วันที่ 19 ตุลาคม 2025

“ภูมิธรรม” หารือ​ทูตสหรัฐฯ ปัญหาชายแดนไทย​-​กัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 สิงหาคม 2568 “ภูมิธรรม” หารือ​ทูตสหรัฐฯ ปัญหาชายแดนไทย​-​กัมพูชา พอใจยึดหลักเจรจา 2 ประเทศ เปิดพื้นที่รับนานาชาติสังเกตการณ์​ เตรียมพบทูตจีนวันพรุ่งนี้

นายภูมิธรรม​ เวชยชัย​ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังหารือกับนายรอเบิร์ต​ เอฟ.โกเด็ก เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา​ประจำ​ประเทศไทย ​ว่า​ มีการพูดคุยกันหลายเรื่องซึ่งหนึ่งในนั้น คือ เรื่องชายแดนไทยกัมพูชา โดยยืนยันจุดยืนว่าจะรักษาอธิปไตยของเรา​ รักษาสันติ แก้ปัญหาด้วยวิธีการพูดคุยและหลีกเลี่ยงความรุนแรง เพราะประชาชนและทหารของเราต้องประสบปัญหา ซึ่งตนได้ยืนยันไปว่าไม่อยากให้สู้กันด้วยสงครามข่าวสาร แต่ขอให้สู้กันด้วยความจริง เพราะประเทศไทยยืนอยู่บนหลักการยึดมั่นกฎหมายระหว่างประเทศ รวมไปถึงกฎกติกาสากล ส่วนอะไรต่างๆตนก็เชื่อว่าความจริงจะพิสูจน์ทุกอย่างได้ พร้อมยืนยันในหลักการการพูดคุยระหว่าง 2 ประเทศผ่านกลไกทวิภาคี แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้คงไม่จบลงโดยง่าย ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถจบลงได้ หากยึดหลักที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน​

นายภูมิธรรม​ ยังกล่าวอีกว่า​ ทูตสหรัฐอเมริกา ได้ขอบคุณไทยที่ดูแลสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่มาพบนายภูมิธรรมเมื่อวาน​ และลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากอยากให้เขาเห็นพื้นที่จริงทั้งหมด​ เพื่อให้เห็นกับตา​ ว่าใครอยากเข้าสู่สันติภาพมากที่สุด เพราะการพูดแต่ละฝ่ายก็ต่างพูดได้​ และในวันพรุ่งนี้ตนจะพบกับเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เช่นกัน

เมื่อถามถึงท่าทีของทูตสหรัฐฯต่อกรณีชายแดนกัมพูชาเป็นเช่นไร นาย​ภูมิธรรม​ กล่าวว่า​ เขาก็พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งเราก็ได้ขอบคุณที่ริเริ่ม ทำให้เกิดการพูดคุยเกิดขึ้น และเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ในการหารือประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC​ ยังประเทศมาเลเซีย และยังได้บอกให้ทราบว่าทูตทหารอาเซียนก็ทำหน้าที่มาพอสมควร หลังมีการประชุมที่ประเทศมาเลเซียเพียง 10 วัน​ ก็สามารถตั้งคณะ IOT ขึ้นมาได้ และขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ในพื้นที่ต่างๆ จะช่วยให้การพูดคุยดีขึ้น ก่อนที่ทั้งหมด จะรายงานให้คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย – กัมพูชา​ หรือ​ RBC และ GBC​ ช่วงวันที่​ 8​ – 10 กันยายนนี้​ แต่ถึงอย่างไรไทยย้ำจุดยืนว่า อยากเห็นการพูดคุยกันระหว่าง 2 ประเทศ

เมื่อถามว่าหลังจากการหารือกับทูตสหรัฐฯในประเด็นชายแดนจะสามารถสื่อสารไปยัง นายโดนัลด์​ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่​ นายภูมิธรรม ระบุว่า สหรัฐแจ้งว่าหลังจากการพูดคุยกับตน​ทั้งหมด​ ก็จะรายงานทันที

Advertisement

ไทย-สวีเดน ลงนามซื้อ “กริพเพน” เฟสแรก 4 ลำ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 สิงหาคม 2568 ไทย-สวีเดน ลงนามซื้อ “กริพเพน” เฟสแรก 4 ลำ “มาริษ-ผบ.ทอ.” ร่วมเป็นสักขีพยาน ชูเป็นเขี้ยวเล็บป้องกันตัว พ่วง Offset Policy พัฒนาอุตสาหกรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลา 17.20 น. ตามเวลาในประเทศไทย รัฐบาลไทยและสวีเดน ได้บรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ในการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง วงเงิน 19,500 ล้านบาท โดยมี พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย มีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ดร.พอล ยอนซอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีว่า ข้อตกลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้าง “เขี้ยวเล็บ” ให้กองทัพ แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญในการผลักดัน “นโยบายชดเชยทางเศรษฐกิจ” (Offset Policy) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอย่างเป็นรูปธรรม

พิธีลงนามดังกล่าวประกอบด้วยความตกลงสำคัญ 3 ฉบับ โดยฉบับแรกคือสัญญาจัดซื้อเครื่องบินระหว่าง พล.อ.อ.พันธ์ภักดี กับนายมิคาเอล กรันโฮล์ม ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานยุทโธปกรณ์สวีเดน (FMV) และฉบับที่สองคือความตกลง Offset Policy ระหว่าง ผบ.ทอ. กับนายลาร์ส ทอสส์มันน์ จากบริษัท Saab AB ผู้ผลิต ส่วนฉบับที่สามเป็นข้อตกลงภายในของฝ่ายสวีเดน การจัดซื้อครั้งนี้เป็น 4 ลำแรกจากแผนทั้งหมด 12 ลำ เพื่อทดแทนเครื่องบินขับไล่ F-16 ที่ประจำการมานานกว่า 37 ปี โดยมีกำหนดเริ่มจัดส่งตั้งแต่ปี 2572 เป็นต้นไป

นายมาริษ กล่าวว่า นโยบายการต่อยอดอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน จนถึงนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เพื่อสร้างประโยชน์ให้ประเทศไทยในระยะยาว “เราตั้งเป้าหมายให้ภาครัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวก ขณะที่ผู้ประกอบการจะเป็นผู้เล่นหลักในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ”

รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า การลงนามครั้งนี้ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สวีเดนและประชาคมโลก ภายหลังจากสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกองทัพไทยได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและการปฏิบัติตามหลักสากลอย่างชัดเจน

“พวกเราใช้เครื่องบิน Grippen ปฏิบัติการทางทหาร และแสดงให้เห็นชัดว่า เราไม่มีแนวคิดที่จะใช้อาวุธเพื่อรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน เป้าหมายทางทหารที่เรายึดถือได้แสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าเราปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด”

นายมาริษ ได้เน้นย้ำถึงความแม่นยำในการปฏิบัติการของกองทัพอากาศ โดยอ้างอิงข้อมูลจาก ผบ.ทอ. ว่าปฏิบัติการทั้งหมดไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชา แต่เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้สามารถทำลายเป้าหมายทางทหารของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแตกต่างจากการใช้อาวุธของอีกฝ่าย

“หากเปรียบเทียบกับสิ่งที่กัมพูชาใช้อาวุธกับเรา จะเห็นได้ชัดว่าการใช้อาวุธของกัมพูชามุ่งเน้นไปที่การรุกรานและโจมตีเป้าหมายของพลเรือน ซึ่งตรงกันข้ามกับปฏิบัติการของเรา”

สุดท้าย นายมาริษ ย้ำว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่รักสันติเช่นเดียวกับสวีเดนและสหภาพยุโรป แต่การมีศักยภาพในการป้องกันตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การซื้อขายเครื่องบิน Grippen ในครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ไทยร่วมมือกับนานาประเทศที่รักสันติ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการใช้อาวุธเพื่อปกป้องตนเองอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในประชาคมโลกมากยิ่งขึ้น

Advertisement

พล.อ.ณัฐพล​ เผย​ กต.เตรียมคลิปทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด ให้อนุกรรมการออตตาวา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 สิงหาคม 2568 พล.อ.ณัฐพล​ เผย​ กต.เตรียมคลิปหลักฐานทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด ให้อนุกรรมการออตตาวา​ เร่งประสานญี่ปุ่น​ในฐานะประเทศปฏิบัติเข้ามา​ตรวจสอบ​ก่อนประชุมคณะใหญ่ปลายปี​

พลเอกณัฐ​พล​ นาคพาณิชย์​ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม​ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม​ กล่าวถึงกรณี​ภายหลังจากทหารไทยพบโทรศัพท์ปริศนาที่ภูมะเขือ เมื่อเปิดออกดูก็พบภาพและคลิปของทหารกัมพูชากำลังฝังทุ่นระเบิด PMN-2 นอกจากนี้ในคลิปยังมีการพูดเป็นภาษาเขมร คล้ายกำลังสาธิตทุ่นระเบิด PMN-2 ว่าไทยจะดำเนินการอย่างไรต่อไปในการฟ้องนานาชาติ​ ว่า​ เราจะทำ 2 อย่าง ในแง่ของนานาชาติเราจะเผยแพร่เพื่อให้สังคมโลกได้รับทราบว่าห้วงเวลาที่ผ่านมา​ แม้ว่ารัฐบาลกัมพูชา​จะแสดงความจริงใจในการหยุดยิง​ แต่กำลังพลหน้างานยังปฏิบัติการยั่วยุ​ ฝ่าฝืน ทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ถ้ารัฐบาลกัมพูชามีความจริงใจ ก็แสดงว่าทหารไม่มีวินัย ขณะนี้ตนมองอย่างนั้นก่อน แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่มีความจริงใจค่อยว่ากันอีกที ดังนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการในขณะนี้ คือต้องดำเนินการให้สังคมรับทราบทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขอให้สื่อมวลชนเสนอข่าวให้ชัดเจนว่า คณะกรรมการอนุสนธิสัญญาออตตาวา​ คณะกรรมการใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา ซึ่งไทยมีเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย​ ประจำสหประชาชาติ​ ณ​ นครเจนีวา​ ก็จะคอยติดตามขับเคลื่อน ซึ่งตนเคยบอกแล้วว่าจะมีการประชุมประจำปีในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม

“แต่มีสื่อฯ บางสำนัก บอกให้รอเดือน พ.ย.- ธ.ค.​ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น นั่นคือกลไกหลัก แต่ขณะเดียวกันเรามีหลักฐานเพิ่มเติมซึ่งตนรับทราบจากกระทรวงการต่างประเทศ ว่า คณะอนุกรรมการออตตาวา ก็ได้ขอหลักฐานมาเรื่อยๆ ดังนั้นกรณีที่พบหลักฐานเพิ่มเติม ก็จะส่งเพิ่มเติมไป” พลเอกณัฐพล กล่าว

ขณะเดียวกันนอกจากคณะกรรมการชุดใหญ่อยู่ที่นครเจนิวา​ยังมีคณะกรรมการปฏิบัติ​ตามกฎออตตาวาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น​ ซึ่งเราได้พยายามติดต่อประเทศญี่ปุ่นให้คณะกรรมการชุดนี้ลงมาดูก่อน ก่อนที่จะถึงการประชุมใหญ่ ซึ่งทางญี่ปุ่นก็ตอบรับ แต่ไทยยังรอขั้นตอนว่าจะลงมาได้เมื่อใด

ขณะเดียวกัน พลเอกณัฐพล​ กล่าวว่า​ กลไก การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC)​ ก็พยายามจะพูดคุยกับกัมพูชา ด้วยสภาพแวดล้อมสังคมข้อมูลข่าวสาร ก็น่าจะมีความกดดันกับกัมพูชาได้พอสมควร ดังนั้นในการประชุม GBC รอบหน้า จะยกเรื่องนี้มาหารืออีกว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจะทำอย่างไร​ ก็อย่างจะให้สื่อมวลชนเข้าใจ​ ว่า​ GBC​ หรือ ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา (ศบ.ทก.)​ จะใช้กลไกการปฏิบัติการเก็บกู้ทุนระเบิดเพื่อมนุษยธรรม​ (RMAC) โดยเราจะทำในกรอบอาเซียนเอง แม้ประเทศอื่นจะเข้ามา​ ก็ขอในลักษณะการบริจาค หรือการสนับสนุนเครื่องมือ จะไม่เอากำลังจากนอกภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นแนวทางการทำงานของ GBC และศบ.ทก.​ จะเน้นในเรื่องทวิภาคี​ แต่ถ้าเป็นพหุภาคีก็ขอให้อยู่ในกรอบอาเซียน เราต้องทำให้เวทีโลกเห็นว่าอาเซียนเราดูแลกันเองได้เป็นสิ่งที่ตนได้เน้นย้ำกับหน่วยปฏิบัติ ดังนั้นจึงอยากให้สื่อมวลชนเห็นว่าการทำงานมันมีเรื่องต้องคิดมากมาย และความมั่นคง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องทหาร แต่ยังรวมถึง​ สังคมจิตวิทยาเศรษฐกิจ​ การเมือง​ ไม่ใช่ดูเรื่องการทหารอย่างเดียว

“ในส่วนของการทหาร​ ผมสบายใจ​ ผมมั่นใจในความพร้อมของกองทัพ​ ว่าพร้อมตลอดเวลา​ สื่อฯไม่ต้องกังวลว่าเจามาแบบนี้เขาจะทำอะไรหรือเปล่า​ เราพร้อมขอให้ดูเวลานั้น​ จะไม่พูดก่อน” พลเอกณัฐพล

ส่วนที่ทำประเทศจีนอาสาเข้ามาช่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งถือว่าเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ ในอาเซียน จะเข้ามาได้หรือไม่ หรือจะแก้ไขปัญหากันเองในกรอบอาเซียน พลเอกณัฐพล ยืนยันว่าใช่ ในวันที่ตนไปประชุม GBC ก่อนการประชุมได้พบกับนายอันวาร์​ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนได้ยืนยันกับตนว่า จีนกับสหรัฐฯขอเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ เพราะฉะนั้นธรรมดาเรื่องการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นไทย​ กัมพูชา​ จีนหรือสหรัฐฯ​ การสื่อสารระหว่างกันของหน่วยงานภาครัฐ ยังไม่ชัดเจน

“แต่หลักของเราเมื่อผมรับผิดชอบ​ GBC และ ศบ.ทก.​ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่อย่างไรก็ตาม ก็ถือหลักเดิมว่าขอแก้ปัญหาด้วยกลไกทวิภาคีเป็นหลัก หลังจากนั้นในส่วนของพหุภาคีขอให้อยู่ในอาเซียน ประเทศอื่นขอให้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์อย่างเดียว พร้อมย้ำว่าฝ่ายความมั่นคงยึดถือนโยบายความสมดุลมาตลอด และที่เราอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะนโยบายความสมดุล​ สมมติว่าถ้าจีนเข้ามา ต่อไปสหรัฐก็จะขอเข้ามา ต่อไปประเทศอื่นก็จะขอเข้ามา นี่คือกรอบที่เราใช้อยู่” พลเอกณัฐพล​ กล่าวและว่า ขอให้สื่อฯ ช่วยอธิบายกับสังคมและนักวิชาการเข้าใจความคิดของ ศบ.ทก.และ GBCเราคิดเยอะคิดทุกด้าน

ส่วนที่ทางกัมพูชา​ออกมาระบุว่าเป็นการสร้างหลักของฝ่ายไทย โดยอ้างว่า ชุดทหารในคลิปเป็นชุดจากทหารเชลยศึกทั้ง 18 คน​ พลเอกณัฐ​พล​ ยืนยันว่า​ ตราบใดที่ยึดมั่นในความจริง เครดิตเป็นสิ่งที่สังคมเชื่อถือ หลักฐานที่มีชาวโลกจะเชื่อถือใคร​ เราหรือกัมพูชา ตนจึงบอกว่าเราต้องไม่ไปสู้กับเฟคนิวส์​ เพราะเราจะเสียเครดิตไปด้วย​ ตามที่ตนเคยบอกว่า ศีลเสมอกัน ตราบใดที่เราหลักความจริงอาจช้าไปบ้าง​ ก็ต้องขออภัยสื่อฯ​ เพราะเราต้องตรวจสอบเราไม่สามารถสวนได้ทันที แต่ถ้าเป็นเฟคนิวส์ เราสวนได้หมด พร้อมยกตัวอย่างถ้าตนเป็นลุง​ ตนสวนได้ทันที​ เพราะข้อมูลมีอยู่แล้วสวนได้​ หรือนักวิชาการต่างๆที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์​ ก็สวนได้ทันที​ จะพูดอะไรก็ได้แต่ตนเป็นผอ.ศบ.ทก. ประธาน GBC และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะพูดอย่างนั้นไม่ได้ ต้องตรวจสอบก่อน การใช้ความจริงสู้กับเฟคนิวส์ นั่นคือเครดิตในระดับประเทศหรือแม้แต่พวกเราเอง​ สื่อฯหากช่องไหนบิดเบือนจะเชื่อเขาหรือไม่​ แระชาขรมีดุลยพินิจ​ไม่ใช่บิดเบือนง่ายๆ​ เพียงแต่อาจจะชอบหรือสะใจเท่านั้น จึงเออออไปด้วย ดังนั้นหลักของศบ.ทก. คือยึดความจริงไปสู้กับเฟคนิวส์​

พลเอกณัฐพล​ ยังย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศจะส่งหลักฐานที่พบใหม่ให้กับประเทศที่ให้เงินทุนสนับสนุนในการเก็บกู้ทุนระเบิดกับประเทศกัมพูชา และขณะนี้เรามีรายชื่อประเทศที่ให้การสนับสนุนทั้งหมดแล้ว ดังนั้นแต่ละประเทศจะตัดสินอย่างไร ก็ต้องรอฟังข้อมูลอย่างรอบด้าน ตนมั่นใจว่าข้อมูลของเรามีความน่าเชื่อถือ​ ความจริงอย่างไรก็บิดเบือนไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำว่า RMAC มีกัมพูชาเป็นประธาน จะให้ความร่วมมือหรือไม่ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า กัมพูชาเป็นประธาน แต่อีก 9 ประเทศสมาชิก คงไม่ถูกครอบงำ​ได้ทั้งหมด​ พร้อมย้ำคำเดิมว่า​ เราต้องค่อยๆ การสู้ด้วยความจริง​กฎหมาย สู้ด้วยความถูกต้อง​ มันก็ยากแต่ยั่งยืน

Advertisement

กต.ย้ำ “บ้านหนองจาน” เคยเป็นที่พักพิงชั่วคราว “ชาวเขมร”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 สิงหาคม 2568 กต.ออกแถลงการณ์ ปม “บ้านหนองจาน” เดิมเคยเป็นที่พักพิงชั่วคราว “ชาวเขมร” ย้ำ “ไทย” อดกลั้นมาหลายปี แต่ “กัมพูชา” กลับเจตนาร้าย ขาดความจริงใจ รุกล้ำดินแดน

กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนคำแถลงของกองทัพบกไทยเกี่ยวกับพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีภัยจากการสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย และต่อมา ฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป ถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และฝ่ายไทยได้คัดค้านและดำเนินการประท้วงการล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยดังกล่าวมาโดยตลอด และขอย้ำประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.ประเทศไทยได้แสดงความอดกลั้นอย่างสูงสุดมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี และยึดมั่นในการดำเนินการอย่างสร้างสรรค์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดี โดยยินดีหารือข้อแตกต่างใด ๆ ผ่านกลไกทวิภาคีที่เหมาะสม เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชากลับใช้ประชาชนของตนมารุกล้ำดินแดนอย่างไม่ชอบธรรม ผิดกฎหมาย และเป็นการยั่วยุให้เกิดความตึงเครียด

2.การอาศัยประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชากลุ่มนี้ของไทยในอดีต ตามหลักมนุษยธรรมที่ไทยยึดถือมาโดยตลอด เป็นการกระทำที่ไม่เพียงแต่ขาดความจริงใจ แต่ยังสะท้อนถึงเจตนาร้ายที่แท้จริงของฝ่ายกัมพูชา

3.สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งลวดหนามในเขตแดนไทยนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนไทย ป้องกันมิให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมจากฝ่ายกัมพูชา และป้องกันการเข้ามาวางทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา โดยการดำเนินการของไทยไม่เป็นการขัดต่อข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน

Advertisement

กลาโหมไทย แจงไม่มีแนวความคิดรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 สิงหาคม 2568 กลาโหมไทย แจงไม่มีแนวความคิดรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา ตามที่กล่าวอ้าง ย้ำรักษาสถานะการวางกำลัง หลังมาตรการหยุดยิงมีผล เรียกร้องกัมพูชาเร่งตอบรับเก็บกู้ทุ่นระเบิด และร่วมมือปราบการหลอกลวงออนไลน์

กรณี กระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์เกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องปราสาทตาควาย เมื่อ 10 สิงหาคม และปรากฏการนำเสนอข่าวผ่านบุคคล และสื่อต่างๆ ของกัมพูชา กระทรวงกลาโหม ขอเรียนว่า ฝ่ายไทยไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพล เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตามที่กล่าวอ้าง โดยได้รักษาสถานะการวางกำลัง หลังมาตรการหยุดยิงมีผล เที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ไทยพร้อมจะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ตามเงื่อนไขเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC ไทย-กัมพูชา เมื่อ 7 สิงหาคม ตามที่ตกลงกันไว้ เพื่อให้กองกำลังในพื้นที่ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการหยุดยิงในแต่ละพื้นที่

และยืนยันฝ่ายไทยยังคงยึดมั่นในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน ในการประชุม GBC อย่างเคร่งครัด พร้อมขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชา ร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการหยุดยิงอย่างเคร่งครัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการงดเว้นการนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ หลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายเกิดความเข้าใจผิด และร่วมกันสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการพูดคุยอย่างสันติ พร้อมขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาเร่งตอบรับ ให้ความร่วมมือ ใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะและพื้นที่อื่นๆ ตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์หรือออนไลน์สแกม เพื่อหารือทวิภาคีในทุกระดับและนำไปสู่การปฏิบัติโดยเร็วต่อไป

ที่ผ่านมามีทหารทั้งหมด 5 นายที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญจากการเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชา นำมาวางไว้ในพื้นที่ดินแดนไทย ได้แก่

พลทหาร ธนพัฒน์ หุยวัน ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ชุดลาดตระเวนกองร้อยทหารพรานที่ 2302 เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนจากฐานปฏิบัติการมรกต พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ไปยังเนิน 481 เมื่อ 16 ก.ค. ต้องสูญเสียขาซ้าย

จ่าสิบเอก พิชิตชย บุญชูหล้ำ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 8 เกิดเหตุเหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ต้องสูญเสียข้อเท้าขวา

ร้อยตรี เกียรติวงศ์ สถาวร สังกัด กองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 2 เหยียบกับระเบิดขณะนำชุดปฏิบัติการรบพิเศษเข้าเคลียร์พื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ เมื่อ 28 ก.ค.68 ต้องสูญเสียขาขวา

จ่าสิบเอกธานี พาหา ผบ.หมู่ ปก.มว.ปล.ที่ 2 ร้อย.5.111 เหยียบกับระเบิด ข้อเท้าซ้ายขาด ขณะลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.68

สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 เหยียบกับระเบิด วันนี้ (12 ส.ค.) ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนแนวชายแดนไทย ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้อเท้าซ้ายขาด

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้านแม่ของสิบเอกธีรพล ที่หมู่ 1 ต.สำโรงใหม่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ พบชาวบ้านมาให้กำลังใจนางสาคร เพียขันที แม่ของสิบเอกธีรพล เป็นจำนวนมาก นางสาคร ได้ดูคลิปภาพขณะรถพยาบาลนำร่างของลูกชายไปส่งโรงพยาบาล ด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งทราบว่าขาซ้ายลูกชายขาด

นางสาคร บอกว่าทุกครั้งที่ลูกชายจะไปทำงานตามชายแดน หรือกลับจากชายแดนจะเข้ามากราบเท้าแม่แล้วเอาเท้าแม่เหยียบที่หัวทุกครั้ง และจะฉีกเอาชายผ้าถุงของแม่ ติดตัวไปด้วย ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ลูกชายโทรมาว่าสบายดีไม่เป็นอะไรแล้วเพราะหยุดรบแล้ว ก็ดีใจว่าลูกปลอดภัย แต่เพียงข้ามคืนกลับได้รับข่าวว่าลูกชายขาขาด และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ดีใจที่ลูกชายได้รับใช้ชาติ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

Advertisement

“ทูตรัศม์” ชี้ “ยกเลิก MOU 43” เข้าทางกัมพูชา ไทยเสียเปรียบทันที

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 สิงหาคม 2568 “ทูตรัศม์” ชี้ “ยกเลิก MOU 43” เข้าทางกัมพูชา ไทยเสียเปรียบทันที เตือนสติคนไทยอย่าหลงกลกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม

นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตและผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 โดยยืนยันว่าการยกเลิก MOU ในขณะนี้ จะทำให้ไทยเสียเปรียบและเข้าทางกัมพูชา

MOU 43/44: เป็นเพียง “กรอบเจรจา” ไม่ใช่ “สัญญาเสียดินแดน”

โดยเป็น”กรอบการเจรจา” (Framework for Negotiation) ที่สองประเทศตกลงร่วมกันเพื่อกำหนดกติกาในการพูดคุย

โดยท้ายที่สุด ผลลัพธ์ของการเจรจาจะต้องนำเข้าสู่การเห็นชอบของรัฐสภาก่อนจึงจะมีผลทางกฏหมายแท้จริง

รัฐบาลหรือใครจะไปตกลงเองตามลำพังไม่ได้ ซึ่ง”MOU 43 เป็นการกำหนดกติกาว่าเราจะคุยกันเรื่องอะไรบ้าง มีวาระอะไรบ้าง โดยมีสาระสำคัญคือ 1) การแก้ปัญหาต้องเป็นการเจรจาทวิภาคีโดยสันติ 2) มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกหลักในการคุย และ 3) ระบุเอกสารอ้างอิงที่จะใช้ร่วมกัน” นายรัศม์กล่าว

นายรัศม์ กล่าวว่า ในอดีตเคยมีการประชุม JBC กันมาก่อนที่จะมี MOU แต่การเจรจาเป็นไปอย่างไม่มีทิศทาง จึงได้สร้าง MOU 43 ขึ้นมาเพื่อให้การพูดคุยมีแบบแผนที่ชัดเจนขึ้น และหากยกเลิก MOU ท้ายสุดก็ต้องตั้งกรอบใหม่ และการยกเลิกMOU43นั้นสามารถทำได้ แต่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประกาศยกเลิกแล้วจะมีผลทันที

“สมมติว่าเรายกเลิกไป วันหนึ่งเมื่อจะกลับมาเจรจากันใหม่ สุดท้ายก็ต้องมานั่งตกลงกันเพื่อสร้างกรอบการเจรจาขึ้นมาอีกอยู่ดี ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำ MOU ฉบับใหม่”นายรัศม์ กล่าว

นายรัศม์ กล่าวว่าปัจจุบันกัมพูชาเป็นฝ่ายที่กำลังละเมิดข้อตกลงใน MOU 43 อยู่แล้ว” ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ที่ตกลงกันว่าห้ามเปลี่ยนแปลง หรือความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเจรจาทวิภาคีตามกรอบ JBC เพื่อนำเรื่องไปสู่เวทีอื่น เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ยิ่งยกเลิกก็ยิ่งเข้าทางเขา หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ MOU43 คือเงื่อนไขสำคัญที่ยังดึงให้กัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจากับไทย”

นายรัศม์ กล่าวว่า แม้จะชื่อว่า MOU แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศมีสถานะเทียบเท่าสนธิสัญญาที่มีพันธกรณีผูกมัด ทุกวันนี้กัมพูชาพยายามจะหนีจากพันธกรณีนี้ ดังนั้น หากเราเป็นฝ่ายยกเลิก MOU ตอนนี้ ก็จะเข้าทางเขาเลย เพราะเท่ากับเราปลดปล่อยเขาออกจากพันธกรณีที่ต้องคุยกับเราในโต๊ะเจรจา การที่เรายังยืนยันใน MOU นี้ ก็เพื่อจะชี้ให้โลกเห็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่ไม่ทำตามข้อตกลง

นายรัศม์ กล่าวว่า แปลกใจที่เห็นบางพรรคออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ ทั้งที่พรรคดังกล่าวที่เคยอยู่ร่วมในรัฐบาลก่อนหน้าร่วมสิบปีที่แล้ว ก็ไม่เคยคัดค้านอะไรแสดงว่าย่อมเห็นด้วย แต่วันนี้มาเปลี่ยนท่าทีแบบไร้หลักการ ก็ทำให้น่าสงสัยในเจตนาและความบริสุทธิ์ใจ

Advertisement

“มาลี” เบาได้เบา หลังโฆษกกลาโหมกัมพูชาลวงโลกรายวัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 สิงหาคม 2568 “มาลี” เบาได้เบา หลังโฆษกกลาโหมกัมพูชาลวงโลกรายวัน ย้ำเส้นทางสันติภาพจะมั่นคงได้ ต้องเริ่มต้นจาก “ความจริง” เท่านั้น

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนขอเรียกร้องให้โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา หยุดการสร้างข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง และเลิกนำข้อมูลเท็จมาอ้างเพื่อกล่าวหาโจมตีประเทศไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ตัวอย่างล่าสุด คือการกล่าวอ้างผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่าไทยเตรียมอพยพประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ เพื่อเปิดฉากโจมตีกัมพูชาก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันไม่มีคำสั่งอพยพใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าว

ข้อมูลเท็จลักษณะนี้ไม่เพียงสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณะชน แต่ยังเป็นบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของกัมพูชาเอง ในเวทีระหว่างประเทศ จึงขอให้ หยุดการกระทำดังกล่าว

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยังคงยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แต่ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดจากการละเมิดข้อตกลงซ้ำซากโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีการเคลื่อนไหวกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

“เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่แทนที่จะร่วมมือกันลดความตึงเครียด ฝ่ายกัมพูชายังคงเลือกใช้การบิดเบือนข้อมูล ซึ่งเป็นบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศกัมพูชาเองบนเวทีนานาชาติ ทุกการตอบโต้ของประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เราพร้อมเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนและองค์กรระหว่างประเทศได้ทุกเมื่อ และขอยืนยันว่า เส้นทางสันติภาพจะมั่นคงได้ ก็ต่อเมื่อเริ่มต้นจากความจริงเท่านั้น” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 สิงหาคม 2568 รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง ด้วยพยานหลักฐานทุกมิติ ต่อประชาคมโลกผ่าน OSCE-เวทีระดับสูงด้านความมั่นคงของยุโรป ยืนยันหลักสันติวิธี ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ และตอกย้ำว่าการปกป้องประชาชนจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมายสากล พร้อมใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าบทบาทของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริงและแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวานนี้ (1 สิงหาคม 2568) ที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมการประชุม Helsinki+50 ในกรอบองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมี นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม

โดยในช่วงของการกล่าวถ้อยแถลง หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ย้ำท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า “ไทยยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และหลักการของ Helsinki Final Act อย่างไรก็ดี การโจมตีด้วยอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุและไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตประชาชนและความเสียหายต่อสาธารณูปโภคของไทย ทำให้กองทัพไทยมีความจำเป็นต้องดำเนินการตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาเพื่อปกป้องตนเอง (self-defense) อย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยยืนยันพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง และพร้อมใช้กลไกหารือทวิภาคีที่มีอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป”

นอกจากนี้ หัวหน้าคณะผู้แทนไทยยังได้ใช้โอกาสนี้ ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงของไทยในระดับภูมิภาคด้วยการแสดงความพร้อมของไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนเพียงหนึ่งเดียวในกรอบ OSCE ในการเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับ OSCE ผ่านกิจกรรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญในประเด็นที่เป็นความสนใจร่วมกัน ได้แก่ การต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ การต่อต้านการค้ามนุษย์ การจัดการชายแดน ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือภายใต้กรอบ ASEAN Regional Forum (ARF) ตลอดจนหารือกับผู้แทนจากประเทศสมาชิกยุโรป ได้แก่ 1. เอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำ OSCE 2. อธิบดีฝ่ายการเมือง กระทรวงการต่างประเทศลักเซมเบิร์ก และ 3. รองอธิบดีฝ่ายการเมือง กระทรวงการต่างประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค และแนวทางการส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีความร่วมมือระดับสากล

นายจิรายุ กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ยังได้ประกาศความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 2026 OSCE Asian Conference ร่วมกับฟินแลนด์ ภายใต้หัวข้อหลักคือ “การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงทางออนไลน์” ซึ่งจะต่อยอดจากผลลัพธ์ของการประชุมเชิงปฏิบัติการหัวข้อ “Combatting Online Scams” และการประชุม 2025 OSCE Asian Partners for Co-operation Group (APCG) ที่ไทยร่วมจัดกับ OSCE เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2568 ณ กรุงเวียนนา รวมทั้ง ไทยได้บริจาคเงินอุดหนุนเข้ากองทุน Helsinki+50 ในโอกาสครบรอบ 25 ปีแห่งความเป็นหุ้นส่วนไทย–OSCE เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการดำเนินงานของ OSCE ให้บรรลุวัตถุประสงค์ และยืนยันบทบาทของไทยในเวทีความมั่นคงระหว่างภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

“รัฐบาลไทยจะไม่ยอมจำนนต่อความบิดเบือนหรือการกล่าวหาโดยปราศจากข้อเท็จจริง พร้อมยืนหยัดบนเวทีโลกด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ยึดหลักสากลอย่างมั่นคง และเดินหน้าทำงานเชิงรุกเพื่อให้ประชาคมโลกเห็นภาพความจริงที่ว่า ไทยปกป้องประชาชนของตนอย่างมีเหตุผล และยังเปิดกว้างต่อการแก้ปัญหาโดยสันติ” นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

“มาริษ” ขอบคุณเวียดนามเข้าใจท่าที-หนุนการทูตไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กรกฎาคม 2568 “มาริษ” เผย รมว.กต.เวียดนามเยือนไทย ห่วงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา พร้อมขอบคุณเวียดนามเข้าใจท่าที และสนับสนุนการทูตไทย

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงการเดินทางเยือนประเทศไทย ของนายบุ่ย แทงห์ เซิน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศเวียดนาม ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อแสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศเวียดนาม แสดงความพร้อมที่จะมีบทบาทสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งในโอกาสนี้ นานมาริษ ได้ขอบคุณฝ่ายเวียดนามที่เข้าใจท่าที และสนับสนุนการดำเนินการทางการทูตของไทยในฐานะเพื่อบ้านที่ดี ที่มีความจริงใจ และต้องการแก้ไขสถานการณ์ด้วยความสันติวิธี

นายมาริษ ยังเปิดเผยว่า ทั้งไทย และเวียดนาม ยังแสดงความยินดีกับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิด และได้หารือถึงแนวทางการยกระดับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ รวมถึงการจัดทำแผนปฏิบัติการหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน การส่งเสริมความเชื่อมโยงและการท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงในอนาคต อาทิ การเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 5 ในช่วงปลายปีนี้

Advertisement

ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องหยุดยิงคืนนี้เวลา 24.00 น.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 กรกฎาคม 2568 ผลหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นพ้องหยุดยิงคืนนี้ เวลา 24.00 น. และกลับไปใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

แถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการประชุมพิเศษที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างกัมพูชาและไทย

รัฐบาลของประเทศมาเลเซีย กัมพูชา และไทย ได้ออกแถลงการณ์ร่วมฉบับนี้ ภายหลังจากการประชุมพิเศษที่จัดขึ้น ณ เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ อิบราฮิม เป็นประธาน เจ้าภาพ และผู้ร่วมสังเกตการณ์ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนด แห่งกัมพูชา และรองนายกรัฐมนตรีรักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ร่วมจัด และสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วมอย่างแข็งขัน เพื่อส่งเสริมการแก้ไขสถานการณ์ด้วยสันติวิธี

นายกรัฐมนตรีฮุน มาแนด และรองนายกรัฐมนตรีภูมิธรรม เวชยชัย ได้แสดงจุดยืนและความตั้งใจที่จะหยุดยิงโดยทันที และคืนสู่สภาวะปกติ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ติดต่อกับผู้นำของทั้งสองประเทศเพื่อเรียกร้องให้หาทางออกอย่างสันติ ส่วนฝ่ายจีนก็ได้ติดต่ออย่างใกล้ชิดกับกัมพูชา ไทย มาเลเซีย และประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการเจรจา การหยุดยิง และการฟื้นฟูสันติภาพ

การมีส่วนร่วมและความร่วมมือของทุกฝ่ายสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างสันติภาพ การเจรจา และเสถียรภาพในภูมิภาค

ทั้งกัมพูชาและไทยได้บรรลุความเข้าใจร่วมกัน ดังต่อไปนี้:

1.การหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคง

2.การประชุมไม่เป็นทางการระหว่างผู้บัญชาการทหารภูมิภาค (กองทัพภาคที่ 1 และ 2 ของฝ่ายไทย และกองทัพภาคที่ 4 และ 5 ของฝ่ายกัมพูชา) ในเวลา 07.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 และอาจมีการประชุมต่อเนื่องกับผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารภายใต้การนำของประธานอาเซียน หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ

3.การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพ

ในฐานะประธานอาเซียนปัจจุบัน มาเลเซียพร้อมประสานงานจัดตั้งทีมผู้สังเกตการณ์เพื่อตรวจสอบและรับรองการปฏิบัติตามข้อตกลง โดยจะหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ เพื่อร่วมกันสนับสนุนภารกิจการสังเกตการณ์ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนสันติภาพ

ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะ รื้อฟื้นช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองประเทศ

รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของมาเลเซีย กัมพูชา และไทย ได้รับมอบหมายให้ร่วมกันจัดทำกลไกโดยละเอียดสำหรับการดำเนินการ ตรวจสอบ และรายงานผลการหยุดยิง ซึ่งกลไกนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนและความรับผิดชอบร่วมกัน

ที่ประชุมยืนยันเจตจำนงร่วมของมาเลเซีย กัมพูชา และไทย ในการยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือพหุภาคี เพื่อแสวงหาทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืนต่อสถานการณ์ดังกล่าว

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การหารือประสบความสำเร็จ ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นพ้องร่วมกันยุติการยิง มีผลในเวลา 24.00 น. ของวันนี้ (28 ก.ค.68) และกลับไปใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญในการลดทอนความรุนแรง และเริ่มฟื้นฟูสันติภาพความมั่นคงอีกครั้ง รวมถึงได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการโดยจะมีการประชุมระหว่างแม่ทัพภาค 1 และ 2 ของฝ่ายไทยและกองทัพภาค 4 และ 5 ของกัมพูชา ในวันพรุ่งนี้ (29 ก.ค.68) เวลา 7.00 น. อีกทั้งจะมีการเชิญผู้ช่วยทูตทหารของอาเซียนมารับฟังการหารือของทั้งสองฝ่ายด้วย นอกจากนี้ไทยขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่แสดงความกังวลและความปรารถนาดี

Advertisement

Verified by ExactMetrics