วันที่ 14 พฤษภาคม 2025

สงกรานต์สุดคึกคัก นักท่องเที่ยวเข้าไทยทะลุวันละเกินแสนคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 เมษายน 2568 ทำเนียบ – สงกรานต์สุดคึกคัก นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุเฉลี่ยวันละกว่าแสนคน เพิ่มขึ้นกว่า 10% รัฐบาลยืนยันเดินหน้าหนุนท่องเที่ยวไทยตลอดปี 2568

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.61 โดยปีนี้รัฐบาลจัดงานสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งในกรุงเทพมหานคร กับกิจกรรม Maha Songkran World Water Festival 2025 และในหัวเมืองหลักอย่างเชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจากตลาดระยะใกล้ เช่น จีนและอินเดีย ขณะเดียวกัน ตลาดระยะไกลจากยุโรป เช่น เยอรมนีและฝรั่งเศส ก็เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ

สถิติล่าสุดระหว่างวันที่ 6-12 เมษายน 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 666,180 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 64,564 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 10.73 เฉลี่ยวันละ 95,169 คน

5 อันดับแรกของประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากที่สุด ได้แก่

1.มาเลเซีย (102,106 คน)

2.จีน (82,274 คน)

3.อินเดีย (55,158 คน)

4.รัสเซีย (40,283 คน)

5.สหราชอาณาจักร (32,119 คน)

นักท่องเที่ยวจากจีน อินเดีย มาเลเซีย และรัสเซีย มีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.20, 23.56, 10.67 และ 8.40 ตามลำดับ ขณะที่นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย ร้อยละ 8.49

นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 13 เมษายน 2568 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมรวม 10,738,424 คน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 516,589 ล้านบาท โดย 5 อันดับประเทศที่มีนักท่องเที่ยวสะสมมากที่สุด ได้แก่

1.จีน (1,470,834 คน)

2.มาเลเซีย (1,333,596 คน)

3.รัสเซีย (801,532 คน)

4.อินเดีย (631,820 คน)

5.เกาหลีใต้ (533,752 คน)

แม้คาดว่าสัปดาห์ถัดไปจำนวนนักท่องเที่ยวจะชะลอลงหลังเทศกาลสงกรานต์สิ้นสุดลง แต่ยังมีปัจจัยบวกหนุนการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่วงปิดเทอมของยุโรป การประกาศปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 รวมถึงมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล เช่น การยกเว้นกรอกบัตร ตม.6 การส่งเสริมสายการบินเพิ่มเที่ยวบิน และมาตรการ Ease of traveling ที่เอื้อต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว

“รัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดันการท่องเที่ยวอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างรายได้เข้าประเทศ และกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงทุกภูมิภาค เราพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ที่นักท่องเที่ยวไว้วางใจและอยากกลับมาเยือนอีกครั้ง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลชวนผู้ประกอบการ “ร้านอาหารไทย” สมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 เมษายน 2568 3 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลชวนผู้ประกอบการ “ร้านอาหารไทย” สมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพื่อโชว์ความมีมาตรฐานสากล สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลขอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านอาหารไทยทั่วประเทศ ที่มีเอกลักษณ์และความอร่อยที่น่าสนใจ เข้าสมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ปี 2568 โดยมีหลักเกณฑ์ คือ ร้านอาหารต้องเปิดให้บริการมาไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ยื่นสมัคร มีที่นั่งให้บริการภายในร้านไม่น้อยกว่า 10 ที่นั่ง เมนูอาหารของร้านต้องประกอบด้วยอาหารไทยไม่น้อยกว่า 70% และหัวหน้าพ่อครัวหรือหัวหน้าแม่ครัวเป็นคนไทย ร้านมีความสะอาด ถูกสุขอนามัย และสวยงาม ทั้งนี้ ร้านอาหารใด มีหลายสาขา ต้องให้แต่ละสาขายื่นใบสมัครรับตราแยกกัน หากผ่านเกณฑ์ จะได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ซึ่งมีอายุ 3 ปี นับจากวันที่ได้รับตรา

นายคารม กล่าวว่า การได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จะเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย นอกจากนี้ พณ. เตรียมรีแบรนด์ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับมาตรฐานร้านอาหารสากล ด้วยการให้ดาวเหมือนมิชลินสตาร์ ซึ่งจะช่วยสร้างความจดจำในตราสัญลักษณ์ได้ง่ายมากขึ้น และเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค.2568) มีร้านอาหารไทยในประเทศได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT แล้ว 496 ร้าน ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ หากประชาชนต้องการค้นหาร้านอาหาร Thai SELECT หรือ Thai SELECT Guide 2024 สามารถค้นหาได้ที่ Line Official Account: @thaiselect หรือเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th >> DBD e-Magazine >> Thai SELECT Guide

“การผลักดันร้านอาหารให้ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้อาหารไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งจะสามารถสร้างการจดจำแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยและผู้สนใจกิจกรรม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร 0 2547 5954 e-Mail: thaiselectdbd@gmail.com เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th และ สายด่วน 1570” นายคารม กล่าว

Advertisement

 

นายกฯ เร่งเครื่องกระตุ้นท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลัก ศก.ไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 เมษายน 2568 นายกฯ เร่งเครื่องกระตุ้นการท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจไทย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ถึงการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ว่า เรายกให้ปีนี้ต้องเป็นปีแห่งการท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 เป้าหมายคือนักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องกลับมาเกือบเท่าก่อนสถานการณ์โควิด หรือต้องแตะ 40 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายเรา ไม่เพียงจำนวนนักท่องเที่ยว แต่คือรายจ่ายต่อหัว (Spending per head) และ จำนวนวันที่อยู่ในประเทศ (Length of stay) ต้องมากขึ้นด้วย

แต่ตัวเลขในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจค่ะ การประชุมวันนี้ดิฉันจึงอยากมาหารือร่วมกับทุกท่าน เพื่อหามาตรการใหม่ๆ การท่องเที่ยวแบบเดิมคงทำไม่ได้อีกต่อไป แต่เราต้องทำการท่องเที่ยวแบบมีวัตถุประสงค์ชัดเจน สร้างจุดมุ่งหมายใหม่ให้การท่องเที่ยวไทย เช่น การมาเพื่อรักษาพยาบาล, มาเพื่อพักผ่อนระยะยาว, มาเพื่ออยู่อาศัยช่วงวัยเกษียณ, มาเพื่อทำงานของกลุ่ม digital nomad เป็นต้น ซึ่งนี่จะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะยาวและทำให้การมาไทยนานขึ้น ตลอดจนมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น เช่น มาตรการท่องเที่ยวภายในประเทศในเมืองหลักและเมืองรอง เพื่อทำให้เม็ดเงินดันลงไปสู่เศรษฐกิจฐานรากมากขึ้นค่ะ

ประเทศไทยมีรากฐานที่แข็งแรงหลายมิติ แต่หากต้องจัดลำดับเพื่อลงลึกในการพัฒนา เราอาจต้องเลือกบางแง่มุมที่เป็นจุดแข็งและมีศักยภาพอยู่แล้ว เช่น อาหาร กีฬา นอกจากนี้ ยืนยันว่าการพัฒนาผลักดันเรื่องการท่องเที่ยว ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญ จึงอยากให้ทุกภาคส่วน รวมถึงทีมไทยแลนด์ที่ทำงานต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชน เพราะภาคเอกชนเป็นส่วนที่เห็นหน้างานและปัจจัยที่สุด ซึ่งประเด็นนี้จะมีการทำเวิร์กช็อปร่วมกันต่อไปเพื่อพัฒนาต่อไป เพื่อทำให้การท่องเที่ยวไทย เดินเครื่องอย่างเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น

Advertisement

กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเปิดโอกาสให้ SME เข้าถึงเงินกู้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 เมษายน 2568 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเปิดโอกาสให้ SME เข้าถึงเงินกู้ จัดโปรโมชันกองทุนฯ ดอกเบี้ย 0% วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท ยกระดับฝีมือแรงงาน ยื่นคำขอกู้ยืมเงินได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 สิงหาคม 2568

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน สนับสนุนสถานประกอบกิจการในการพัฒนาทักษะแรงงาน ผ่านกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยเปิดโอกาสให้กู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ย 0% วงเงินสูงสุด 1,000,000 บาทต่อครั้ง ระยะเวลาผ่อนชำระ 1 ปี โดยเงินกู้ดังกล่าว สถานประกอบกิจการสามารถนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานให้แก่พนักงานได้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คน ต้องพัฒนาทักษะให้แก่พนักงานของตนเองไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 กรณีที่ไม่ดำเนินการพัฒนาทักษะพนักงาน สถานประกอบกิจการจะต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานตามอัตราที่กำหนด เพื่อต่อยอดให้นายจ้างและสถานประกอบกิจการสามารถยกระดับทักษะพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดต้นทุนการประกอบกิจการ

ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2568 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดสรรวงเงินกู้จากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานจำนวน 30 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการพัฒนาทักษะลูกจ้าง โดยขณะนี้มีสถานประกอบกิจการยื่นกู้แล้วจำนวน 12 บริษัท วงเงินรวม 8,242,090 บาท ยังคงมีวงเงินเหลือกว่า 21 ล้านบาท โดยผู้มีสิทธิกู้ยืม (ผู้ดำเนินการฝึก ผู้ดำเนินการทดสอบ ผู้ประกอบกิจการ) ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการยกเว้นภาษีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมได้ร้อยละร้อย และลูกจ้างที่ผ่านการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน สามารถใช้ผลการฝึกอบรมดังกล่าวในการประเมินเงินสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานได้อีกด้วย

“การพัฒนาทักษะให้แก่ลูกจ้างจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการส่งเสริม ขณะเดียวกัน แนวโน้มอุตสาหกรรมปัจจุบันมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแข่งขันสูงในตลาดแรงงาน ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากตลาดมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การให้กู้ยืมเงินจากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานจึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับสถานประกอบกิจการที่ต้องการพัฒนาทักษะแรงงาน แต่ประสบปัญหาด้านงบประมาณ โดยสามารถยื่นคำขอกู้ยืมเงินได้ตั้งแต่วันนี้ และทำสัญญาภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ผ่านสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกจังหวัด หรือยื่นผ่านระบบ https://e-fund.dsd.go.th/ ได้แล้ว” นายคารม กล่าว

Advertisement

“ธีรรัตน์” นำทัพปฏิวัติ OTOP ไทย สู่ตลาดโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 เมษายน 2568 “ธีรรัตน์” นำทัพปฏิวัติ OTOP ไทย สู่ตลาดโลก ดิจิทัลและ Modern Trade เดินหน้าปั้นแบรนด์ท้องถิ่น เจาะตลาดออนไลน์-ค้าปลีกสมัยใหม่

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “พลิกโฉม OTOP ไทยสู่โลกออนไลน์ และ Modern Trade” ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน กับ หน่วยงานเอกชนที่ลงนาม MOU ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ชั้น 5 เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร​ โดยระบุว่า​ รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการต่อยอดโครงการ OTOP โดยการพัฒนาแบรนด์ชุมชนไทยให้โดดเด่น มีคุณภาพได้มาตรฐาน และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งในครั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชนได้ผนึกกำลังกับภาคเอกชนและหน่วยงานพันธมิตร (กลุ่มเซนทรัล บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด บริษัทติ๊กต็อก (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด (NocNoc) บริษัท เน็กซ์ เจน ช้อป จำกัด (NexGen e-commerce) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (7-11) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โครงการไทยเด็ด)) ร่วมลงนาม MOU เพื่อขับเคลื่อน OTOP ไทยสู่ช่องทางดิจิทัล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทยสู่ระดับสากล การลงนาม MOU ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนไทย (OTOP) สู่การเป็นสินค้าในตลาดสากล โดยเน้นการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ทั้งในรูปแบบออนไลน์และการวางจำหน่ายผ่านห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) พร้อมผลักดันแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า วันนี้ผู้ประกอบการทุกท่านไม่ได้แค่ขายของ แต่รัฐบาลจะส่งเสริมให้เป็นการแสดงศักยภาพ ‘ภูมิปัญญาไทย’ ให้ทั่วโลกรู้จัก เรากำลังยกระดับสินค้าท้องถิ่นจากบ้านเราให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ด้วยช่องทางดิจิทัล รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการต่อยอดโครงการ OTOP จะไม่ปล่อยให้โอกาสของชุมชนต้องถูกจำกัดไว้เพียงในประเทศอีกต่อไป ถึงเวลาที่โลกจะได้เห็นว่า OTOP ไทยไม่ใช่แค่ของดี แต่คือของที่โลกต้องมี ภายใต้แนวคิด ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าสนับสนุน OTOP อย่างต่อเนื่อง พร้อมมองหาแนวทางและโอกาสใหม่ๆ ในการส่งเสริมผู้ประกอบการ OTOP ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านการผลิต การตลาด และการพัฒนาศักยภาพ เพื่อให้สินค้าชุมชนไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างแท้จริง

Advertisment

ธ.ออมสินเร่งช่วยเหลือผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหว ทั้งรายย่อย-ผู้ประกอบการ ลูกค้าเดิม “พักจ่ายต้น ลดดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มีนาคม 2568 ธ.ออมสินเร่งช่วยเหลือผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหวที่ได้รับผลกระทบ ทั้งรายย่อยและผู้ประกอบการ ลูกค้าเดิม“พักจ่ายต้น ลดดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน” และมอบสินเชื่อฉุกเฉิน ซ่อมบ้าน และ SME

29 มี.ค.2568 ธนาคารออมสินห่วงใยผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยได้ส่งมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นในทันที เพื่อสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในจุดต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ธนาคารขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสีย และขอส่งแรงใจไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ โดยธนาคารพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งมอบมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ผ่าน 2 มาตรการหลัก คือ

1) มาตรการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าเดิม โดยให้พักชำระเงินต้นทั้งหมด และลดดอกเบี้ยเป็น 0% เป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับลูกค้าสินเชื่อธนาคารออมสิน 3 กลุ่ม ที่เดือดร้อนทรัพย์สินได้รับความเสียหาย หรือการดำเนินธุรกิจได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ ลูกค้าสินเชื่อธนาคารประชาชน ลูกค้าสินเชื่อเคหะที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท และลูกค้าสินเชื่อ SME ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาท

2) มาตรการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูสำหรับบุคคลทั่วไป ธนาคารมอบสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษ ได้แก่

2.1 สินเชื่อฉุกเฉินผู้ประสบภัยพิบัติ วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระ 24 เดือน ปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับเดือนที่ 1 – 3 และเดือนที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย 0.60% ต่อเดือน

2.2 สินเชื่อซ่อมแซมบ้าน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระ 10 ปี สำหรับลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าปัจจุบันใช้ระยะเวลาผ่อนชำระตามสัญญาเดิม ปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับ 3 เดือนแรก และเดือนที่ 4 – 12 = 2% ปีที่ 2 = 2% ปีที่ 3 = MRR-3.35% ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75%

2.3 สินเชื่อ SME ฟื้นฟูแผ่นดินไหว วงเงินกู้ไม่เกิน 40 ล้านบาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 10 ปี (ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 9 เดือน) คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 2 = 2.99% ปีที่ 3 – 4 = MLR/MOR-0.5% และปีที่ 5 เป็นต้นไป = MLR/MOR+0.5% ทั้งนี้ สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ย 3 เดือนแรก = 0% หลังจากนั้น เดือนที่ 4 – 24 = 2.99% ปีที่ 3 – 4 = MLR/MOR-0.5% และปีที่ 5 เป็นต้นไป = MLR/MOR+0.5%

โดยลูกค้าและบุคคลทั่วไปสามารถติดต่อที่สาขาธนาคารออมสิน เพื่อแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2568 และยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2568 เงื่อนไขเป็นไปตามประกาศของธนาคาร หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหรือความช่วยเหลืออื่นใด โปรดติดต่อ GSB Contact Center โทร. 1115

รัฐบาลปลื้ม เทศกาลสงกรานต์ไทยปีนี้กลายเป็นจุดเช็กอินระดับโลก นักท่องเที่ยวมุ่งหน้ามาไทยสุดคึกคัก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 มีนาคม 2568 เทศกาลสงกรานต์ไทยปีนี้กลายเป็นจุดเช็กอินระดับโลก…นักท่องเที่ยวมุ่งหน้ามาไทยสุดคึกคัก ยอดจองโรงแรมฮอต “เกาะสมุย” นำโด่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2 หมื่นล้านบาท

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และมาตรการสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาลส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีการวางแผนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมาก โดยข้อมูลของ SiteMinder ผู้นำแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายห้องพักและจัดการรายได้ระดับโลก พบว่า เทศกาลสงกรานต์ของประเทศไทย ยังคงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดี  โดยปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 86% ของยอดจองโรงแรมที่มีกำหนดเช็กอินระหว่างวันที่ 10-17 เมษายน ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% โดยเกาะสมุยซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำของซีรีส์ The White Lotus  มียอดจองเพิ่มขึ้นถึง 65% ตามมาด้วยเชียงใหม่ เพิ่มขึ้น 41% และกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 20%

สำหรับระยะเวลาการเข้าพักในโรงแรมทั่วประเทศไทยช่วงสัปดาห์สงกรานต์เพิ่มขึ้น 7.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉลี่ยจาก 2.41 คืน เป็น 2.59 คืน และเกาะสมุยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวเข้าพักนานที่สุด มีระยะเวลาการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.5% จาก 3.74 คืน เป็น 3.80 คืน คาดว่าอัตราค่าห้องพักในโรงแรมบนเกาะสมุยและภูเก็ตจะเพิ่มขึ้น โดยอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) เพิ่มขึ้น 38% เป็น 11,073 บาทในเกาะสมุย และในภูเก็ต เพิ่มขึ้น 8.1% เป็น 5,889 บาท

“เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างให้ความสนใจ เทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับการการันตีจากยูเนสโกที่ประกาศขึ้นทะเบียนให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) บวกกับมาตรการของรัฐบาลที่นำมากระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดเดือนเมษายน คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 2 หมื่นล้านบาท” นายอนุกูล กล่าว

ต่างชาติร่วมงานไหว้ครูมวยไทยโลกกว่า 1.8 พันคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มีนาคม 2568 ทำเนียบ – ซอฟต์พาวเวอร์ “มวยไทย” ฮอตฮิต ต่างชาติร่วมงานไหว้ครูมวยไทยโลกกว่า 1.8 พันคน จาก 43 ประเทศ คาดเม็ดเงินสะพัดร้อยล้านบาท

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานต่าง ๆ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมาคมสถาบันศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบไทย สหพันธ์มวยไทยโลก และสมาคมกีฬามวยไทยและมวยโบราณ กำหนดจัดงานไหว้ครูมวยไทยโลก ครั้งที่ 17 ขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 มีนาคม 2568 ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ภายใต้แนวคิด “ครั้งหนึ่งในชีวิต การเรียนมวยไทย ต้องมาร่วมพิธีไหว้ครูที่ประเทศไทย” ถือเป็นโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของ Soft Power “ศิลปะการต่อสู้ของไทย” ซึ่งงานนี้ถือเป็นหนึ่งใน Grand Festivity ของเทศกาล Thailand Summer Festivals 2025 ภายใต้ปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้มวยไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

สำหรับไฮไลท์สำคัญของการจัดงานฯ ประกอบด้วย การสาธิตและฝึกสอนมวยไทยโบราณ 4 สาย ได้แก่ มวยไชยา มวยโคราช มวยท่าเสา และมวยลพบุรี การสาธิตหัตถศิลป์ไทย เช่น การสักยันต์ การเขียนยันต์ และการตีดาบ นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการมงคลมวยไทย 19 ขั้น กิจกรรม Interactive เกี่ยวกับมวยไทย การแสดงวัฒนธรรมและการแสดงร่วมสมัย ตลาดย้อนยุค และการแข่งขันชกมวยไทย

ส่วนพิธีไหว้ครูมวยไทยโลก จัดขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2568 เวลา 17.00-21.00 น. ณ วัดมหาธาตุ ในวันดังกล่าว จะมีนักมวยไทยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้าร่วมพิธีสวมมงคลโดยปรมาจารย์ครูมวยไทยและรำไหว้ครูมวยไทย โดยผู้นำรำไหว้ครู ได้แก่ พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม แชมป์โลกมวยไทยรุ่นสตรอว์เวต คนปัจจุบัน เฟอร์รารี่ แฟร์เท็กซ์ เจ้าของรางวัล ยอดมวย ปี 2564 และแชมป์สนามมวยช่อง 7 สี ยอดไก่แก้ว แฟร์เท็กซ์ เจ้าของฉายา Y2K ผ่านสังเวียนมากกว่า 100 ไฟต์ และเสมาเพชร แฟร์เท็กซ์ แชมป์ MTGP รุ่นเวลเตอร์เวต ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกีฬาในชุด วัน ซูเปอร์ ซีรีส์

“การจัดงานครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย คาดว่าจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งคนไทยและคนต่างชาติกว่า 5,300 คน โดยเป็นชาวต่างชาติราว 1,800 คน จาก 43 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งยุโรปและอเมริกาใต้ เกิดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจประมาณ 158 ล้านบาท” นายคารม กล่าว

Advertisement

นายกฯ ยัน เงินหมื่นได้ทุกคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 มีนาคม 2568 ทำเนียบ – นายกฯ ให้ความมั่นใจเงินหมื่นได้ทุกคน​ แจง แจกกลุ่ม​ 16-20​ ปี​ก่อน​ เพราะเป็นเรื่องเทคโนโลยี​ ย้ำเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายรัฐบาลตั้งแต่หาเสียง​ ขอ ประชาชนโหลดแอปทางรัฐ​ ชี้​ มีสิทธิประโยชน์จากรัฐอีกมากทั้งเยียวยา-แจงข้อมูล​

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3 ที่จะให้กลุ่มอายุ 16 – 20 ปี ว่า ให้กระทรวงการคลัง​ ชี้แจงในรายละเอียด แต่ขอให้ทุกคนโหลดแอปพลิเคชัน​ทางรัฐไว้ก่อน​ เพราะรับเงินผ่านช่องทางนี้แน่นอน​ และนอกจากรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มากมายที่รัฐบาลเตรียมไว้มอบให้กับประชาชนผ่านทางแอปทางรัฐ รวมถึงเรื่องการสื่อสารการรับประโยชน์จากภาครัฐ และเมื่อเรามีฐานข้อมูล จริงๆ แล้ว ก็ทำให้ถูกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ขอให้โหลดทุกคน

เมื่อถามว่ากลุ่มอายุ 20 -​ 59 ปี กังวลจะไม่ได้เงินให้นายกฯ ย้ำสร้างความมั่นใจ​ น.ส.แพทองธาร​ กล่าวว่า ขอย้ำให้มั่นใจอีกครั้งว่าทุกกลุ่มจะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต​ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวล และการเลือกกลุ่มแรกมาก่อน เป็นเรื่องของเทคโนโลยี บางคนอาจจะพูดว่า ​ทำไมไม่ให้เงินสดเหมือนเดิม แต่เป็นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นพื้นฐานของที่มาคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้ายต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย​ และเข้าไปสู่เทคโนโลยีด้วย นั่นคือสิ่งที่ตั้งใจ​ตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งแล้ว

แต่เนื่องจากระบบต้องใช้เวลา และเข้าใจว่าประชาชนเดือนร้อน เพราะฉะนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก​ จึงจำเป็นต้องแจกเงินสดไป​ พอตอนนี้ระบบเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ผ่านเทคโนโลยีไปด้วย และแน่นอนว่าการให้ข้อมูลไม่จบแค่นี้ ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ในการที่มีฐานข้อมูลของประชาชนไว้ เวลาเกิดอะไรขึ้นหรือการเยียวยาต่างๆ เราจะจับกลุ่มเฉพาะว่าคนพื้นที่นี้ อายุเท่าไหร่ และจะทำได้เร็วขึ้น เพราะเมื่อก่อนบอกว่ารอนานมากกว่าจะได้อะไรจากรัฐบาล แต่นี่จะลดขั้นตอนให้สั้นลง และช่วยเหลือประชาชนได้ทั่วถึงจริงๆ

Advertisement

 

กรมบัญชีกลางยันฐานะการคลังยังแกร่ง งบใช้จ่ายภาครัฐไม่สะดุด เน้นย้ำภาครัฐเร่งเบิกจ่าย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มีนาคม 2568 ตามที่มีรายการข่าวกล่าวถึงฐานะเงินคงคลังของรัฐบาลว่า ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 มีจำนวน 245,494 ล้านบาท ซึ่งลดต่ำลงอย่างน่าเป็นห่วง จากที่ปกติจะอยู่ในระดับ 400,000 – 500,000 ล้านบาท นั้น

นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านรายได้ รายจ่าย และเงินกู้ โดยการบริหารเงินคงคลังดำเนินการภายใต้คณะทำงานมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะทำการติดตามความเคลื่อนไหวของเงินคงคลังให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการในแต่ละเดือน กล่าวคือ เงินคงคลังจะต้องมีจำนวนไม่น้อยเกินไปจนเป็นปัญหาต่อการเบิกจ่ายเงินตามปกติของส่วนราชการ และต้องไม่มากเกินไปจนเกิดความสูญเปล่า เพราะรัฐบาลยังมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้เงิน ซึ่งระดับเงินคงคลังที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับความต้องการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น จึงได้บริหารเงินคงคลังให้คงเหลือ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 จำนวน 245,494 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการในช่วงเวลาดังกล่าว

“กรมบัญชีกลางมีการดูปริมาณเงินคงคลังอย่างใกล้ชิดให้เพียงพอต่อความต้องการการใช้เงินของส่วนราชการ เพราะกรมบัญชีกลางกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการเป็นรายเดือน โดยได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์มีการเบิกจ่ายเงินที่กันเหลื่อมปีมาจากปีงบประมาณ 67 ไปแล้วประมาณ 53% และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 68 ไปแล้วกว่า 45% ซึ่งต้องขอเน้นย้ำให้ส่วนราชการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าหมายที่กรมบัญชีกลางวางไว้ เพื่อเป็นการฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics