วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025

แบงก์ชาติเร่งปรับปรุงกระบวนการปลดอายัดบัญชีผู้บริสุทธ์

2 กันยายน 2568 น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงประเด็นที่มีกระแสข่าวลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแสดงผลยอดเงินในบัญชีติดลบ และการปลดอายัดบัญชีล่าช้า

โดยระบุว่า กรณียอดเงินในบัญชีติดลบนั้น ธปท. ได้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงจากธนาคารที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่าเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ

1.เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2568 มีการปรับปรุงข้อมูลรายการเคลื่อนไหวของเงินฝากช่วงสิ้นวันไม่ครบถ้วน ส่งผลให้บัญชีเงินฝากจำนวนหนึ่ง มียอดเงินคงเหลือไม่เป็นปัจจุบัน ซึ่งธนาคารได้แก้ไขให้ถูกต้องเสร็จสิ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา

โดย ธปท. ได้สั่งการให้ธนาคารดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทุกราย รวมถึงได้เข้าตรวจสอบ และติดตามให้ธนาคารมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะนี้อีกในอนาคต ตลอดจนกำชับให้ทุกธนาคารมีมาตรการเชิงป้องกันเช่นกัน

2.เกิดจากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งธนาคารให้อายัดเงินในบัญชีต้องสงสัย แต่เงินในบัญชีเหลือน้อยกว่าจำนวนเงินที่ตำรวจแจ้งให้อายัด ระบบจึงแสดงยอดเงินในบัญชีติดลบ ซึ่งแต่ละธนาคาร มีแนวทางการแสดงข้อมูลที่แตกต่างกัน

โดย ธปท. ได้สั่งการให้ธนาคารเร่งสร้างความเข้าใจกับลูกค้าให้ชัดเจนแล้ว

สำหรับประเด็นการอายัดบัญชีต้องสงสัย เพื่อติดตามเงินกลับมาคืนผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด ซึ่งอาจจะกระทบการทำธุรกรรมของประชาชนส่วนหนึ่งนั้น น.ส.ดารณี กล่าวว่า ธปท. ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบปัญหา และอยู่ระหว่างเร่งปรับปรุงกระบวนการอายัด และการปลดอายัด ให้สามารถจัดการกับมิจฉาชีพและดูแลผู้เสียหายได้อย่างมีประสิทธิผล โดยไม่กระทบต่อผู้ใช้บริการปกติ รวมทั้งมีความรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะการปลดอายัดบัญชีกรณีผู้บริสุทธิ์

ทั้งนี้ หากประชาชนพบปัญหาในการใช้บริการทางการเงิน และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงทีจากสถาบันการเงิน สามารถติดต่อศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ธปท. ที่หมายเลข 1213 โดย ธปท. จะเร่งให้สถาบันการเงินตรวจสอบ และแก้ปัญหาอย่างเร็วที่สุด

Advertisement

เปิดลงทะเบียน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปฯ ทางรัฐ 25 ส.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 สิงหาคม 2568 ทำเนียบ – นโยบายเพื่อคนไทยลดภาระค่าใช้จ่าย รัฐบาลเปิดลงทะเบียน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปฯ ทางรัฐ เริ่มพรุ่งนี้ ไม่จำกัดสิทธิ คาดผู้โดยสารเพิ่ม 20%

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการค่าโดยสาร “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยไม่จำกัดสิทธิและจำนวนผู้ลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน 13 หลัก และบัตรโดยสารที่สามารถผูกเข้ากับระบบ ซึ่งจะเริ่มใช้งานจริงได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมรถไฟฟ้า 10 สายทุกเส้นทาง

ขั้นตอนการลงทะเบียนทำได้ง่าย เพียงดาวน์โหลดและติดตั้งแอปฯ “ทางรัฐ” บนสมาร์ทโฟน เลือกเมนูลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาท กรอกเลขบัตรประชาชน และผูกบัตรโดยสารที่ต้องการใช้สิทธิ โดยบัตรที่รองรับแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.บัตร EMV Contactless (Visa, Mastercard และบัตรแมงมุม EMV ของ MRT) สำหรับ MRT และ Airport Rail Link

2.Rabbit Card สำหรับ BTS

ทั้งนี้ การใช้สิทธิต้องแตะเข้า–ออกด้วยบัตรที่ลงทะเบียนไว้ หากใช้บัตรอื่นหรือซื้อตั๋วเที่ยวเดียว จะถูกคิดตามอัตราปกติ สำหรับการเดินทางต่อเดียวกัน กำหนดเวลา 180 นาที หากเปลี่ยนสายระหว่างสถานีภายใน 30 นาที ยังใช้สิทธิ 20 บาทได้ แต่หากเกินเวลาจะคิดค่าแรกเข้าใหม่ทันที

โครงการนี้เปิดลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดจำนวน โดยคาดว่าหลังเริ่มใช้งานจริง จะมีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 20% จากปัจจุบันเฉลี่ยวันละ 1.7 ล้านเที่ยว ทั้งนี้ การทดสอบในสายสีแดงและสีม่วงที่เคยให้ใช้ฟรี 1 สัปดาห์ พบว่าผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 39% สะท้อนถึงศักยภาพของมาตรการลดค่าโดยสารในการดึงดูดการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

“รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงทะเบียนใช้สิทธิรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง และส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

กพช. ไฟเขียวแพ็กเกจพลังงานใหญ่ ลดต้นทุนเศรษฐกิจโดยรวม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 สิงหาคม 2568 กพช. ไฟเขียวแพ็กเกจพลังงานใหญ่ ลดต้นทุนผลิต – อนุมัติค่าไฟบ้าน 3.94 บาท/หน่วย บรรเทาภาระค่าครองชีพ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยในรายการ ‘เสียงจากใจ ไทยคู่ฟ้า’ ออกอากาศวันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม 68 ใจความว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมประชุม ได้เห็นชอบมาตรการพลังงานสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพพลังงานและค่าครองชีพของประชาชน ในหลายเรื่องสำคัญ

ที่ประชุมได้อนุมัติการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมทั้งโครงการลมและแสงอาทิตย์ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจรจาราคากับภาคเอกชนให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน พร้อมขยายกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ไม่เกินปี 2573 เพื่อเร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดเข้าสู่ระบบไฟฟ้าไทย

กพช. ยังอนุมัติขยายอายุโรงไฟฟ้าน้ำพอง ชุดที่ 1–2 ออกไปอีก 6 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 ถึง 30 กันยายน 2574 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสุทธิได้กว่า 28,358 ล้านบาท พร้อมเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โดยเลื่อนการปลดโรงไฟฟ้าเครื่องที่ 8 และ 11 ออกไปถึงสิ้นปี 2574 ควบคู่กับการปรับปรุงเครื่องที่ 12–13 เพื่อใช้งานต่อถึงปี 2591 แนวทางนี้จะช่วยลดการลงทุนใหม่ ลดการนำเข้า Spot LNG และลดค่า Ft ลงเฉลี่ย 3.67 สตางค์ต่อหน่วย หรือประมาณ 9,566 ล้านบาทต่อปี

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังมีมติอนุมัติให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยแบบอัตราปกติ จ่ายค่าไฟฟ้าไม่เกิน 3.94 บาทต่อหน่วยในงวดกันยายน ถึงธันวาคม 2568 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทบทวนเกณฑ์เพดานการใช้ไฟฟ้า เพื่อให้ส่วนลดครอบคลุมผู้ใช้ส่วนใหญ่และเป็นธรรม

นอกจากนี้ กพช. ยังมีมติยืนยันราคาขายไฟฟ้าแก่ประเทศเพื่อนบ้านต้องไม่ต่ำกว่าราคาที่จำหน่ายภายในประเทศ เพื่อไม่ให้กระทบต้นทุนไฟฟ้าของประชาชนไทย พร้อมทั้งยกเลิกแผนการแยกศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (SO) ออกจาก กฟผ. โดยคงโครงสร้างแบบ Enhance Single Buyer (ESB) ที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องมาตรฐานสากล รวมถึงเห็นชอบให้เดินหน้าโครงการ Demand Response (DR) ต่อเนื่อง เพื่อควบคุมต้นทุนค่าไฟและลดการนำเข้า LNG โดยจะบรรจุค่าใช้จ่ายผลตอบแทน DR ไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ต่อไป

“รัฐบาลยืนยันว่า มาตรการพลังงานครั้งนี้จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ลดต้นทุนเศรษฐกิจโดยรวม และสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

“พิชัย” รับฟังข้อเสนอหอการค้าไทย ถกเยียวยาผู้ประกอบการชายแดน 7 จว.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 สิงหาคม 2568 “พิชัย” รับฟังข้อเสนอหอการค้าไทย พร้อมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน 7 จังหวัด

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การที่นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศ พร้อมคณะ เข้าพบเพื่อเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเยียวยา กรณีผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา

โดยรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แรงงานถือเป็นประเด็นเร่งด่วนที่จะต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบ โดยรัฐบาลจะจัดเวิร์กช็อปขนาดเล็ก เชิญเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจน ทั้งการดูแลแรงงานที่มีใบอนุญาตให้สามารถพำนักและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดียวกันก็จะเร่งดำเนินการตรวจสอบและนำแรงงานที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดรับแรงงานเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานในหลายภาคส่วน

โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอจากคณะ ดังนี้ มาตรการช่วยเหลือเยียวยาด้านแรงงานและการจ้างงาน ขอให้ลดเงินสมทบประกันสังคม สนับสนุนแรงงานทดแทนจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา รวมถึงประเทศอื่น ๆ เช่น บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น และจัดตั้งศูนย์ประสานงานแรงงานจังหวัด เพื่อบรรเทาภาระผู้ประกอบการ ดูแลแรงงานทั้งไทยและต่างด้าว และทำให้ระบบการจ้างงานเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และยั่งยืน

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการสนับสนุนหรืองบประมาณแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคีเอกชน สำหรับการจัดสัมมนาและศึกษาดูงานในพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว

มาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียม ขอให้พิจารณามาตรการลดภาษีในส่วนของภาษีท้องถิ่น (ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย ฯลฯ) รวมทั้งพิจารณาใช้มาตรการภาษีเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน 7 จังหวัด

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการท่องเที่ยวว่า จะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อกำหนดมาตรการเชิงรุกในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการสนับสนุนการจัดสัมมนาและกิจกรรมสำคัญใน 7 จังหวัดเป้าหมาย เพื่อสร้างบรรยากาศคึกคัก กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน สำหรับการดำเนินการด้านภาษี รัฐบาลจะพิจารณาเป็นรายมาตรการ เพื่อให้สามารถปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยยึดหลักความสมดุลระหว่างการดูแลรายได้ของรัฐและการบรรเทาภาระของประชาชน

รองนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่า จะนำข้อเสนอดังกล่าวไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในทุกระดับ ลดความคลาดเคลื่อนในการปฏิบัติ และสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลพร้อมดูแล แก้ไขปัญหา และขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ อย่างจริงจัง

Advertisement

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สานต่อ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 2 ขยายเวลาลงทะเบียน-เพิ่มคุณสมบัติ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 สิงหาคม 2568 ธอส. เดินหน้าสานต่อโครงการคุณสู้ เราช่วย เฟส 2 ขยายระยะเวลาลงทะเบียน พร้อมเพิ่มคุณสมบัติ ช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมมากขึ้น หลังมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการในเฟสแรกแล้วกว่า 97,000 บัญชี

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย ตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 97,000 บัญชี ธอส. จึงเดินหน้าสานต่อ “โครงการคุณสู้ เราช่วย” เฟส 2 โดยเพิ่มคุณสมบัติลูกค้าเข้าร่วมโครงการ และขยายระยะเวลาให้ลูกค้าเข้าร่วมโครงการถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน นับจากวันครบกำหนดชำระ โดยมีประวัติการค้างชำระ และเคยปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 หรือมีหนี้ค้างชำระเกิน 365 วัน นับจากวันครบกำหนดชำระ (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567)

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการต้องไม่มีการก่อหนี้ใหม่ภายใน 12 เดือนแรก ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน เช่น การซ่อมแซมบ้านจากเหตุแผ่นดินไหว หรือกู้เพื่อการฟื้นฟูที่จำเป็น โดยลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย เฟส 2 สามารถลงทะเบียนได้ผ่าน 3 ช่องทาง ประกอบด้วย เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย www.bot.or.th/Khunsoo หรือ แอปพลิเคชัน GHB ALL GEN และ แอปพลิเคชัน GHB ALL BFRIEND

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

Advertisement

รมช.คลังเผยข้อดี “หวยเกษียณ” พ่อค้า-แม่ค้าแห่สนใจล้นหลาม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 สิงหาคม 2568 กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดกิจกรรม “ศุกร์ได้ลุ้น-สุขได้ออม กับหวยเกษียณ” ณ ตลาดมีนบุรี กรุงเทพฯ โดยมี ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ นำคณะลงพื้นที่เดินตลาดมีนบุรีสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” โดยได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนในตลาดอย่างล้นหลาม

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวว่า การลงพื้นที่ตลาดมีนบุรีพบพ่อค้าแม่ค้า ประชาชนที่เดินจับจ่ายใช้สอยในครั้งนี้ เป็นการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อเตรียมความพร้อมของ “หวยเกษียณ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออมที่ได้ประโยชน์สองต่อ ต่อแรกคือได้ลุ้นเงินล้านทุกสัปดาห์ ต่อที่สองคือทุกบาทที่ซื้อกลายเป็นเงินออม ทำให้การออมกลายเป็นเรื่องสนุกและได้ลุ้นล้านทุกศุกร์ ที่สำคัญเงินต้นไม่หาย และยังมีผลตอบแทนเพิ่มจากการลงทุน เพื่อให้คนไทยทุกคนมีอนาคตทางการเงินที่มั่นคงและมีความสุขในวัยเกษียณ

โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  1. เป็นสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท เพื่อขายให้กับประชาชนทุกคนที่มีสัญชาติไทย และมีอายุ 15 ปี ขึ้นไป และซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อเดือน
  2. สามารถซื้อหวยเกษียณได้ทุกวัน ออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17.00 น. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันทีผ่านพร้อมเพย์ ซึ่งสามารถนำออกมาใช้ได้เลย โดยที่เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดถูกเก็บเป็นเงินออมในบัญชีส่วนตัวของตนเอง แม้ว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ก็ตาม
  3. รางวัลของ “ทุกวันศุกร์” กำหนดดังนี้

3.1. รางวัลที่ 1 (เป็นเลข 6 หลัก) รางวัล 1,000,000 บาท จำนวน 5 รางวัล

3.2. รางวัลที่ 2 (เป็นเลขหน้า 3 ตัว และเลขท้าย 3 ตัว) รางวัล 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล

3.3. รางวัลพิเศษ (แจ็คพอต) 1 รางวัล (ถ้ามี)

  1. หากในงวดใดที่รางวัลออกไม่หมด รางวัลที่ออกไม่หมดนั้นจะถูกทบยอดเป็นรางวัลพิเศษ (แจ็คพอต) ในงวดถัดไปทั้งหมดทันที
  2. “เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดจะเป็นเงินออมของผู้ซื้อสลาก” ซึ่งจะนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. และเมื่อผู้ออมอายุครบ 60 ปี จะคืนเงินทั้งหมดทุกบาท ทุกสตางค์ที่ซื้อสลากมาทั้งชีวิตบวกกับผลตอบแทนการลงทุนให้กับผู้ออม
  3. ประชาชนที่มีอายุเกิน 60 ปี ซื้อได้ด้วยด้วย แต่ต้องออมไว้ 5 ปี หลังจากวันที่ซื้อครั้งแรก และสามารถซื้อได้ไม่จำกัดรอบ ทุกรอบต้องออมไว้ 5 ปี
  4. หากเสียชีวิต เงินออมที่ซื้อหวยเกษียณทั้งหมดจะตกสู่ทายาทตามกฎหมายหรือบุคคลที่ผู้ซื้อระบุไว้

ซื้อหวย-เงินไม่หาย-กลายเป็นเงินออม ไปด้วยกันครับ

ฝากติดตามข่าวสารและกิจกรรมของกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ :

  • Facebook: กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช.
  • แอปพลิเคชัน กอช.
  • LINE Official: @nsf.th
  • เว็บไซต์: www.nsf.or.th
  • สายด่วน กอช. 02-0499000 ได้ทุกวันจันทร์–ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30–17.30 น.

Advertisement

แรงงานกัมพูชาทะลักกลับไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 สิงหาคม 2568 แรงงานกัมพูชาทะลักกลับไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ หลังโดนหลอกให้กลับ ล่าสุด มท.-รง. ผ่อนผันให้แรงงานกัมพูชาอยู่ไทยต่อได้อีก 6 เดือน ไม่ต้องข้ามแดนไปต่ออายุด้วยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก ฝ่ายความมั่นคง พบว่าในช่วงนี้มีแรงงานชาวกัมพูชาลักลอบใช้ช่องทางธรรมชาติ หลบหนีกลับเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากในหลายพื้นที่ โดยล่าสุดกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) รายงานว่า ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตรวจพบแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาจำนวนมากหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้นำรัฐบาลกัมพูชาได้เรียกร้องให้ชาวกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในไทยเดินทางกลับประเทศ โดยบอกว่าหากกลับบ้านจะมีงานให้ทำ มีเงินใช้ ทำให้มีแรงงานเดินทางกลับประเทศจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าเมื่อเดินทางกลับ กลับไม่เป็นอย่างที่แจ้งไว้ จึงจำเป็นต้องลักลอบเดินทางกลับเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติต่างๆ เพื่อกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เพิ่มมาตรการในการตรวจตราอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ 2 ฉบับของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน ที่อนุญาตคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ที่ครบวาระการจ้างงานหรือการอนุญาตให้พำนักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุดลง แต่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้ นั้น ได้อนุญาติให้สามารถทำงานในประเทศไทยต่ออีก 6 เดือน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม ทำให้คนต่างด้าวดังกล่าวที่ประสงค์จะทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สามารถทำงานในประเทศไทยได้เป็นกรณีพิเศษ ตามที่ประกาศไว้

“แม้จะมีการผ่อนผันแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่ไทยยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการคุ้มครองความมั่นคงของประเทศและการบังคับใช้กฎหมาย รัฐบาลขอยืนยันว่า ยังคงปฏิบัติระหว่างกันด้วยหลักมนุษยธรรม และยังคงช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้แรงงานกัมพูชาทุกประการ ตามหลักกฎหมายของประเทศไทย เพื่อให้อยู่ทำงานและอาศัยบนแผ่นดินไทยได้อย่างปลอดภัย” นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

“ถนนทรงวาด” สู่แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 สิงหาคม 2568 ไทยแลนด์น่าเที่ยว “ถนนทรงวาด” สู่แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุง รัฐ-เอกชนจับมือยกระดับพื้นที่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยงานศิลป์ไฟและดิจิทัล วันนี้-17 ส.ค.68

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และกลุ่ม Made in Song Wat เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้ถนนทรงวาด ย่านการค้าเก่าของกรุงเทพฯ กลายเป็น “Old Soul, New Style – ทรงวาดย่านนี้ มีดีทุกยุค” ภายใต้แนวคิด “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความคึกคักให้กับย่านการค้าเก่า

ถนนทรงวาด เป็นย่านการค้าเก่าแก่กว่า 100 ปี ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมทั้งไทย (วัด) จีน (ศาลเจ้า) และอิสลาม (มัสยิดโบราณ) อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร คาเฟ่ และแกลเลอรีของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผสมผสานรูปแบบการค้าดั้งเดิมกับสมัยใหม่อย่างลงตัว

รัฐบาลจะขับเคลื่อนถนนทรงวาดสู่การเป็นแลนด์มาร์กและจุดเช็กอินสำคัญของกรุงเทพฯ ทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ โดยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ครบวงจร ตั้งแต่ปรับภูมิทัศน์ จัดห้องน้ำที่ได้มาตรฐาน เสริมระบบความปลอดภัย จัดระเบียบการจราจรและพื้นที่จอดรถ พร้อมจัดทำแผนที่แนะนำร้านค้า (Visitor Guide) และกำหนดให้ทุกร้านติดป้ายราคาสินค้าและบริการอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคและรักษาความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ ได้จัดกิจกรรมพิเศษ “Awakening Song Wat 2025” งานศิลปกรรมไฟและดิจิทัล 14 ชิ้น จัดแสดง 12 จุดตลอดแนวถนน ระหว่างวันที่ 8 – 17 สิงหาคม 2568 เวลา 17.00 – 23.00 น. เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมาสัมผัสเสน่ห์ถนนทรงวาดในยามเย็น

“รัฐบาลมุ่งยกระดับย่านการค้าเก่าให้มีชีวิตชีวา โดยผสานเสน่ห์ประวัติศาสตร์กับนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและปลอดภัย พร้อมเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล และยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

ธ.ก.ส. เปิดตัวโรงเรียนเกษตรธนากร สร้างเยาวชนเข้าภาคเกษตร ทดแทนเกษตรสูงอายุ นำร่อง 18 โรงเรียนทั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 สิงหาคม 2568 ธ.ก.ส. เปิดตัวโครงการโรงเรียนเกษตรธนากร สร้างเยาวชนเข้าสู่ภาคการเกษตร ผ่านการยกระดับการเกษตรเพื่อการบริโภคเป็น “เกษตรการค้า” เพื่อก้าวไปสู่การเป็นเกษตรกรหัวขบวน หรือผู้ประกอบการในภาคการเกษตร ทดแทนเกษตรกรสูงวัยในอนาคต พร้อมเติมเงินทุน องค์ความรู้ ระบบการออม ช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่าย ประเดิมนำร่องในช่วงเทศกาลวันแม่ใน 18 โรงเรียนจากทั่วประเทศ ครอบคลุมเยาวชนที่จะได้รับความรู้และประสบการณ์ตรงกว่า 7.7 พันคน

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการสร้างเยาวชน รวมถึงทายาทของเกษตรกรให้เข้าสู่ภาคการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างของประเทศไทยในปัจจุบันที่พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ธ.ก.ส. จึงได้จัดทำ โครงการโรงเรียนเกษตรธนากร โดยมุ่งเพิ่มทักษะให้กับเยาวชนมีความรู้และเข้าใจการทำ “เกษตรการค้า” ทั้งด้านการบริหารเงิน การออม การลงทุน การจัดจำหน่าย และด้านการตลาด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ในการทำการเกษตร ผ่านกิจกรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อให้เยาวชนสามารถก้าวเข้าสู่การเป็นเกษตรกรหัวขบวน หรือผู้ประกอบการในภาคการเกษตรได้ต่อไป โดยธนาคารคัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมทั่วประเทศมา 18 โรงเรียน พร้อมเสริมการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย

1.ด้านเงินทุน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การก่อสร้างหรือปรับปรุงโรงเรือนหรือแปลงปลูกผัก โรงเลี้ยงไก่ โรงเพาะเห็ดหรือพืชผักสวนครัว บ่อปลา ระบบรดน้ำอัตโนมัติ/น้ำหยด ถังหมักปุ๋ย ระบบบำบัดน้ำเสีย และซื้อเครื่องมือหรือปัจจัยการผลิต อาทิ เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย อาหารสัตว์ เครื่องจักร และเทคโนโลยี เป็นต้น และเงินทุนหมุนเวียน คือ การนำเงินออกไปใช้ในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โดยจะต้องนำกลับมาคืน เพื่อทำให้เยาวชนได้เรียนรู้การวางแผนงบประมาณ การลงทุน การคืนเงินตามรอบที่กำหนด ช่วยสร้างนิสัยการใช้เงินอย่างรอบคอบ ไม่ใช้จ่ายเกินความจำเป็น ฝึกการบริหารความเสี่ยง เปรียบเหมือนการลงทุนทำธุรกิจจริง และโรงเรียนสามารถนำเงินที่ได้รับกลับมาไปใช้ในการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

2.ส่งเสริมองค์ความรู้ ด้านการทำการเกษตรในรูปแบบต่าง ๆ โดยพนักงานของ ธ.ก.ส. ด้านการพัฒนา ที่มีความรู้และประสบการณ์เข้าไปให้คำแนะนำและติดตามการดำเนินงานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโดยตรง พร้อมกับเปิดให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทาง “Facebook : โรงเรียนเกษตรธนากร” ซึ่งจะรวบรวมสื่อการเรียนการสอนที่เป็นข้อมูลสำคัญในการทำการเกษตรที่นำไปปฏิบัติได้จริง ทั้งในเรื่องเทคนิคการปลูกพืช การทำโรงเรือน การพัฒนาใช้ระบบน้ำ การผลิตปุ๋ย การจัดการขยะ เพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปสินค้า ตลอดจนแนวทางการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การเล่าเรื่องเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสินค้า และการทำการตลาด เป็นต้น

3.พัฒนาระบบการออม ตามรูปแบบของโครงการโรงเรียนธนาคารของ ธ.ก.ส. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้มีทักษะ ด้านการบริหารเงิน และการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ มีการบันทึกบัญชีรายรับ – รายจ่าย และสร้างนิสัยการใช้เงินแบบมีเป้าหมายให้กับเยาวชน ลดโอกาสในการใช้เงินเกินตัวหรือมีภาระหนี้สินในอนาคต และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองอีกด้วย

4.ช่องทางการตลาด และการจัดจำหน่าย อาทิ การนำผลิตภัณฑ์สินค้าของโครงการไปจำหน่ายที่ BAAC Branch Outlet ในที่ทำการสาขาของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ ตลาด BAAC Farmer Market ที่ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ และการเชื่อมโยงการจำหน่ายสินค้าไปยังภาคีเครือข่ายของธนาคาร อาทิ ผู้ประกอบกิจการโรงแรมที่พัก ชุมชนท่องเที่ยว หรือส่วนราชการอื่น ๆ รวมถึงให้คำแนะนำแนวทางการจำหน่ายให้กับตลาดของโรงเรียนและตลาดชุมชนโดยรอบ หรือจัดจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจผ่านช่องทางออนไลน์ที่โรงเรียนสามารถพัฒนาได้โดยไม่มีต้นทุนค่าใช้จ่าย

“โครงการโรงเรียนเกษตรธนากร ถือเป็นการบูรณาการโครงการเดิมที่ ธ.ก.ส. จัดทำขึ้น เพื่อเยาวชน จำนวน 2 โครงการ คือ โรงเรียนธนาคาร ที่มุ่งส่งเสริมการออมของเยาวชน และโครงการปลูกความรู้ด้านการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ด้านการทำการเกษตรเพื่อเป็นอาหารกลางวันภายในโรงเรียนมายกระดับจากเกษตรเพื่อการบริโภคเกิดเป็น “เกษตรการค้า” โดยมุ่งส่งเสริมความรู้ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งถือเป็นวัยเริ่มต้นของความสนใจต่ออาชีพ ได้มีประสบการณ์และรายได้จากการเรียนรู้การทำการเกษตรไปพร้อมกัน เพื่อสะท้อนให้เยาวชนเห็นว่า อาชีพเกษตรกรมีความมั่นคง สามารถสร้างรายได้ประจำ เพื่อใช้ดำรงชีพได้จำนวนไม่น้อยไปกว่าการเดินทางออกจากบ้านเกิดไปประกอบอาชีพอื่น ๆ เช่น ไปเป็นพนักงานประจำในกรุงเทพฯ และจังหวัดหัวเมืองหลักได้เช่นกัน” นายฉัตรชัย กล่าว

สำหรับ “โรงเรียนเกษตรธนากร” เต็มรูปแบบ จำนวน 18 โรงเรียน และยังมีอีก 9 โรงเรียนจะได้รับการสนับสนุนในฐานะ “โรงเรียนสาธิตเกษตรธนากร” ก่อนจะต่อยอดไปสู่การเป็นโครงการโรงเรียนเกษตรธนากรอย่างเต็มรูปแบบได้ต่อไปในอนาคต รวมจำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ 7,795 คน เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และจะสรุปผลการดำเนินโครงการภายในเดือนมกราคม 2569 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. พร้อมขยายผลโครงการไปทุกจังหวัด และเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถร่วมสมทบทุนกับกองทุนโครงการโรงเรียนเกษตรธนากร เพื่อมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้เกิดเยาวชนในภาคการเกษตรได้มากขึ้นต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ www.baac.or.th หรือ Call Center 02 555 0555

Advertisement

บสย.ขยายการช่วยเหลือ SMEs – ลูกหนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 สิงหาคม 2568 บสย.ขยายการช่วยเหลือ SMEs – ลูกหนี้ พักชำระค่างวด พักต้น พักดอก 6 เดือน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ออกมาตรการเร่งด่วนจากผลกระทบเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม และลูกค้าของ บสย. โดย มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และลูกค้าเดิมของ บสย. ที่อยู่ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ บยส.ผ่อนผันการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และค่าจัดการค้ำประกันโดยพักชำระออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมสำหรับ SMEs ลูกค้า บสย. ที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 และขยายการพักชำระค่างวดเป็นระยะเวลา 6 เดือน สำหรับ SMEs ลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม ที่อยู่ในระหว่างผ่อนชำระตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ และไม่ผิดนัดชำระหนี้

พร้อมกันนี้ บยส. ได้ออกมาตรการเสริมสภาพคล่อง ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” 2 โครงการหลัก ได้แก่

1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Bizวงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา

2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ขาดคนค้ำประกัน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน

โดยทั้ง 2 โครงการมีจุดเด่น คือ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ปีต่อไปชำระต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ค้ำประกันสูงสุด 7 ปี

“สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ลูกค้า และลูกหนี้ บสย. ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้ สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดการเข้าร่วมมาตรการ ได้ที่สำนักงานเขตในพื้นที่ หรือ ช่องทาง LINE OA TCG First: @tcgfirst และ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

Verified by ExactMetrics