วันที่ 16 กันยายน 2024

คนไทย 63.6 % มีความสุขค่อนข้างน้อย เมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 25 สิงหาคม 2567 ซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจ “รอยต่อรัฐบาล” ชี้ คนไทย 63.6 % มีความสุขค่อนข้างน้อยเมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋า หวัง รัฐบาลใหม่ฟื้นฟูเศรษฐกิจ

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง “รอยต่อรัฐบาล” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,131 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 22 – 24 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา

พบว่าเมื่อถามถึงความสุขต่อเงินในกระเป๋าวันนี้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.6 มีความสุขค่อนข้างน้อย ถึง ไม่มีเลย เมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋าวันนี้ ในขณะที่ ร้อยละ 36.4 มีความสุขค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด และเมื่อสอบถามความคาดหวังของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่ที่จะทำให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.4 ไม่คาดหวัง ในขณะที่ ร้อยละ 44.6 คาดหวัง

ที่น่าสนใจคือ เมื่อสอบถามความพอใจของประชาชนต่อ ผลงานรัฐบาลเก่า ก่อนเข้า ยุครัฐบาลใหม่ พบว่า ผลงานอันดับแรกของรัฐบาลเก่า ได้แก่ ซอฟต์พาวเวอร์ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ นำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 46.5 ผลงานอันดับสอง ได้แก่ การจัดระเบียบสังคม นำโดย กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ42.8 ผลงานอันดับสาม ได้แก่ การคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง ยุครัฐบาล ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 33.7 ผลงานอันดับสี่ ได้แก่ การศึกษา ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล กระทรวงศึกษา พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ร้อยละ 32.8 และผลงานอันดับห้า ได้แก่ การศึกษามหาวิทยาลัยทันยุคสมัย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กระทรวงการอุดมศึกษา  นางสาว ศุภมาส  อิศรภักดี ร้อยละ 26.7 แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ความกังวลของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมือง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.4 กังวล ในขณะที่ร้อยละ 35.6 ไม่กังวล

รายงานของซูเปอร์โพล ชี้ให้เห็นข้อมูลสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะความคาดหวังและความพึงพอใจต่อรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ การมองหาความคิดเห็นของประชาชนจากทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศและการใช้ทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมสาระสำคัญ โดยพบว่า ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองที่สูงถึงร้อยละ 64.4 สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในแวดวงการเมืองที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพในระยะยาวของประเทศ ความไม่มั่นใจในการจัดการประเด็นเหล่านี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลและการลงทุนจากภายนอก

รายงานของซูเปอร์โพลยังระบุด้วยว่า ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมาที่ถูกประชาชนให้คะแนนสูงเช่นการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยซอฟต์พาวเวอร์และการจัดระเบียบสังคมของกระทรวงมหาดไทยรวมถึงการพัฒนาการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนต้องการเห็นการปฏิรูปในหลายด้านที่มีผลต่อชีวิตประจำวันของประชาชน โดยการวิเคราะห์ผลการสำรวจเหล่านี้สามารถช่วยให้รัฐบาลใหม่มีข้อมูลเพื่อกำหนดนโยบายและโปรแกรมที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคงทางการเมืองในระยะยาว

สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล

1.เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากที่รู้สึกไม่มีความสุขกับเงินในกระเป๋า รัฐบาลควรจัดทำและประกาศนโยบายที่ชัดเจนเพื่อเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เช่น การลดภาษีหรือการสนับสนุนต้นทุนการผลิต และการทำให้นโยบายซอฟต์พาวเวอร์เกิดผลสำเร็จ ขยายวงกว้างต่อเนื่อง

2.เพิ่มความโปร่งใสและรับฟังความเห็น เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในรัฐบาลและลดความกังวลทางการเมือง ควรมีช่องทางสำหรับประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและเข้าถึงข้อมูลการทำงานของรัฐบาลได้อย่างเสรี

3.ส่งเสริมนวัตกรรมและการพัฒนาทักษะ รัฐบาลควรสนับสนุนการศึกษาและการพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลและ ปัญญาประดิษฐ์ AI เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับตลาดแรงงานในอนาคต

4.จัดการกับความขัดแย้งทางการเมือง จำเป็นต้องมีกระบวนการที่ชัดเจนในการจัดการกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยอาจรวมถึงการส่งเสริมการเจรจาและสันติภาพผ่านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้จะช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับรัฐบาลและสังคมไทย พร้อมทั้งเพิ่มความพึงพอใจและลดความกังวลในหมู่ประชาชน

Advertisement

ประธานหอการค้าไทย เผยหารือนายกฯ ราบรื่น พร้อมตอบรับหลายเรื่อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 สิงหาคม 2567 ตึกชินวัตร 3 – ประธานหอการค้าไทย เผยหารือนายกฯ ราบรื่น พร้อมตอบรับหลายเรื่อง ผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจ สนับสนุนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ จากทั้งกลุ่มเปราะบางและกลุ่มที่มีกำลังซื้อ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยหลังร่วมประชุมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้ถึงการหารือมาตการในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ว่าจะมีการแบ่งออกเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งได้มีการเสนอว่าจะมีการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน โดยมีกลุ่มเปราะบาง ที่จะต้องเป็นการมอบเงินให้ทันที โดยใช้ช่องทางของรัฐบาลที่มีอยู่ ในขณะที่กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่พอมีกำลังซื้อ โครงการคูณ 2 ก็เสนอโครงการแบบคูณ 2 เช่นว่าถ้าคนกลุ่มนี้ใช้เงิน 100 บาท ก็จะได้เงินเพิ่มอีก 100 บาทจากรัฐบาลที่สนับสนุน สำหรับกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ก็จะดึงเงินจากในกระเป๋าของกลุ่มที่ 3 และสามารถลดหย่อนภาษีได้จากการซื้อ เพิ่งจะทำให้เงินเข้าสู่ระบบได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับในส่วนประเด็นการลดค่าใช้จ่าย เรื่องค่าไฟฟ้าทั้งเรื่องค่าไฟฟ้า หรือสินค้าประเภทที่มีความจำเป็นมาก และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ก็จะดูว่าส่วนไหนที่จะสามารถตรึงราคาได้ ส่วนเรื่องหนี้สินพบว่าขณะนี้ประชาชนมีหนี้สินค่อนข้างมาก โดยจะต้องมีการช่วยประชาชนลดปัญหาหนี้ลง รวมถึงการลดดอกเบี้ยต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ

สำหรับในส่วนของสินค้าราคาถูกที่เข้ามาตีตลาดในประเทศไทย ทำให้ SME เดือดร้อน จะต้องมีมาตรการในการศึกษาว่าสินค้าประเภทไหน ที่จะต้องดำเนินตอบโต้การทุ่มตลาด แต่ยืนยันว่าไม่ได้กีดกันแต่เพื่อสร้างความเป็นธรรมในเรื่องของการค้าการขาย นอกจากนี้ยังได้มีการหารือกับ นายกรัฐมนตรี เรื่องของกลยุทธ์ในการวางแผนระยะยาว ที่มองว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรมไฮเทคให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้เรื่องต่างๆ ที่ได้มีการหารือวันนี้นายกรัฐมนตรีก็ได้ตอบรับในทุกเรื่อง และแสดงถึงความตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานและจับมือกับภาคเอกชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และอีกประการคือการวางแผนที่จะวางกลยุทธ์ให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้ ขณะที่ในส่วนของนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ขอให้รอฟังแถลงการณ์จากทางรัฐบาลว่าจะมีมาตรดารอย่างไร แต่ในส่วนของหอการค้าเห็นด้วยกับการแจกเป็นเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบางเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ก่อนในเบื้องต้นดังที่หารือกันในวันนี้

ขณะที่ นายญนน์ โภคทรัพย์ รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะรัฐบาลและเอกชนแบ่งแยกกันไม่ได้ สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถือว่าทั้งรัฐบาลและเอกชนมีเป้าหมายเดียวกัน ขณะที่มาตรการต่างๆ ทั้งการรองรับนักท่องเที่ยว ภาษี และการจัดการสิ่งแวดล้อม ก็มีความชัดเจนมากขึ้น

ด้าน นายกฤษณะ วจีไกรลาส กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า นายกฯมีความสนใจอยากทำงานกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งทางหอการค้ามีกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่กว่า 7,000 คนทั่วประเทศจะมาช่วยขับเคลื่อนเรื่องซอฟต์ เพาเวอร์ และขยายผลไปยังต่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวพร้อมยกระดับ เมืองท่องเที่ยวต่างๆให้มีความเข้มแข็งสร้างรายได้ให้กับประเทศต่อไป

Advertisement

นายกฯ มุ่งยกระดับแอปฯ “ทางรัฐ” สู่การเป็น Super App รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กรกฎาคม 2567 นายกฯ มุ่งยกระดับแอปฯ “ทางรัฐ” สู่การเป็น Super App พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างทันสมัย สะดวก ครอบคลุม ปลอดภัย และตรวจสอบได้

วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ E-Government วางนโยบายพัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” สำหรับลงทะเบียนรับสิทธิในโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาท ของรัฐบาล ไปสู่การสร้าง “Super App” ยกระดับเป็นศูนย์กลางในการให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถติดต่อขอรับบริการจากภาครัฐผ่านแอปพลิเคชันนี้ได้อย่างครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งปัจจุบันมีบริการภาครัฐกว่า 152 บริการ ก้าวไปสู่การเป็น “Super App” ที่ครอบคลุมการติดต่อและรับบริการจากภาครัฐแบบครบวงจร และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนคนไทยทุกคน ตามแนวความคิด E-Government ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงภาครัฐผ่านช่องทางที่ง่าย จบ ครบทุกช่วงวัย โดยประชาชนสามารถขอรับบริการได้แบบออนไลน์ทั้งหมด ลดค่าใช้จ่าย การเตรียมเอกสาร และประหยัดเวลาในการติดต่อหน่วยงานราชการ

รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการใช้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยการนำระบบ Blockchain มาใช้เพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรม ต้องมีการยืนยันตัวตนบนแอปพลิเคชันด้วยมาตรฐานการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล รวมถึงมีการเชื่อมข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน ทำให้สามารถตรวจจับผู้ที่ดำเนินธุรกรรมอย่างผิดกฎหมาย หรือใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ยังถูกออกแบบมาให้มีการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าแบบพบหน้า และต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าในอำเภอเดียวกันกับชื่อที่อยู่ในทะเบียนบ้าน หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขจะทำให้การใช้จ่ายนั้นไม่ผ่าน ทำให้ต้องมีการตรวจสอบ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ที่อยู่ของร้านค้าตามที่ลงทะเบียนโครงการฯ 2) ที่อยู่ของประชาชนตามทะเบียนบ้านในขณะที่ ลงทะเบียนโครงการฯ และ 3) พิกัดที่อยู่ของประชาชนในขณะที่ใช้จ่ายกับร้านค้าต้องอยู่ในเขตอำเภอเดียวกัน การชำระเงินจึงจะสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี ผู้ที่ชื่อที่อยู่ในทะเบียนบ้านกับที่อยู่จริง ณ ปัจจุบัน ไม่ตรงกัน กระทรวงการคลังเปิดโอกาสให้สามารถย้ายที่อยู่ในทะเบียนบ้านได้ โดยให้ย้ายทะเบียนบ้าน ที่อำเภอ หรือสำนักงานเขต ให้เสร็จสิ้นก่อนทำการลงทะเบียนสมัคร Digital Wallet 1 วัน เช่น หากวางแผนจะลงทะเบียนสมัคร Digital Wallet ในวันที่ 1 กันยายน 2567 ให้ย้ายทะเบียนบ้านให้เสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

“นายกรัฐมนตรีมุ่งหวังให้โครงการ Digital Wallet วางรากฐานระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ให้ประเทศ ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับต่อยอดพัฒนาให้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ไปสู่การเป็น “Super App” ซึ่งนอกจากจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลของประชาชนถึง 40-50 ล้านนคนแล้ว ยังวางเป้าหมายยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนคนไทยทุกคนและทุกช่วงวัย ให้สามารถรับบริการจากหน่วยงานรัฐได้อย่างสะดวก ครอบคลุม ปลอดภัย และตรวจสอบได้” นายชัย กล่าว

Advertisement

นายกฯ ประกาศลุยต่อภาคบริการ-การท่องเที่ยวของไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 กรกฎาคม 2567 “นายกฯ เศรษฐา” ประกาศลุยต่อภาคบริการและการท่องเที่ยวของไทย หลังยอดนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 20 ล้านคน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เชื่อยังไปได้อีก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความเผยนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยจนถึงปัจจุบัน 20 กว่าล้านคน สูงขึ้นกว่า 34% เมื่อเทียบกับปีก่อน นี่ไม่ใช่โชคดี แต่ต้องขอบคุณทุกๆ คน ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันทำงานอย่างหนัก ทั้งเปิดวีซ่าเพิ่ม เพิ่มเที่ยวบิน การขยายไปสู่ Aviation Hub การพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว

นายกฯ ระบุภาคบริการเองก็ปรับตัวรับนักท่องเที่ยวกันเป็นอย่างมาก พร้อมรอยยิ้มและนิสัยของเจ้าบ้านคนไทยทุกคนที่รับนักท่องเที่ยว เรายังไปต่อได้อีก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 6.4 ล้านคน เข้ามาในช่วงเดียวกัน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 50% ในช่วงปีก่อน ลุยกันต่อกับภาคบริการและการท่องเที่ยวของไทย

Advertisement

รัฐบาลประเมินยอดนักท่องเที่ยวไทยช่วงวันหยุดยาวเดือน ก.ค. 67 มากกว่า 5 ล้านคน-ครั้ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 กรกฎาคม 2567 โฆษกรัฐบาลเผยประเมินยอดนักท่องเที่ยวไทยช่วงวันหยุดยาวเดือนกรกฎาคม 2567 มากกว่า 5 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท พร้อมจัดกิจกรรมท่องเที่ยวต่อเนื่อง ส่งเสริมเมืองน่าเที่ยวใน 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ

วันนี้ (25 กรกฎาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันหยุดยาว ขานรับแนวนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวไทย โดยล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่า ตลอดเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่องจะเอื้อต่อจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยรวมกันมากกว่า 5 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนถึง 18,360 ล้านบาท โดยพบจำนวนผู้เดินทางฯ มากที่สุดคือ ภาคกลาง 1,174,060 คน-ครั้ง รองลงมาคือ กรุงเทพมหานคร 947,810 คน-ครั้ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 931,950 คน-ครั้ง ขณะที่ภูมิภาคที่สร้างรายได้มากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร 4,781ล้านบาท รองลงมาคือ ภาคตะวันออก 4,061 ล้านบาท และภาคใต้ 3,017 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสำรวจแผนการเดินทางไปต่างจังหวัดในช่วงวันหยุด/เทศกาลในไตรมาส 3/2567 จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวใกล้ ๆ ภายในจังหวัดตัวเองและจังหวัดใกล้เคียง โดยจำแนกเป็น 1) วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา: มีการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดตัวเอง 34 % ไปจังหวัดใกล้เคียงทั้งพักค้างและไม่พักค้างคืน 14% และเดินทางข้ามภาค 25% และ 2) วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ: วางแผนเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดตัวเอง 29% ไปจังหวัดใกล้เคียงทั้งพักค้างและไม่พักค้างคืน 10% และเดินทางข้ามภาค 16%

โดยจากแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวดังกล่าว รัฐบาลโดย ททท. ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมสร้างแรงจูงใจให้เกิดการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองน่าเที่ยว 5 ภูมิภาคให้ต่อเนื่องตลอดเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2567 ทั่วประเทศ ดังนี้

ภาคเหนือ : แคมเปญเหนือความคาดหมายในจังหวัดแพร่ น่าน พิษณุโลก และนครสวรรค์, แคมเปญแอ่วเหนือให้ฉ่ำและเที่ยวเสริมบุญทั่วภาคเหนือ ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ, 365 วัน แห่งการเดินทางของคนรักกาแฟ, งานคาราวานรถยนต์เยือนเมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์ 9 – 12 สิงหาคม 2567, AMAZING MUAY THAI EXPERIENCE จ.อุตรดิตถ์ 16 – 18 สิงหาคม 2567, Amazing Northern Retreat Month ตลอดเดือนสิงหาคม 2567, รถม้าคาร์นิวัลนครลำปาง จ.ลำปาง 9 – 12 สิงหาคม 2567, Amazing Nan Marathon 2024 จ.น่าน 25 สิงหาคม 2567, Chiang Rai Fashion to the World 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567 และ VIJITR 5 ภาค @พิษณุโลก 7 – 15 กันยายน 2567

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : แซ่บหลายรัน จ.มหาสารคาม 3 สิงหาคม 2567, เทศกาล Coffee fest @Loei #2 จ.เลย 10 – 11 สิงหาคม 2567, B-Quik Thailand Super Series 2024 สนามที่ 4 จ.บุรีรัมย์ 23 – 25 สิงหาคม 2567, Lighting of Isan สีสันแห่งอีสาน จ.ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ 1 – 8 กันยายน 2567, กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว “อีสานไปไสกะแซ่บ”, Isan สะบัดผ้า : เปลี่ยนทุกท่วงท่า ให้อีสานเป็น “Runway” และ ฮักอีสาน…เมืองน่าเที่ยว

ภาคกลาง : 117 เกจิอาจารย์สังขารเหนือกาลเวลา, มหัศจรรย์แสงเหนือ @ เพชรบุรี กาญจนบุรี, WHY Festival Carnival Charity จ.ราชบุรี 3 สิงหาคม 2567, วิ่งในวรรณคดีซีรีส์รามเกียรติ จ.ราชบุรี 24 – 25 สิงหาคม 2567 จ.ลพบุรี 7 – 8 กันยายน 2567 และ จ.สมุทรสงคราม 21 – 22 กันยายน 2567, ไหว้พระริมน้ำให้ฉ่ำบุญ ” สิงหาพาแม่ล่องเรือทำบุญ” จ.ปทุมธานี 18 สิงหาคม 2567, กอล์ฟยกก๊วน กินกันยกแก๊งค์ จ.ปทุมธานี 1 – 31 สิงหาคม 2567, Amphawa Food Experience 2 ” Night at The Museum” อุทยาน ร.2 จ.สมุทรสงคราม 23 – 25 สิงหาคม 2567 และ AMAZING MUAY THAI EXPERIENCE จ.ลพบุรี 13 – 15 กันยายน 2567

ภาคตะวันออก : กิจกรรม “Happy Weekday Trips จันทร์ถึงศุกร์ เที่ยวให้ฉ่ำ จัดทริปให้สุข”จัดทำโปรโมชั่น ที่พักวันธรรมดาในราคาพิเศษ พร้อมรับ Voucher เติมน้ำมัน 500 บาท เมื่อซื้อแพคเกจขั้นต่ำ 5,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันนี้ – 15 กันยายน 2567, กิจกรรมฝนนี้…เที่ยวที่ภาคตะวันออก ร่วมกับภาคเอกชนจัดทำโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษห้องพักโรงแรม สำหรับการเข้าพัก 2 คืนต่อเนื่องในชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราดตั้งแต่วันนี้ – 15 กันยายน 2567, กิจกรรม Amazing Outdoor Fest 2024 จ.นครนายก 10 – 11 สิงหาคม 2567, Sakaeo Craft Coffee & Friend #2″ จ.สระแก้ว 11 – 12 สิงหาคม 2567 และ Prachinburi Night At The Museum Ep.2 จ.ปราจีนบุรี 6 – 8 กันยายน 2567

ภาคใต้ : Creative Nakhon Festival จ.นครศรีธรรมราช 25 – 28 กรกฎาคม 2567, Satun Halal Street 2024 จ.สตูล 2 – 4 สิงหาคม 2567, Yala Marathon 4 สิงหาคม 2567, ระนองมหานครน้ำแร่ จ.ระนอง 10 – 11 สิงหาคม 2567, เดิน วิ่ง ท้าฝน เมืองฝน 8 จ.ระนอง 11 สิงหาคม 2567, สตูล ชิลล์ Eat Art 16 – 18 สิงหาคม 2567, Bala Trail จ.นราธิวาส 17 – 18 สิงหาคม 2567, Southern Bliss Fest จ. ชุมพร 23-25 สิงหาคม 2567 และจ.นครศรีธรรมราช 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567, เสน่ห์ ปัตตานี “เมืองงามสามวัฒนธรรม” 28 สิงหาคม – 5 กันยายน 2567 และ Pattani Decode 2024 24 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่เพจเฟซบุ๊กข่าวสารท่องเที่ยว ททท.https://www.facebook.com/thaitourismnews/ หรือโทรสอบถาม TAT Call Center 1672 เพื่อนร่วมทาง (ตลอด 24 ชั่วโมง) รวมทั้งผ่านแอปพลิเคชันไลน์ @tatcontactcenter (https://bit.ly/34lbUjn)

“นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวไทยสร้างบรรยากาศ เพื่อให้สามารถเที่ยวไทยได้ตลอดปี เชื่อมั่นว่าผลสะท้อนจากการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศตลอดช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งเสริมทิศทางที่ดีในการต่อยอดเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทย และเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ปี 2568 ซึ่งจะเป็นปีแห่งการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย Amazing Thailand Grand Tourism Year โดยเฉพาะการนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวที่กระจายไปสู่เมืองน่าเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ คู่ขนานกับการจัดอีเวนต์ ต่อยอดกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ” นายชัย กล่าว

Advertisement

รัฐบาลวางแผนตลาดท่องเที่ยวไทย ตั้งเป้าปี 2568 เป็น “Thailand Grand Tourism Year”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กรกฎาคม 2567 รัฐบาลส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวให้คึกคักช่วง Green Season จัดกิจกรรม Amazing Beach Life Festival ใน 4 พื้นที่ Beach Life ระยอง – พังงา – ภูเก็ต – สงขลา พร้อมวางแผนตลาดท่องเที่ยวไทย ตั้งเป้าปี 2568 เป็น “Thailand Grand Tourism Year” สร้างประสบการณ์ – ตอบโจทย์ Customer Journey – สร้างความประทับใจทุก Touch Point การเดินทาง

วันนี้ (10 กรกฎาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทยให้ต่อเนื่องอย่างมีกลยุทธ์ ขานรับนโยบาย IGNITE THAILAND’S TOURISM ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว หรือ Green Season เปิดตัวโครงการ Amazing Beach Life Festival งานเทศกาลดนตรี กีฬา และศิลปะริมชายหาด จัดเต็มใน 4 พื้นที่ Beach Life (ระยอง – พังงา – ภูเก็ต – สงขลา) ส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสตลอดทั้งปี โดยคาดว่าสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่ 3.5 ล้านล้านบาท พร้อมหารือร่วมกับทุกหน่วยงาน วางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย ท่องเที่ยวสู่ปี 2568 ให้เป็น “Thailand Grand Tourism Year” ยกระดับไทยเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการ Amazing Beach Life Festival เป็นกิจกรรมที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนจัดขึ้น โดยนำเสนอกิจกรรมในรูปแบบ Beach Life และ Recreation Festival แบ่งตามอัตลักษณ์ของ 4 พื้นที่การท่องเที่ยวทางทะเล ได้แก่ ระยอง พังงา ภูเก็ต และ สงขลา โดยนำความหลากหลายของกิจกรรม Beach Life อาทิ เทศกาลดนตรี กีฬา และศิลปะริมชายหาด ที่อยู่ในกระแสความสนใจของนักท่องเที่ยวมารวบรวมไว้ในงาน ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) ผ่านการจัดตกแต่งพื้นที่ด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า “เมืองไทยมีดี เที่ยวได้ทั้งปี เที่ยวได้ทุก Season” ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง มีกำลังซื้อสูง และมีพฤติกรรมรักสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับธุรกิจท้องถิ่น และชุมชนในพื้นที่ชายฝั่งของแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวต่อไป

สำหรับกิจกรรม Amazing Beach Life Festival กำหนดจัดขึ้นใน 4 พื้นที่ ตั้งแต่เวลา 16.00 – 22.30 น.ได้แก่

  1. จังหวัดระยอง Tropical Beach นำเสนอสีสันความสดใส กับระยองเมืองอาหาร และแหล่งผลไม้ภาคตะวันออก วันที่ 12 – 14 กรกฎาคม 2567 ณ หาดแหลมเจริญ
  2. จังหวัดพังงา Beach Rhythms นำเสนอความสนุกกับบรรยากาศปาร์ตี้ และความสุขของทะเลฝั่งอันดามัน วันที่ 26 – 28 กรกฎาคม 2567 ณ ชายหาดจังหวัดพังงา
  3. จังหวัดภูเก็ต Neon Waves ความสนุกสนานยามค่ำคืนเมืองป่าตอง พร้อมสีสันจากแสงนีออน สะท้อนลงผิวน้ำทะเลตอนกลางคืน วันที่ 2 – 4 สิงหาคม 2567 ณ หาดป่าตอง
  4. จังหวัดสงขลา Art Paradise นำเสนอกลิ่นอายเมืองเก่าแบบฉบับสงขลา เนรมิตชายหาดให้เต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปะ วันที่ 9 – 11 สิงหาคม 2567 ณ หาดชลาทัศน์

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Amazing Beach Life Festival ได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page : Amazing Beach Life Festival https://www.facebook.com/profile.php?id=61561623323114 หรือ โทร. 1672 Travel Buddy

พร้อมกันนี้ การประชุมบูรณาการแผนปฏิบัติการ ททท. (Tourism Authority of Thailand Action Plan 2025 : TATAP 2025) ได้ตั้งเป้าหมายให้ปี 2568 เป็น “Thailand Grand Tourism Year” นำเสนอแนวคิดเสน่ห์ไทย สร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยจะเน้นการท่องเที่ยวไทยที่สามารถสร้างประสบการณ์ทรงคุณค่า ตอบโจทย์ทุก Customer Journey อย่างครอบคลุม สร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นในทุก Touch Point ของการเดินทาง เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถบอกต่อความทรงจำที่มีคุณค่าและเกิดการเดินทางซ้ำ พร้อมส่งเสริมการเดินทางของนักท่องเที่ยว จากเมืองหลัก สู่เมืองน่าเที่ยว นอกจากนี้ จะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับ Thailand Grand Tourism Year ได้แก่ 1) Grand Festival จัดกิจกรรมใหญ่ตลอดทั้งปี เพื่อดึงนักท่องเที่ยว พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทาง 2) Grand Exclusive Experience นำเสนอประสบการณ์ใหม่ที่พิเศษสุด Grand Privilege อาทิ การชอปปิง แพ็คเกจทัวร์ บัตรโดยสารเครื่องบิน 3) Grand Invitation การเชิญบุคคลระดับโลกมาท่องเที่ยวและแชร์ประสบการณ์ และ 4) Grand Opening Celebration ซึ่งจะเปิดตัว Thailand Grand Tourism Year อย่างยิ่งใหญ่ที่งาน ITB Berlin 2025 (Internationale Tourismus Borse 2025) มหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของโลก วันที่ 4 – 6 มีนาคม 2568 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

“นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยอย่างมียุทธศาสตร์ ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนพันธมิตรจากทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการเที่ยวไทยได้ตลอดทั้งปี พร้อมเชื่อมั่นว่าการวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพื้นที่การท่องเที่ยวและความต้องการของนักท่องเที่ยว จะมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้ปี 2568 เป็น “Thailand Grand Tourism Year” ถือเป็นการผลักดันการท่องเที่ยวตามแผนงาน ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยที่มีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม” นายชัย กล่าว

Advertisement

รู้ยัง รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนบุตร เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยผู้พิการ ทุกวันที่ 10 ของเดือน เริ่ม 10 ก.ค. 67

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กรกฎาคม 2567 นายกฯ ชื่นชมความสำเร็จนโยบาย เยียวยากลุ่มเปราะบาง ยึดหลักเกณฑ์จ่ายเงินเข้าบัญชีทุกวันที่ 10 ของเดือน เริ่มวันนี้ 10 กรกฎาคม 2567

วันนี้  10 กรกฎาคม 2567  นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเยียวยา กลุ่มเปราะบางทุกกลุ่ม ทั้งเงินอุดหนุนบุตร เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยผู้พิการ โดยรัฐบาลยังคงหลักเกณฑ์จ่ายเงินเข้าบัญชีทุกวันที่ 10 ของเดือน เริ่มวันแรกพุธที่ 10 กรกฎาคม 2567

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลวิถีชีวิตประชาชน เพื่อความเท่าเทียมของทุกกลุ่ม  เพื่อปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยกรมบัญชีกลางและกระทรวงพัฒนาสังคมเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ จะโอนเงินช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้

โครงการเงินอุดหนุนบุตร

– โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด หรือเงินอุดหนุนบุตร ช่วยเหลือกลุ่มเด็กแรกเกิด-อายุ 6 ขวบ รับเงินอุดหนุนจำนวน 600 บาท สมาชิกครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี

เด็กที่เกิดเดือนกรกฎาคม 2561 จะหมดสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือเยียวยา และเด็กที่เกิดสิงหาคม 2561 จะได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาเป็นก้อนสุดท้าย เนื่องจากมีอายุครบ 6 ขวบตามเงื่อนไข

ผู้ปกครองที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสามารถยื่นคำร้องในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง ที่สำนักงานเขต ศาลาว่าการเมืองพัทยา และองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาล

โดยต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เงินเด็ก”

ผู้ปกครองต้องพิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่าน แอปพลิเคชัน ThaID ของกรมการปกครองก่อน เมื่อตรวจสอบสิทธิผ่านแล้ว จะได้รับเงินมีผล ตั้งแต่เดือนที่ลงทะเบียนรับเงิน

เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

– เดือนกรกฎาคม 2567 จะจ่ายแบบขั้นบันได ผู้สูงอายุอายุ 60-69 ปี รับเบี้ยยังชีพจำนวน 600 บาท ผู้สูงอายุอายุ 70-79 ปี 700 บาท ผู้สูงอายุอายุ 80-89 ปี 800 บาท และผู้สูงอายุอายุ 90 ปีขึ้นไป 1,000 บาท

สำหรับเบี้ยผู้พิการตามเกณฑ์อายุ

– โดยผู้พิการที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 800 บาท และผู้พิการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี รับเบี้ยยังชีพจำนวน 1,000 บาท

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบเงินอุดหนุนบุตร เบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน ‘เงินเด็ก’ หรือ แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ หรือ ทางบัญชีที่ได้แจ้งไว้ และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินอุดหนุนบุตร ได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดกรมกิจการเด็กและเยาวชน โทร 08 2091 7245, 08 2037 9767, 08 3431 3533, 06 5731 3199 และศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง

“นายกรัฐมนตรี ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบาง โดยหวังว่าเงินช่วยเหลือเหล่านี้จะช่วยแบ่งเบาประชาชนได้บ้างไม่มากก็น้อย และขอให้ประชาชนทุกคนเชื่อมั่นว่าการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคนในทุกมิติเป็นวัตถุประสงค์หลักในการทำงานของนายกรัฐมนตรี โดยรัฐบาลตั้งมั่นที่จะช่วยเหลือดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น” นายชัย กล่าว

Advertisement

เผยสถิติ ต.ค.66 – พ.ค.67 เพียง 8 เดือน มีผู้โดยสารใช้สนามบินในไทย 81.05 ล้านคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กรกฎาคม 2567 นายกฯ มุ่งมั่นขับเคลื่อนไทยสู่การเป็น Aviation Hub ภูมิภาค เผยสถิติตุลาคม 2566 – พฤษภาคม 2567 เพียง 8 เดือน มีผู้โดยสารใช้บริการสนามบินในไทย 81.05 ล้านคน คมนาคมตั้งเป้าผลักดันสนามบินไทยติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินระดับโลกในปี 2572

วันนี้ (7 ก.ค. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งพัฒนาศักยภาพท่าอากาศยานของไทย ยกระดับมาตรฐาน การให้บริการ และความปลอดภัยด้านการขนส่งทางอากาศตามมาตรฐานสากล เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการบินของไทยสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค พร้อมสั่งการกระทรวงคมนาคมจัดทำแผนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเติบโตด้านคมนาคมทางอากาศ เพิ่มเที่ยวบินอย่างเต็มศักยภาพตามวิสัยทัศน์นายกรัฐมนตรี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขานรับนโยบายตามวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี จัดทำแผนดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการเติบโตด้านการคมนาคมทางอากาศของไทยในทุกมิติ มั่นใจว่าด้วยความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ไทยจะดำเนินการตามมาตรฐานการบินขององค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA CAT1) สามารถเปิดให้บริการ เพิ่มเที่ยวบิน หรือเพิ่มจุดบินใหม่ๆ ในสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ที่ใช้มาตรฐานด้านการบินของ FAA

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า ด้วยศักยภาพ ทรัพยากร และความพร้อมของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้เดินหน้าแผนขยายขีดความสามารถท่าอากาศยาน พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยสามารถผลักดันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้ติด 1 ใน 58 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Airport) ประจำปี 2567 ขยับขึ้น 10 อันดับ จากอันดับที่ 68 ประจำปี 2566 ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมืองติดอันดับ 1 ใน 10 สนามบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Low-Cost Airline Terminals) ประจำปี 2567 และอยู่ระหว่างการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับผู้โดยสารอีก 81,000 ตารางเมตร และเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการทางวิ่งเส้นที่ 3 ในช่วงเดือนกันยายน 2567 เพื่อรองรับเที่ยวบินเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมงจาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

อนึ่ง ภายในปี 2572 ได้ตั้งเป้าหมายผลักดันท่าอากาศยานของไทยติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินของโลก สามารถรองรับผู้โดยสารประมาณ 170 ล้านคน และเที่ยวบินประมาณ 1 ล้านเที่ยวบิน และในปี 2577 สามารถรองรับผู้โดยสารประมาณ 210 ล้านคน และเที่ยวบินประมาณ 1.2 ล้านเที่ยวบิน

ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม ยังชี้ให้เห็นว่า สถิติตัวเลขผู้โดยสารระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – พฤษภาคม 2567 มีผู้โดยสารใช้บริการเดินทางเข้า-ออกท่าอากาศยานของประเทศไทยรวม 81.05 ล้านคน ฟื้นตัวร้อยละ 83.4 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48.95 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 32.09 ล้านคน มีเที่ยวบินรวม 490,970 เที่ยวบิน ฟื้นตัวร้อยละ 80.9 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2562 แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 274,410 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 216,560 เที่ยวบิน

“นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นพัฒนาท่าอากาศยานไทยตามวิสัยทัศน์ Aviation Hub ยกระดับศักยภาพท่าอากาศยานไทยเพื่อความสะดวกของผู้ใช้บริการ เดินหน้าบูรณาการความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการบินขยายขีดความสามารถท่าอากาศยานไทยตั้งเป้าให้ติดระดับท่าอากาศยานระดับโลก ให้สามารถรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ตอบโจทย์ทุกวัตถุประสงค์การเดินทาง เชื่อมั่นสามารถเพิ่มเม็ดเงินเข้าไทย ขยายโอกาสประเทศ” นายชัย กล่าว

Advertisment

ข่าวดี!! ออมสิน เปิดตัว MyMo Secure Plus – แอปธนาคารแรกที่มาพร้อมโหมดปลอดมิจฉาชีพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กรกฎาคม 2567 ออมสิน เปิดตัว MyMo Secure Plus – แอปธนาคารแรกที่มาพร้อมโหมดปลอดมิจฉาชีพ ให้ลูกค้าทำธุรกรรมจำเป็นได้ปลอดภัยกว่า ใช้งานง่าย พร้อมให้บริการบนแอป MyMo แล้ว

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากปัญหาภัยทุจริตทางการเงินที่มีประชาชนได้รับความเสียหายจากการถูกมิจฉาชีพหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันและถูกดูดเงินออกจากบัญชีธนาคาร ทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แม้ธนาคารและหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีการเตือนภัยประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อช่วยลูกค้าประชาชนลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงเมื่อทำธุรกรรมผ่านบริการทางการเงินดิจิทัล ธนาคารออมสินจึงได้ยกระดับความปลอดภัยของบริการ Mobile Banking โดยการเพิ่มโหมดบริการ MyMo Secure+ ที่จำกัดการทำธุรกรรมเฉพาะบัญชีของตนเองเท่านั้น กรณีมือถือโดนแฮก หรือโดนควบคุมมือถือผ่านรีโมท มิจฉาชีพก็จะไม่สามารถโอนเงินของเราไปยังบัญชีอื่น หรือบัญชีบุคคลที่ 3 ได้ ถือเป็นการจำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งธนาคารออมสินเป็นธนาคารแรกที่ริเริ่มติดตั้งโหมดปลอดมิจฉาชีพสำหรับให้บริการลูกค้าบนแอปพลิเคชัน

MyMo Secure+ หรือ MyMo Secure Plus เป็นโหมดบริการบนแอป MyMo ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการได้ง่าย ๆ และปลอดภัยมากขึ้น เหมาะสำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบางที่อาจตกเป็นเหยื่อภัยทางการเงินได้ง่าย อาทิ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพ โดยเมื่อลูกค้าเปลี่ยนมาใช้โหมดบริการ MyMo Secure+ จะสามารถใช้บริการที่เน้นการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านบัญชีของตนเองเท่านั้น โดยจำกัดการทำรายการเฉพาะเท่าที่จำเป็น เช่น การโอนเงินไปยังบัญชีตนเองภายในธนาคาร การโอนเงินไปบัญชีต่างธนาคารที่ได้ลงทะเบียนไว้ บัญชีสินเชื่อของตนเอง การชำระค่าสาธารณูปโภค รวมถึงจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมบัญชีตนเองต่างธนาคาร ไม่เกิน 100,000 บาทต่อวัน หรือถอนเงินไม่เกิน 5,000 บาทต่อวัน เป็นต้น โดยลูกค้าเดิมที่ใช้แอป MyMo อยู่แล้ว สามารถเปลี่ยนโหมดเป็น MyMo Secure+ ได้ด้วยตนเองโดยกดที่ปุ่ม MyMo Secure+ มุมขวาบน หรือจากแบนเนอร์หน้าโฮม หรือจากแถบตั้งค่า และเมื่อกดสมัครใช้งานแล้ว จะต้องยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขการให้บริการ หรือการเปลี่ยนโหมด และมีการยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า จึงสมัครใช้บริการสำเร็จ กรณีลูกค้าต้องการเปลี่ยนกลับไปใช้แอป MyMo รูปแบบทั่วไป สามารถติดต่อแจ้งความประสงค์ได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

อนึ่ง การยกระดับแอป MyMo ให้มีโหมดความปลอดภัย เป็นการดำเนินงานโดยสอดคล้องกับมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีการยกระดับมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน โดยขอความร่วมมือธนาคารต่าง ๆ ในการป้องกันความเสียหาย และมีผลิตภัณฑ์หรือบริการเพิ่มเติมเพื่อดูแลธุรกรรมของลูกค้าให้ปลอดภัยขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงและลดปัญหาการถูกหลอกลวงออนไลน์ โดยธนาคารออมสิน ได้ให้ความสำคัญในมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของระบบการให้บริการที่ถือเป็นหัวใจหลักของการให้บริการ Mobile Banking มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ด้านการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ISO/IEC 27001 ในเวอร์ชัน ISO/IEC 27001:2022 (Information Security Management System : ISMS) ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน

Advertisment

บีโอไอเผย 5 ข้อได้เปรียบไทย ดึงลงทุน Data Center และ Cloud Service

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 กรกฎาคม 2567 บีโอไอ เผยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เร่งแผนลงทุน Data Center และ Cloud Service ชู 5 จุดแข็ง ดันไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเชื่อมต่อภูมิภาค ยกระดับสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน โชว์ยอดส่งเสริมลงทุนกิจการ Data Center และ Cloud Service รวม 37 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 98,000 ล้านบาท พร้อมรองรับธุรกิจบริการด้านดิจิทัลและ AI ที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการลงทุน Data Center และ Cloud Service เพื่อรองรับการขยายตัวของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และบริการด้านดิจิทัลต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตสูงในภูมิภาค เนื่องจากมีข้อได้เปรียบอย่างน้อย 5 ด้าน คือ

(1) ทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะศักยภาพในการเป็น Connecting Hub สำหรับกลุ่มประเทศ CLMVT ที่มีประชากรรวมกันกว่า 250 ล้านคน

(2) มีความมั่นคง ปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำ Data Center เป็นธุรกิจที่ต้องการความมั่นคงสูง เพราะต้องรักษาข้อมูลสำคัญของลูกค้าในปริมาณมหาศาล ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบในเรื่องนี้ เนื่องจากไม่มีแผ่นดินไหว ไต้ฝุ่น หรือภัยพิบัติรุนแรง อีกทั้งไทยมีความเป็นกลางไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้งในเวทีระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีกฎระเบียบด้านดิจิทัลที่มีมาตรฐานสากล เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และกฎหมายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security Act) ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

(3) โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง ทั้งระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียร และมีศักยภาพในการจัดหาพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการลงทุน Data Center อีกทั้งมีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงติด 1 ใน 10 ของโลก และเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในอาเซียน สามารถรองรับการส่งข้อมูลได้ในปริมาณสูง

(4) ตลาดในประเทศขยายตัวสูง ทั้งดีมานด์จากการยกระดับองค์กรต่าง ๆ ไปสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) การกำหนดนโยบาย Cloud First Policy ของรัฐบาล สัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 88 ของประชากร มีผู้ใช้งาน Social Media กว่าร้อยละ 70 ของประชากร และประชาชนมีทักษะในการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัล เช่น PromptPay, Mobile Banking, e-Payment รวมทั้งการใช้แอปพลิเคชันเพื่อรับสิทธิตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา

(5) สิทธิประโยชน์ที่จูงใจจากบีโอไอ ทั้งการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การอนุญาตให้ถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน การลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับบุคลากรทักษะสูง การบริการข้อมูลและช่วยจัดหาสถานที่ตั้งโครงการ การช่วยประสานงานในการขอใบอนุญาตจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบจากกติกาภาษีใหม่ (Global Minimum Tax) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกให้ความสำคัญ

ปัจจุบันมีโครงการ Data Center และ Cloud Service ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รวม 37 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 98,539 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี และระยอง โดยมีบริษัทชั้นนำระดับโลกได้เข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในประเทศไทยแล้วหลายราย อาทิ Amazon Web Service (AWS) ที่ประกาศลงทุน Data Center ในไทยกว่า 2 แสนล้านบาท ภายในปี 2580 โดยในเฟสแรก ได้ลงทุนสร้าง Data Center แล้ว 3 แห่ง เงินลงทุนกว่า 25,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการ NextDC จากออสเตรเลีย ลงทุน 13,700 ล้านบาท STT GDC จากสิงคโปร์ ลงทุน 4,500 ล้านบาท Evolution Data Center จากสิงคโปร์ ลงทุน 4,000 ล้านบาท Supernap (Switch) จากสหรัฐอเมริกา ลงทุน 3,000 ล้านบาท Telehouse จากญี่ปุ่น ลงทุน 2,700 ล้านบาท One Asia จากฮ่องกง ลงทุน 2,000 ล้านบาท รวมทั้ง Google และ Microsoft ผู้ให้บริการระดับโลก ได้ประกาศแผนลงทุน Data Center ในประเทศไทยแล้ว โดยอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดร่วมกับบีโอไอและทีมงานของนายกรัฐมนตรี

สำหรับธุรกิจการให้บริการคลาวด์ (Cloud Service) มีบริษัทชั้นนำที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอ เช่น Alibaba Cloud ลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท และ Huawei Technologies ลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท นอกจากบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศแล้ว ยังมีผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพสูงอีกหลายรายที่ลงทุนในธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ด้วย เช่น บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์, บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย และบริษัท GSA ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Gulf, Singtel และ AIS

นอกจากธุรกิจ Data Center และ Cloud Service แล้ว บีโอไอยังส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่างครบวงจร ทั้งการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล ดิจิทัลคอนเทนต์ และกิจการสนับสนุนระบบนิเวศด้านดิจิทัล เช่น กิจการ Innovation Park, กิจการ Maker Space หรือ Fabrication Lab และกิจการพัฒนาพื้นที่และระบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยที่ผ่านมา มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การส่งเสริมให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเอื้อต่อการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“กิจการ Data Center และ Cloud Service ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของโลกยุคใหม่การตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยของผู้ให้บริการระดับ Hyperscale อย่าง AWS, Google, Microsoft รวมทั้งบริษัทเทคโนโลยี ชั้นนำจากหลายประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่เหมาะสมในการประกอบธุรกิจดิจิทัล ทั้งในแง่สภาพแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพของบุคลากร และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ประโยชน์ของโครงการลงทุนเหล่านี้ จะช่วยสร้างงานทักษะสูง ทั้งทางตรงและทางอ้อมในสายงานด้านโทรคมนาคม สาธารณูปโภค ธุรกิจ ให้คำปรึกษา และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีกทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเข้าถึงบริการ Cloud ที่มีคุณภาพสูง และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ช่วยเร่งกระบวนการ Digital Transformation สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้ความเร็วสูงในการรับ-ส่งข้อมูลขนาดใหญ่ รวมทั้งต่อยอดให้ไทยก้าวสู่ การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว

Advertisment

Verified by ExactMetrics