วันที่ 29 มีนาคม 2024

กรมควบคุมโรครณรงค์วันอัมพาตโลกปี 2562 ลดเสี่ยงเป็นอัมพาต

People Unity : กรมควบคุมโรครณรงค์วันอัมพาตโลก ปี 2562 ให้ประชาชนรับรู้สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง ลดความเสี่ยงเป็นอัมพาต

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมรณรงค์วันอัมพาตโลก ปี 2562 ซึ่งตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี และประเด็นในการรณรงค์ปีนี้ คือ “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” เพื่อเน้นให้ประชาชนรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต พร้อมเชิญชวนให้ดูแลสุขภาพของตนเอง เพราะโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อัมพาตหรือ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดหล่อเลี้ยงทำให้มีอาการชาที่ใบหน้า ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หลอดเลือดสมองตีบหรือตันและหลอดเลือดสมองแตก จากรายงานขององค์การอัมพาตโลก (WSO) พบว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก พบผู้ป่วยจำนวน 80 ล้านคน ผู้เสียชีวิตประมาณ 5.5 ล้านคน และยังพบผู้ป่วยใหม่ถึง 13.7 ล้านคนต่อปี โดย 1 ใน 4 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป และร้อยละ 60 เสียชีวิตก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ ยังได้ประมาณการความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในประชากรโลกปี 2562 พบว่า ทุกๆ 4 คน จะป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง 1 คน โดยร้อยละ 80 ของประชากรโลกที่มีความเสี่ยงสามารถป้องกันได้

สำหรับประเทศไทย จากรายงานข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบว่า จำนวนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ตั้งแต่ปี 2556-2560 มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในปี 2559 พบผู้ป่วย 293,463 รายในปี 2560 พบผู้ป่วย 304,807 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองปีละประมาณ 30,000 ราย จากสถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทย ซึ่งสามารถเกิดได้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะโรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาโรคหลอดเลือดสมอง จึงได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์วันอัมพาตโลกในวันที่ 29 ตุลาคม 2562 คือ “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” เพื่อให้เกิดความตระหนักในการป้องกันโรคดังกล่าว และรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรค คือ “F.A.S.T” F (Face) เวลายิ้มแล้วพบว่ามุมปากข้างหนึ่งตก, A (Arms) ยกแขนข้างใดข้างหนึ่งไม่ขึ้น, S (Speech) มีปัญหาด้านการพูด แม้แต่ประโยคง่ายๆ, และ T (Time) เวลามีอาการเหล่านี้ ให้รีบไปโรงพยาบาลโดยด่วนภายใน 4 ชั่วโมงครึ่งรวมการรักษา เพื่อจะได้รับการรักษาให้ทันเวลาและสามารถฟื้นฟูให้กลับมาได้เป็นปกติมากที่สุด หรือโทรสายด่วน 1669 ให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ โดยประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนของการเกิดโรค และปฏิบัติตามแนวทางเพื่อลดความเสี่ยง ดังนี้ 1.เลิกสูบบุหรี่ 2.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3.กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว ควรดูแลรักษาสุขภาพตามที่แพทย์แนะนำ ควรรับประทานยาและไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแผนการรักษา 4.ควบคุมน้ำหนักตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ 5.ออกกำลังกายวันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ 6.ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย มีการจัดการความเครียดที่เหมาะสม 7.ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และเพิ่มผัก ผลไม้ 8.ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

สธ.เดินหน้าจัดตั้ง”สถาบันกัญชาทางการแพทย์”ทำหน้าที่วิจัย

People Unity : สธ.เดินหน้าจัดตั้ง “สถาบันกัญชาทางการแพทย์” ทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม วิจัย พัฒนา การใช้กัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาล

วันที่ 28 ต.ค.2562 ที่สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเนศ ดุสิตสุนทรกุล ว่าที่ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ได้เปิดเผยว่า หลังจากสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระดมความคิดวางแผนจัดตั้ง “สถาบันกัญชาทางการแพทย์” ขึ้น เพื่อความยั่งยืนกัญชาทางการแพทย์ไว้ในกระทรวงสาธารณสุข การจัดตั้ง สถาบันกัญชาทางการแพทย์ ทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม วิจัย พัฒนา การใช้กัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการใช้กัญชามากขึ้น เพราะปัจจุบันกัญชาได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมากและสนใจปลูก แต่ไม่เข้าใจข้อกฎหมาย รวมไปถึงการขออนุญาติในการปลูก

ที่สำคัญที่สุดยังมีประชาชนไม่เข้าใจข้อกฏหมายพากันปลูกและถูกเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปจับกุม ประชาชนบางส่วนบางกลุ่มที่ยังไม่ขึ้นมามาบนดินยังแอบปลูกกัญชา ปัญหาเหล่านี้สำนักปลัดกระทรวงเป็นห่วงพี่น้องประชาชน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ทำงานเร่งด่วนเพราะท่านห่วงพี่น้องประชาชนได้ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง

วันนี้จึงได้มีการประชุมครั้งแรก เพื่อตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนให้พี่น้องประชาชนเข้าใจเรื่องของกัญชา มีองค์ความรู้เรื่องกัญชา ที่มีหลายหน่วยงานเข้ามาเป็นกรรมการและองค์กรภาคเอกชนมาระดมความคิด เพื่อก่อตั้งสถาบันกัญชาทางการแพทย์ โดยมีนายแพทย์สำเริง แหยงกระโทก กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลและเป็น ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต นายสุกษม อามระดิษ เลขานุการสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย และตัวแทนจากสภาเกษตรกรแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ซึ่งการระดมคนทำงานเพื่อให้เกิดสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ทางคณะทำงานต้องการให้ประสบผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะพี่น้องประชาชนรอเรื่องนี้อยู่

สสส.หนุนพระ”มจร”ทำวิจัย”ลดเหล้า บุหรี่”เชิงพุทธเมืองปราจีนบุรี

People Unity : สสส.หนุนพระ”มจร”ทำวิจัย”ลดเหล้า บุหรี่”เชิงพุทธเมืองปราจีนบุรี พร้อมภาคีเครือข่ายลงพื้นที่ถอดบทเรียนเซ็น MOU “บวร”เกาะมะไฟประจันตคาม สืบสานเจตนารมณ์หลวงพ่อพระครูประโชติพรหมธรรม”อย่าเอาวัดมาทำบาร์ อย่าเอาศาสนามาทำบ่อน”

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา นำโดย พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ, ผศ.ดร.หัวหน้าภาควิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว และผู้อำนวยการหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว มจร ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยฯ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายฯ ได้จัดกิจกรรมการถอดบทเรียนและพิธีลงนามความร่วมมือ โครงการเสริมสร้างสุขภาวะและเครือข่ายทางสังคมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงเชิงพุทธบูรณาการ (การบำบัดพฤติกรรมทางความคิดและสร้างเครือข่ายทางสังคมเพื่อลดเหล้า บุหรี่ เชิงพุทธบูรณาการในจังหวัดปราจีนบุรี) ที่วัดเกาะมะไฟ ต.บ้านหอย อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรีโดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 150 รูป/คน

โดยโครงการนี้คณะครุศาสตร์ มจร ได้ร่วมกับวัดเกาะมะไฟ โรงเรียนวัดเกาะมะไฟ องค์การบริหารสวนตำบลบ้านหอย ชุมชนตำบลบ้านหอยและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเกาะแดง ทั้ง 6 หน่วยงาน ได้ตระหนักถึงพิษภัยและผลกระทบอันเกิดจากการบริโภคบุหรี่และสุรา ในฐานะปัจจัยเสี่ยงที่มีผลเสียต่อสุขภาพ จึงได้มีการศึกษา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านการจัดกิจกรรมถอดบทเรียนเกี่ยวกับ “การบำบัดพฤติกรรมทางความคิดและสร้างเครือข่ายทางสังคมเพื่อลดเหล้า บุหรี่ เชิงพุทธบูรณาการในจังหวัดปราจีนบุรี” ขึ้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 ที่วัดเกาะมะไฟ โดยมีพระครูสถิตธรรมกิจ รองเจ้าคณะอำเภอประจันตคาม วัดเกาะแดง เป็นประธาน มีพระครูประโชติพรหมธรรม อดีตเจ้าอาวาสวัดเกาะมะไฟ และผู้แทนภาคีเครือข่าย เป็นวิทยากรหลัก จากนั้นภาคีเครือข่ายได้มีการดำเนินการขยายพื้นที่จากชุมชนวัดเกาะมะไฟออกไปเป็น 5 พื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมของ บ้าน วัด และหน่วยงานราชการ ผลจากการดำเนิการเบื้องต้นก่อให้เกิดบุคคลต้นแบบ จำนวน 13 คน บุคคลที่เลิกเหล้าตลอดชีวิตจำนวน 18 คนและบุคคลที่ลด ละ เลิก เหล้า ในพรรษา จำนวน 27 คน

โครงการนี้ได้เริ่มขึ้นในเวลา 13.30 น.ด้วยกิจกรรมการถอดเรียน “การขับเคลื่อนการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ” โดยผู้แทนภาคีเครือข่าย บุคคลต้นแบบ บุคคลที่เลิกเหล้าตลอดชีวิตและบุคคลที่ลด ละ เลิก เหล้า ในพรรษา โดยมีพระปลัดสรวิชญ์เป็นผู้ดำเนินการ

ผลจากการจัดกิจกรรมถอดบทเรียนพบว่า โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆในชุมชน ไม่ว่าจะเป็น วัด ผู้นำหมู่บ้าน หน่วยงานรัฐ อสม. อบต. ตลอดจนเยาวชนและสถานศึกษาในชุมชนเกาะมะไฟ ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน และร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา โดยให้ทุกคนเห็นถึงประโยชน์ในการลด ละ เลิก สุราและบุหรี่ ผลจากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4-5 ปีของกลุ่มผู้นำชุมชน ภาคีเครือข่าย และประชาชนในชุมชน ทำให้ปัจจุบันมีผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 300 คน จาก 5 หมู่บ้าน และมีผู้ที่สามารถลดละเลิกการดื่มสุราและยาเสพติดได้ถึง 250 คน

โดยผู้เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นโครงการที่ดีและมีผลการดำเนินงานดีขึ้นตามลำดับในช่วงเริ่มโครงการ 2 ปี โดยผู้นำชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความสำคัญและเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันในการผลักดันโครงการให้เห็นผลเป็นรูปธรรม แม้แต่หน่วยงานเล็กๆ เช่น โรงเรียน ซึ่งเยาวชนเองก็สามารถส่งต่อความรู้ความเข้าใจไปถึงครอบครัวได้ นอกจากนั้น การให้ความช่วยเหลือของผู้จัดตั้งโครงการ และผู้นำชุมชน ยังมีทัศนคติในการแก้ปัญหาว่า คนในชุมชนสามารถดูแลกันได้ โดยการพัฒนาบุคคลากรให้มีความสามารถในการดูแล ด้วยการอบรมหลักการชมเป็น ถามเป็น และแก้ปัญหาเป็นให้คนในชุมชน

ขณะเดียวกัน ประเด็นปัญหาที่ยังคงพบได้ในชุมชนคือ วิถีและค่านิยมในการดื่มของคนไทยยังคงมีอยู่ ซึ่งถือเป็นค่านิยมทางสังคมอย่างหนึ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจใหม่ให้กับชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนคนรุ่นหลังเพื่อให้เกิดค่านิยมที่ถูกต้อง นอกจากนี้สุราในท้องถิ่นของชุมชนยังหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกง่ายต่อการซื้อหามาดื่ม

ที่สำคัญภาวะจิตใจของผู้เข้าร่วมโครงการเองก็มีผลต่อการทำงานและการเข้าร่วมจนจบโครงการ โดยพบว่าที่ผ่ายมา มีบางรายได้ออกจากโครงการไปก่อน เนื่องจากไม่สามารถทนต่อภาวะทางจิตใจของตนเองได้ และการสร้างการรับรู้สำหรับผู้ที่ติดสุราให้พร้อมเผชิญและกล้าที่จะเข้ามาบำบัด หรือเข้าร่วมโครงการ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทีมทำงานในโครงการนี้ให้ความสำคัญเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่จะทำให้คนในชุมชนสามารถลด ละ เลิก การดื่มสุรา และบุหรี่ได้นั้น ต้องอาศัยกำลังใจ และความเข้มแข็งของสติและปัญญา เห็นคุณและโทษของอบายมุข โดยการใช้กระบวนการชุมชนบำบัด (community therapy) โครงการนี้ถือเป็นโครงการต้นแบบสำหรับชุมชนเกาะมะไฟ และสามรถขยายผลสู่ชุมชนอื่นๆ ได้ เป้าหมายคือการให้ชุมชนสามารถดูแลตัวเองได้ มีการช่วยเหลือกันของคนในชุมชน ซึ่งความต่อเนื่องในการดำเนินงานโครงการและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันต่อการขยายผลโครงการและความสำเร็จของโครงการในระยะยาวจากระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดทั่วประเทศไทยได้อย่างมั่นคง และยั่งยื่นต่อไป

ต่อมาเวลา 15.30 น. มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยระหว่างคณะครุศาสตร์ มจร ร่วมกับ วัดเกาะมะไฟ โรงเรียนวัดเกาะมะไฟ องค์การบริหารสวนตำบลบ้านหอย ชุมชนตำบลบ้านหอยและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเกาะแดง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาองค์ความรู้และกระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะในการลดปัจจัยเสี่ยงเชิงพุทธบูรณาการสร้างและพัฒนาเครือข่ายการสร้างสุขภาวะเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงบุหรี่และสุราในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี และพัฒนานโยบายเพื่อการรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยงบุหรี่และสุราในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีผู้แทนจากองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมลงนามและเป็นสักขีพยานจำนวน ๒๐ รูป/คน

และเวลา 16.00 น. พระพิศาลศึกษากร,ดร. ในนามพระเดชพระคุณพระพรหมเสนาบดี กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะภาค 7 ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล 5” ส่วนกลาง เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร ได้เมตตาเดินทางมาเป็นประธานมอบประกาศนียบัตรให้ บุคคลต้นแบบ บุคคลที่เลิกเหล้าตลอดชีวิต,บุคคลที่สามารถ ลด ละ เลิก เหล้า ในพรรษาและผู้แทนภาคีเครือข่ายและกล่าวให้โอวาทเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ตอนหนี่งว่า ท่านทั้งหลายได้ตัดสินใจเลิกดื่มเหล้าและสูบบุหรี่จะทำให้มีสุขภาพกายดีสุขภาพจิตและการนอนดีขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้นประหยัดเงินในกระเป๋าเป็นการปกป้องสุขภาพของคนในครอบครัวลดอุบัติเหตุ และลดอาชญากรรมในชุมชน โดยเฉพาะการรักษาศีล 5 ถือว่าเป็นเกาะป้องกันไม่ให้เราตกไปสู่อบายมุขหรือทางแห่งความเสื่อมขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทำกิจกรรมให้เกิดประโยชน์กับสังคมและชุมชน สืบต่อไป

จนกระทั้งเวลา 17.00 น. มีการประชุมคณะทำงานเพื่อสรุปผลการจัดโครงการฯ โดยมีพระปลัดสรวิชญ์เป็นประธานพร้อมสรุปว่า หน้าที่ของเราคือการดำเนินตามวิถีแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์ หวังช่วยให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ทางกายและใจ สร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นภายในเพื่อโยงใยไปสู่ภายนอกผ่านภาคีเครือข่ายที่มีจิตอาสาทำความดีที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน จัดทำฐานข้อมูลเพื่อขยายผลไปในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดในที่สุดก็จะทำให้เกิดบุคคลที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีทั่วประเทศต่อไป ที่สำคัญเราต้องนึกถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อพระครูประโชติพรหมธรรม อดีตเจ้าอาวาสวัดเกาะมะไฟ ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ทำงานเพื่อผู้อื่นท่านฝากเราทั้งหลายว่า “อย่าเอาวัดมาทำบาร์ อย่าเอาศาสนามาทำบ่อน” ถึงท่านไม่อยู่พวกเราก็ต้องสานต่องานท่าน ถือว่าเป็นความกตัญญู ผ่านการปฏิบัติบูชา

14 พ.ย.! กรมควบคุมโรคฉีดวัคซีนป้องโรคหัด กลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปี ฟรีที่ยังไม่เคยรับ

People Unity : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคหัดในไทยดีขึ้น สามารถควบคุมได้ โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดติดตามสถานการณ์โรคหัดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และรัฐบาลได้สนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในกลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปีทั่วประเทศ ฟรี ในกลุ่มที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน เริ่ม 14 พ.ย.นี้ แนะหากมีไข้สูง 3-4 วัน มีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้าแล้วแพร่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

วันที่ 25 ตุลาคม 2562 นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้มีรายงานข่าวว่าพบผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งประเทศที่มีผู้ป่วยโรคหัดสูง ได้แก่ มาดากัสการ์ อินเดีย ยูเครน ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย คาซัคสถาน บราซิล แองโกลา และพม่า นอกจากนี้ในช่วงต้นปียังเคยมีการระบาดในบางเมืองของสหรัฐอเมริกาด้วย ส่วนประเทศไทย ตั้งแต่มีการให้วัคซีนหัด จำนวนผู้ป่วยโรคหัดลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2558 พบผู้ป่วยจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ และในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น เรือนจำ โรงเรียน ค่ายทหาร ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดจำนวนผู้ป่วยโรคหัดให้เหลือไม่เกิน 1 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ภายในปี 2563 จึงได้มีการจัดทำโครงการกำจัดหัด เพื่อให้มีการค้นหาและรายงานผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัดให้ครบถ้วน ตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งจากโครงการดังกล่าว ในปี 2562 พบผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัด 7,470 ราย เสียชีวิต 21 ราย (1 มกราคม–18 ตุลาคม 2562) จังหวัดที่พบมาก ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ตาก ภูเก็ต และชลบุรี

นอกจากนี้ กลุ่มอายุที่พบจะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 1 ปี ซึ่งสัมพันธ์กับความครอบคลุมของวัคซีนต่ำในพื้นที่ และผู้ป่วยในพื้นที่อื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยแรงงาน อายุ 20–39 ปี โดยผู้ป่วยมักพบในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานสาธารณสุข ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อป้องกันควบคุมโรคหัดอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในทุกพื้นที่ จนทำให้สถานการณ์โรคหัดในประเทศไทยดีขึ้นอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และได้มอบหมายให้กองระบาดวิทยา และกองโรคป้องกันด้วยวัคซีน ติดตามสถานการณ์โรคหัดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด

นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีการให้วัคซีนป้องกันโรคหัดตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตั้งแต่ปี 2527 แก่เด็กอายุ 9 เดือน ต่อมาในปี 2539 ได้เพิ่มการฉีดวัคซีนโรคหัดเข็มที่สอง ดังนั้น ในผู้ใหญ่ที่เกิดก่อนปีที่เริ่มให้วัคซีน อาจไม่มีภูมิคุ้มกันถ้าไม่เคยเป็น ประกอบกับมีแรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงาน ทั้งนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในกลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปีทั่วประเทศ พ.ศ.2562-2563 ตามแผนเร่งรัดการกำจัดโรคหัดของประเทศไทย โดยไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆ เพื่อรณรงค์ให้วัคซีนเก็บตกในกลุ่มเด็กไทยและเด็กต่างชาติช่วงอายุดังกล่าว ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ทุกราย โดยเป็นการให้วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กอายุ 1-7 ปี และให้วัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน (MR) แก่เด็กอายุ 7-12 ปี จะเริ่มดำเนินการทั่วประเทศ ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้

อาการที่พบบ่อยของโรคหัด คือไข้ออกผื่น โดยมักมีไข้สูง 3-4 วัน แล้วเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นจากหลังหูแล้วลามไปยังใบหน้า กระจายไปตามลำตัว แขน ขา จากนั้นไข้จะลดลงและผื่นค่อยๆ จางหายไป ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบได้คือ คออักเสบ หลอดลมอักเสบจนถึงปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ ท้องเสีย และสมองอักเสบซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด หากป่วยด้วยโรคหัดหรือสงสัยว่าเป็นโรคหัดควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว ทั้งนี้ โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข จะฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) จำนวน 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็ก อายุ 9 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง หากพบว่าบุตรหลานยังรับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ ผู้ปกครองสามารถพาไปรับวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทุกแห่ง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

“นิติม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานี-กขป.เขต 11-ภาคีพลเมืองอาสา”บำบัดทุกข์ประชาชนไม่มีบัตรประจำตัว

People Unity : “นิติม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานี-กขป.เขต 11-ภาคีพลเมืองอาสา”บำบัดทุกข์ประชาชนไม่มีบัตรประจำตัว อำเภอพระแสง-บ้านตาขุน

วันที่ 18 ตุลาคม 2562 สืบเนื่องจาก ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ร่วมกับคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) เขต 11 และภาคีพลเมืองอาสาในพื้นที่ ได้ร่วมกันช่วยเหลือผู้ยากลำบากในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่ได้รายงานไปแล้วนั้น คณะนิติศาสตร์ได้มอบหมายให้ อาจารย์และเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เก็บข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้น พบว่า มีผู้ยากลำบากจากเหตุที่ไม่มีบัตรประชาชน จำนวน 43 ราย และเพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้มีบัตรประจำตัวประชาชนได้เข้าถึงสิทธิของรัฐอย่างเท่าเทียม จึงต้องลงพื้นที่เพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมชาย บุญคงมาก ผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย คณะนิติศาสตร์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูภณัชรัตนชัย บรรณาธิการวารสารนิติศาสตร์และสังคมท้องถิ่นพร้อมด้วยนางสาวรุ่งฤทัย เต็มไป หัวหน้าสำนักงานกองบรรณาธิการ และว่าที่ร้อยตรีหญิง เจนจิรา แซ่เตี่ยว เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ได้ลงพื้นที่พบ นายชัยพัทธ์ ช่วยชู ปลัดอำเภอพระแสง และนางวิภา พงศ์พิสุทธา ผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนจำนวน 4 ราย และ 1 รายในจำนวนดังกล่าวได้รับการช่วยเหลือ โดยการสืบค้นข้อมูลทะเบียนราษฎรและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นจนแล้วเสร็จ เกิดความหวังที่จะได้รับบัตรประจำตัวประชาชนในโอกาสต่อไป สร้างความปิติยินดีแก่ชาวบ้านรายนี้และญาติ ๆ เป็นอย่างยิ่ง ส่วนที่เหลืออีก 3 รายก็จะทยอยให้ความช่วยเหลือตามอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนายทะเบียนอำเภอพระแสงต่อไป

ในวันเดียวกันนี้ คณะทำงาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีได้เดินทางไปยัง ที่ว่าการอำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อพบ นางสาวศริญดา ปาลคะเชนทร์ ปลัดอำเภอชำนาญการพิเศษ และนายศรัญญู ยอดสุรางค์ ปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียนและบัตร ซึ่งในพื้นที่มีประชาชนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 2 ราย เบื้องต้นทางอำเภอได้ประสานไปยังชาวบ้านทั้ง 2 ราย เพื่อขอข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับการร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎรไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ถัดจากนี้ก็จะเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามอำนาจหน้าที่อย่างเต็มกำลังสามารถ ต่อไป

การลงพื้นที่ครั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูภณัชรัตนชัย กล่าวว่า การทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชน แม้จะยากลำบากที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคสักแค่ไหน แต่ก็มีความสุข และขอขอบคุณปลัดอำเภอพระแสง และผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอพระแสง ที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจังและจริงใจ ขอขอบคุณปลัดอำเภอบ้านตาขุนทั้ง 2 ท่าน ที่ให้การแนะนำและให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้อย่างดียิ่ง

ฝ่ายผู้ช่วยศาสตราจารย์สมชาย บุญคงมาก ผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ได้กล่าวขอบคุณปลัดอำเภอพระแสงและปลัดอำเภอบ้านตาขุน ที่ปฏิบัติภารกิจให้ความช่วยเหลือและบริการประชาชนให้เกิดสิทธิตามที่รัฐได้มอบให้ เป็นการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”แก่พี่น้องชาวบ้านอย่างแท้จริง

เตือนผู้ที่มีภาวะไขมันส่วนเกินสะสมมากกว่าปกติเสี่ยงเป็นโรคหอบหืด

People Unity : กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนผู้ที่มีภาวะไขมันส่วนเกินสะสมมากกว่าปกติ หรือโรคอ้วนลงพุง ทำให้ระบบหายใจทำงานติดขัด ก่อให้เกิดโรคหอบหืดตามมา

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า การรับประทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะที่มีไขมันสะสมมากผิดปกติหรือมากเกินกว่าที่ร่างกาย จะเผาผลาญออกไป ส่งผลให้พุงยื่นออกมาอย่างชัดเจน เรียกว่า โรคอ้วนลงพุง ซึ่งผลแทรกซ้อนของ โรคดังกล่าว อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา คือ เสี่ยงกับภาวะไขมันอุดตันหลอดเลือดและหัวใจ อาทิ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง ไตวาย มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว อีกทั้งไขมันส่วนเกินนั้นยังสามารถเข้าไปสะสมในปอดจนเบียดทางเดินหายใจ ทำให้หลอดลมตีบลง เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบากซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหอบหืดได้ ทั้งนี้ผู้ที่เข้าเกณฑ์เสี่ยงโรคอ้วนลงพุงจะมีลักษณะต่างๆ อย่างน้อย 3 ข้อ ดังนี้ คือ 1. ภาวะอ้วนลงพุง 2. ความดันโลหิตสูง 130/85 มม.ปรอทขึ้นไป 3. น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูงกว่า 100 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตรขึ้นไป 4. ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 5. มีไขมันดี ชนิด HDL ต่ำ โดยเพศชายน้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และเพศหญิงน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากพบว่าร่างกายมีลักษณะดังกล่าว ต้องรีบหาแนวทางการรักษาและป้องกันโรคอ้วนลงพุง เพื่อห่างไกลโรคร้ายแทรกซ้อนที่จะตามมาอย่างทันท่วงที

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคอ้วนลงพุง เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ทำให้มีอาการโรคหอบหืดตามมา อาการในผู้ป่วยโรคหอบหืดมักจะเหนื่อยหอบเวลาออกแรง ไอ เสมหะเหนียวข้น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก และมีเสียงดังวี๊ดๆ หรือมีอาการในช่วงกลางคืน และมีค่าความเร็วของลมหายใจออกสูงสุดอยู่ระหว่าง 50 – 80 % ของค่าที่ดีที่สุด ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตนด้วยการคุมอาหารและลดน้ำหนักในรายที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วัน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด มัน กะทิ ดื่มน้ำเปล่าหลีกเลี่ยงน้ำหวานและน้ำอัดลม หากสามารถปฏิบัติตนตามคำแนะนำต่างๆเหล่านี้ ได้อย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ จะทำให้หลีกหนีโรคอ้วนลงพุง ส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรงห่างไกลโรคร้ายที่แทรกซ้อนตามมาอีกด้วย

“บิ๊กป้อม”เชียร์”บิ๊กแดง” เป็นนายกฯต่อจาก”บิ๊กตู่”

People Unity : “บิ๊กป้อม”เชียร์”บิ๊กแดง” เป็นนายกฯต่อจาก”บิ๊กตู่” ยันงบประมาณด้านความมั่นคงมีรายละเอียดชัดเจนอยู่แล้ว

วันที่ 19 ต.ค.2562 ที่รัฐสภา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายค้านอภิปรายโจมตีงบประมาณด้านความมั่นคง ที่ไม่ได้มีการลงรายละเอียด เนื่องจากเกรงใจพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่า คงไม่ เพราะในงบประมาณก็มีรายละเอียดชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนที่ยังไม่ชัดเจนนั้น เป็นเพราะบางอย่างยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเอาไปทำอะไร เป็นการกำหนดเอาไว้แบบกว้างๆ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่ามีการเพิ่มค่าตอบแทนให้ทหารชั้นนายพล ตำแหน่งพิเศษใช้งบประมาณสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ หรือ 7 พันล้านบาทต่อเดือนพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ขอไปตรวจสอบก่อน แต่เท่าที่ดูไม่น่าจะมี เชื่อว่าคงไม่น่าจะมีการเพิ่มให้ทหารชั้นนายพล มีเพียงค่าปฎิบัติหน้าที่อย่างเดียว

เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าการโหวตร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จะเกิน 250 เสียง พล.อ.ประวิตร ย้อนถามสื่อมวลชนว่า “แล้วคุณว่าอย่างไร”

เมื่อถามว่านอกจากเสียงของรัฐบาลแล้วยังมีเสียงของพรรคฝ่ายค้านมาช่วยสนับสนุนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวพร้อมอมยิ้มว่า “ยังไม่รู้”

เมื่อถามอีกว่าแต่ท่านยิ้ม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมก็ยิ้มแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว”

ต่อข้อถามถามว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายค้านโจมตีผบ.ทบ.ภายหลังบรรยายายพิเศษในหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะให้ทำอย่างไรได้ ท่านก็ตั้งใจดี

ผู้สื่อข่าวถึงประเทศฝ่ายค้านคาดเดาว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมหรือ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นได้ก็ดี” ก่อนจะหัวเราะและเดินเข้าห้องประชุม

“AI กับพุทธธรรม” วิจัยสุดทันสมัย! คณาจารย์ “ม.สงฆ์ มมร”ทำ

People Unity :  “AI กับพุทธธรรม” วิจัยสุดทันสมัย! คณาจารย์ “ม.สงฆ์ มมร”ทำ “อุทิส ศิริวรรณ”เผย “พระพุทธเจ้าเป็นนักทรัพยากรมนุษย์ที่ทันสมัย”

วันที่ 20 ต.ค.2562 ศ.ดร.อุทิส ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพุทธศาสนา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว” Uthit Siriwan” ความว่า “ประเด็นวิจัยทันสมัย AI กับพุทธธรรม? โดยคณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) ตลอดสัปดาห์ผมใช้เวลาค่อนข้างมากค้นคว้าและอ่าน “งานวิจัยทันสมัย” AI เป็นต้น เพื่อตอบ “ประเด็น” ที่คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธร สมุทรสาคร ทั้ง 3 ท่าน ช่วยกันทำวิจัย

งานวิจัยชุดโครงการนี้น่าสนใจ เพราะประเด็นวิจัยที่ตั้งขึ้นยกตัวอย่าง “ทฤษฎี 3 สมดุล (สมดุลผลิต สมดุลบริโภค สมดุลผลประโยชน์) ที่ส่งเสริมให้เกิดการสนับสนุนกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค” ข้อคำถามคือ “การสร้างและใช้งานหุ่นยนต์ของผู้ผลิตย่อมมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียว คือ สนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของผู้บริโภค” ประเด็นที่ผมต้องตอบคือ ท่านเห็นด้วย หรือมีข้อโต้แย้ง หรือมีข้อสนับสนุนต่อประเด็นเหล่านี้หรือไม่อย่างไร

ยกตัวอย่างคำถามวิจัย เป็นต้นว่า… 1) ในแผนประเทศไทย 4.0 ที่ยึดโยงอยู่กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เห็นว่าแรงงานมนุษย์เป็นต้นทุนในการผลิตอย่างหนึ่ง การบริหารจัดการกิจการให้ได้กำไรมากที่สุดวิธีการหนึ่ง ก็คือ การลดต้นทุนการผลิตและบริหารจัดการ การจ้างงานมนุษย์ก็อยู่ในขอบเขตนี้ด้วย 2) เทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ยิ่งก้าวหน้ามากขึ้นเท่าใด ก็จะทำให้ผู้ประกอบการใช้หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ แทนแรงงานมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น รออีกสัก 1 ปี คงได้คำตอบจาก “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่หลากหลายวงการ ผมเองก็มี “ประเด็น” ที่จะอภิปราย….

ผมคิดอะไร? คิดว่าโลกในยุคเปลี่ยนผ่านพุทธศาสนาใช้ “ตอบ” โจทย์วิจัยประเด็นปัญหาชาวโลกในยุคดิจิทัลได้เพราะจะว่าไปแล้ว “พระพุทธเจ้า” เน้นให้ใช้แรงงานคนน้อย แต่ทำแล้วได้ผลงานมากอยู่แล้ว ยกตัวอย่างให้พระจาริกไปรูปเดียว และให้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า โดยเฉพาะเพื่อ “ประโยชน์” “เกื้อกูล” และ “ความสุข” บอกตรง ผมว่า “พระพุทธเจ้า” เป็น “นักทรัพยากรมนุษย์” ที่ทันสมัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.อุทิส ศิริวรรณได้ติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยีขึ้นสูงและแสดงความเห็นที่สัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้คณะสงฆ์เห็นความสำคัญ อย่างเช่นได้นำเสนอล่าสุดเรื่อง “การศึกษา’อุทิส ศิริวรรณ’นักวิชาการด้านพุทธศาสนา แนะใช้ ‘AI-IoT’ต่อยอดบาลีพุทธศาสตร์ศึกษาระดับป.เอก https://www.banmuang.co.th/news/education/163540)

“ก้อง ห้วยไร่”ถวายเพลเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดภูเก็ตน่าน

People Unity News : “ก้อง ห้วยไร่”พาคณะเข้าวัดทำบุญถวายเพลเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดภูเก็ตน่าน ตามโครงการของวัด “หนึ่งพันบาทเลี้ยงพระเณรได้ทั้งโรงเรียน”

วันที่ 29 ต.ค.2562 ที่วัดภูเก็ต อำเภอปัว จังหวัดน่าน “ก้อง ห้วยไร่” นักร้องลูกทุ่งดังเจ้าของผลงานเพลงดัง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” และคณะไปทำบุญเลี้ยงเพลสามเณรโรงเรียนวัดภูเก็ต ตามโครงการของวัด “หนึ่งพันบาทเลี้ยงพระเณรได้ทั้งโรงเรียน” ซึ่งมีพระภิกษุ สามเณรอาศัยอยู่ในวัดเพื่อศึกษาเล่าเรียนทั้งนักธรรม บาลีและแผนกสามัญ

“ศักดิ์สยาม”สั่ง”บินไทย”เร่งรัดแผนฟื้นฟู-จัดซื้อฝูงบินใหม่เสร็จก่อนสิ้นปีนี้

People Unity News : “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ตรวจเยี่ยมรับฟังสรุปผลการดำเนินงานและมอบนโยบายบริษัทการบินไทย สั่งเร่งรัดแผนฟื้นฟู-แผนจัดซื้อฝูงบินใหม่ ย้ำทำให้เห็นผลก่อนสิ้นปีนี้

วันที่ 28 ตุลาคม 2562 เวลา 14.00 น. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายเจือ ราชสีห์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายธานี สามารถกิจ คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช หน.คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะฯ

ตรวจเยี่ยมรับฟังสรุปผลการดำเนินงานและแผนฟื้นฟูฯ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานคณะกรรมการ บกท. นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บกท. คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ร่วมประชุมและให้การต้อนรับ ณ สำนักงานใหญ่ บกท. โดยได้มอบนโยบายให้ยกระดับองค์กรเตรียมพร้อมมุ่งสู่เวทีการแข่งขันระดับโลก ปรับระบบจำหน่ายบัตรโดยสารวางแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ เร่งสร้างมาตรฐานการบริการ วิธีการบริหารงานด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยใหม่เข้ามาใช้และพัฒนาบุคคลากรให้สอดคล้องกัน เข้มงวดการตรวจสอบคุณภาพในทุกมิติ การใช้วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ตลอดจนทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่ามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะแผนการพัฒนาบุคลากรที่ต้องมีคุณภาพมากกว่าปริมาณ มีบุคลากรด้านการซ่อมบำรุงเพียงพอเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการบิน

ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมตั้งคณะกรรมการบูรณาการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเพื่อการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว และเร่งรัดแผนการจัดหาเครื่องบินอย่างเพียงพอเหมาะสมด้วยความรวดเร็วและโปร่งใส พร้อมทั้งเน้นย้ำการประชาสัมพันธ์เชิงรุกในทุกกิจกรรม โครงการ สร้างการรับรู้ เพิ่มความเข้าใจที่ถูกต้อง ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรสู่สาธารณะ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการ

นายศักดิ์สยาม เปิดเผยว่าได้มอบนโยบายให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างบริษัท การบินไทย, บริษัท ท่าอากาศยานไทย, บริษัท วิทยุการบินฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อทำแผนธุรกิจร่วมกัน ร่วมกันกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอกประเทศให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นผู้นำคณะฯ

“ส่วนเรื่องแผนการฟื้นฟูและแผนการจัดซื้อเครื่องบิน ได้เร่งรัดกรอบเวลาที่ชัดเจนกับการบินไทยแล้ว ระยะเวลาที่จะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมจากแผนธุรกิจและแผนการฟื้นฟูอยู่ที่การนำไปปฏิบัติงาน ซึ่งได้แจ้งกับการบินไทยแล้วว่าจะต้องมีแผนการปฏิบัติงาน การวัดผล และเป้าหมายของแผนฟื้นฟูภายใน 3 เดือน และแผนการจัดซื้อเครื่องบินภายใน 6 เดือน”

Verified by ExactMetrics