพื่อขับเคลื่อนวาระการพัฒนาของประเทศ

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำความมุ่งมั่นของไทยต่อหลักความเป็นเลิศด้านการกำกับดูแล (Regulatory Excellence) และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD จะเป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนความก้าวหน้า แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับประเทศสมาชิก และกำหนดเป้าหมายสำหรับอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณ OECD และพันธมิตร สำหรับความร่วมมือและการมีบทบาทนำ เพื่อร่วมกันสร้างระบบการกำกับดูแลที่ขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรือง ความเสมอภาค และความยั่งยืนสำหรับทุกคน

Advertisement

“อนุทิน” ย้ำ 5 นโยบาย บำบัดทุกข์ บำรุงสุขอย่างทันท่วงที

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 เมษายน 2568 “อนุทิน” มอบนโยบายผู้ว่าฯ-ส่วนราชการมหาดไทย เพชรบูรณ์ ย้ำ 5 นโยบาย บำบัดทุกข์ บำรุงสุขอย่างทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที มีประชาชนเป็นเจ้านาย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย มอบนโยบายการขับเคลื่อนงานตามภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพบปะ อปท.ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียง ณ หอประชุมโรงเรียนเพชรพิทยาคม ต.ในเมือง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ โดยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ร่วมด้วย

นายอนุทิน กล่าวว่า ข้าราชการและบุคลากรของกระทรวงมหาดไทยมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือ ทำให้พี่น้องประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับความสะดวกสบายในการประกอบอาชีพ ดำรงชีวิต ที่ปราศจากภัยอันตราย ขอให้ชาวมหาดไทยในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ มุ่งมั่นทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชนตาม 5 นโยบายหลัก ได้แก่

  1. การจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล
  2. การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกับฝ่ายความมั่นคงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  3. การสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนอย่างเต็มที่ ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน โดยใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
  4. การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ซึ่ง จ.เพชรบูรณ์ โด่งดังเรื่องการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ต้องช่วยกันผลักดัน สนับสนุน ร่วมมือกันทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในชุมชน สร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์ชุมชน เพิ่มช่องทางการตลาด
  5. น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน รวมถึงไฟฟ้าที่ถือเป็นสิ่งความจำเป็นพื้นฐานของประชาชน ต้องลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน สนับสนุนให้ใช้ระบบโซลาร์เซลล์ อำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพ

นายอนุทิน กล่าวว่า การขับเคลื่อนทั้ง 5 นโยบายต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อ”บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นพันธกิจหลักคนมหาดไทย ควบคู่การทำงานเป็นทีมเดียวกัน ตามแนวทาง “ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที” ที่มี “ประชาชนเป็นเจ้านาย” โดยตนเชื่อว่า หากพวกเราสามัคคีกัน ร่วมมือกัน ทำด้วยใจที่รักชาติ รักประชาชน เราจะไม่มีคำว่าล้มเหลว เพื่อตอกย้ำหน้าที่ของคนมหาดไทยที่ทำต่อเนื่อง 133 ปี คือ การรับใช้ประชาชนและประเทศชาติอย่างเต็มความสามารถ

Advertisement

นายกฯเผย ลดค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค.-ส.ค.68 เหลือหน่วยละ 3.99 บาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 เมษายน 2568 ทำเนียบ – นายกฯ เผย ครม. รับทราบมาตรการลดค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค.-ส.ค.68 เหลือหน่วยละ 3.99 บาท โดยไม่ใช้เงินรัฐหนุน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุม ครม.รับทราบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยได้เสนอให้มีเป้าหมายการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่จะประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้า สำหรับรอบเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม ปี 2568 ลงเหลืออัตราไม่เกินหน่วยละ 3.99 บาท โดยไม่มีการอุดหนุนงบประมาณจากภาครัฐ

Advertisement

นายกฯ โพสต์ขอบคุณหลังสภาผ่านฉลุยไว้วางใจ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 มีนาคม 2568 รัฐสภา – นายกฯ โพสต์ขอบคุณหลังสภาผ่านฉลุยไว้วางใจ ยันชี้แจงทุกประเด็น ลั่นทั้งเสียงหนุน-เสียงไม่ไว้วางใจ จะเป็นพลังให้มุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชน

ภายหลังสภาผู้แทนราษฎรมีมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีด้วยคะแนน 319 ต่อ 162 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ตนขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนอย่างเต็มที่ ทั้งคณะรัฐมนตรีซึ่งได้ร่วมชี้แจงทุกประเด็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่ร่วมกระบวนการตรวจสอบเพื่อประโยชน์ของประเทศ

ทุกคะแนนเสียง ทั้งสนับสนุน และเสียงไม่ไว้วางใจ จะเป็นพลังให้ตนและคณะรัฐมนตรี มุ่งมั่นทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป

ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่รัฐสภา ข้าราชการ สื่อมวลชน ทีมงาน และพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ติดตาม และให้ความสำคัญกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้

Advertisement

กรมที่ดิน โพสต์ชี้แจง นายกฯ แพทองธาร ไม่ได้แทรกแซงเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ ปมถือหุ้นอัลไพน์กอล์ฟ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 มีนาคม 2568 กรมที่ดิน โพสต์ชี้แจง นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร” ไม่ได้แทรกแซงเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ ปมถือหุ้นอัลไพน์กอล์ฟ

วันนี้ (24 มี.ค.68) หลังจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายไม่วางไว้ใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยหนึ่งในประเด็นที่ “บิ๊กป้อม” อภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นประเด็น นายกฯ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำนิติกรรมอำพราง ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จเพื่อเลี่ยงภาษี อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ยังไม่นับการถือหุ้นอัลไพน์กอล์ฟ ทั้งที่รู้ว่าเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ ไม่ควรแสวงประโยชน์ในทางที่ผิด นอกจากนั้น ปล่อยปละให้บุคคลในครอบครัวมากระทำให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่

ล่าสุด กรมที่ดิน ได้โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจง! นายกฯ ไม่ได้แทรกแซงเกี่ยวกับการเพิกถอนที่ดินธรณีสงฆ์ตามที่มีการอภิปรายในประเด็นเกี่ยวกับการถือหุ้นของนายกรัฐมนตรีในบริษัท อัลไพน์ฯ ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการขาดความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากมีการถือครองที่ดินที่เป็นที่ธรณีสงฆ์นั้น กรมที่ดินขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้

“การถือหุ้นในบริษัท อัลไพน์ฯ นายกรัฐมนตรีได้รับโอนหุ้นของบริษัท อัลไพน์ฯ มาจากผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยการโอนดังกล่าวเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใดซึ่งสถานะทางกฎหมายของที่ดิน ณ ขณะนั้นเมื่อมีการรับโอนหุ้นดังกล่าว สถานะของที่ดินที่เป็นประเด็นยังไม่ถูกเพิกถอน และยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย การเพิกถอนที่ดินให้กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์หลังจากนายกรัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่ง มิได้มีการสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการแทรกแซงหรือชะลอการเพิกถอนที่ดินดังกล่าว ตรงกันข้าม กระบวนการเพิกถอนที่ดินให้กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วภายใต้การดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ”

Advertisement

“อนุทิน” ตอบฝ่ายค้าน ที่ดินอัลไพน์ – ที่ดินเขากระโดง ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่มีการแลกผลประโยชน์ใดๆ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 มีนาคม 2568 “อนุทิน” ตอบอภิปรายฝ่ายค้าน กรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ – ที่ดินเขากระโดง ชี้ 2 กรณีไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่มีการแลกผลประโยชน์ใดๆ

วันนี้ (24 มี.ค. 68) เวลา 15.30 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้ตอบประเด็นการอภิปรายของนายจุลพงศ์ อยู่เกษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้อภิปรายเชื่อมโยงว่ามีการเอื้อประโยชน์ระหว่างครอบครัวนายกรัฐมนตรีและตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยซึ่งกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่กิจการของใครคนใดคนหนึ่งหรือครอบครัวของใคร ดังนั้นจึงไม่สามารถแบ่งปันผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น และนายกรัฐมนตรีไม่เคยเข้ามาแทรกแซงหรือสั่งการใด ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย หรือตน ให้เอื้อประโยชน์ต่ออัลไพน์ และบุคคลในครอบครัวท่านนายกรัฐมนตรีแม้แต่ครั้งเดียว

กรณีการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินที่เป็นที่ตั้งสนามกอล์ฟอัลไพน์เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมากว่า 20 ปี ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว และได้มีคำสั่งศาล มีคำพิพากษาของศาล ซึ่งมีบุคคลหลายท่านต้องโทษจากคำพิพากษาของศาลไปแล้ว และประเด็นทั้งหมดในเรื่องการเพิกถอนเอกสารสิทธิได้มายุติในรัฐบาลชุดนี้ ด้วยนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ปฏิบัติตามกฎหมายด้วยความถูกต้องมาเป็นหลักในการดำเนินการอย่างเคร่งครัด และขณะนี้ได้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ซึ่งลงนามโดยรองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ผู้ที่มีอำนาจโดยตรง ดังนั้น ต้องถือว่าขณะนี้ตัวนายกรัฐมนตรีและบุคคลในครอบครัวท่านเป็นหนึ่งในผู้เสียหายเช่นเดียวกับลูกบ้านอัลไพน์รายอื่นๆ ซึ่งท่านจะต้องไปใช้สิทธิในทางศาลเพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่ตนเองและขอรับค่าตอบแทนจากการทำนิติกรรมที่เป็นการบกพร่องของกรมที่ดินในอดีต

นายอนุทิน กล่าวต่ออีกว่า กรณีที่ดินเขากระโดงก็เช่นกัน เป็นกรณีที่กรมที่ดินปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองที่ให้กรมที่ดินตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ซึ่งคณะกรรมการได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า “ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินตามที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ฟ้องต่อศาลปกครอง” ซึ่งขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยก็ยังคงจะไปดำเนินการฟ้องศาลต่อ เพื่อจะให้ศาลมีคำสั่งในการที่จะเพิกถอนหรือไม่เพิกถอนใด ๆ แต่ ณ ขณะนี้ตามคำพิพากษาศาลปกครองที่ระบุไว้ว่า การดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนตามาตรา 61 นั้น เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ได้ผลอย่างไรศาลไม่อาจก้าวล่วงได้ ดังนั้น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะไปก้าวล่วงการดำเนินการของข้าราชการหน่วยงานราชการไม่ได้เช่นกัน

“ผมได้สอบถามอธิบดีกรมที่ดินว่ามีความรู้สึกกดดันอะไรหรือไม่ที่มีเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งเขากระโดงและอัลไพน์ ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินได้ยืนยันกับตนและคณะทำงานอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้กดดันใด ๆ ทั้งสิ้น และยินดีปฏิบัติตามกฎหมายและทำหน้าที่ของท่านตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดทุกประการ และเราควรจะชื่นชม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้นโยบายต่อกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดินผ่านตนว่า ให้ยึดถือกฎหมายเป็นหลักและไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบใด ๆ ที่จะมีตัวท่านเองและครอบครัว” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า การเพิกถอนที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์และปัญหาที่ดินเขากระโดง ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ไม่มีการตกลงแลกผลประโยชน์ใด ๆ แม้แต่เล็กน้อย และทั้งสองกรณีเป็นกรณีที่กรมที่ดินต้องดำเนินการทำตามคำสั่งศาล และทั้งสองกรณีเกิดขึ้นมาก่อนการดำรงตำแหน่งของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ดังนั้น ข้อกล่าวหาจากคำอภิปรายนั้นไม่มีข้อเท็จจริงหรือไม่มีมูลแต่ประการใด

Advertisement

โฆษกรัฐบาล ชี้ร้านขายบุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อน ตำรวจไม่ตาบอดก็ตาถั่ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มีนาคม 2568 ทำเนียบ  – “จิรายุ” ชี้ถ้าตำรวจไม่ตาบอดก็ตาถั่ว ทำมองไม่เห็นร้านขายบุหรี่ไฟฟ้า เตือนมีบัญชีลับส่งส่วยครบ เผยนายกฯ สั่งปราบให้เกลี้ยงใน 30 วัน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เสียงจากใจ…ไทยคู่ฟ้า” จากปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยขณะนี้ ต้องบอกว่า ประเทศไทยมี 77 จังหวัด 800 กว่าอำเภอ ถ้ามีอำเภอละ 10 แห่งที่จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า เฉพาะในกรุงเทพฯ เรามีบัญชีลับ มีข้าราชการและส่วนราชการต่างๆ ไปรวมหัวกับพวกหัวโจกต่างๆ ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า แล้วกระจายไปขายทั่วประเทศ ส่วนตัวได้เตือนหลายโรงพักในกรุงเทพฯ ซึ่งหลายโรงพักผู้กำกับก็ดี แต่ว่าท่านจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็สุดแท้แล้วแต่ แต่ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล กรุงเทพมหานคร ส่วนตัวได้เตือนไปโทรหาผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลคันนายาวรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าในพื้นที่คันนายาวไม่มีเคยมีบุหรี่ไฟฟ้า แต่ก็ได้ย้ำให้มีการตรวจสอบเพราะมีรายงานลับบอกหมดว่าเจอที่ไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นถนนคู้บอน ถนนเลียบคลองสอง ถนนพระยาสุเรนทร์หทัยราษฎร์ เยอะมาก

อย่างไรก็ตามเมื่อวันสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้แจ้งหน่วยปราบเฉพาะกิจของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงผู้ว่าการยาสูบแห่งประเทศไทยร่วมกันเข้าจับกุม โดยแจ้งหมายข่าวออกไปเพื่อจะดูว่า มีความลับรั่วไหลหรือไม่ ก็ปรากฏว่า ความลับรั่วไหลจริงๆ ไปตรวจค้น 3 จุดก็ไม่เจอ ร้านปิดเป็นที่เรียบร้อยดี แต่หลังจากนั้น ก็ลงพื้นที่ใหม่บริเวณ ถนนคู้บอนซอย 25 และ ซอย 27 พบ 2 ร้านเปิดขายบุหรี่ไฟฟ้าโจ่งครึ่ง มีหน้าร้านเหมือนกับการขายโทรศัพท์มือถือ ไม่มีการแอบซ่อน พูดง่ายๆ เจ้าหน้าที่หาตาไม่บอดก็คือตาถั่ว แต่ที่แน่ๆ ตนเชื่อว่ามองเห็นแน่นอนแต่อาจจะมีเรื่องของการรับสินบน ผลประโยชน์ก็ว่ากันไป จริงเท็จประการใดก็ต้องติดตามตรวจสอบต่อ

จากนั้นชุดเฉพาะกิจฯ ได้ไปตรวจสอบบริเวณซอยนวลจันทร์ ท้องที่ สน.โคกคราม พบว่าเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์สูบเป็นลักษณะตุ๊กตา รูปแบบสวยงามมาก กล่องนมเล็กๆ น่ารัก ราคาไม่แพง 200-300 บาท สามารถเก็บไว้ใช้ต่อได้ ประหนึ่งเป็นอาร์ตทอย โดยสรุปสามารถจับกุมไปได้ 3 ร้านค้า มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ของกลาง 2,000 กว่าชิ้น

นายจิรายุ กล่าวว่า จากการตรวจสอบจับกุมดังกล่าวตนได้นำเรียนต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายกฯ มีข้อสั่งการในวันประชุมครม.ที่ผ่านมา ให้ น.ส.จิราพร สินธุไพร นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแล สคบ. ให้ไปดำเนินการจัดการและกลับมารายงาน ภายในวันที่ 15 มี.ค. และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตรวจแห่งชาติ บูรณาการแก้ปัญหา ตรวจจับตามแนวชายแดนไม่ให้ลักลอบนะเข้าประเทศ วันต่อมานายกฯ ยังได้เรียกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการแห่งชาติ หรือ 5 เสือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาพูดคุยเพื่อกำชับให้เร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้จบภายใน 30 วัน

“ในส่วนของซอมบี้ บุหรี่ไฟฟ้านั้น นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแจ้งเตือนประชาชนและเจ้าหน้าที่ว่าขอให้ช่วยกันตรวจสอบบุหรี่ซอมบี้ เนื่องจากมีการลุกลามไปถึงหน้าโรงเรียนแล้ว ซื้อง่าย ขายคล่อง บางแห่งห่างจากโรงเรียนไม่ถึง 50 เมตร และย้ำว่า บุหรี่ซอมบี้ที่หลอกลวงผู้เสพ รุ่นใหม่ตามภาพตามบาร์ สูบแล้วเคลิบเคลิ้มเหมือนคนเมายา สุดท้ายอาจเสียชีวิตหรือน็อกได้ อย่างที่กลายเป็นข่าวมีเด็กนักเรียนสูบตั้งแต่อายุ 10 ขวบกว่า จนถึงอายุ 15 ส่งผลกระทบให้ปอดหายไปข้างหนึ่ง บางคนอาการหนักหนาสาหัส เพราะฉะนั้น นายกฯ จึงสั่งการอย่างชัดเจน” นายจิรายุ กล่าว

โฆษกรัฐบาล ยังกล่าวว่าไม่ต้องห่วงรัฐบาลดำเนินการเต็มที่ จับจริง จับจัง ไม่มีปกปิด อีกทั้งยังมีข้อมูลว่ามีร้านค้าส่งให้กับตำรวจ…ซึ่งตนไม่อยากพูด แต่บัญชีมีหมด มีทั้งบัญชีม้าที่โอนเงินไปเดือนละเท่าไหร่ กี่แสน กี่ล้านบาท รายใหญ่ รายเล็ก รายย่อยเป็นอย่างไรเดี๋ยวรัฐบาลแพทองธารจัดให้

Advertisement

 

นายกฯ สั่งจัดการราบคาบ “บุหรี่ไฟฟ้า” หลังระบาดหนัก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 กุมภาพันธ์ 2568 ทำเนียบ – นายกฯ สั่งจัดการ “บุหรี่ไฟฟ้า” ให้ราบคาบ หากพบ จนท.เอี่ยวต้องจัดการ หลังพบระบาดหนักเกือบทุกพื้นที่ เตรียมสั่งการในที่ประชุม ครม. พรุ่งนี้ ด้าน “จิรายุ” เสนอนายกฯ ตั้ง “ฉก.โดเรมอน” กก.ชุดปราบ หลังพบ จนท.มีเอี่ยวรับส่วย ต้องเอาผิดอย่างจริงจัง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะทำงานได้ลงพื้นที่จับกุมผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้า ในพื้นที่ สน.คันนายาว และ สน.โคกคาม กรุงเทพมหานคร ได้กว่า 3,000 รายการ มูลค่ามากกว่า 2 ล้านบาท เมื่อวันอาทิตย์ (23 ก.พ. 2568) ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเพียงท้องที่เดียวของสถานีตำรวจนครบาล แต่กลับพบร้านค้าสิ่งผิดกฎหมายดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

ซึ่งสอดรับกับเอกสาร “ลับ” เรื่องธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าและส่วย เนื่องจากทุกร้านที่ถูกจับกุม เป็นร้านค้าที่ไม่ได้แอบซ่อนเปิดในที่มิดชิดหรือปกปิดแต่อย่างใด โดยชุดเฉพาะกิจพบว่าทุกร้านเปิดขายริมถนน มีลักษณะตกแต่งสวยงาม มองเห็นได้ชัด ซึ่งไม่อาจรอดสายตาของเจ้าหน้าที่หรือสายตรวจ ของ สน.ท้องที่ได้ ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจมีส่วนรู้เห็นในการละเว้น ไม่จับกุมตามรายงาน “ลับ..บุหรี่ไฟฟ้ายานรกของเด็กและเยาวชน” ที่มีการประมาณว่ามีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาทต่อปี และมีการเปิดร้านขายทั่วประเทศนับพันแห่งโดยเฉพาะเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว

นายจิรายุ กล่าวว่าตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เรื่องการปราบปรามยาเสพติด ตนได้นำเรียนสรุปรายงานนี้ต่อ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่พบว่าการปราบปรามจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าในทุกจังหวัดหยุดนิ่ง เจ้าหน้าที่ละเลยในสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน บางแห่งเปิดขายหน้าสถานศึกษาและมีเจ้าหน้าที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องรับส่วย

“พื้นที่ไหนมีการจับกุมจากหน่วยอื่น ๆ ตำรวจท้องที่ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนเหมือนกับ ถูกจับบ่อนการพนันในพื้นที่ว่าปล่อยปละละเลย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วยหรือไม่ก่อน ซึ่งได้นำเรียนสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปแล้ว แต่หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ จากผู้บังคับบัญชาก็จะไม่สามารถปราบปรามให้หมดไปได้ เพราะวันนี้เลยเถิดไปจนถึงขั้นผสมยาเสพติดที่รุนแรงในบุหรี่ไฟฟ้าและมีเยาวชนเสียชีวิต ถึงขั้นปอดทะลุแล้ว แถมกลุ่มผู้เสพอายุลดน้อยลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่า 14 ขวบแล้ว” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวว่า ตนได้นำเรียนเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในการตั้ง ”คณะกรรมการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า” โดยตนตั้งชื่อชุดไว้ว่า “ชุด ฉก.โดเรมอน” ปราบบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากปัจจุบัน อุปกรณ์สูบมีรูปแบบ โดเรมอน และ ทอยอาร์ต ที่ดึงดูดให้กับเด็กและเยาวชนมาเสพจำนวนมาก

โดยมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐนตรี กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และส่วนราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการ เพื่อดำเนินการป้องกันและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่ระบาดมากในสังคมไทยในขณะนี้ เพื่อหยุดยั้ง ตัดวงจร กระบวนการนำเข้าผิดกฎหมายและขายผิดกฎหมายโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจทั้งชายแดนและตำรวจ โดยจะขอให้ สตช. ตั้งกรรมการสอบทางวินัยหากมีการจับกุมแหล่งค้าขายต่อไป โดยคาดว่านายกรัฐมนตรี จะมีข้อสั่งการเรื่องนี้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้

Advertisement

รัฐบาลเปิดรับสมัครนักเรียนชายแดนใต้ ศึกษาต่อมหาวิทยาลัย 12 แห่ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กุมภาพันธ์ 2568 ยกระดับน้องๆ นักเรียนใต้ รัฐบาลเปิดรับสมัครนักเรียนชายแดนศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยปีนี้ใน 12 แห่ง

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย เปิดรับสมัครนักศึกษาตามโครงการจัดส่งนักเรียนจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2568 ที่มีภูมิลำเนาและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานีจังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย) รวม 44 ทุน ประกอบด้วย สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ 27 ทุน (ทุนละ 40,000 บาทต่อปี) และสาขาวิชาสังคมศาสตร์ 17 ทุน (ทุนละ 30,000 บาทต่อปี) โดยมีมหาวิทยาลัยที่จะรับนักศึกษาตามโครงการฯ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

สำหรับคุณสมบัติผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ มีดังนี้ 1. สัญชาติไทย และเป็นผู้มีความเลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีภูมิลำเนาและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานีจังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย) ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีอายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์นับถึงวันที่รับสมัคร 2. บิดา หรือมารดา หรือผู้ปกครอง ของผู้สมัคร มีภูมิลำเนาปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวีและอำเภอสะบ้าย้อย) ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันที่รับสมัคร 3. เป็นผู้สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่เกิน 1 ปีการศึกษาหรือกำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย) และมีระยะเวลาการศึกษาในสถานศึกษาดังกล่าวติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ภาคการศึกษา 4. มีผลการเรียนดี และมีความประพฤติดี โดยมีหนังสือรับรองจากสถานศึกษาที่สำเร็จการศึกษา 5. เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6. ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยมีหนังสือรับรองฐานะทางครอบครัวจากอำเภอที่ผู้สมัครมีภูมิลำเนาอยู่ 7. ไม่เป็นผู้เคยถูกคัดชื่อออกจากสถานศึกษาใด ๆ 8. ไม่เป็นผู้กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยของรัฐในระบบปิด 9. มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่มหาวิทยาลัยที่คัดเลือกเข้าศึกษานั้น ๆ กำหนด และ 10. ไม่เป็นผู้ที่กำลังรับทุนหรือเคยได้รับทุนตามโครงการฯ นี้มาก่อน

ทั้งนี้ ผู้ประสงค์สมัครรับทุนการศึกษาตามโครงการฯ สามารถศึกษารายละเอียดของโครงการจากประกาศกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งศึกษาคุณสมบัติทางการศึกษาและเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกตามแต่ละคณะ สาขาวิชาที่ทางมหาลัยกำหนดโดยละเอียด ได้ที่ https://multi.dopa.go.th/gacd/news/cate6/view31 ตั้งแต่วันที่ นี้ไปจนถึง 5 มีนาคม 2568

Advertisement

อธิบดีกรมที่ดิน ยันสนามกอล์ฟปากช่อง ออกเอกสารสิทธิถูกต้อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กุมภาพันธ์ 2568 อธิบดีกรมที่ดิน ยันที่ดินสนามกอล์ฟปากช่อง “อนุทิน” ออกเอกสารสิทธิถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย ชี้การเพิกถอน ต้องตรวจสอบ น.ค.3 ก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ บอกกรมที่ดินไม่ได้ลอยตัว แต่เกี่ยวเรื่องพื้นที่ซ้ำซ้อน ไม่หนักใจ เพราะทุกอย่างตามกฎหมาย

นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการออกเอกสารที่ดิน น.ค.3 ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง ว่า ข้อมูลจริงๆ อยู่ที่ผู้จัดนิคม ในส่วนที่กรมที่ดินเกี่ยวข้องด้วย พื้นที่ที่กรมที่ดินได้ออกโฉนดไปมีทั้งหมด 4,500 แปลง เป็นพื้นที่กว่า 25,000 ไร่ รวมถึงได้มีการออก น.ส.3 ก. ประมาณ 217 แปลง 2,600 กว่าไร่ รวมทั้งหมดประมาณ 4,700 แปลง ที่มีการออกเอกสารสิทธิตามอำนาจหน้าที่ของกรมที่ดิน ถ้าคิดเป็นพื้นที่ทั้งหมดก็ไม่ถึง 30,000 ไร่ ประมาณ 28,000 ไร่

เมื่อถามว่า ในส่วนที่ดินในพื้นที่สนามกอล์ฟปากช่อง และพื้นที่แข่งรถ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย คาบเกี่ยวกับพื้นที่ ส.ป.ก. กี่ไร่ และมีการออกโฉนดแล้วกี่ไร่ นายพรพจน์ ยืนยันว่า เอกสารสิทธิที่ออกโดยกรมที่ดิน ทั้งโฉนดและ น.ส.3 ก. ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น เป็นโฉนดและเอกสารสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในส่วนของสนามกอล์ฟและสนามแข่งรถ เป็นพื้นที่ของการนิคมที่มีการจัดนิคม เอกสารสิทธิที่ออกมา ออกมาโดยพื้นฐานของ น.ค. 3 ที่นิคมได้ดำเนินการจัด ซึ่งหลักเกณฑ์พิจารณาในการออกเอกสารสิทธิ ถ้ามี น.ค.3 มา กรมที่ดินจะถือว่ามีการรับรองจากภาครัฐ ซึ่งมีแนวทางในการดำเนินการอยู่ โดยจะต้องสอบถามไปยังผู้จัดนิคมว่ามีการใช้ประโยชน์เช่นเดิมหรือไม่ ยินยอมให้ออกโฉนดได้หรือไม่ ถ้ามีหลักฐานยืนยันมา กรมที่ดินก็ยืนยันตามกฎหมายในการออกเอกสารสิทธิ ดังนั้นยืนยันว่า ที่ดิน 4,500 แปลง ที่เป็นโฉนดที่ดิน กับ 217 แปลงที่เป็น น.ส.3 ก. กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิตามแนวทางในการดำเนินการระหว่างกรมที่ดินและผู้จัดตั้งนิคมอย่างถูกต้อง

เมื่อถามถึงกรณีที่อาจถูกมองว่าเป็นการฟอกขาวที่ดินให้เอกชน นายพรพจน์ กล่าวว่า ต้องไปดูที่มาของการจัดตั้งนิคม โดยพื้นที่ที่เป็นปัญหาอยู่ในเขตที่มีการขยาย ซึ่งทำถูกต้องตามกฎหมายตามที่นิคมได้ดำเนินการ เพียงแต่มีพื้นที่คาบเกี่ยวกับ ส.ป.ก. ซึ่งมีความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อปี 2548 ว่าถ้ามีการจัดนิคมเข้าไปในพื้นที่ ส.ป.ก. ไม่สามารถทำการปฏิรูปเพื่อการเกษตรกรรมได้ ดังนั้น มีความจำเป็นที่ ส.ป.ก. จะยกที่ให้การจัดตั้งนิคมตามวัตถุประสงค์ พร้อมยืนยันว่า ในการจัดพื้นที่ซ้ำซ้อน กรมที่ดินไม่ได้ลอยตัว เพียงแต่กรมที่ดินไม่ได้เกี่ยว เพราะในพื้นที่ซ้ำซ้อนเป็นพื้นที่นิคมกับ ส.ป.ก. จึงต้องเคลียร์ตรงนี้ เเละกรมที่ดินเป็นปลายทางในการออกเอกสารสิทธิ์ตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า หาก ส.ป.ก.มาทวงพื้นที่คืน จะทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่าง ส.ป.ก. กับกรมที่ดินด้วย นายพรพจน์ กล่าวว่า จะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ขั้นแรกคือ ต้องบอกว่าทำไมถึงมีการจัดนิคม ให้ประชาชนผู้ยากไร้มีสิทธิ์ทำกินในที่ดินของนิคม ถ้าบอกว่าน.ค. 3 ที่มาจากนิคมไม่ถูกต้อง ก็ต้องไล่มาถึงกรมที่ดินในการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีหลายกรณีที่น.ค.3 ไม่ถูกต้อง กรมที่ดินก็ทำตามขั้นตอน จึงต้องพิสูจน์ทราบว่าก่อนว่าน.ค.3 ที่มายื่นถูกต้องหรือไม่

เมื่อถามว่า กรณีที่ดินที่ถูกเพิกถอน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเยียวยาเอกชน นายพรพจน์ กล่าวว่า ถ้ามีการเพิกถอน ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ประชาชนก็จะต้องอุทธรณ์ผู้ออกคำสั่ง นั่นคือฟ้องกรมที่ดิน

เมื่อถามว่า กรณีที่ดินสนามกอล์ฟปากช่องของนายอนุทิน มองว่าไปถึงขั้นเพิกถอนหรือไม่ นายพรพจน์ กล่าวว่า ยังต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ก่อนว่า น.ค.3 ที่เป็นพื้นฐานของการออกเอกสารสิทธิถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้มีรายละเอียดพอสมควร และไม่ได้เพิ่งเกิดปัญหา ประชาชนหลายพันครัวเรือนมีปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่ หากความเชื่อมั่นในโฉนดที่ออกมา มีการถามไปที่ผู้จัดตั้งนิคมว่าจะมีแนวทางชัดเจนอย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีการหารือกันว่า จริงๆ ต้องไปที่สำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ ที่เป็นผู้จัดวางนโยบาย เพื่อดูภาพรวมของการจัดที่ดิน ซึ่งถ้ามาจริงๆ ส่งผลกระทบต่อประชาชนเยอะ

เมื่อถามว่า ในฐานะข้าราชการหนักใจหรือไม่ เพราะดูเหมือนต้องรับจบ ทั้งปัญหาที่ดินอัลไพน์ เขากระโดง และสนามกอล์ฟปากช่อง นายพรพจน์ ยืนยันว่า ทุกอย่างทำตามพื้นฐานของกฎหมายและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไปก็พร้อมรับ แต่ตอนนี้ขอยืนยันว่า แนวทางในการออกเอกสารสิทธิในแต่ละยุคแต่ละสมัยมีระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่เหมือนกัน แต่กรมที่ดินดำเนินการถูกต้องตามที่ต้องทำ ตามวิสัยที่ข้าราชการที่ดีพึงกระทำ

นายพรพจน์ ยังกล่าวอีกว่า เรื่องนี้ต้องไปดูต้นเรื่องที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพราะมีประวัติศาสตร์อยู่ ผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ คือประชาชน ในการทำธุรกรรมในพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่เคยหารือในกรมที่ดิน เพราะผู้เกี่ยวข้องจริงๆ คือผู้จัดตั้งนิคม ถ้าถามกรมที่ดินอย่างเดียว หรือกระทรวงมหาดไทย อาจจะไม่ครบถ้วน เพราะเกี่ยวพันหลายหน่วยงาน ก่อนย้ำระเบียบการออกโฉนดว่าถ้ามี น.ค.3 กรมที่ดินออกโฉนดได้อย่างเดียว เพียงแต่เพื่อความชอบธรรมก็มีแนวทางปฏิบัติ ให้สอบถามไปยังผู้จัดนิคมก่อน หากได้รับการยืนยัน กรมที่ดินก็ออกโฉนดให้ ไม่สามารถปฏิเสธประชาชนได้ เพียงแต่หลังโฉนดไม่ได้มีการสลักว่าต้องทำประโยชน์อย่างไร แต่มีพื้นฐานว่าเปลี่ยนมาจาก น.ค.3 แค่นั้นเอง ซึ่งอาจจะเป็นหน้าที่ของกรมที่ดิน ที่ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตนได้แถลงข่าวไปแล้ว และการทำงานของกรมที่ดิน

Advertisement

Verified by ExactMetrics