วันที่ 3 กันยายน 2025

กต.ย้ำ “บ้านหนองจาน” เคยเป็นที่พักพิงชั่วคราว “ชาวเขมร”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 สิงหาคม 2568 กต.ออกแถลงการณ์ ปม “บ้านหนองจาน” เดิมเคยเป็นที่พักพิงชั่วคราว “ชาวเขมร” ย้ำ “ไทย” อดกลั้นมาหลายปี แต่ “กัมพูชา” กลับเจตนาร้าย ขาดความจริงใจ รุกล้ำดินแดน

กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนคำแถลงของกองทัพบกไทยเกี่ยวกับพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีภัยจากการสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย และต่อมา ฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป ถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และฝ่ายไทยได้คัดค้านและดำเนินการประท้วงการล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยดังกล่าวมาโดยตลอด และขอย้ำประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.ประเทศไทยได้แสดงความอดกลั้นอย่างสูงสุดมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี และยึดมั่นในการดำเนินการอย่างสร้างสรรค์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดี โดยยินดีหารือข้อแตกต่างใด ๆ ผ่านกลไกทวิภาคีที่เหมาะสม เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชากลับใช้ประชาชนของตนมารุกล้ำดินแดนอย่างไม่ชอบธรรม ผิดกฎหมาย และเป็นการยั่วยุให้เกิดความตึงเครียด

2.การอาศัยประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชากลุ่มนี้ของไทยในอดีต ตามหลักมนุษยธรรมที่ไทยยึดถือมาโดยตลอด เป็นการกระทำที่ไม่เพียงแต่ขาดความจริงใจ แต่ยังสะท้อนถึงเจตนาร้ายที่แท้จริงของฝ่ายกัมพูชา

3.สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งลวดหนามในเขตแดนไทยนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนไทย ป้องกันมิให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมจากฝ่ายกัมพูชา และป้องกันการเข้ามาวางทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา โดยการดำเนินการของไทยไม่เป็นการขัดต่อข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน

Advertisement

กลาโหมไทย แจงไม่มีแนวความคิดรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 สิงหาคม 2568 กลาโหมไทย แจงไม่มีแนวความคิดรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา ตามที่กล่าวอ้าง ย้ำรักษาสถานะการวางกำลัง หลังมาตรการหยุดยิงมีผล เรียกร้องกัมพูชาเร่งตอบรับเก็บกู้ทุ่นระเบิด และร่วมมือปราบการหลอกลวงออนไลน์

กรณี กระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์เกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องปราสาทตาควาย เมื่อ 10 สิงหาคม และปรากฏการนำเสนอข่าวผ่านบุคคล และสื่อต่างๆ ของกัมพูชา กระทรวงกลาโหม ขอเรียนว่า ฝ่ายไทยไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพล เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตามที่กล่าวอ้าง โดยได้รักษาสถานะการวางกำลัง หลังมาตรการหยุดยิงมีผล เที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ไทยพร้อมจะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ตามเงื่อนไขเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC ไทย-กัมพูชา เมื่อ 7 สิงหาคม ตามที่ตกลงกันไว้ เพื่อให้กองกำลังในพื้นที่ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการหยุดยิงในแต่ละพื้นที่

และยืนยันฝ่ายไทยยังคงยึดมั่นในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน ในการประชุม GBC อย่างเคร่งครัด พร้อมขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชา ร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการหยุดยิงอย่างเคร่งครัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการงดเว้นการนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ หลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายเกิดความเข้าใจผิด และร่วมกันสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการพูดคุยอย่างสันติ พร้อมขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาเร่งตอบรับ ให้ความร่วมมือ ใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะและพื้นที่อื่นๆ ตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์หรือออนไลน์สแกม เพื่อหารือทวิภาคีในทุกระดับและนำไปสู่การปฏิบัติโดยเร็วต่อไป

ที่ผ่านมามีทหารทั้งหมด 5 นายที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญจากการเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชา นำมาวางไว้ในพื้นที่ดินแดนไทย ได้แก่

พลทหาร ธนพัฒน์ หุยวัน ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ชุดลาดตระเวนกองร้อยทหารพรานที่ 2302 เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนจากฐานปฏิบัติการมรกต พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ไปยังเนิน 481 เมื่อ 16 ก.ค. ต้องสูญเสียขาซ้าย

จ่าสิบเอก พิชิตชย บุญชูหล้ำ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 8 เกิดเหตุเหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ต้องสูญเสียข้อเท้าขวา

ร้อยตรี เกียรติวงศ์ สถาวร สังกัด กองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 2 เหยียบกับระเบิดขณะนำชุดปฏิบัติการรบพิเศษเข้าเคลียร์พื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ เมื่อ 28 ก.ค.68 ต้องสูญเสียขาขวา

จ่าสิบเอกธานี พาหา ผบ.หมู่ ปก.มว.ปล.ที่ 2 ร้อย.5.111 เหยียบกับระเบิด ข้อเท้าซ้ายขาด ขณะลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.68

สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 เหยียบกับระเบิด วันนี้ (12 ส.ค.) ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนแนวชายแดนไทย ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้อเท้าซ้ายขาด

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้านแม่ของสิบเอกธีรพล ที่หมู่ 1 ต.สำโรงใหม่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ พบชาวบ้านมาให้กำลังใจนางสาคร เพียขันที แม่ของสิบเอกธีรพล เป็นจำนวนมาก นางสาคร ได้ดูคลิปภาพขณะรถพยาบาลนำร่างของลูกชายไปส่งโรงพยาบาล ด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งทราบว่าขาซ้ายลูกชายขาด

นางสาคร บอกว่าทุกครั้งที่ลูกชายจะไปทำงานตามชายแดน หรือกลับจากชายแดนจะเข้ามากราบเท้าแม่แล้วเอาเท้าแม่เหยียบที่หัวทุกครั้ง และจะฉีกเอาชายผ้าถุงของแม่ ติดตัวไปด้วย ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ลูกชายโทรมาว่าสบายดีไม่เป็นอะไรแล้วเพราะหยุดรบแล้ว ก็ดีใจว่าลูกปลอดภัย แต่เพียงข้ามคืนกลับได้รับข่าวว่าลูกชายขาขาด และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ดีใจที่ลูกชายได้รับใช้ชาติ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

Advertisement

“ทูตรัศม์” ชี้ “ยกเลิก MOU 43” เข้าทางกัมพูชา ไทยเสียเปรียบทันที

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 สิงหาคม 2568 “ทูตรัศม์” ชี้ “ยกเลิก MOU 43” เข้าทางกัมพูชา ไทยเสียเปรียบทันที เตือนสติคนไทยอย่าหลงกลกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม

นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตและผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 โดยยืนยันว่าการยกเลิก MOU ในขณะนี้ จะทำให้ไทยเสียเปรียบและเข้าทางกัมพูชา

MOU 43/44: เป็นเพียง “กรอบเจรจา” ไม่ใช่ “สัญญาเสียดินแดน”

โดยเป็น”กรอบการเจรจา” (Framework for Negotiation) ที่สองประเทศตกลงร่วมกันเพื่อกำหนดกติกาในการพูดคุย

โดยท้ายที่สุด ผลลัพธ์ของการเจรจาจะต้องนำเข้าสู่การเห็นชอบของรัฐสภาก่อนจึงจะมีผลทางกฏหมายแท้จริง

รัฐบาลหรือใครจะไปตกลงเองตามลำพังไม่ได้ ซึ่ง”MOU 43 เป็นการกำหนดกติกาว่าเราจะคุยกันเรื่องอะไรบ้าง มีวาระอะไรบ้าง โดยมีสาระสำคัญคือ 1) การแก้ปัญหาต้องเป็นการเจรจาทวิภาคีโดยสันติ 2) มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกหลักในการคุย และ 3) ระบุเอกสารอ้างอิงที่จะใช้ร่วมกัน” นายรัศม์กล่าว

นายรัศม์ กล่าวว่า ในอดีตเคยมีการประชุม JBC กันมาก่อนที่จะมี MOU แต่การเจรจาเป็นไปอย่างไม่มีทิศทาง จึงได้สร้าง MOU 43 ขึ้นมาเพื่อให้การพูดคุยมีแบบแผนที่ชัดเจนขึ้น และหากยกเลิก MOU ท้ายสุดก็ต้องตั้งกรอบใหม่ และการยกเลิกMOU43นั้นสามารถทำได้ แต่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประกาศยกเลิกแล้วจะมีผลทันที

“สมมติว่าเรายกเลิกไป วันหนึ่งเมื่อจะกลับมาเจรจากันใหม่ สุดท้ายก็ต้องมานั่งตกลงกันเพื่อสร้างกรอบการเจรจาขึ้นมาอีกอยู่ดี ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำ MOU ฉบับใหม่”นายรัศม์ กล่าว

นายรัศม์ กล่าวว่าปัจจุบันกัมพูชาเป็นฝ่ายที่กำลังละเมิดข้อตกลงใน MOU 43 อยู่แล้ว” ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ที่ตกลงกันว่าห้ามเปลี่ยนแปลง หรือความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเจรจาทวิภาคีตามกรอบ JBC เพื่อนำเรื่องไปสู่เวทีอื่น เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ยิ่งยกเลิกก็ยิ่งเข้าทางเขา หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ MOU43 คือเงื่อนไขสำคัญที่ยังดึงให้กัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจากับไทย”

นายรัศม์ กล่าวว่า แม้จะชื่อว่า MOU แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศมีสถานะเทียบเท่าสนธิสัญญาที่มีพันธกรณีผูกมัด ทุกวันนี้กัมพูชาพยายามจะหนีจากพันธกรณีนี้ ดังนั้น หากเราเป็นฝ่ายยกเลิก MOU ตอนนี้ ก็จะเข้าทางเขาเลย เพราะเท่ากับเราปลดปล่อยเขาออกจากพันธกรณีที่ต้องคุยกับเราในโต๊ะเจรจา การที่เรายังยืนยันใน MOU นี้ ก็เพื่อจะชี้ให้โลกเห็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่ไม่ทำตามข้อตกลง

นายรัศม์ กล่าวว่า แปลกใจที่เห็นบางพรรคออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ ทั้งที่พรรคดังกล่าวที่เคยอยู่ร่วมในรัฐบาลก่อนหน้าร่วมสิบปีที่แล้ว ก็ไม่เคยคัดค้านอะไรแสดงว่าย่อมเห็นด้วย แต่วันนี้มาเปลี่ยนท่าทีแบบไร้หลักการ ก็ทำให้น่าสงสัยในเจตนาและความบริสุทธิ์ใจ

Advertisement

“มาลี” เบาได้เบา หลังโฆษกกลาโหมกัมพูชาลวงโลกรายวัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 สิงหาคม 2568 “มาลี” เบาได้เบา หลังโฆษกกลาโหมกัมพูชาลวงโลกรายวัน ย้ำเส้นทางสันติภาพจะมั่นคงได้ ต้องเริ่มต้นจาก “ความจริง” เท่านั้น

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนขอเรียกร้องให้โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา หยุดการสร้างข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง และเลิกนำข้อมูลเท็จมาอ้างเพื่อกล่าวหาโจมตีประเทศไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ตัวอย่างล่าสุด คือการกล่าวอ้างผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่าไทยเตรียมอพยพประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ เพื่อเปิดฉากโจมตีกัมพูชาก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันไม่มีคำสั่งอพยพใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าว

ข้อมูลเท็จลักษณะนี้ไม่เพียงสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณะชน แต่ยังเป็นบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของกัมพูชาเอง ในเวทีระหว่างประเทศ จึงขอให้ หยุดการกระทำดังกล่าว

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยังคงยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แต่ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดจากการละเมิดข้อตกลงซ้ำซากโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีการเคลื่อนไหวกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

“เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่แทนที่จะร่วมมือกันลดความตึงเครียด ฝ่ายกัมพูชายังคงเลือกใช้การบิดเบือนข้อมูล ซึ่งเป็นบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศกัมพูชาเองบนเวทีนานาชาติ ทุกการตอบโต้ของประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เราพร้อมเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนและองค์กรระหว่างประเทศได้ทุกเมื่อ และขอยืนยันว่า เส้นทางสันติภาพจะมั่นคงได้ ก็ต่อเมื่อเริ่มต้นจากความจริงเท่านั้น” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 สิงหาคม 2568 รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง ด้วยพยานหลักฐานทุกมิติ ต่อประชาคมโลกผ่าน OSCE-เวทีระดับสูงด้านความมั่นคงของยุโรป ยืนยันหลักสันติวิธี ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ และตอกย้ำว่าการปกป้องประชาชนจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมายสากล พร้อมใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าบทบาทของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริงและแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวานนี้ (1 สิงหาคม 2568) ที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมการประชุม Helsinki+50 ในกรอบองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมี นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม

โดยในช่วงของการกล่าวถ้อยแถลง หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ย้ำท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า “ไทยยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และหลักการของ Helsinki Final Act อย่างไรก็ดี การโจมตีด้วยอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุและไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตประชาชนและความเสียหายต่อสาธารณูปโภคของไทย ทำให้กองทัพไทยมีความจำเป็นต้องดำเนินการตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาเพื่อปกป้องตนเอง (self-defense) อย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยยืนยันพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง และพร้อมใช้กลไกหารือทวิภาคีที่มีอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป”

นอกจากนี้ หัวหน้าคณะผู้แทนไทยยังได้ใช้โอกาสนี้ ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงของไทยในระดับภูมิภาคด้วยการแสดงความพร้อมของไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนเพียงหนึ่งเดียวในกรอบ OSCE ในการเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับ OSCE ผ่านกิจกรรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญในประเด็นที่เป็นความสนใจร่วมกัน ได้แก่ การต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ การต่อต้านการค้ามนุษย์ การจัดการชายแดน ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือภายใต้กรอบ ASEAN Regional Forum (ARF) ตลอดจนหารือกับผู้แทนจากประเทศสมาชิกยุโรป ได้แก่ 1. เอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำ OSCE 2. อธิบดีฝ่ายการเมือง กระทรวงการต่างประเทศลักเซมเบิร์ก และ 3. รองอธิบดีฝ่ายการเมือง กระทรวงการต่างประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค และแนวทางการส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีความร่วมมือระดับสากล

นายจิรายุ กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ยังได้ประกาศความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 2026 OSCE Asian Conference ร่วมกับฟินแลนด์ ภายใต้หัวข้อหลักคือ “การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงทางออนไลน์” ซึ่งจะต่อยอดจากผลลัพธ์ของการประชุมเชิงปฏิบัติการหัวข้อ “Combatting Online Scams” และการประชุม 2025 OSCE Asian Partners for Co-operation Group (APCG) ที่ไทยร่วมจัดกับ OSCE เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2568 ณ กรุงเวียนนา รวมทั้ง ไทยได้บริจาคเงินอุดหนุนเข้ากองทุน Helsinki+50 ในโอกาสครบรอบ 25 ปีแห่งความเป็นหุ้นส่วนไทย–OSCE เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการดำเนินงานของ OSCE ให้บรรลุวัตถุประสงค์ และยืนยันบทบาทของไทยในเวทีความมั่นคงระหว่างภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

“รัฐบาลไทยจะไม่ยอมจำนนต่อความบิดเบือนหรือการกล่าวหาโดยปราศจากข้อเท็จจริง พร้อมยืนหยัดบนเวทีโลกด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ยึดหลักสากลอย่างมั่นคง และเดินหน้าทำงานเชิงรุกเพื่อให้ประชาคมโลกเห็นภาพความจริงที่ว่า ไทยปกป้องประชาชนของตนอย่างมีเหตุผล และยังเปิดกว้างต่อการแก้ปัญหาโดยสันติ” นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

“มาริษ” ขอบคุณเวียดนามเข้าใจท่าที-หนุนการทูตไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กรกฎาคม 2568 “มาริษ” เผย รมว.กต.เวียดนามเยือนไทย ห่วงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา พร้อมขอบคุณเวียดนามเข้าใจท่าที และสนับสนุนการทูตไทย

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงการเดินทางเยือนประเทศไทย ของนายบุ่ย แทงห์ เซิน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศเวียดนาม ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อแสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศเวียดนาม แสดงความพร้อมที่จะมีบทบาทสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งในโอกาสนี้ นานมาริษ ได้ขอบคุณฝ่ายเวียดนามที่เข้าใจท่าที และสนับสนุนการดำเนินการทางการทูตของไทยในฐานะเพื่อบ้านที่ดี ที่มีความจริงใจ และต้องการแก้ไขสถานการณ์ด้วยความสันติวิธี

นายมาริษ ยังเปิดเผยว่า ทั้งไทย และเวียดนาม ยังแสดงความยินดีกับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิด และได้หารือถึงแนวทางการยกระดับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ รวมถึงการจัดทำแผนปฏิบัติการหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน การส่งเสริมความเชื่อมโยงและการท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงในอนาคต อาทิ การเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 5 ในช่วงปลายปีนี้

Advertisement

ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องหยุดยิงคืนนี้เวลา 24.00 น.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 กรกฎาคม 2568 ผลหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นพ้องหยุดยิงคืนนี้ เวลา 24.00 น. และกลับไปใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

แถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการประชุมพิเศษที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างกัมพูชาและไทย

รัฐบาลของประเทศมาเลเซีย กัมพูชา และไทย ได้ออกแถลงการณ์ร่วมฉบับนี้ ภายหลังจากการประชุมพิเศษที่จัดขึ้น ณ เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ อิบราฮิม เป็นประธาน เจ้าภาพ และผู้ร่วมสังเกตการณ์ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนด แห่งกัมพูชา และรองนายกรัฐมนตรีรักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ร่วมจัด และสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วมอย่างแข็งขัน เพื่อส่งเสริมการแก้ไขสถานการณ์ด้วยสันติวิธี

นายกรัฐมนตรีฮุน มาแนด และรองนายกรัฐมนตรีภูมิธรรม เวชยชัย ได้แสดงจุดยืนและความตั้งใจที่จะหยุดยิงโดยทันที และคืนสู่สภาวะปกติ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ติดต่อกับผู้นำของทั้งสองประเทศเพื่อเรียกร้องให้หาทางออกอย่างสันติ ส่วนฝ่ายจีนก็ได้ติดต่ออย่างใกล้ชิดกับกัมพูชา ไทย มาเลเซีย และประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการเจรจา การหยุดยิง และการฟื้นฟูสันติภาพ

การมีส่วนร่วมและความร่วมมือของทุกฝ่ายสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างสันติภาพ การเจรจา และเสถียรภาพในภูมิภาค

ทั้งกัมพูชาและไทยได้บรรลุความเข้าใจร่วมกัน ดังต่อไปนี้:

1.การหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคง

2.การประชุมไม่เป็นทางการระหว่างผู้บัญชาการทหารภูมิภาค (กองทัพภาคที่ 1 และ 2 ของฝ่ายไทย และกองทัพภาคที่ 4 และ 5 ของฝ่ายกัมพูชา) ในเวลา 07.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 และอาจมีการประชุมต่อเนื่องกับผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารภายใต้การนำของประธานอาเซียน หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ

3.การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพ

ในฐานะประธานอาเซียนปัจจุบัน มาเลเซียพร้อมประสานงานจัดตั้งทีมผู้สังเกตการณ์เพื่อตรวจสอบและรับรองการปฏิบัติตามข้อตกลง โดยจะหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ เพื่อร่วมกันสนับสนุนภารกิจการสังเกตการณ์ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนสันติภาพ

ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะ รื้อฟื้นช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองประเทศ

รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของมาเลเซีย กัมพูชา และไทย ได้รับมอบหมายให้ร่วมกันจัดทำกลไกโดยละเอียดสำหรับการดำเนินการ ตรวจสอบ และรายงานผลการหยุดยิง ซึ่งกลไกนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนและความรับผิดชอบร่วมกัน

ที่ประชุมยืนยันเจตจำนงร่วมของมาเลเซีย กัมพูชา และไทย ในการยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือพหุภาคี เพื่อแสวงหาทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืนต่อสถานการณ์ดังกล่าว

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การหารือประสบความสำเร็จ ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นพ้องร่วมกันยุติการยิง มีผลในเวลา 24.00 น. ของวันนี้ (28 ก.ค.68) และกลับไปใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญในการลดทอนความรุนแรง และเริ่มฟื้นฟูสันติภาพความมั่นคงอีกครั้ง รวมถึงได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการโดยจะมีการประชุมระหว่างแม่ทัพภาค 1 และ 2 ของฝ่ายไทยและกองทัพภาค 4 และ 5 ของกัมพูชา ในวันพรุ่งนี้ (29 ก.ค.68) เวลา 7.00 น. อีกทั้งจะมีการเชิญผู้ช่วยทูตทหารของอาเซียนมารับฟังการหารือของทั้งสองฝ่ายด้วย นอกจากนี้ไทยขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่แสดงความกังวลและความปรารถนาดี

Advertisement

ไทยรับคำเชิญ “อันวาร์” ถกปัญหาชายแดน “ภูมิธรรม” นำทีมไทยแลนด์เจรจา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลยืนยัน “อันวาร์” ประธานอาเซียน เชิญผู้นำไทยถกปัญหาไทย-กัมพูชา “ภูมิธรรม” นำทีมไทยแลนด์เจรจา ย้ำไม่มีการเจรจาเรื่องแผนที่ ยืนยันการรักษาอธิปไตยของประเทศแม้ตารางนิ้วเดียวก็ให้ใครไม่ได้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ. ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยได้รับคำเชิญจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเชียน ให้เดินทางไปร่วมหารือ แนวทางสันติภาพในภูมิภาคนี้ ในวันพรุ่งนี้ (จันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2568) ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยคณะจะออกเดินทางจากกองทัพอากาศเวลาประมาณ 10.30น และเข้าหารือ เวลา 15.00 น.ตามเวลาประเทศมาเลเซีย

คณะของทีมไทยแลนด์นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและตนในฐานะกรรมการ ศบ.ทก.

ทั้งนี้ ได้รับแจ้งว่า ประธานอาเซียนได้เชิญผู้แทนรัฐบาลกัมพูชา โดยนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเดินทางมาหารือด้วยตนเอง

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ตามที่สื่อไทยบางสื่อนำเสนออ้างแหล่งข่าวว่าการไปเจรจาครั้งนี้ ไทยจะยอมใช้แผนที่ 1:200,000 ตามกัมพูชา เพื่อหยุดยิงนั้น ไม่เป็นความจริง และเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย รัฐบาลไทยยึดแผนที่ 1: 50,000 มาตลอด

“ไม่มีรัฐบาลไหน หรือใครคนใดจะยอมขายชาติตนเอง การเสนอข้อมูลเช่นนี้ต้องระมัดระวังอย่างมากในขณะที่ชาติมีภัยคุกคาม ทั้งนี้ การเจรจาจะรับฟังแนวทางเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ และการนำสันติภาพกลับคืนมา โดยรัฐบาลไทย ยืนยันปกป้องอธิปไตย บูรณาภาพของดินแดนไทยทุกตารางนิ้ว นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 กรกฎาคม 2568 กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ

ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก

ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ

Advertisement

ศบ.ทก.เปิดไทม์ไลน์เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 กรกฎาคม 2568 โฆษก ศบ.ทก. ไล่เลียงไทม์ไลน์ เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำทหารกัมพูชาวางอาวุธครบมือ พร้อมเปิดฉากยิงก่อน ใกล้ปราสาทตาเมือนธม ก่อนขยายการปะทะไปอีก 6 จุด ประชาชนตาย 1 บาดเจ็บ 3 เด็ก 5 ขวบเจ็บด้วย ชี้ ศบ.ทก. ยกระดับขั้นที่ 4 ปิดทุกด่านชายแดน วอนนักพนันไทยดูแลตัวเอง เดินทางกลับไม่ได้

พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ศบ.ทก. แถลงว่า ที่ประชุม ศบ.ทก. ได้มีการพูดคุยติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยไล่เรียงเหตุการณ์ก่อนเกิดการปะทะ โดยเฉพาะล่าสุด เหตุการณ์รอบวางระเบิดที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสาหัส ยืนยันว่า เป็นพื้นที่ปฏิบัติการของฝ่ายไทย มีการลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลา 7:35 น. ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้โดรนบิน เพื่อตรวจการการวางกำลังของฝ่ายไทย บริเวณประสาทตาเมือน จากนั้นได้พบความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชานำอาวุธเข้าประจำการบริเวณด้านหน้าลวดหนาม พร้อมกำลังพล 6 นายอาวุธครบมือ โดยมี RPG อยู่ในมือ เคลื่อนมายังบริเวณแนวหน้า ซึ่งฝ่ายไทยมองแล้วว่าสถานการณ์ไม่น่าปลอดภัย จึงได้ใช้ความพยายามในการตะโกนเจรจาแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จากนั้นเวลา 8.20 น.ฝ่ายกัมพูชาเริ่มเปิดฉากยิงก่อน บริเวณตรงข้ามฐานหมูป่า ทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ห่างจากปราสาทตาเมือน 200 เมตร ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้

จากนั้นสถานการณ์ก็ได้ขยายพื้นที่ออกไปตามแนวชายแดนต่างๆ และเกิดพื้นที่ปะทะอีก 6 จุด ได้แก่ พื้นที่ปราสาทตามเมือนธม ประสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหาร บริเวณห้วยตามาเรีย ภูมะเขือ ช่องอานม้า ช่องจอม พร้อมย้ำปัจจุบันฝ่ายกัมพูชา ใช้อาวุธหนัก เช่น BM21 และปืนใหญ่ขนาด 122 มิลลิเมตร ทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนประชาชน โดยเฉพาะฝ่ายไทย รวมถึงการสูญเสียชีวิตของประชาชน นอกจากนี้ยังมีการโจมตีพื้นที่สาธารณะ คือ ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และยังโจมตีไปยังโรงพยาบาลของไทย

“ฝ่ายไทยได้มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัยแล้ว แต่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คน หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นเด็กชายอายุ 5 ขวบ และเสียชีวิต 1 คน ในพื้นที่ชุมชนบริเวณชายแดนพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ยอมรับว่า สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จึงขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชน ติดตามข่าวสารทางการอย่างต่อเนื่อง” พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าว

พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าว ฝ่ายไทยได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ 2551 มาตรา 39 โดยให้กองทัพไทยจัดตั้งศูนย์บัญชาการทางทหารในแต่ละระดับชั้น ตั้งแต่ยามปกติเพื่อติดตามสถานการณ์ และควบคุมอำนวยการสั่งการ การปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ศูนย์บัญชาการทางทหาร มีผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้บังคับบัญชา สามารถดำเนินการใช้กำลังทางทหารได้ พร้อมระบุว่าการดำเนินการของ ศบ.ทก. เดิมมีมาตรการควบคุมเปิดปิดด่าน และได้เน้นย้ำมาเสมอว่า ด่านไทยไม่เคยปิด และใช้มาตรการถึงระดับ 2 คือ จำกัดคนและจำกัดเวลา แต่ปัจจุบันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้จำเป็นต้องยกระดับมาตรการควบคุมชายแดน จุดผ่านแดนต่างๆ ไปถึงระดับที่ 4 คือ ปิดด่านการเข้าออกทุกด่าน ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา และที่ผ่านมาพบว่าสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีการรายงานว่ามีการจับตานักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางโดยเครื่องบินไปเล่นการพนันในพื้นที่ชายแดน และเดินทางกลับช่องทางทางบกตามแนวชายแดน ซึ่งพฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ ทางการไม่สนับสนุน จึงได้มีการรวบรวมและติดตามพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง และจะมีการเข้มงวดกับกลุ่มเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ประกอบกับช่วงนี้มีสถานการณ์ชายแดน ทำให้มีการปิดการชายแดน จึงไม่สามารถเดินทางกลับทางบกได้ จึงขอแจ้งเตือนไปยังประชาชนที่ยังมีพฤติกรรมดังกล่าว ขอให้งดการเดินทางในลักษณะเช่นนี้ พร้อมกันนี้ อยากฝากไปยังประชาชน ว่า ทางการไม่ได้นิ่งกำลังใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

Advertisement

Verified by ExactMetrics