วันที่ 6 พฤษภาคม 2024

รัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันรถไฟฟ้าเปิดบริการแล้ว 8 เส้นทาง

People Unity News : 9 กรกฎาคม 2566 “ไตรศุลี” เผยรัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เปิดให้บริการแล้ว 8 เส้นทาง ส่งโครงการระหว่างก่อสร้างทั้งรถไฟฟ้าในเมือง 5 เส้นทาง ไฮสปีด และทางคู่ให้รัฐบาลหน้าสานต่อ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอำนวยความสะดวกกับประชาชน เป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ เฉพาะรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการรวมแล้วทั้งสิ้น 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 242.34 กิโลเมตรนั้น เป็นโครงการที่ได้รับการผลักดันการก่อสร้างและเปิดให้บริการในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำรัฐบาล ทั้งหมด 8 เส้นทาง ระยะทางรวม 142.54 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีม่วง บางใหญ่-เตาปูน ระยะทาง 23 กม. เปิดให้บริการ 6 ส.ค. 59

2) สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.70 กม. ทยอยเปิดบริการรวม 4 ช่วง ในปี 62-63

3) สายสีน้ำเงิน ช่วง หัวลำโพง-บางแค(หลักสอง) ระยะทาง 14 กม. เปิดบริการ 29 ก.ย. 62

4) สายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 13 กม. เปิดให้บริการ 30 มี.ค. 63

5) สายสีทอง กรุงธนุบรี-คลองสาน ระยะทาง 1.88 กม. เปิดให้บริการ ธ.ค. 63

6) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(เหนือ) บางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26.30 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

7) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(ตะวันตก) บางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15.26 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

8) สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.40 กม. เปิดให้ประชาชนทดลองนั่งฟรี 3 มิ.ย. 66 และเริ่มเก็บค่าโดยสารเมื่อ 3 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ซึ่งเริ่มต้นก่อสร้างในปี 56 รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เล็งเห็นความสำคัญและผลักดันการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี 64 เปิดให้บริการในปี 65 และให้บริการเต็มรูปแบบเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร รองรับทั้งรถไฟฟ้าชานเมืองและรถไฟทางไกลสายเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางให้ประชาชนตั้งแต่ต้นปี 66 เป็นต้นมา

สำหรับโครการรถไฟฟ้าที่ได้รับการอนุมัติในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ และขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปผลักดันจนเปิดให้บริการแก่ประชาชนในอนาคตประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 โครงการ ระยะทางรวม 101.4 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีชมพูเส้นทางแคลาย-มีนบุรี ระยะทาง 30.50 กม. ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจความพร้อมก่อนเริ่มทดสอบการเดินรถในวันที่ 10 ก.ค. นี้

2) สายสีชมพู ส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กม.

3) สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ระยะทาง 22.50 กม. 4)สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กม.

4) แอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 21.80 กม.

นอกจากนี้ มีโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ -หนองคาย ระยะที่1 ระยะทางรวม 250.77 กิโลเมตร รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกหลายเส้นทาง

Advertisement

นายกฯ แนะนักกีฬาซีเกมส์ ใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

People Unity News : 6 กรกฎาคม 2566 นายกฯ มอบเงินรางวัลแก่ทัพนักกีฬาซีเกมส์ ชื่นชมตัวแทนประเทศไทยพร้อมทีงานทุกคนร่วมกันคว้าชัยชนะกลับสู่ประเทศได้สำเร็จ เป็นอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ แนะให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขันนำไปพัฒนาศักยภาพต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบเงินรางวัลและแสดงความยินดีให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับนักกีฬาทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอารัญ บุญชัย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และ นางสาวสุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) คณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนเข้าร่วมงานซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและอบอุ่น

นายกรัฐมนตรีมอบเงินรางวัลและของที่ระลึกให้แก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัล และเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ดังนี้ 1) มอบของที่ระลึกให้แก่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2) มอบของที่ระลึกแก่ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย 3) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 จำนวน 39 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 239,190,000 บาท 4) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 จำนวน 4 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 99,365,000 บาท ทั้งนี้ มีนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา ได้รับเงินรางวัลรวม 43 สมาคมกีฬา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 338,555,000 บาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทัพนักกีฬาไทยที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่นักกีฬาไทยได้แสดงความสามารถทางกีฬาให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ และเป็นโอกาสดีที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขัน เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ทุกคนได้รับมานั้นล้วนเกิดจากความ “มานะ บากบั่น และสู้สุดใจ” ของของทุกคน จึงทำให้ทุกคนมาอยู่ตรงจุดนี้ ซึ่งคำเหล่านี้ขอให้ทุกคนประทับไว้อยู่ในหัวใจและนำไปเป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในด้านกีฬาและด้านอื่น ๆ ของชีวิตต่อไป

“ขอชื่นชมสมาคมกีฬา ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประเทศไทยในการนำทัพนักกีฬาไปคว้าชัยชนะกลับมาสู่ประเทศชาติได้สำเร็จ ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ มีวินัยในการฝึกซ้อมอย่างดีของทุกคน และแสดงความสามารถ ศักยภาพออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รางวัลเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้จะเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทุกคน เป็นเกียรติประวัติแก่ประเทศชาติ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ชาวไทยทุกคน รวมทั้งตนเองและครอบครัว ขอให้ทุกคนพัฒนาความสามารถของตนเองให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทย รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกด้าน เพื่อทำให้การกีฬาไทยมีศักยภาพสูงและสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรียังแสดงความเชื่อมั่นว่าทุกคนทำหน้าที่ตัวแทนของคนไทยและประเทศไทยอย่างดีที่สุดแล้ว และขอเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาที่ไม่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขัน ขอให้ตั้งใจพัฒนาทักษะและหมั่นฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และนำเอาประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนี้ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะทำให้นักกีฬาทุกคนประสบความสำเร็จในการแข่งขันในโอกาสครั้งต่อ ๆ ไปได้อย่างแน่นอน พร้อมขอขอบคุณบุคคลและหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนพัฒนาการกีฬาของชาติให้ก้าวหน้าตลอดมา สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิมาสู่ประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง และขอให้ระลึกไว้ว่าผลงานด้านกีฬาที่สร้างไว้นั้น จะถูกจารึกไว้ในหัวใจของประชาชนคนไทยทั้งประเทศตลอดไป

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ส่งนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 5 – 17 พ.ค. 2566 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 3 – 9 มิ.ย. 2566 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยผลงานของทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 สามารถคว้ารวมมาได้ 108 เหรียญทอง 95 เหรียญเงิน 108 เหรียญทองแดง ในอันดับที่ 2 ในตารางรวมเหรียญรางวัล จาก 11 ประเทศ ขณะที่ทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ทำผลงานในกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้ 126 เหรียญทอง 109 เหรียญเงิน และ 94 เหรียญทองแดง จบอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ ในตารางรวมเหรียญรางวัลเช่นกันใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

Advertisement

ครม. อนุมัติงบกลางให้ กกต. และ กสม.

People Unity News : 5 กรกฎาคม 2566 ครม. อนุมัติงบกลางให้ กกต. 19.96 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายของ 2 หน่วยงานในการควบคุมและจัดการเลือกตั้ง และอีก 17.38 ล้านบาท ให้ กสม. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอ เพื่อใช้จ่ายในการควบคุมการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เพิ่มเติม) รวมทั้งสิ้น 19.96 ล้านบาท ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 10.50 ล้านบาท และ บริษัทโทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จำนวน 9.45 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ ครม. ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ วงเงิน 17.38 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ขอรับการจัดสรร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐของสำนักงาน กสม. เนื่องจากปีงบประมาณ 2566 สำนักงาน กสม. ได้เสนอคำของบประมาณรายจ่ายตามแผนงานบุคลากรภาครัฐ 204.67 ล้านบาท และได้รับการจัดสรร 151.74 ล้านบาท แยกเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร 149.94 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 1.8 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอไปจนสิ้นปีงบประมาณ 2566 จึงมีความจำเป็นต้องเสนอให้ ครม. พิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ เพิ่มในวงเงิน 17.38 ล้านบาท แยกเป็น ค่าใช้จ่ายบุคลากร 16.69 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 6.82 แสนบาท

น.ส.ไตรศุลี ยังกล่าวว่า หลังจากได้รับอนุมัติจาก ครม. แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 กรณีที่ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ ในครั้งนี้ จะต้องให้ดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญมาตรา 169(3) และเมื่อ กกต.ให้ความเห็นชอบแล้วสำนักงบประมาณจึงจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้ได้ต่อไป

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ ฝากรัฐบาลใหม่แก้ปัญหากัญชาต่อ

People Unity News : 29 มิถุนายน 2566 นายกฯ ย้ำ ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างจริงจังต่อเนื่อง ฝากรัฐบาลใหม่แก้ปัญหากัญชาต่อ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2566 โดยเป็นรางวัลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวนทั้งสิ้น 9 ราย แบ่งเป็น ผู้ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณระดับยอดเยี่ยม จำนวน 4 ราย และระดับดีเด่น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการแก้ไขปัญหายาเสพติด  ด้านการปราบปรามยาเสพติด  ด้านการบำบัด พื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด และด้านการป้องกันยาเสพคิด จำนวน 49 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิ พล.ต.อ.เภา สารสิน จำนวน 5 ราย และผู้ได้รับโล่เชิดชูเกียรติในการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน 46 ราย

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกคนที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ยินดีและเป็นเกียรติ ที่ได้มอบโล่ให้กับองค์กรและบุคคลที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ภารกิจนี้ไม่มีวันสิ้นสุดและจะหนักไปเรื่อยๆ เพราะโลกกว้างไกล คนเดินทางมากขึ้นเป็นเรื่องที่เราต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ต้องป้องกันให้ครบวงจร รวมทั้งการลงโทษ การใช้บังคับกฎหมายและความสำคัญวันนี้ คือการให้การบำบัดรักษา ที่รัฐบาลนี้จะเพิ่มและลดความรุนแรงกับผู้ติดยาเสพติด และผู้กระทำการเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งมีเจตนารมณ์แก้ไขปัญหาอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ในฐานะที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลความมั่นคงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกันทั้งหมด ก็มีปัญหาภายในของประเทศเพื่อนบ้าน  การดูแลเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในและต่างประเทศก็คงต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างที่ต้องการ  ซึ่งตนได้รับรายละเอียดมาตลอด ตั้งแต่ตามแนวชายแดน และขอให้ทำงานอย่างเข้มแข็งสุจริตสิ่งใดยังเป็นปัญหาก็ต้องนำมาแก้ไข โดยเฉพาะบุคลากรของเราเองที่สร้างปัญหาไว้มากพอสมควรที่จะต้องทำให้มากที่สุด และเราต้องดูแลทั้งประชาชนและให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานร่วมกันกับประชาชน ทำงานด้วยความทุ่มเททำให้เกิดผลงาน พร้อมขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ได้รับรางวัลและครอบครัวผู้ปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งหน่วยงานในสังกัด ขอให้ทุกคนรักษาความดี

ทั้งนี้การแก้ปัญหา ต้องบูรณาการด้านกฎหมาย โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ต้องบูรณาการอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ และการแก้ไขต้องลงไปถึงประชาชนและภาคสังคม เพื่อให้มีความมั่นคงและสังคมจะปลอดภัย นอกจากนี้ ได้มีการสั่งการไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเข้าถึงชุมชนและช่วยกันดูแลแบ่งแยกผู้ที่ต้องบำบัดที่แตกต่างกัน  โดยการจัดหาที่ดูแลและบำบัด อย่างไรก็ตาม ต้องมีการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะดำเนินการกับผู้ค้ายาเสพติด ที่ทุกคนต้องช่วยกัน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าในโซเชียลมีการพูดเรื่องไม่เป็นความจริง ก็ให้ช่วยกันชี้แจงข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลให้ความเข้มงวดอย่างไร ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง  ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้พูดกับพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่มารับรางวัลในวันนี้ด้วย ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน

ส่วนการเสนอให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันก่อน เพราะ พ.ร.บ.กัญชากัญชง ยังไม่เรียบร้อย รัฐบาลใหม่คงจะนำไปพิจารณาอีกครั้ง คงต้องมีมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในเรื่องจะไม่ทำให้เกิดอันตราย เพราะเดิมเรากำหนดให้ใช้สำหรับทางการแพทย์ ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมการไว้ แต่ระหว่างนี้ปิดสภาฯแล้ว ก็ควรจะเริ่มในรัฐบาลใหม่ให้เรียบร้อย เพราะมีกฎหมายหลายฉบับให้พิจารณา

Advertisement

“วิษณุ” เผย “พล.อ.ประยุทธ์” กำชับทุกกระทรวงสรุปภารกิจรายงานรัฐมนตรีใหม่

People Unity News : 28 มิถุนายน 2566 “วิษณุ” แจง นายกฯ กำชับทุกกระทรวงเตรียมสรุปภารกิจรายงานรัฐมนตรีใหม่

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเตรียมส่งมอบงานให้รัฐบาลชุดใหม่ ว่า ไม่ใช่การส่งมอบงาน แต่เป็นการกำชับให้แต่ละกระทรวงสรุปรายงานการดำเนินการของตัวเองเพื่อเตรียมนำเสนอต่อรัฐมนตรีใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีมาทุกสมัย เพราะคนที่มาเป็นรัฐมนตรีใหม่ ก็อยากรู้งานของกระทรวงนั้นๆ ทั้งนี้ การส่งมอบงานระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลแบบเป็นทางการนั้น ยังไม่เคยทำกัน แต่เคยมีดำริในรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งขณะนั้น นายบรรหารต้องการจะส่งมอบงานให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ที่จะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่พรรคความหวังใหม่ปฏิเสธการรับมอบงาน เพราะเห็นว่าการส่งมอบงานหมายความว่า คนหนึ่งเป็นคนตั้งแล้วมอบงานไป เมื่อคนนี้เกษียณออกไปแล้วมีอีกคนเข้ามาแทน แต่พรรคความหวังใหม่ ถือว่าเขามาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน จึงไม่ต้องทำพิธีส่งมอบงานส่งแฟ้มอะไรกันให้เป็นสัญลักษณ์

นายวิษณุ กล่าวอีกว่า แต่ความอยากรู้ความเห็นของรัฐมนตรีในแต่ละเรื่องนั้น เป็นสิ่งที่รัฐมนตรีแต่ละคนไปทำกันเองในกระทรวง สำหรับตนเห็นว่าถ้าทุกกระทรวงทำได้ ก็จะเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยทำให้เห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ละกระทรวงได้ทำอะไรไปแล้ว และมีอะไรที่จะต้องทำ เพราะบางครั้งรัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่ไปเสียเวลาทำอย่างอื่นก่อน โดยไม่รู้ว่ามีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงถือเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงต้องรายงานรัฐมนตรีคนใหม่ว่ามีงานอะไรที่ค้างอยู่ และมีเรื่องใดบ้างที่ต้องทำในเวลาจำกัด นี่คือสิ่งที่นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกกระทรวงต้องทำ

Advertisement

‘วรวัจน์’ ชี้ประธานสภา ต้องเจรจาดึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายได้

People Unity News : 24 มิถุนายน 2566 ‘วรวัจน์’ ชี้ คุณสมบัติประธานสภา คือต้องเจรจาดึงความร่วมมือจากทุกฝ่ายได้ เป้าหมายใหญ่คือทำให้ประชาชนได้นายกฯ จากฝ่ายประชาธิปไตย ชี้อย่ายึดติดว่าต้องเป็นของพรรคใด

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ความเห็นต่อกรณีประธานสภา ว่าประธานสภาจะต้องเป็นคนที่มีบารมีสูง สามารถประนีประนอม และเมื่อประธานสภาขึ้นนั่งเป็นประมุขทำหน้าที่ทั้ง 2 สภาแล้ว ต้องเป็นผู้ที่สามารถชี้แจงและโน้มน้าวให้เห็นถึงความจำเป็นในการที่จะให้ทุกคนลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีจากฝ่ายประชาธิปไตยให้เป็นไปตามความต้องการของพี่น้องประชาชน ประธานสภาไม่จำเป็นว่าจะต้องมาจากพรรคการเมืองใด แต่ต้องเป็นคนที่มีคุณลักษณะที่สามารถคุยกับทุกฝ่ายได้เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามความต้องการของพี่น้องประชาชน นี่คือสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าเพราะนี่คือความสำเร็จของฝ่ายประชาธิปไตย

นายวรวัจน์ กล่าวว่า เราไม่ควรไปมองว่าประธานสภาอยู่พรรคไหน แล้วต้องทำงานให้พรรคไหน แต่ประธานสภาจะต้องเป็นบุคคลที่วางตัวเป็นกลางระหว่างทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายสภาผู้แทนราษฎร และส.ว. เราต้องการคนที่มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม ใช้เหตุและผลในการที่จะพูดคุยให้ทุกฝ่ายเห็นถึงสถานการณ์ของประเทศ วันนี้เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ความต้องการของประชาชนสำเร็จให้ได้ในที่สุดโดยไม่ยึดติดว่าประธานสภาจะเป็นคนของพรรคการเมืองใด

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยเป็นกังวลเรื่องการขอเสียงจาก ส.ว.ใช่หรือไม่ นายวรวัจน์ กล่าวว่า เราต้องดูว่าพรรคใดมีบุคลากรที่สามารถทำหน้าที่ตรงนี้ได้จนบรรลุผลสำเร็จ เพราะความสำเร็จนี้นั้นไม่ได้อยู่แค่เพียงการนั่งทำหน้าที่ประธานสภา แต่ต้องบรรลุผลในการเจรจากับทุกฝ่ายให้ได้นายกฯจากฝ่ายประชาธิปไตย ผลสำเร็จอยู่ตรงนี้ต่างหาก ดังนั้นตนจึงบอกว่าอย่าไปมองว่าต้องเป็นคนนั้นหรือคนนี้ แต่ควรมองว่าใครที่จะทำภารกิจตรงนี้ให้สำเร็จได้เพื่อความสำเร็จร่วมกันของฝ่ายประชาธิปไตย เพราะต้องบอกว่าตำแหน่งประธานสภาไม่ใช่หัวหน้าอย่างตำแหน่งนายกฯที่สั่งการ ครม. ได้ แต่ประมุขนิติบัญญัติไม่สามารถสั่งการใครได้ ไม่สามารถให้คุณให้โทษหรือปลดใครออกจากตำแหน่งได้ ดังนั้นหน้าที่สำคัญของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติคือ การทำหน้าที่อย่างเป็นกลางเพื่อให้ทุกคนเชื่อใจ และยอมรับ เพราะเราจะต้องทำงานกันในสภาผู้แทนราษฎรในระยะยาว

Advertisement

ครม. รับทราบข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. ป้องกันทุจริต อปท.

People Unity News : 20 มิถุนายน 2566 ครม. รับทราบข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. เพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ อปท. กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่ อปท. และกรณีที่ อปท. อุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี มีมติรับทราบกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กรณีรัฐอุดหนุนแก่ อปท. ดังนี้

1.ข้อเสนอด้านการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน ซึ่ง 1) ควรมีนโยบายและแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งวิธีการและระยะเวลาในการส่งเสริมและพัฒนารายได้ให้กับ อปท. 2) ในขณะที่ อปท. ยังไม่มีเงินเพียงพอต่อการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ควรพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. ในรูปแบบเงินอุดหนุนทั่วไป โดยลดการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ซึ่งมักมีปัญหาการทุจริตจากการวิ่งเต้นและการบริหารงานงบประมาณให้เหลือน้อยที่สุด 3) ควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และตัวชี้วัดอย่างชัดเจนในการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้แก่ อปท. เพื่อลดอำนาจการใช้ดุลยพินิจในการจัดสรรโดยมิชอบ 4) ควรเร่งดำเนินการให้ อปท. เป็นหน่วยงานที่ขอรับเงินงบประมาณโดยตรง

2.ข้อเสนอด้านการนำเงินอุดหนุนไปจัดทำข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ และการบริหารจัดการงบประมาณเงินอุดหนุน 1) ควรกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานของ อปท. อย่างเป็นรูปธรรมและเข้มข้นในทุกกระบวนการ 2) ควรส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของสมาชิกสภาท้องถิ่น และประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และอำนาจกฎหมาย ระเบียบ และข้อกำหนดต่าง ๆ 3) ควรส่งเสริมและพัฒนาระบบการตรวจสอบภายในของ อปท. ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ 4) ควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการดำเนินการของ อปท.

3.ข้อเสนอด้านการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน 1) ควรดำเนินการให้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางขนาดใหญ่ (Big Data) 2) ควรกำหนดรูปแบบการรายงานผลการดำเนินงานของ อปท. ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง 3) ควรกำชับให้ผู้ใช้อำนาจในการกำกับดูแล อปท. ตรวจสอบติดตามและการรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนของ อปท. 4) ควรสนับสนุนให้ อปท. ทุกแห่งใช้ระบบการจ่ายเงินโดยให้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) 5) ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการใช้จ่ายและการบริการเงินอุดหนุนของ อปท. ว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และแบบแผนการปฏิบัติราชการหรือไม่

ทั้งนี้ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ อปท. กรณี อปท. อุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น ดังนี้

1.ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่หน่วยงานอื่นโดยไม่เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวทางที่กำหนดรวมถึงหน่วยงานที่รับเงินอุดหนุนจาก อปท. ใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามระเบียบและวัตถุประสงค์ อันอาจนำไปสู่การทุจริต 1) ควรแจ้งและกำกับให้ อปท. กำหนดมาตรการควบคุมภายใน โดยให้จัดทำแผนการตรวจสอบประเด็นขั้นตอนที่มีความเสี่ยงต่อการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน และควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการติดตามว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 2) ควรกำหนดระเบียบห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้แก่หน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบฯ ในปีงบประมาณถัดไป 3) ห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนโครงการที่มีลักษณะเกี่ยวกับการจัดหาครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง 4) ควรกำหนดให้ อปท. ต้องจัดให้มีวิธีการที่จะให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการ 5) ควรให้ความสำคัญในการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ต้องให้ความสำคัญทั้งในส่วนของ อปท. ที่ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุน และการดำเนินการของหน่วยงานที่ขอรับเงินอุดหนุน พร้อมรายงานผลต่อสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย

2.ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้หน่วยงานที่ทำการปกครองอำเภอ และสำนักงานจังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีนายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกำกับดูแล อปท. ตามกฎหมายอันเป็นการขัดกันต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้กำกับดูแลเพื่อให้เกิดความถูกต้องและปราศจากการทุจริตทุกรูปแบบ 1) แก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนฯ โดยห้าม อปท. ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนให้ที่ทำการปกครองอำเภอและสำนักงานจังหวัด 2) กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ผู้กำกับดูแล อปท. ให้ อปท. ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการของ มท.

3.ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (การไฟฟ้า การประปา และองค์การจัดการน้ำเสีย) โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์และแนวทางเช่นเดียวกับหน่วยงาน/องค์กรอื่นที่ขอรับเงินอุดหนุนจาก อปท. 1) ห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าและประปา เพื่อจำหน่าย 2) ในกรณีที่ อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้รัฐวิสาหกิจในภารกิจตามหน้าที่ของ อปท. จะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับการให้เงินอุดหนุนหน่วยงานอื่นคือให้นำเงินอุดหนุนนับรวมในอัตราส่วนไม่เกินร้อยละของรายได้จริงในปีงบประมาณที่ผ่านมา

Advertisement

นายกฯสนับสนุนดัดแปลงรถยนต์ราชการใช้พลังงานไฟฟ้า

People Unity News : 12 มิถุนายน 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สนับสนุนหน่วยงานภาครัฐนำร่องพัฒนารถยนต์ราชการมาดัดแปลงเป็นรถพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนการนำร่องพัฒนารถยนต์ราชการดัดแปลงเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สอดคล้องนโยบายรัฐบาลในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมเปิดตัวรถยนต์ราชการไฟฟ้าดัดแปลงในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ โดยได้พัฒนาต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์แบบเดิมสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมนำรถยนต์ราชการสองคัน คือ รถมินิบัส และรถตู้ ที่สภาพเก่า และใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำให้มีค่าบำรุงรักษาซ่อมแซม รวมถึงยังปล่อยก๊าซเรือนกระจก PM2.5 และไอเสีย มาดัดแปลงเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงาน เปลี่ยนต้นกำลังจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งหวังที่จะนำรถยนต์ราชการไฟฟ้าดัดแปลงมาใช้ในการปฏิบัติราชการ และใช้เป็นรถสวัสดิการรับ-ส่งเจ้าหน้าที่ พนักงาน และบุคลากรในกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังวางแผนถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการ และบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ทำให้เกิดการสร้างอาชีพในการดัดแปลงและการซ่อมบำรุงรักษายานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพิ่มขึ้น

“นายกรัฐมนตรีสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐที่มองเห็นความพยายามในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า สอดคล้องกับแนวทางรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน นอกจากนี้ รัฐบาลมุ่งผลักดันพัฒนาผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือกับเทคโนโลยียานยนต์รูปแบบใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล และทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต EV ที่สำคัญของโลก” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ กำชับปราบปรามเด็ดขาดค้ามนุษย์

People Unity News : 10 มิถุนายน 2566 “ทิพานัน” เผย พล.อ.ประยุทธ์ ห่วงใยประชาชนตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ผ่านช่องทางออนไลน์ กำชับทุกหน่วยบูรณาการแก้ไขปัญหาตามแผนบันได 5 ขั้น เข้มปราบปรามเด็ดขาดถอนรากถอนโคน พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภูมิคุ้มกันประชาชน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังและต่อเนื่องในทุกมิติ จากผลการดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ผ่านมาส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น โดยอยู่ในระดับ “เทียร์ 2” และมีเป้าหมายไปสู่สถานะ “เทียร์ 1” อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ยังห่วงใยสถานการณ์ ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม.ที่พบว่า ปัจจุบันขบวนการค้ามนุษย์เปลี่ยนรูปแบบการกระทำผิดผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เช่น การค้าประเวณี การหลอกเด็กหญิง เด็กชาย ผู้ชายและผู้หญิงเพื่อผลิตสื่อลามกอนาจาร และการหลอกลวงโฆษณาจัดหางาน เพื่อชักชวนคนไทยให้ไปทำงานต่างประเทศ เป็นต้น

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการแก้ไขปัญหา ตามแนวทางป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ดังนี้

1.เพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย

2.ถอดบทเรียนแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3.ยกระดับศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน/จัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติม

4.ยกระดับระบบรับเรื่องร้องทุกข์ ร้องเรียนการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การบริหารจัดการข้อมูล และการส่งต่อคดี

5.ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจต่อต้านการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“พล.อ.ประยุทธ์ยังได้กำชับให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด และสาวถึงต้นตอเพื่อถอนรากถอนโคนปัญหาให้ถึงผู้อยู่เบื้องหลัง พร้อมทั้งรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน ตระหนักถึงภัยการค้ามนุษย์รูปแบบใหม่ๆ โดยการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้รู้เท่าทัน เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

 

“อุ๊งอิ๊ง” เผย “ทักษิณ” ประสานกลับไทยไว้แล้ว

People Unity News : 7 มิถุนายน 2566 “อุ๊งอิ๊ง” เผย “ทักษิณ” ประสานปูทางกลับไทยไว้แล้ว ขอประเมินสถานการณ์และความเหมาะสมอีกครั้ง เชื่อแม้จะอยู่ในช่วงรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ไม่เป็นปัญหา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระบวนการเดินทางกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่า นายทักษิณ ประสานอะไรไว้แล้วบ้าง  แต่ทราบว่าการวางแผนของนายทักษิณ ก็จะมีความคืบหน้าเป็นระยะ พร้อมยืนยันจะกลับมาเข้ากระบวนการตามปกติ และอาจจะต้องประสานกับหน่วยงานรัฐตามขั้นตอน

ส่วนการเตรียมการของครอบครัว ขณะนี้ได้เตรียมพร้อมไว้เบื้องต้น ทั้งเรื่องความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ที่เตรียมการต้อนรับไว้หลายแบบ เพราะไม่รู้ต้องผ่านหรือเจออะไรบ้าง และยังต้องรอนายทักษิณให้สัญญานว่าจะให้เตรียมการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

สำหรับกำหนดการกลับประเทศ เบื้องต้นคิดว่ายังเป็นเดือนกรกฎาคมตามเดิม แต่ต้องดูสถานการณ์การเมือง และเหตุการณ์ประเทศประกอบด้วย เพราะการกลับมาของนายทักษิณนั้นสำคัญ อยากให้กลับมาในช่วงเวลาที่ดี ไม่มีความขัดแย้ง โดยจะเน้นดูที่ความเหมาะสมมากกว่า ทั้งนี้ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงตัดสินใจเลือกเดือนกรกฎาคม แต่คิดว่าน่าจะตรงกับช่วงวันเกิดของคุณพ่อ

นางสาวแพทองธาร ยังมองว่า การกลับมาของนายทักษิณ ไม่ว่าจะอยู่ในรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือรัฐบาลไหนก็ไม่มีปัญหา เพราะจะกลับมาเข้ากระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว

Advertisement

Verified by ExactMetrics