People Unity News : กลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ประชุมภาคใต้ ดีเดย์ฟ้ององค์กรรัฐสามแห่งฉ้อโกงประชาชน หลังบุกร้องกองปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ป.ป.ท. กระทรวงศึกษาธิการและ ป.ป.ง.ได้คำตอบเพียงขณะนี้ได้รับเรื่องไว้

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 หลังจากกลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ 200 กว่าคนจากทั่วประเทศไปร้องเรียนกองปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ป.ป.ท. กระทรวงศึกษาธิการและ ป.ป.ง.ให้ทำการตรวจสอบการกระทำของสำนักงานสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ธนาคารรัฐแห่งหนึ่ง และบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ส่อว่าจะฉ้อโกงประชาชนตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2561 ต่อมามีเพียงสองหน่วยงานเท่านั้นที่ตอบมาว่า บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง อาจมีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 จึงได้ส่งข้อมูลการกระทำผิดและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป และ ป.ป.ท.ได้ตอบมาว่า ขณะนี้ได้รับเรื่องไว้แล้วนั้น

นายสำคัญ จงโกเย็น เลขาธิการกลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา เราได้ประชุมกับคณะทนาย 8 คนที่กรุงเทพฯ ที่ประชุมตกลงกันกำหนดวันฟ้องศาลทุจริตกลางและศาลทุจริตฯประจำภาคต่างๆ ในเดือนธันวาคม 2562 และจะทำการประชุมก่อนฟ้องร่วมกับพี่น้องครูผู้กู้รายละ 6 แสนบาทในโครงการ ช.พ.ค.5 ครูผู้กู้รายละ 1.2 ล้านบาทโครงการฯ 6 และครูผู้ก้ 3 ล้านบาทโครงการฯ 7 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ในวันเสาร์ที่ 30พ.ย.นี้

นายสำคัญกล่าวอีกว่า หนึ่งปีเต็มเราได้รับความร่วมมือจากแหล่งข่าว ผู้ใหญ่ในกระทรวงและสืบค้นพบว่า น่าจะมีเงื่อนงำอันเป็นปมเงื่อนหนี้ครูอยู่มากและมีความซับซ้อนมาก อาทิเช่น1. ครูผู้กู้โครงการ5-6-7 มีจำนวนรวม 358,705 ราย ยังคงต้องต่ออายุกรมธรรม์ประกันวินาศภัยอุบัติเหตุฯ ไม่ใช่ประกันชีวิตฯตามมติคณะรัฐมนตรี
22 พ.ค.2550 ครูต่างเดือดร้อนกันมาก เพราะอัตราเบี้ยประกันรายละ 33,480 บาท(เงินกู้6แสน) 66,960 บาท(เงินกู้ 1.2ล้านบาท) 186,300 บาท(เงินกู้3ล้านบาท)
ครูแทบสิ้นเนื้อประดาตัวและแสนสาหัส ถ้าไม่มีเงินเสียเบี้ยประกันในสัญญาข้อ 6 ให้ธนาคารออมสินหักเบี้ยประกันได้เลย แล้วไปเพิ่มยอดหนี้เรื่อยๆ ส่งเท่าไรก็เสียแต่ดอกเบี้ย เงินต้นเล็กน้อย อย่างเช่น ครูกลุ่มหนึ่งเมื่อโอนหนี้ไปแก้ยังสหกรณ์ครูจะต้องผ่อนส่งถึง 519 งวด เลยทีเดียวเราพากันเรียกว่า ชาติหน้าก็ใช้หนี้ไม่หมด 2. เงินค่าคอมมิชชัน มีหลักฐานแสดงการจ่ายเงินนี้แก่คนใน สกสค.สองส่วน ธนาคารออมสิน 1 ส่วน และบริษัทประกันอีก 1ส่วน ตอนแรกใส่ถุงไปแจกกันในระดับสาขา เขต และภาค ตอนหลังจำนวนเงินมากขึ้นต้องโอนเข้าบัญชีลับของธนาคาร สามารถตรวจสอบได้ที่บัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง เพราะเป็นเงินโอนทันทีจากธนาคารทุกสาขามาทำประกันกับบริษัทนี้มีจำนวนเงินสูงถึง 3 หมื่นกว่าล้านบาท

3. เอกสารน่าจะสมคบคิดกันในการหักโอนใน 4 บัญชีของ สกสค.ที่ธนาคารมอบให้ตามสัดส่วนร้อยละ 1 ของผู้กู้ ไปชำระหนี้แทนครูผู้กู้ค้างชำระ 3 เดือนติดต่อกันเพราะอดีตเลขาธิการ สกสค.ได้ไปลงนามในฐานะ”ผู้มีอำนาจทำการแทน” ให้กับรองผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค 1 เป็นผู้หักโอนจาก 4 บัญชีไปชำระหนี้แทนครูรวมแล้วทั้งสิ้น 99,198 คน เป็นเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท

นายสำคัญยังกล่าวอีกว่า ในงานประชุมเตรียมฟ้องนี้ จะมีวิทยากรที่น่าสนใจอีกสองคน คือนายสมคิด หอมเนตร ประธานเครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน จะพูดถึงอดีต รมช.กระทรวงพาณิชย์มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และได้เป็นผู้ประสานองค์กรของรัฐทั้งสาม และจะได้เปิดเผยถึงส่วนแบ่งคอมมิชชันเป็น 4 ส่วน

อีกทั้งยังจะชี้ให้เห็นว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งการที่ธนาคารปล่อยกู้ให้แก่คณะกรรมการ สกสค.23 คนรวมทั้งปลัดกระทรวงรายละ2ล้านบาทโดยไม่ต้องทำประกันหนี้แต่ประการใด และยังนำเงินกองทุนสนับสนุนพิเศษฯที่ออมสินให้ครูและ สกสค.ไปให้เจ้าหน้าที่ สกสค. กู้ยืมในวงเงินที่สูงดอกเยี้ยต่ำเพียงร้อยละ2ต่อปี ฯลฯ และนายสาโรช บุตรเนียร อดีตนิติกรและคณะทำงานของรัฐมนตรีคนก่อนจะพูดถึง การทำสัญญาเงินกู้เป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ การทำประกันเป็นการสร้างภาระมากกินปกติแก่ครูหรือไม่ ก่อนทำประกันเคยมีการบอกกล่าวครูให้รู้ก่อนหรือไม่หรือเพียงมีแผ่นปลิว และเอกสาร สกสค.เท่านั้น และการรักษาผลประโยชน์ของครูโดยองค์กร สกสค.ชื่อเต็มๆ ก็บอกอยู่แล้วว่าสวัสดิการและสวัสดิภาพครู ทำสมชื่อหรือไม่?

ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ผู้ประสานงานกลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์ กล่าวถึงงานนี้ว่า ตนจะพูดในเรื่อง 1. องค์กรของรัฐสมคบคิดกันฉ้อโกงครูหรือไม่ 2. สัญญาเงินกู้แบบสำเร็จรูปฝ่ายเดียวเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจนกลายเป็น”อาชญากรทางการศึกษา” กระทำการผ่านการกู้เงินและประกันภัยจนสร้างความเดือดร้อนของครูอย่างแสนสาหัสกระทบถึงคุณภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แก่ผู้เรียนและประชาชน และ 3.การสุมหัวกันแสวงหาประโยชน์ทั้งประกันภัย และการกู้เงินของอดีตปลัดกระทรวงและเจ้าหน้าที่ สกสค.แบบดอกเบี้ยถูกและไม่ต้องใช้หลักประกันใดๆ เลย.